NaiNam โพสต์ 2011-4-23 16:30:15

รักเย็นๆของคนธรรมดาๆ

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย NaiNam เมื่อ 2011-4-29 15:01

นี่อาจเป็นเรื่องรักขำขันและเรียบง่ายที่สุดเท่าที่คุณเคยอ่าน มันเป็นเรื่องที่ผมแอบรักคนแปลกหน้าโดยไม่รู้ตัว แล้วเรา 2คนก็เกิดได้รักกันขึ้นมาจริงๆ เป็นแฟนกันจริงๆ ถึงภาพรวมจะฟังดูน้ำเน่า แต่ผมบอกได้เลยว่าคุณคงไม่ได้เห็นอะไรที่เดี๋ยวนี้เค้าเรียกกันว่าดราม่า(drama) จากประสบการณ์รักของผม จะว่าไปชีวิตของคนเราก็ไม่ได้สวยงามหรือหวือหวาเหมือนในนิยายรักหรือละครหลังข่าวกันหรอกคุณว่าไหม?
ที่สำคัญภาษาของผมอาจดูไม่สดใสเร้าใจหรือเล่นกับการบรรยายสยิวท้องน้อยอย่างที่คุณเคยอ่านมาก็ได้... เพราะจริงๆผมก็ไม่ได้ตั้งใจเขียนให้คุณหรือใครอ่าน... ผมไม่ได้กวนนะแต่เรื่องทั้งหมดที่ผมพิมพ์ลงมา มันก็แค่บันทึกช่วยจำ หรือ ไดอารี่ส่วนตัวเท่านั้นเพื่อระบายไม่ให้อะไรๆในใจผมมันอัดอั้นจนระเบิดออกและไม่ให้ความรู้สึกเหล่านั้นจืดจางไปกับกาลเวลา


***เรื่องนี้ได้รับการดัดแปลงให้เหมาะสมเพื่อไม่ให้บุคคลที่เกี่ยวข้องถูกสืบพบได้ขออภัยล่วงหน้าครับ
ปล. ถ้าทีอะไรอยากจะบอกกับผม หรือแสดงความเห็นอะไรก็ตามสบายนะครับ ถ้าคุณชอบ ผมจะเขียนมาลงอีก แต่ถ้าไม่มีคนชอบ ผมอาจเขียนระบายเบาๆใส่ไดอารี่เก็บไว้คนเดียวก็ได้ครับ

โดย นายน้ำ
ตอนนี้ลงไว้ 4 ตอนแล้วครับ
1. แรกพบ2. ความรู้สึกที่หวนคืน3. สับสน4. อุบัติเหตุ

NaiNam โพสต์ 2011-4-23 16:30:44

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย NaiNam เมื่อ 2011-4-24 14:23

