[คิดไปเอง] บทที่ 21.1 "บทสรุป" [25/03/2560]
[วันเสาร์ที่ 16 ก.ค. 2554]วันนี้เป็นวันที่ผมนัด กบ แชมป์ และภีม เพื่อนกลุ่ม 3 ไปดูหนังเรื่อง “แฮร์รี่พอตเตอร์กับเครื่องรางยมทูต ภาค 2” และที่น่ายินดีไปกว่านั้นคืออะไรรู้ไหมครับ? ตอบเลยแล้วกัน 555 คือตันไปด้วยครับ เรานัดเจอกันที่เซ็นทรัล เวลา 9.30 น.
เมื่อทุกคนมาถึงเราก็ขึ้นไปชั้นโรงหนังเพื่อซื้อตั๋วกัน คือเขาขาย 10 โมง แต่พวกผมกะไปรอกันก่อนกลัวไม่ได้ดู
“โหคนเยอะมากเลยว่ะ แบบนี้จะได้ดูกี่โมงว่ะเนี่ย” ภีมบ่นๆ
“กูว่าได้ดูบ่ายแน่ๆเลยว่ะ” กบพูด คือคนเยอะจริงๆครับ แฟนแฮร์รี่พอตเตอร์ทั้งนั้น
จากสถานการณ์ยังไงก็ไม่ได้ดูรอบแรกแน่นอน กบจึงเข้าเน็ตแล้วจองเพื่อจะดูรอบต่อไปแต่ดันเต็มอีก สรุปจองรอบ 14.00 น. เลยครับ นั่งแถวที่สองด้วยหน้าเกือบติดจอ
“เหลือเวลาอีกเยอะเลย งั้นไปเดินเล่นกันก่อนแล้วกัน” ภีมเสนอ
“ตามนั้นๆ” แชมป์เสริม
แล้วเราก็ไปเดินเล่นกัน จนถึงเวลา 12.00 น. เราก็ไปกินข้าวกันที่ศูนย์อาหารเซ็นทรัล ผมหันไปมองตันคุยโทรศัพท์กับใครไม่รู้เหมือนทะเลาะกันแต่คาดว่าคงเป็นแอน พอวางสายไปตันหันมาพูดกับผมว่า “คืนนี้ขอไปนอนด้วยได้ไหม เบื่อไม่อยากกลับหอ” ผมรู้สึกตื่นเต้นและยินดี ไม่ได้ตอบอะไรเพียงแค่พยักหน้าประมาณว่า “ได้ดิ”
เวลา 13.00 น. หลังจากกินข้าวเสร็จก็ต่อด้วยร้องคาราโอเกะ แต่ผมไม่ได้ร้องนะครับนั่งฟังผมไม่ชอบร้องเพลง จนกระทั้ง 14.00 น. เราก็เข้าไปดูหนังกัน โดยมีกบเข้าไปก่อนตามด้วยแชมป์ ต้น ภีม และผม คราวนี้คิดว่าจะได้นั่งด้วยกันแต่ภีมดันตัดหน้าไปก่อนมันบอกว่าไม่ชอบนั่งริม ทีแรกก็แอบโกรธนิดๆแต่สักพักก็เฉยๆครับ คือหนังสนุกมากเลยไม่สนใจดีกว่า 555+
ดูหนังเสร็จก็ได้เวลากลับบ้าน เรานั่งรถมาลงกันในเมืองพอลงรถผมก็ล่ำลาเพื่อนๆและรีบเดินไปต่อรถเพื่อกลับบ้าน ในใจไม่กล้าถามตันเรื่องที่ตันจะขอนอนที่บ้านด้วย จึงใช้วิธีนี้แหละล่ำลาเพื่อนๆและเดินออกมาเลยเผื่อตันจะเดินตามมา แต่แล้วก็ไม่เห็นตันตามมาแม้แต่โทรมาก็ไม่มี สงสัยคงดีกับแอนแล้วละมั้งเลยไม่นอน ผมอยากโทรไปถามนะแต่ก็ไม่กล้า บังเอิญนึกขึ้นได้ว่าวันนี้ตอนไปเดินดูของรอเวลาดูหนังตันซื้อปากกาจากร้านขายหนังสือมาด้ามหนึ่ง (อันนี้ผมจำไม่ได้แล้วว่ามันซื้ออะไรเลยขอสมมุติ) แต่ตันไม่มีกระเป๋าจึงฝากผมไว้ ผมเลยได้โอกาสโทรไปถาม
