boomboom โพสต์ 2011-4-22 17:26:08

กว่าจะมาเป็นรถ ISUZU ในปัจจุบันได้ (ย้อนรอยอีซูซุมังกร)

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย anirut2011 เมื่อ 2011-4-22 18:26

หลังจากที่ Isuzu รุ่นมังกรทอง 87 แรงม้าได้สร้างชื่อ ในเรื่องของการเป็นรถยอดประหยัดน้ำมัน และความทนทานเป็นเยี่ยม ตลอดจนถึงรูปแบบตัวถังที่ค่อนข้างจะทันสมัยที่สุดในเวลานั้น และสร้างยอดจำหน่ายรถยนต์จนติดตลาด เหมือนกับว่าวติดลมบนจนได้กลายเป็นยอดรถขวัญใจคนทำมาหากิน และกลายเป็นเจ้าแห่งต้นตำนานระบบเผาไหม้แบบDirect Injectionจนถึงขนาดมีค่ายคู่แข่ง ต้องทำเครื่องยนต์รูปแบบเผาไหม้เหมือนกันมาเทียบเคียงจนกระทั่ง Isuzuเองต้องออกมาเกทับบลั๊ฟแหลกว่า“ไดเร็คท์อินเจ็คชั่นของแท้ต้อง อีซูซุ” ว่าเข้าไปนั่น แล้วต่อมาในปี 1995( พ.ศ. 2538 )ก็ถึงยุคการปรับปรุงใหม่อีกครั้งเพื่อเรียกกระแสแห่งรถยอดนิยมให้คงอยู่ตลอดกาลโดยมีการเปลี่ยนแปลง เขียนคิ้วทาปาก และปรับปรุงเครื่องยนต์ขึ้นใหม่ด้วยเพราะถ้านิ่งอยู่อาจจะพ่ายแพ้คู่แข่งที่นับวันพยายามที่จะพัฒนารถในค่ายของตัวเองออกมาให้ดูดีและทันสมัยขึ้นเรื่อยๆ   และในการปรับปรุงครั้งนี้ถึงแม้ว่าจะเป็นเพียงการเปลี่ยนปลีกย่อย หรือที่เราเรียกกันว่า Minor Change ก็ตามที แต่ก็แฝงไว้ด้วยความเปลี่นแปลงปลีกย่อยในหลายๆส่วนเลยทีเดียว โดยให้ชื่อรุ่นใหม่นี้ว่าNew Faster Z 2500 Diซึ่งจุดเด่นก็คือการพัฒนาเครื่องยนต์จากรุ่นเดิมที่มีพลกำลัง 87 แรงม้าก็มาเป็น 90 แรงม้า โดยที่ตัวฝาครอบวาล์วจะมีการ พ๊ะตัวอักษรปั๊มนูนโชว์90 HP ไว้ข่มขวัญคู่แข่ง   ส่วนหัวฉีดก็ได้พัฒนาให้มีรูหัวฉีด 5 ทิศทาง และนอกจากนี้ในรุ่นใหม่นี้ยังได้ปรับปรุงระบบกันสนิมใหม่โดยการใช้ชิ้นส่วนตัวถังส่วนใหญ่เป็นเหล็กอาบกาลวาไนซ์และผ่านกระบวนการชุบสีกันสนิมที่ทันสมัยคือระบบElecronCationEDP นั่นเองและนอกจากนี้ในส่วนตรงชายล่างตัวถังรถทุกๆรุ่นนี้ ยังได้พ่นเคลือบพิเศษChipping Coatอีกด้วยที่สำคัญยังคงมีรูปแบบให้เลือกการใช้งานได้ครบทุกรูปแบบไม่ว่าจะเป็นSpark EXรถขวัญใจนักขนตัวจริงหรือจะเป็นรุ่น Space cabSLที่มีห้องโดยสารที่กว้างขวาง สะดวกสบายขึ้นไปจนถึงรุ่น Top สุด นั่นก็คือSpace Cab SLXและยังมีรถขับเคลื่อนสี่ล้อให้เลือกเล่นคือRodeoSL   ซึ่งในสมัยนั้นรถกะบะขับเคลื่อนสี่ล้อในบ้านเรา ยังไม่มียี่ห้อไหนที่ประกอบในบ้านเราเลยแม้แต่ค่ายคู่แข่ง ก็ยังเป็นรถนำเข้าอยู่แต่ ทางIsuzuได้รุกตลาดตัวนี้ด้วย   พร้อมทั้งรุ่นสุดท้าย รถตระกูลแวน ยอดฮิตคือIsuzu Cameoก็ยังคงได้มีให้ลูกค้า ได้เลือกซื้อใช้งานกันตามอัธยาศัย