1. แรกพบ   
         เรื่องของผมเริ่มขึ้นในเย็นวันที่ฝนตกหนัก วันนั้นผมเลิกเรียน 4 โมงเย็น พอเจอฝน ผมต้องนั่งจ่องที่โถงคณะอยู่นานสองนาน ก่อนจะตัดสินใจวิ่งฝ่าสายฝนเพื่อไปขึ้นรถให้ทันเวลา คุณเชื่อไหม...ฝนเจ้ากรรมนี่ดูจะไม่เป็นใจเอาซะเลย ตอนที่ผมวิ่งออกไป ลมยิ่งพัดแรง ฟ้าร้องลั่น หยดน้ำฝนปะทะเข้าที่หน้าผมจังๆ ทิ้งสัมผัสแปลบๆไว้บนหน้าผมด้วย ตัวผมที่ต้านสายฝนไม่ไหวต้องหลบเข้าใต้ต้นไม้ใหญ่ชั่วครู่ ลูบหน้าลูบตา เก็บมือถือกับกระเป๋าสตางค์ลงเป้
      วินาทีที่ผมกำลังจะสาวเท้าลุยถนนเปียกชุ่ม ฝ่าสายฝนกระหน่ำ ผมเหลือบเห็นร่างของคนๆหนึ่งนั่งนิ่งอยู่ที่ม้าหินข้างต้นไม้ ชั่วขณะหนึ่งผมตระหนกไปด้วยความสงสัยว่าคนตรงหน้าผมยังสบายอยู่หรือเปล่า ผมหยุดและสังเกตครู่หนึ่ง ก่อนตะโกนสู้เสียงเม็ดฝนที่ปะทะพื้นผิวรอบบริเวณ
      “คุณครับ เป็นอะไร” ผมพูด ในขณะที่ผู้รับสารของผมยังนิ่ง ไม่ตอบสนอง
      “คุณครับ มีอะไรให้ช่วยไหม” ผมพูดดังขึ้นอีกด้วยความรู้สึกหวั่นๆและกังวลใจ
      เพราะร่างตรงหน้าผมไม่แสดงท่าทีใดๆตอบรับ คราวนี้ผมยิ่งรู้สึกกังวลหนัก รีบรุดเข้าไปเพื่อสะกิดร่างนั้นให้รู้สึกตัว ผมจับไหล่แล้วพูดขึ้นว่า “คุณๆ … “ แต่ก่อนที่ผมจะจบประโยค คนๆนั้นก็ลุกพรวดคว้าข้อมือผม บีบแน่นจนผมรู้สึกเจ็บ สายตาที่ไม่เป็นมิตรของเขาเหลือบต่ำลงมา จ้องเขม็งที่ตาผม ทำผมหนาวไปถึงสันหลัง
      “ไม่ต้องมายุ่ง” เขาพูดเบาๆ แต่น้ำเสียงหนักแน่น
      สติผมกลับมาทันทีที่เขาพูดเสร็จ ผมหมุนข้อมือลงเล็กน้อยพลางพูดขึ้นว่าขอโทษ เมื่อเขาปล่อยมือ ผมจึงรีบเดินออกจากต้นไม้ ในใจหงุดหงิดคิดติตัวเองว่าจุ้นจ้านเสียจริง ไม่น่าไปวุ่นวายเลย แต่ยิ่งคิดก็ยิ่งหัวเสีย ผมเริ่มสรุปไม่ถูกว่าควรโกรธตัวเองดีหรือโกรธหมอนั่นดี สรุปแล้วใครกันแน่ที่ผิด? เป็นเพราะผมวุ่นเรื่องชาวบ้านหรือเพราะเขาไม่มีมนุษย์สัมพันธ์เอาเสียเลยนะ?
      ผมกลับถึงบ้านอาบน้ำ กินข้าว ทำการบ้าน แต่ขณะที่กำลังลังพิมพ์งานบนคอมพิวเตอร์ ผมเกิดฟุ้งซ่านถึงเหตุการณ์ใต้ต้นไม้ คราวนี้ผมหงุดหงิดเขาขึ้นมาจริงๆ คิดว่าเราคงบ้าไปแล้วที่ไปยอมหมอนั่น เราหวังดีแท้ๆ ไหงเป็นเราไป “ยุ่ง” เรื่องของเขาไปซะได้ แต่ก็คิดได้ว่าถ้าผมไปมีเรื่องกับเขา ก็คงแพ้เพราะหมอนั่นตัวใหญ่กว่าผมเยอะ อาจจะสูงถึง 185 ก็ได้ ผมนึกถึงภาพตัวเองกองเละเป็นโจ๊กหลังจากพยายามหาเรื่องจากหมอนั่นได้ชัดทีเดียว แต่ยังไงๆมันก็น่าโมโหไม่ใช่หรอ?