“ฮาโหล ว่าไงอิน” ตันพูด
“ตันมึงลืมปากกาไว้ในกระเป๋ากูอะจะเอาหรือป่าวเดี๋ยวเดินไปให้อยู่ตรงไหนกัน”
“ไม่ต้องหรอกอยู่บนรถแล้ว ไว้วันจันทร์เอามาให้ด้วยแล้วกัน”
“โอเคๆ”
“งั้นแค่นี้ก่อนนะ โชคดีเพื่อนๆ”
“เช่นกันๆ” พูดจบก็วางสายไป
เฮ้อ ตอนนั้นผมนั่งคิดอยู่ในใจระหว่างนั่งอยู่บนรถเมย์กลับบ้าน....คือถ้าตันอยากมานอนจริงๆ ผมคงไม่ต้องพยายามขนานนี้หรอก ถ้าเขาอยากมาเขาคงมาแล้ว
นั่งคิดไปเรื่อยๆเพลงในรถก็ดังขึ้น เข้าใจพวกรถเมย์ต่างจังหวัดใช่ไหมครับ เขาจะชอบเปิดเพลงบนรถ
“เมื่อเธอกับฉัน มันเหมือนดังฟ้ากับเหว หากรักกัน ก็คงจะไปไม่ไกล ไม่อยากให้เธอ ต้องลำบากเกินไป ที่ยอมตัดใจ ไม่ใช่ฉันไม่รักเธอ”
ปกติผมเป็นคนที่ไม่ค่อยฟังเพลงแต่ถ้ามีคนเปิดผมก็ฟังไปเฉยๆ และไม่ค่อยรู้จักชื่อเพลงด้วย แต่ครั้งนี้เพลงมันโดนมากครับ คือเพลงนี้มันใช้เลยอะครับ ผมกลับมาบ้านพิมพ์เนื้อเพลงท่อนที่ผมจำได้ลงไปใน google แล้วกดค้นหาเพื่อจะเข้าไปโหลด จึงได้รู้ว่าเพลงนั้นชื่อเพลงว่า “ฟ้ากับเหว” ผมไม่รู้ว่าตัวเองบ้าหรือป่าวเพราะฟังเพลงนี้แล้วมันทำให้ผมมีกำลังใจ ซึ่งในเนื้อเพลงมันก็ไม่ได้หน้ายินดีอะไรเลยด้วยซ้ำ
.
.
.
.
.
.
ช่วงท้ายเทอม
[วันจันทร์]
วันนี้เป็นวันกีฬาสีวันแรกของเทคนิค (กีฬาสี่ที่เทคนิคผมมี 5 วัน) หลังจากที่เดินขบวน และทำพิธีเปิดเสร็จ พวกผมก็ขึ้นไปนั่งไปนอนเล่นบนแผนกเหมือนทุกๆปี
“นี่ก็ 10 โมง กว่าแล้ว ทำไมตันยังไม่มา” ผมพูดอยู่คนเดียวในใจ
ตู๊ดๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ (เสียงโทรศัพท์โอ๊ต)
“ฮาโหลว่าไงบิ๊ก” โอ๊ตรับสายบิ๊ก
“เฮ๊ย จริงอะ แล้วตอนนี้อยู่ที่ไหนว่ะ เดี๋ยวกูไป” โอ๊ตพูดในสายกับบิ๊ก ผมก็ไม่รู้ว่ามันคุยอะไรกัน จนวางสายถึงได้รู้ว่า….