http://www.isuzuclub.com/wp-content/uploads/2010/03/1sparkEX_thumb.jpgโดยเริ่มจาก รถขวัญใจนักขนระดับพระกาฬ ก่อนเลยก็แล้วกัน นั่นก็คือISUZUSPARK EX
ซึ่งในรุ่นนี้ ถึงแม้ว่ายังยืนยันหน้าตาแบบกระจัง 3 ช่อง ชุบโครเมี่ยมเดิมๆ มาก็ตามทีแต่ก็ได้เปลี่ยนโคมไฟใหม่ให้ใช้แบบฮาโลเจน เพื่อเพิ่มความสว่างสดใสยามค่ำคืน และเปลี่ยนตัวระบบเครื่องทำความเย็นใหม่ ใช้น้ำยาแอร์ระบบ R134aเพื่อรักษาสภาพแวดล้อมแล้ว    ยังได้วางเครื่องตัวใหม่90 แรงม้ามาให้   ส่วนของกันชนหน้าแบบสองชิ้น คือ ชิ้นบนเป็นโลหะปั๊มขึ้นรูป 3 ชิ้น พ่นสีดำด้าน และชิ้นชายล่างเป็นพลาสติกยูเรเทนดำด้านเช่นเดียวกันและในส่วนของไฟเลี้ยวด้านข้างยังคงจะใช้สีส้มล้วนเหมือนเดิมส่วนกระจกมองข้างนั้นจะยังคงใช้สีดำเป็นหลักตรงประตูส่วนที่เหนือการทับร่องเสริมแข็งยังคงมีสติ๊กเกอร์ข้างตัวถังรถบอกรุ่น Spark Ex ชัดเจน ไว้เพื่อแสดงรุ่นและในรุ่นนี้ตัวมือจับเปิดประตูภายนอกได้ใช้พลาสติกสีดำแล้วไม่ใช่ชุบโครเมี่ยมแบบรุ่นก่อนหน้านี้ในส่วนของเบาะนั่งจะป็นแถวเดี่ยวแบบยาว โดยมีหมอนรองศรีษะให้ทั้งฝั่งคนขับ และผู้โดยสารพร้อมทั้งเพื่อให้เข้ากับมาตรฐานความปลอดภัย ในรุ่นนี้ได้แถมเข็มขัดนิรภัยแบบ 3 จุดมาให้ในส่วนของคนขับแล้ว แต่ในส่วนของคนผู้โดยสารยังเป็นแบบสองจุด เช่นเดิมคราวนี้มาดูในส่วนของกะบะท้าย จะมีโครง Roll barหรือ โครงสำหรับพาดของยาวให้เป็นมาตรฐานจากโรงงาน ฝาท้ายยังเป็นแบบขอยึด 2 ด้าน โดยมีการประทับตราIsuzu ตัวใหญ่สีขาวโดยมมี มิติของตัวกะบะที่ความยาว 2,295มม.และความกว้างคือ1,530 มม. และเช่นกันในส่วนของชุดโคมไฟท้ายนี้ก็ไม่ได้ใช้การชุบโครเมี่ยมเหมือนรุ่นก่อนๆ นี้แล้วแต่ใช้เป็นขอบดำเหมือนมือเปิดประตูเพื่อให้เข้าชุดกันส่วนกระทะล้อยังให้เป็นล้อเหล็ก ขนาด 5J x 14แบบน๊อตล้อ 6ตัวล้อมรัดไว้ด้วยยางขนาด   195 R 14C-8 PRส่วนระบบพวงมาลัยยังคงจะใช้ระบบลูกปืนหมุนวน หรือแบบบอลนัทพร้อมระบบยุบตัวได้ อันเป็นเอกลักษณ์ของIsuzuแต่ในรุ่นนี้ยังคงไม่ได้ระบบพาวเวอร์มาเป็นมาตรฐานเหมือนกับรุ่นอื่น ๆยังคงเป็นพาวเย่อหมุนกันหน้าตั้งต่อไป   ตอนเปิดตัวนั้นเคาะราคาอยู่ที่302,000 บาทเท่านั้น
http://www.isuzuclub.com/wp-content/uploads/2010/03/2isuzusl_thumb.jpgขยับมาดูรุ่นที่สูงขึ้นไปอีกนิด   ก็คือรุ่นSpace cabSL    ซึ่งเป็นรถกะบะแบบมีแค็บหลังยอดนิยมอันเนื่องมาจากที่ Isuzuได้เปิดตัวรถกะบะมีแค็บ ยี่ห้อแรกในประเทศไทยและยังคงได้มีรถกะบะแค็บต่อเนื่อง และก็ขายดิบขายดีต่อเนื่องกันมาถึงแม้ว่าค่ายคู่แข่งอื่นๆ เพิ่งจะหันมาตื่นตัว ทำรถรุ่นมีแค็บหลัง เหมือนกันในภายหลังก็ตามที