“ไอ่สัสบิ๊กโทรมาว่ารถล้มกับไอ่ตันที่ตลาดXXXว่ะ” โอ๊ตพูดขึ้น ผมใจเสียเลยครับ
“แล้วมันเป็นอะไรมากไหมว่ะ” บาสถามอย่างตกใจ
“กูก็ไม่รู้ว่ะ มันโทรมาให้กูไปรับมันมาที่นี่” โอ๊ตตอบอย่างใจร้อน คงเป็นห่วงเพื่อน
“เออๆมึงรีบไปรีบมานะเว้ย” บาสพูด โอ๊ตก็รีบวิ่งออกจากแผนกไปรับบิ๊กกับตันมา
“กูว่าไปรอหน้าเทคนิคเถอะ อย่าให้มันเข้ามาในแผนกเลยเดี่ยวอาจารย์บุญทันรู้เข้าจะรู้ถึงแม่ตันอีก” ผมเสนอ
“เออๆ งั้นไปรอหน้าเทคนิคกัน” บาสพูด ทุกคนก็รีบเดินตามกันออกไป
ระหว่างเดินไปหน้าเทคนิคผมภาวนาตลอดว่าขอให้ตันปลอดภัย จนลืมนึงถึงบิ๊กเลย
[หน้าทางเข้าเทคนิค]
พวกผมนั่งรออยู่หน้าเทคนิค ไม่นานโอ๊ตก็ขับรถเครื่องมาโดยมีบิ๊กและตันซ้อนท้าย
เมื่อคนเจ็บทั้ง 2 ลงจากรถ เพื่อนๆก็เข้าไปดูถามอาการ และถามเหตุการณ์ว่ามันเกิดขึ้นได้ยังไง อันนี้ผมจำไม่ได้แล้วว่าทำไมถึงรถล้มต้องขออภัยด้วย ในขณะที่เพื่อนๆเข้าไปพูดคุยถามอาการ ก็มีเพียงผมที่ยืนอยู่นอกวงคนเดียว ผมไม่กล้าถามหรือแม้แต่กระทั้งแสดงอาการเป็นห่วง ผมกลัวเพื่อนจะผิดสังเกตความแตก จึงได้แต่ยืนมองดูอยู่ห่างๆ ในใจก็หวังให้ตันทักผมบ้าง แต่ก็นะคนเจ็บมันคงไม่มีอารมณ์นั้นหรอก
“กูว่ากูจะบอกแม่ให้มารับกลับบ้านว่ะ” ตันพูด
ก็ยังดีนะครับที่ตันนึกจะกลับบ้าน เพราะอย่างที่รู้ๆกันดีว่าตันทะเลาะกับพ่อแล้วออกมาอยู่ข้างนอกกับป้าคนนั้น อย่างว่าแหละเนอะความเป็นลูกถึงคราวเจ็บไข้ได้ป่วยขึ้นมาจะนึกถึงใครได้นอกจากพ่อแม่….
“เออ ดูจากสภาพมึงก็ไม่น่าจะไหวหรอก แผลเต็มเลยไอ่ห่า” น๊อตพูด
แล้วตันก็โทรหาแม่ให้มารับส่วนบิ๊กก็กลับบ้านเช่นกัน เพราะแผลทั้ง 2 คน เต็มตัวไปหมดเลย
พวกผมรอจนแม่ตันมารับ ถึงกลับเข้าแผนกกันส่วนบิ๊กก็ทำแผลที่ห้องพยาบาลแล้วก็นั่งรถเมย์กลับไปพักผ่อนที่หอโดยมีชัยกลับไปดูแลด้วย
[ช่วงบ่าย บนแผนก]
วันนี้ผมรู้สึกเบื่อๆ เพราะอุส่ายืมเครื่องเล่นขนาดเล็กที่มีจอภาพในตัวของเพื่อนช่างไฟฟ้า (ไม่รู้ว่าจะนึกภาพออกไหมของหาดูใน google นะครับ) พกติดตัวมาเผื่อนั่งดูหนังกับตัน 2 คน รู้สึกฝันสลายแผนที่จะได้อยู่กับตันช่วงกีฬาสี 5 วันเหมือนทุกๆปีจบลง แต่ผมจะมาคิดแบบนั้นมันก็ไม่ถูก ตันเกิดอุบัติเหตุแผลเต็มตัว ผมจะมัวมาคิดเห็นแก่ตัวเองแบบนี้ไม่ได้
“กูว่าขากลับบ้านวันนี้จะแวะไปดูตันมันสักหน่อย” โอ๊ตพูด
“ดีว่ะ มีรถจะไปไหนก็ได้สบายฉิบหาย ยังไงก็ฝากด้วยแล้วกันพวกกูไม่มีรถ จะไปก็ลำบากส่วนบิ๊กมันอยู่หอกับพวกกูเดี๋ยวพวกกูดูแลให้เอง” น๊อตพูด
“เออๆ ฝากด้วยแล้วกัน” โอ๊ตพูด
ตอนนั้นรู้สึกว่าตัวเองอยากจะไปเยี่ยมตันบ้าง แต่ไม่กล้าพูดสุดท้ายก็สูดหายใจแล้วจึงพูด
“โอ๊ต…กูขอไปเยี่ยมไอ้ตันด้วยคนดิ” ผมพูดสั่นๆ
“เฮ่ย กูว่ามึงไปดูแลไอ่บิ๊กเถอะ หอมันก็ทางผ่านมึงไม่ใช่หรอ ถ้าไปเยี่ยมไอ้ตันก็ลำบากกูวนรถกลับมาส่งหน้าเทคนิคอีก ส่งใจมาก็พอไอ่หำ” โอ๊ตพูด ความหวังผมวูบลงอีกครั้ง
“โอเคมึงฝากด้วยแล้วกัน” ผมพูดอย่างหงอยๆ
เย็นวันนั้น หลังจากที่ผมกลับถึงบ้าน ด้วยความเป็นห่วงอยากโทรหาตัน ผมก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดเลื่อนขึ้นลงอยู่นาน เมื่อทำใจได้จึงกดโทรหาตันแต่สายก็ไม่ว่าง ผมไม่ละความพยายามลองโทรดูอีก ครั้งนี้ผมถูกตัดสาย เฮ้อ….ชีวิต สงสัยตันคงคุยอยู่กับแอนอยู่ละมั้งครับ ก็คงงั้นเพราะตันเขามีคนดูแลแล้วนี่หว่า แล้วผมจะโทรไปทำไมให้เสียเวลา…..ในเวลานั้นผมรู้สึกน้อยใจจึงโพสต์ข้อความลงเฟสบุ๊คว่า “คิดถึงแต่ทำอะไรไม่ได้(เมา)”
สักพักก็มีคนคอมเม้นท์
(เริ่มคอมเม้นท์)
ตัน : เปนรัยว่ะงงเรย
ตัน : รักคัยว่ะบอกทีอยากรุมากๆๆๆๆๆๆ
อาจารย์วิโรจน์ : ไอ่ภีม (เพื่อนกลุ่ม 3 ที่เป็นเกย์)
ผม : รอไปเถอะความลับไม่มีในโลกสักวันคงรู้เอง
ตัน : เพื่อนกันไม่ปิดบังกันนะ
แชมป์ (เพื่อนกลุ่ม 3) : โม้ไปทั่ว
ผม : คนที่ไม่รู้เรื่องอย่าพูด
(จบการคอมเม้นท์)
ผมนั่งคิดถึงตันอยู่เงียบๆ บ่อยครั้งที่ผมซึมแบบนี้และแม่ก็มักจะถามว่าเป็นอะไรทะเลาะกับเพื่อนมาหรอ ผมต้องโกหกทุกครั้งว่า “ไม่มีอะไรครับแม่” ผมคงไม่สามารถให้แม่รับรู้เรื่องเหล่านี้ได้เพราะสิ่งที่ตามมานั้นมันคงรุนแรงอย่างแน่นอน
วันต่อๆมาของกีฬาสี ผมก็อยู่แต่บนแผนกนั่งเสียบหูฟัง ฟังธรรมนิยายเรื่องมักกะลีผลกับเล็กกลุ่ม 3 ตลอดจนวันปิดงาน (เล็กก็ชอบฟังเหมือนผมครับ)
และแล้วก็ถึงเวลาปิดเทอม ปวช.3 เทอม 1 ภาคเรียนที่ 1 สักที
.