โดยมาในปีนี้ ได้มีการเขียนคิ้วทาปาก แต่งหน้า แต่งตากันใหม่เริ่มจากกระจังหน้าจากเดิมๆที่เป็นกระจังแบบ ลายสี่เหลี่ยมข้าวหลามพร้อมโคมไฟหน้า แบบสี่เหลี่ยมผืนผ้าในรุ่นก่อนนี้   ก็มาเป็นลายกระจังหน้าแบบชุบโครเมี่ยมทั้งอันมีซี่กระจังเป็นแนวนอนพร้อมกับที่ทำชายส่วนกลางของกระจังให้ย้อยลงมาโดยได้ทำกันชนหน้าชิ้นบน เว้าหลบตัวกระจังมาให้ทำให้ลดความเหลี่ยมแบบแข็งๆ ในสายตาได้ดีทีเดียว   ( ที่มาของรุ่นหน้าย้อยก็จากเจ้ากระจังหน้านี่แหละ )    พร้อมกับโคมไฟหน้าแบบ Halogenอันได้ชื่อถึงความสว่าง และความสะดวก ในการเปลี่ยนหลอดไฟ ยามเมื่อตัวหลอดขาดเสียหายไม่ต้องเปลี่ยนกันทั้งโคมแต่ประการใดในเที่ยวนี้ ตัวโคมได้เปลี่ยนรูปแบบเป็นสี่เหลี่ยมข้าวหลามตัด ดูสวยงามกลมกลืนเข้ากับรูปทรงของกระจังหน้า และทางด้านไฟเลี้ยวด้านข้างก็เปลี่ยนจากเดิมที่ใช้ตัวโคมสีส้มเพียวๆ ในรุ่นก่อนหน้านี้ก็มเป็นแบบ โคมใสให้มีไฟหรี่มุมในตัว เพื่อเพิ่มความปลอดภัยและดูสวยงามในยามค่ำคืน พร้อมยังมีไฟเลี้ยวในตัวโคมเดียวกันให้อีกด้วย ซึ่งถือว่าเป็นยุคแรกๆ ของรถกะบะ ที่ทำโคมไฟหรี่ไฟเลี้ยว ที่มุมสไตล์รถเก๋ง ไว้ในชุดเดียวกันนั่นเอง   ส่วนตัวกันชนนั้น ยังคงแบ่งเป็นสองชั้น เหมือนเดิมในรุ่นก่อนๆ หน้านี้เพียงแต่สำหรับเจ้ารุ่นSLนี้ ได้ทำชิ้นบนกลางเว้าหลบกระจังแล้ว พ่นสีดำมาให้ ในส่วนล่างก็ยังคงเป็น พลาสติกโพลียูเรเทน ที่ทนทานไม่แตกหักง่ายโดยในกันชนส่วนชิ้นล่างนี้ก็ยังคงเป็นที่อยู่ของ เจ้าไฟหรี่ และไฟเลี้ยวสีส้มเหมือนในรุ่นก่อนๆและส่วนตรงกลางที่ดักลมเข้ามาระบายความร้อนหม้อน้ำก็ทำเป็น ซี่ใหญ่แนวนอนเพียงซี่เดียว
โดยในรุ่นนี้ตัวกระจกมองข้างจะยังคงให้เป็นสีดำของเนื้อพลาสติกยูเรเทน   ส่วนในกระจกทางด้านแคปนั้นยังคงมีสติกเกอร์ติดคาดไว้ที่ชายล่างส่วนของกระจกเป็นสองแถวโดยแถวบน มีคำว่า “Spacecab”ส่วนแถวที่สอง มีคำว่า “SL”ทำให้ดูสวยงามไม่โล้นเลี่ยนเกินไป    จากนั้นในส่วนของมือเปิดประตูและตัวโคมไฟท้ายได้เปลี่ยนจากพลาสติกเนื้อดีชุบโครเมี่ยม มาเป็นพลาสติกยูเรเทนสีดำแทนทำให้ดูขรึมดุดันขึ้น   ในส่วนของตัวฝาท้ายนั้น จะยังคงเป็นระบบล๊อคสองข้างแบบหูล๊อค ที่ยังคงมาตรฐานความปลอดภัยในการใช้งานได้ดีและส่วนของด้านข้างตัวถังนั้น ก็ยังคงทับร่องเสริมแข็งตรงส่วนกลางของตัวถัง ให้มั่นใจและเป็นการเสริมให้ด้านข้างดูไม่ราบเรียบเกินไป   ในส่วนของซุ้มล้อหน้า และหลังก็ยังคงขึ้นรูป เป็นโป่งโค้งเล็กๆรับเข้ากับซุ้มล้อดูสวยงามดีเหมือนรุ่นก่อนๆ   และในรุ่นนี้จะยังคงให้เป็นล้อกระทะเหล็กขนาด 14 นิ้วโดยจะมีดุมตรงกลางเล็กๆ เป็นฝาครอบสีดำ พ๊ะคำว่าDiให้เหมือนกับรุ่นก่อนๆแต่หากใครต้องการล้อแม๊ก ก็มีออฟชั่นให้เลือกเสียเงินเพิ่มตามใจลูกค้าด้วยเช่นกันในสัดส่วนของกะบะท้ายนั้นจะมีมิติดังนี้ความยาวกะบะที่ 1,842 มม.