.
.
.
.
.
.
ปวช. 3 เทอม 2 ภาคเรียนที่ 2/2554
บทที่ 21 “บทสรุป” (จบ)
*****************************************************************
เทอมนี้เป็นเทอมสุดท้ายของ ปวช. ที่ผมเรียน
สัปดาห์ที่ 2
[บนแผนก ชั้น 4 ห้องอาจารย์จง]
“วันนี้ใครที่คิดได้แล้วว่าจะทำโปรเจคอะไรก็ขอให้มาเสนอนะ จะได้รีบทำให้เสร็จวิชานี้บอกเลยว่าอย่าปล่อยให้เวลาเสียเปล่า ยิ่งมาทำช่วงท้ายเทอมนี่ไม่ผ่านก็มีนะ” อาจารย์จงพูด เทอมนี้พวกผมเรียนวิชาโครงการกับอาจารย์จงครับ เรียนกับกลุ่ม 3 วิชาโครงการ พูดง่ายๆก็เหมือนวิชาโปรเจคนั่นแหละไม่เสร็จก็ไม่จบ
เพื่อนๆไปเสนอกันหลายคนเลยครับ บางคนก็ผ่านหัวข้อโครงการ บางคนยังไม่ผ่านก็ต้องมาหาหัวข้อใหม่ ส่วนผมเคยเสนอไปแล้วแต่ไม่ผ่านจึงกลับมานั่งเปิดหาดูในอินเทอร์เน็ต (ห้องอาจารย์มีคอมอยู่ 3 เครื่อง ไว้ใช้หางาน เครื่องที่ผมใช้มี กิ๊ฟ กับ เล็ก นั่งดูด้วย)
“อินดูนี่ให้กูหน่อยดิ” ตันเดินเข้ามานั่งซ้อนท้ายผมจากด้านหลัง แล้วเอาแขนสองข้างโอบตัวผมไว้ ในมือตันถือโทรศัพท์มือถือที่จะให้ผมดู
“มือถือเป็นอะไรละ” ผมถาม
“คือตันเพิ่งเปลี่ยน sim ใหม่ เป็นของวันทูคอล แล้วจะเล่นเน็ตแต่สมัครไม่เป็นช่วยดูให้ทีดิ”
“อ่าๆ ก็กดเบอร์นี้นะ(ผมจำไม่ได้แล้วว่าหมายเลขอะไร)”
“เอะ สองคนนี้นี่ยังไงกันแน่” กิ๊ฟ กลุ่ม 3 แซวเพราะมันนั่งดูคอมเครื่องเดียวกับผม
“ใช่ กะหนุงกะหนิงกันมากขึ้นทุกวัน!!! (ทำเสียงตุ๊ด)” ภีมพูดข้ามโต๊ะมา คือภีมเป็นเกย์ออกแนวตุ๊ดๆครับ
ผมไม่ได้ตอบอะไร ไม่ใช่ไม่ตอบอย่างเดียวนะครับ ไม่หันหน้าไปมองซ้ำด้วย ทำเหมือนมันไม่มีตัวตน 555+
“เออ พอดีอยากลองของแปลกว่ะ ได้กับสาวๆมาก็เยอะลใช่ไหมอินที่รัก” ตันพูดติดตลก กิ๊ฟ ภีม และเพื่อนบางคนที่ฟังอยู่ก็นั่งขำกันเล่นๆ
ผมอาย 555+ กดเบอร์และสมัครเน๊ตให้ตันเสร็จก็รีบส่งมือถือคืนทันที
แต่มันไม่ได้หยุดแค่นั้น หลังจากส่งมือถือให้ตันเสร็จ ตันก็ไม่ยอมลุกไปไหนยังคงนั่งเล่นมือถืออยู่แบบนั้น ทีนี้ผมหันไปมองอาจารย์จง ที่นั่งอยู่หน้าชั้นเรียน หันไปสบตากันพอดีเลยครับ แสดงว่าแกมองอยู่ก่อนที่ผมจะหันไปแน่นอน จากนั้นอาจารย์จงก็พูดขึ้น
“อนิรุทธ์ เป็นไงมั้งได้หัวข้อโครงการหรือยัง?” อาจารย์จงถามหน้านิ่ง
“อ่า....กำลังหาอยู่ครับอาจารย์”ผมตอบ อาจารย์พยักหน้ารับรู้แล้วจึงมองไปที่ตัน
“อภินันท์ ได้หัวข้อโครงการแล้วไม่ใช่หรอ ทำไมไม่ไปดำเนินการส่วนอื่นๆต่อละ” อาจารย์ถาม
“ผมกำลังทำอยู่ครับอาจารย์” ตันตอบ คือตันเสนอหัวข้อโครงการผ่านแล้วครับ ทำอยู่กับบาส 2 คน ถ้าจำไม่ผิดน่าจะทำเกี่ยวกับ วงจรเตือนปิดประตูตู้เย็น เป็นวงจรที่มาจากชุดคิทครับ
ชุดคิท คือ ชุดวงจรที่ยังไม่มีการประกอบอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ลงบนแผ่นวงจรพิมพ์ ซึ้งจะต้องลงอุปกรณ์แล้วบัดกรีประกอบวงจรตามแบบเอง
“ทำเหี้ยอะไรละกูเห็นมึงนั่งซ้อนตูดเล่นโทรศัพท์กันอยู่หนะ” อาจารย์จงพูดหน้านิ่ง ทุกคนนั่งฮากันทั้งห้อง คือบุคลิกของอาจารย์จงจะเป็นคนที่วางมาดฮาหน้านิ่ง พูดจาบาดคมปนหยาบคาย หลังห้องอาจารย์จะมีโทรทัศน์ตั้งอยู่เครื่องหนึ่งอาจารย์ชอบเปิดทุกครั้งที่มีสอน แต่จะปิดเสียง เอาง่ายๆคือแกเปิดล่อนักเรียนเอาไว้ครับ….กวนไหมละ 555+
ด้วยความอายตันจึงลุกแล้วกลับไปที่นั่งของตัวเอง
“เอาละๆ หมดเวลาแล้วไปกินข้าวกันเถอะ ใครว่างๆก็เข้ามาเสนอหัวข้อโครงการได้เรื่อยๆเลยนะผมอยู่ตลอดจนถึงเวลาบ่าย 3 โมงเย็น” อาจารย์จงพูด
“นักเรียนทั้งหมดทำความเคารพ” ผมพูด
“สวัสดีครับ/ค่ะ อาจารย์”
เมื่อออกมาจากห้องพวกเราก็คุยเรื่องไร้สาระกันเลย นักเรียนไทยเปลี่ยนโหมดไวมากครับ ตอนในห้องยังคุยเรื่องหัวข้อโครงการกันอยู่เลย พ้นประตูห้องเรียนเท่านั้นแหลเละ 5555+
พวกเราเดินคุยอะไรกันไปเรื่อยเปื่อย เดินกันจนเข้ามาถึงโรงอาหารเก่า (เทคนิคผมมีโรงอาหาร 2 โรง) ก็ได้ยินเสียงพวกกลุ่ม 5-6 คุยเรื่องอะไรกันสักอย่างเสียงดังพอสมควร ปกติก็ไม่มีใครสนใจอะไรหรอกครับเพราะมันก็เป็นกันแบบนี้อยู่แล้ว แต่ครั้งนี้ต้องสนแล้วละเพราะมีคำพูดนึงที่ผมและเพื่อนๆได้ยินไม่ผิดแน่นอน