ความกว้างที่1,530 มม. จะสั้นกว่ารุ่นSpark EXพอควร เพราะต้องหั่นพื้นที่ไปเพิ่มในส่วนของแค็บหลังนั่นเอง
ส่วนภายในห้องโดยสารนั้นยังคงใช้จอเรือนไมล์สไตล์จอนักบิน แบบเดิมๆ ที่ดูสวยงามลงตัวโดยปุ่มกดต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นที่ปัดน้ำฝนหรือ ไฟหน้า ไฟหรี่ จะใช้ระบบกดเอาแบบรถยุโรปดูเก๋ไก๋ดีจึงยังคงไว้แต่ในส่วนของระบบปรับอากาศที่นอกจากจะใช้ระบบน้ำยาแอร์R134a แล้วก็ตาม   ยังคงจะใช้ระบบความแรงของพัดลมเพิ่มขึ้นเป้น 4ระดับ ( รุ่นก่อนหน้านี้มีเพียง 3 ระดับเท่านั้น)พร้อมกันนี้ยังมีไฟหรี่ที่ตัวสวิทซ์ปรับระดับแอร์ และพัดลมเพื่อความสะดวกในยามค่ำคืน ที่นอกจากจะเห็นได้ชัดเจนแล้ว ยังดูสวยงามอีกด้วย และพร้อมกันนี้ได้เพิ่มช่องลมแอร์ ที่ด้านใต้เก๊ะเก็บของหน้าผู้โดยสาร และยังเพิ่มให้กับที่ใต้คอพวงมาลัยคนขับอีกด้วยส่วนพวงมาลัยได้เปลี่ยนจากทรงเหลี่ยมๆ ที่แกนกลางเดิม   มาเป็นทรงที่อวบจับกระชับมือขึ้น ตรงแป้นแตรตรงกลางได้ลบเหลี่ยมสันลง ดูความเป็นสปอร์ตมากขึ้น   และพ๊ะคำว่า“Isuzu”แทนแบบเก่าซึ่งใช้เป็นโลโก้ อยู่   นอกจากนี้ในรุ่นนี้ ที่แต่เดิมไม่มีคอนโซลมาให้ก็ได้ติดตั้งคอนโซลตรงกลางระหว่างที่นั่งคนขับกับผู้โดยสารมาให้เรียบร้อยแต่ดูจะเล็กไปนิดหนึ่งแต่เข้าใจว่า ทางผู้ออกแบบคงไม่ต้องการให้เกะกะขณะใช้งานตัวรถและไม่รู้สึกอึดอัดเพราะมีตัวคอนโซลกลางมาคั่นกลางไปก็เป็นได้ครับ    ในส่วนของเบาะนั่งนั้นเป็นเบาะแบบบักเก็ตซีทที่ใช้หนังเทียมไวนิลล้วนๆเพื่อการดูแลรักษาง่ายนั่งสบาย และให้เข็มขัดนิรภัยแบบ 3 จุด ทั้งฝั่งที่นั่งคนขับ และผู้โดยสารเป็นมาตรฐานจากโรงงานอีกด้วยนอกจากนี้ในรุ่นนี้พื้นรถได้บุพรมมาให้เรียบร้อยดูหรูหราขึ้นไม่เบาเลยทีเดียว    อ้อ ! แล้วที่สำคัญ ใน New Faster Z 2500 DiSpacecabSLใหม่นี้ได้มีระบบเกียร์อัตโนมัติมาให้เลือกใช้ได้อีกด้วยนับเป็นประวัติการณ์ ของวงการปิคอัพ หรือรถกะบะเมืองไทยในสมัยนั้นเลยทีเดียวราคาเคาะขายในสมัยนั้น เริ่มต้นกันที่327,500บาท ( ยังไม่นับพวกออฟชั่นเสริมที่ต้องการหรือเสริมเข้าไปต่างหาก)

http://www.isuzuclub.com/wp-content/uploads/2010/03/3isuzuslx_thumb.jpgคราวนี้เราก็มาถึงรุ่นท๊อปหรือรุ่นสูงสุด ของรถ Isuzu นี้กันบ้าง ซึ่งก็คือSPACECABSLX
รุ่นนี้ถือว่าเป็นรุ่นสูงสุด และราคาแพงที่สุดใน 3 รุ่นนี้ก็ว่าได้   เป็นรถสำหรับผู้ที่มีรสนิยมหรูหรา และไม่ได้ใช้รถกะบะเพื่อการขนของเพียงอย่างเดียวเท่านั้น    มาว่ากันในเรื่องของสัดส่วนภายนอกกันก่อนเลยก็แล้วกันในส่วนของรูปทรงนั้นจะเหมือนกับรุ่นก่อนหน้านี้คือSLทุกประการแตกต่างกันที่รายละเอียดปลีกย่อยก็คือในส่วนของกันชนนั้นถึงแม้จะทำเป็นแนวสันตรงๆ เหมือนกับรุ่นSpark EX ก็ตามแต่ก็ได้ทำสีสรรพ์(สัน)ให้เข้ากับสีของตัวรถได้อย่างเหมาะเจาะ และรับกับกระจังหน้าที่เป็นพลาสติกหล่อ ให้มีช่องรับลมเป็นทรงรีซึ่งได้ทำสีเดียวกับตัวรถเช่นกัน( ทำให้บางคนว่าเหมือนหน้าหนู ก็เลยเรียกกันว่า รุ่นหน้าหนูติดปากมา )ซึ่งดูสวยงามหรูหราดีทีเดียว ( แต่ก็มีหลายๆเสียงว่า สไตล์กระจังหน้ารุ่น SL เข้าตากว่า ก็ว่ากันไปเข้าตำรา 3 คน ยลตามช่องนะครับ )ส่วนโคมไฟหน้า ก็จะเป็นทรงสี่เหลี่ยมคางหมูแบบเดียวกับรุ่น SLรวมทั้งไฟหรี่ และไฟเลี้ยวมุมด้วยเช่นกันตัวบานประตู ใช้ตัวเดียวกับเพื่อนร่วมรุ่นทั้งสองแต่ที่เหนือกว่าก็คือตัวกระจกมองข้างที่ได้ทำสีให้เข้ากับตัวรถดูเก๋ไก๋รสนิยมวิไลไม่เบาและส่วนตรงด้านเหนือทับร่องประตูก็แปะสติ๊กเกอร์คำว่า Limitedมาให้เพื่อเป็นการการันตีว่านี่คือรุ่นสุดท๊อปแล้ว และในรุ่นนี้จะติดเส้นยางกันกระแทกสีเทาเข้ม สวยงามตลอดรอบคันมาให้เป็นที่เรียบร้อยในส่วนของกระจกแค๊ปหลังนั้น ก็พะสติ๊กเกอร์มาให้ว่าSpacecab และมีคำว่าSLX ในวงรีสีขาวต่อท้ายด้วยคำว่าlimitedอีกทีเพื่อประกาศศักดิ์ศรีของเจ้าของรถคันงามนี้และด้านใต้ก็จะมีคำว่าPower Steering นอกจากนี้ รุ่นนี้จะมีมาตรฐานของล้อที่ให้เป็น ล้อแม๊กซ์ ลายกงจักรใหม่ สวยงามดูดีกว่าแม๊กซ์ที่ติดมากับรถรุ่น Cameo ปี 94ที่นำเข้าจากประเทศแม่เสียอีกโดยล้อจะเป็นแบบหน้ากว้าง 5.5 นิ้วขอบJJรํศมี14นิ้วระยะออฟเซ็ทที่ให้มา+20ล้อมรัดไว้ด้วยยางเรเดียลขนาด 205/75R 14 C-6PR ของยี่ห้อบริดกระโจน เอ้ย !บริดสโตนจ์ รุ่นโนโวและที่สำคัญรถรุ่นนี้จะใช้สีแบบลูไซท์เมทาลิคและสีสั่งพิเศษคือบรอนซ์เมทาลิค โทนใหม่ สีฟ้าอ่อนสวยสดใส ( และสีนี้จะเป็นสีที่มียอดจำหน่ายดีที่สุดของรุ่นด้วย )ซึ่งจะเป็นสีพิเศษเฉพาะรุ่นนี้เท่านั้นที่จะทำสีนี้ได้คราวนี้เรามาดูภายในกันบ้างสำหรับภายในนั้นอุปกรณ์ส่วนใหญ่ไม่ว่าจะเป็น แผงคอนโซล หรือ คอนโซลกลางจะยังคงเป็นตัวเดียวกับSLแต่ก็เพิ่มความหรูหราขึ้นด้วยประตูระบบเซ็นทรัลล๊อคจากโรงงานพร้อมกระจกหน้าต่างก็จะเป็น