“เอ้า!!! ก็ไอ้เหี้ยกรมันเล่าให้กูฟังแบบนี้จริงๆ ว่าตอนอยู่ในโรงหนังอาจารย์วิโรจน์จับมือมันด้วย!!! ถ้าไม่เชื่อพวกมึงก้ลองถามมันดู” เบญเพื่อนกลุ่ม 6 พูด เบญเป็นทอมตัวเล็กส่วนสูงไม่ต้องพูดถึงเตี้ยมาก แต่เห็นตัวเล็กแบบนี้พลังเสียงห้าวหาญกว่าบุรุษนะครับ
“จริงหรอว่ะกร” เพื่อนกลุ่ม 6 คนหนึ่งถามกร ตอนนั้นไม่รู้ว่ามันตอบว่าอะไรนะครับเห็นแค่มันพยักหน้ายอมรับ
ด้วยความที่พวกผมก็อยากรู้ว่ามันมีเรื่องอะไรก็เลยเดินเข้าไปถามกัน
“เฮ่ยมึง มีเรื่องอะไรกันว่ะ เห็นมีพูดถึงอาจารย์วิโรจน์ด้วย” ตันถามเบญ
“ก็ไอ้กรอะดิ เมื่อวานมันไปดูหนังกับอาจารย์วิโรจน์เว้ยแล้วทีนี้อาจารย์วิโรจน์ถามมันว่า *รู้ไหมคนที่เขาชอบกันเขาดูหนังกันแบบไหน* กรมันก็ตอบเขาว่า *ไม่รู้* แกเลยจับมือมันแล้วบอกว่า *แบบนี้ไง* ” เบญเล่าจบพวกผมถึงผมตกใจเลย ไม่คิดไม่ฝันว่าอาจารย์วิโรจน์จะทำแบบนี้กับลูกศิษย์ของตัวเอง ถึงจะแค่ล้อเล่นกันผมมองว่ามันก็ไม่ควรอยู่ดี ตอนนั้นกรนั่งหน้านิ่งมากคงจะอายและทำอะไรไม่ถูก
“แล้วไอ้กรเพื่อนมึง มันทำยังไงว่ะหลังจากที่อาจารย์แกจับมืออะ” น๊อตถาม
“มันก็ปล่อยให้เขาจับอยู่แบบนั้นแหละ เพื่อนกูแม่งก็โง่ฉิบหายปล่อยให้เขาจับอยู่นั่นแหละ” เบญตอบอย่างหงุดหงิด
“อาจารย์วิโรจน์แกเป็นแน่ๆเลยว่ะ” ผมพูดขึ้นลอยๆ
“เออดิว่ะ พวกมึงอาจจะไม่รู้แต่พวกกูกลุ่ม 5-6 รู้กันมาตั้งนานแล้ว” เบญตอบ
ที่กลุ่ม 5-6 รู้ว่าอาจารย์วิโรจน์เป็นนั้นเป็นเพราะอาจารย์วิโรจน์เป็นอาจารย์ที่ปรึกษากลุ่ม 5-6 ดังนั้นคงไม่แปลกที่พวกนั้นจะรู้ลึกตื้นหนาบาง ส่วนห้องผมที่เจอกันก็เฉพาะแค่เวลาที่มีเรียนกับอาจารย์เท่านั้น เมื่อความจริงปรากฏผมและเพื่อนๆมองหน้ากันแล้วก็เดินไปกินข้าวที่โรงอาหารใหม่พร้อมกับคุยเรื่องนี้กันตลอดทั้งวัน
หลังจากวันนั้น ข่าวเรื่องอาจารย์วิโรจน์กับกรดังไปทั่วแผนกอยู่พักนึง ซึ่งรู้กันเฉพาะนักเรียนส่วนพวกอาจารย์ไม่มีใครรู้ เอาจริงๆมีเบื้องลึกเบื้องหลังมีมากกว่านี้แต่จะเป็นการไม่เคารพอาจารย์ และก็นอกเรื่องมากเกินไปด้วยครับ
.
.
.
.
.
สนุกมากครับ ขอบคุณผู้อ่านทุกท่านนะครับที่ติดตามอ่านกันมาโดยตลอด
ขอบคุณนะครับ ขอบคุณครับ
หน้า:
[1]