ระบบเพาเวอร์วินโดว์ไม่ต้องมาหมุนไขกระจกกันให้หน้าตั้งอีกต่อไปซึ่งก็ถือว่าเป็นครั้งแรกของวงการรถกะบะบ้านเราในสมัยนั้นเลยทีเดียวที่รถกะบะมีให้กันถึงขนาดนั้น    และนอกจากนี้ ที่ยังเพิ่มความหรูหรามีระดับด้วยเบาะนั่งยังเป็นแบบบัคเก็ทซีท ที่บุด้วยผ้ากำมะหยี่สีสันสวยงามในส่วนกลางทำให้เวลาจอดตากแดดขึ้นไปนั่งไม่ร้อนจัดจนอะไรต่อมิอะไรใต้ร่มผ้าแทบพอง เหมือนเบาะไวนีลและยังคงมีช่องแอร์พิเศษใต้คอนโซลเหมือนรุ่น SLเพื่อไว้เป่าอะไรๆ ให้มันเย็นชื่นใจ เวลาขับรถนานๆอีกด้วยพร้อมกันนี้สำหรับรุ่นนี้จะยังคงให้พวงมาลัยเพาเวอร์มาเป็นมาตรฐานของตัวรถ โดยไม่ต้องเป็นออฟชั่นสั่งพิเศษเหมือนกับรุ่นก่อนหน้านี้ทำให้เบาแรงนุ่มสบายดุจดั่งกำลังขับรถเก๋งหรูๆเลยทีเดียว   พร้อมกันนี้มีพรมปูพื้นสีเทาสวยงาม พร้อมที่พักเท้าซ้าย ให้ผ่อนคลายเวลาขับรถทางไกลที่ไม่ต้องเหยียบครัชท์บ่อยๆอีกด้วยและที่สำคัญยังมีรุ่นเกียร์อัตโนมัติ สำหรับสิงห์ขี้เมื่อยที่ขี้เกียจเหยียบครัชท์ให้เลือกใช้ได้เช่นเดียวกับรุ่นSLด้วยเช่นกัน ส่วนมิติของตัวถังนั้นก็เท่ากับรุ่นSL ก่อนหน้านี้   ราคาเคาะขายในยุคนั้นว่ากันที่370,500 บาท ซึ่งถือว่าเป็นราคาที่สูงของรถกระบะในยุคนั้นเลยhttp://www.isuzuclub.com/wp-content/uploads/2010/03/4isuzurodeo_thumb.jpgและแล้วเราก็มาถึงอีกตัวของรุ่นก็คือ รุ่น RODEO LS 4 WDสำหรับเจ้าตัวนี้หลังจากที่ได้กินดิบในตลาดรถยนต์กะบะออฟโรด ( แบบที่ใช้กับออนโรดได้ด้วย )มาหลายปีเช่นกันมางวดนี้ได้ไมเนอร์เชนจ์หน้าตาใหม่เหมือนกับรุ่นที่กล่าวมาก่อนหน้านี้ดวยเช่นกันโดยคงความสวย สดใส สะดุดตา ของลายสติ๊กเกอร์คาดแบบNatural สีทองที่ด้านข้างของตัวถัง   และได้เปลี่ยนตัวอักษรคำว่า4WD ที่เคยเป็นพลาสติกชุบโครเมี่ยม พร้อมกับสีแดงที่ตัวเลข 4   มาเป็น เรซิ่นทรงวงรีสีดำ ที่มีตัวอักษรสีทองผ่องอำไพดูสวยงามหรูหราขึ้น   และในส่วนของกันชนหน้าและกระจังหน้านั้นได้ยกเอาของรุ่นSLขับสองมาทั้งกะบิเพราะดูดุดันกว่าของรุ่น SLXแต่ก็ยังจะแยกรายละเอียดเล็กๆโดยการเปลี่ยนชิ้นชายล่างของกันชนหน้าให้เป็นช่องเล็กๆจำนวน 8 ช่องแทน เพื่อป้องกันเจ้าสิ่งแปลกปลอมวิ่งเข้าไปกระแทกหม้อน้ำให้เสียหายยามลุยนั่นเองและพร้อมกันนี้เพื่อความดุดันสวยงาม สไตล์ออฟโรดที่มีช่วงล่างที่สูงกว่าระดับขับสองอยู่แล้ว ได้ให้กระทะล้อขนาด 15 นิ้ว6 ก้านหน้ากว้าง 6นิ้ว ที่ล้อมรัดไว้ด้วยยางแบบ225/70 R 15C-6PRแบบA/Tพร้อมกับระบบล๊อคดุมล้อหน้าแบบกลไกอัตโนมัติAutoLock Hubที่สร้างความสะดวกสบายให้กับผู้ใช้งานได้อย่างมากทำให้เป็นที่นิยมของผู้ที่ต้องการใช้รถสมบุกสมบัน แต่ก็ต้องการความสะดวกสบายเหมือนรถกะบะทั่วๆไปเพราะในยุคนั้นรถกะบะขับเคลื่อนสี่ล้อจะนำเข้ามาจากต่างประเทศเสียส่วนใหญ่และมักจะเป็นระบบช่วงล่างแบบรองรับด้วยแหนบแผ่นทั้งล้อหน้าและล้อหลัง แต่สำหรับเจ้าRodeoคันนี้ จะยังคงให้ระบบช่วงล่างหน้าแบบทอร์ชั่นบาร์ ที่นุ่มนวลกว่าทำให้เป็นเจ้าแห่งตลาดรถกะบะออฟโรดที่ไม่มีคู่แข่งแต่ประการใดจนกระทั่งในที่สุดค่ายคู่แข่งก็ต้อง นำเข้ามาจากต่างประเทศเพื่อแย่งสัดส่วนการตลาดแต่ก็ไม่สามารถที่จะทำตลาดได้ดีเท่ามากนัก (และรุ่นนี้ก็เป็นที่โปรดปรานของประเทศเพื่อนบ้านจนหายกันเป็นว่าเล่นเช่นกัน )ส่วนรายละเอียดภายในนั้นในเรื่องของที่นั่งยังคงให้ใช้เบาะหนังแบบไวนิลเช่นเดียวกับรุ่น SL เข้าใจว่าเพื่อความสะดวกเวลาใช้งานสมบุกสมบันแล้วเลอะฝุ่นโคลน ทราย จะได้ทำความสะอาดง่ายนั่นเองพร้อมกับมี คันเกียร์มาให้สองอัน คือ เกียร์หลักและเกียร์เลือกการขับเคลื่อน ระบบสี่ล้อมาให้ ซึ่งในสมัยนั้นถึงแม้ว่าจะยังไม่มีระบบ การเข้าเกียร์ขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้า เหมือนรุ่นหลังๆนี้ก็ตามแต่ก็ถือว่า สะดวกสบายที่สุดเลยทีเดียวในเรื่องของระบบขับเลี้ยวก็ได้ให้ระบบเพาเวอร์มาเรียบร้อยจะได้ไม่ต้องชักคะเย่อกับพวงมาลัยกันหน้าสั่น ตอนเข้าไปตลุยเส้นทางกันดาร   ในมิติของตัวถังนั้นความกว้าง และยาว จะคงเท่ากับรุ่นSL และ SLX แต่มีมิติความสูง ที่สูงกว่า2 รุ่นดังกล่าว คือ สูงประมาณ 1,705 มม.    http://www.isuzuclub.com/wp-content/uploads/2010/03/5isuzucameo_thumb.jpgครับเรามาถึงตัวสุดท้ายใน ตระกูลของรุ่นกันแล้วคือ    IsuzuCameoหรือชื่อเต็มของรุ่นจริงๆของเค้าก็คือIsuzuCameoWanderWagonครับรถแวน 5 ประตูยอดอเนกประสงค์ซึ่งมาในปีนี้หลังจากที่รุ่นก่อนๆ หน้านี้ได้นำเข้าชิ้นส่วนทั้งหมดมาให้โรงงานคู่บารมีประกอบให้แล้วโรงงานประกอบรถยนต์IAWก็ได้สร้างเสร็จ จึงได้โอนย้ายฐานการประกอบให้ทาง IAWเป็นผู้ทำการประกอบรถรุ่นนี้ให้(โรงงาน IAWเป็นโรงงานประกอบรถยนต์ที่ใหญ่มาก อีกโรงงานหนึ่งและแม้แต่ค่ายอื่นๆ หรือค่ายคู่แข่ง ยังส่งรถให้กับโรงงานนี้ประกอบให้ หลายต่อหลายรุ่นมาแล้ว) โดยมาให้ปีนี้   เจ้า IsuzuCameo รถยอดฮิตตลอดกาล ที่ปัจจุบันราคาตลาดมือสองยังคงได้ราคาดีพอสมควรได้ทำการเปลี่ยนรูปโฉมโดยในส่วนของกระจังหน้าทั้งหมด ใช้ แชสซีส และกระจังหน้าของรุ่นSLXหรือรุ่นหน้าหนูมาประกอบให้โดย ใช้กันชนชิ้นบน และกระจังหน้าสีเดียวกับตัวรถ   และตัวกระจกมองข้าง ที่ในรุ่นก่อนหน้านี้เป็นสีดำ ก็มาให้เป็นสีเดียวกับตัวรถแล้วในด้านของเครื่องยนต์ก็วางเครื่อง 90 Hp มาให้เช่นกันในส่วนของห้องโดยสารต่างๆ ก็ยังคงให้เป็นเดิมๆ ซึ่งถือว่าสวยงามคลาสสิค ได้ดีอยู่แล้วมาในงวดนี้อาจจะมองดูเหมือนว่าไม่ได้ทำอะไรมาก แต่ทาง Isuzuก็ได้ลงแรงกับการประกอบรุ่นนี้พอสมควรโดยได้เพิ่มฉนวนกันความร้อนแบบInsulator ที่นอกจากจะกันความร้อนแล้ว ยังเก็บเสียงภายนอกที่จะเข้ามารบกวนได้พอสมควรและยังคงความเป็นรถยอดปลอดภัยโดยมี ปุ่ม Lock พิเศษ ซ่อนอยู่ในขอบประตู เพื่อล๊อคป้องกัน เมื่อมีเด็กเล็กนั่งหลังแล้วซนไปเปิดประตูรถขณะรถกำลังเคลื่อนตัวอยู่ด้วยซึ่งเจ้าปุ่ม Lock นี้ในสมัยนั้นรถระดับ Executiveที่นำเข้ามาขายในบ้านเรายังไม่มีให้กันเลย   นอกจากนี้ได้ตกแต่งเบาะนั่งทั้งหน้า และหลังใหม่ด้วยลายผ้าโทนออกสีฟ้า ดูแล้วสวยงามเย็นตา มาให้พร้อมบุแผงประตูด้วยลายผ้าสีเดียวกันดูงดงาม แต่กลับไม่ยักให้กระจกไฟฟ้ามาด้วยแฮะ ต้องสั่งเป็น ออฟชั่นเองต่างหากมาพร้อมกับวิทยุติดรถยนต์แบบเทป ดิจิตอล จากโรงงาน ฟูจิตสึ ที่ประกอบให้กับรถยนต์หลายๆค่าย ซึ่งซุ้มเสียงที่ให้มานั้น ถือว่าอยู่ในเกณฑ์พอฟังได้ทีเดียว จุดเด่นของเจ้า cameo นี้ก็คือ ตรงชายล่างขอบประตูของตัวถัง จะมีดีไซน์ของพลาสติกยูเรเทน สำหรับรับแรงกระแทกประเภทกรวด ทราย ซึ่งเป็นจุดเด่นของรุ่นนี้เลยทีเดียว( จำไว้น๊ะครับ สำหรับท่านที่ซื้อรถรุ่นนี้มือสอง ว่ากาบชายเชิงประตูตัวนี้หายไปหรือไม่ )ส่วนล้อแม๊กซ์ที่ให้มาจะเป็นลายเดียวกับของรุ่นกะบะ SLXที่เชื่อมั่นได้ถึงความแข็งแรงทนทาน และได้มาตรฐาน เพราะผลิตจากโรงงานเดียวกับผู้ผลิตแม๊กซ์ยี่ห้อดังENKEIเลยทีเดียวครับ    สำหรับสีที่ให้มีให้เลือกหลากหลายสีเป็นเมทัลลิกซ์ ถึง 5 เฉดสีให้เลือกกันครับในเรื่องของมิติตัวถังนั้น มีความยาวหัวจรดท้ายที่4,480มม.จะสั้นกว่ารุ่นกะบะถึง 40 ซม. เลยทีเดียวให้ความรู้สึกเหมือนกับขับรถเก๋งอย่างไรอย่างนั้นเลยทีเดียวส่วนมิติความกว้าง จะเท่ากับรุ่นอื่นๆ ที่ได้กล่าวไปก่อนหน้านี้ครับ

http://www.isuzuclub.com/home/%E0%B8%A2%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B8%A3%E0%B8%AD%E0%B8%A2-isuzu-%E0%B8%A1%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%97%E0%B8%AD%E0%B8%87.html

SLeePiNgFoReSt โพสต์ 2011-4-23 16:39:12

ขอบคุณครับ

boomboom โพสต์ 2011-4-23 17:06:16

ตอบกระทู้ SLeePiNgFoReSt ตั้งกระทู้

ขอบคุณที่สนใจนะครับ

Ice-Cold โพสต์ 2011-4-25 11:17:03

อิอิขอบคุณนะคับ

JEM โพสต์ 2011-4-30 23:23:54

ขอบคุณครับ
หน้า: [1]
ดูในรูปแบบกติ: กว่าจะมาเป็นรถ ISUZU ในปัจจุบันได้ (ย้อนรอยอีซูซุมังกร)