      ใจที่ว้าวุ่นพาผมหนีออกจากงานตรงหน้า ผมไม่มีกะจิตกะใจจะทำการบ้านอีกแล้ว เลยพักงานแล้วตัดสินใจเข้ายูทูป (youtube) หาเพลงฟัง ดูเอ็มวี (MV) ไปเรื่อยเปื่อยอย่างที่ผมชอบทำ แล้วอะไรก็ไม่รู้ดลใจให้ผมกดหาเพลงของ singular ขึ้นมาฟัง ผมไล่ดูคัพเวอร์ (cover) เพลงนี้ไปเรื่อยๆ จนสะดุดที่วีดีโอหนึ่ง หนุ่มหน้าขาว ปากสีชมพู ดูกึ่งๆจะเป็นลูกครึ่งญี่ปุ่นหรือจีน กับกีตาร์โปร่งตัวหนึ่ง วินาทีนั้นผมบอกไม่ถูกว่าคนไร้มนุษย์สัมพันธ์คนนั้นกับคนในวีดีโอนี้เป็นคนเดียวกันหรือไม่ เพราะดวงตานั้นกับที่ผมเห็นมันคนละเรื่องเลย สายตาในวีดีโอดูเขาเป็นคนขี้เล่น ดูอ่อนโยนมากๆ และแล้วผมก็ถูกสะกดให้คลิ้กเข้าไปดูหมอนั่นร้องเพลงจนได้
      แต่ผมนั่งฟังได้เดี๋ยวก็ทนไม่ไหว หมอนี้ร้องเพี้ยนเยอะมาก ถ้าคุณมีความรู้ด้านการร้องเพลงสักหน่อย คุณจะรู้ว่าเวลาขึ้นคีย์สูงหรือลงคีย์ต่ำ นักร้องไม่ต้องเคลื่อนกล่องเสียงขึ้นลงตามไปด้วย แต่หมอนี่ก็ทำ ตรงที่ต้องขึ้นให้สูง หมอนี่ก็ร้องขึ้นจมูกไปหมด ผมรำคาญเกินบรรยายต่อเทคนิคการร้องผิดธรรมชาติของเขา พอเลื่อนมาดูคอมเม้นท์ (comment) ผมเจอแต่ความเห็นประมาณว่า “พี่หล่อจังเลย” ผมอมยิ้มอยู่ครู่หนึ่ง เพราะนั่นแสดงว่าคนไม่น้อยก็เห็นว่าหมอนี่ร้องได้ห่วยจริงๆ ไม่งั้นเขาคงไม่เลี่ยงไปชมหน้าตาแทนหรอก
      ผมตัดสินใจพิมพ์ลงไปที่กล่องแสดงความเห็นว่า “เวลาร้องเพลงให้วางกล่องเสียงอยู่ตำแหน่งปกติเหมือนเวลาพูด” พร้อมกับเสริมว่า “คุณควรไปเรียนร้องเพลงจะดีกว่า” แล้วผมก็รู้สึกสบายใจอย่างประหลาดที่ได้แสดงความเหนือกว่าหมอนั่น แม้จะเป็นแค่คำพูดจากตัวหนังสือไม่กี่ตัวก็ตาม อย่างน้อยถ้าเป็นผมร้องเพี้ยนขนาดนี้ จะไม่มีวันอัพโหลด (upload) ขึ้นเว็บสาธารณะเป็นแน่ ใครๆก็คงคิดได้
      เอ~ หรือเพราะว่าคนหน้าตาดี ทำอะไรก็ไม่ผิด? แล้วไอ้ผลงานเพลงแป๊กๆอย่างนี้ จะโทษความหลงตัวเองของหมอนั่น หรือสังคมไทยที่นิยมยกยอปอปั้นคนหน้าตาดีกันแน่ แต่ต้องออกตัวก่อนว่าผมไม่ใช่คนแอนตี้ (anti) คนหน้าตาดี(กว่า)นะ หน้ามันก็ของเขา คำพูดมันก็ของเรา เราไม่สามารถลดคุณค่าของใครได้ด้วยคำพูด แต่คำพูดจะแสดงคุณค่าของเรา ผมเชื่อแบบนั้น อย่างไรก็เถอะผมก็ปฏิเสธไม่ได้หรอกว่าหมอนั่นหล่อจริงๆ ถ้าคุณมีตู้คอเลคชั่น (collection) หนุ่มหน้าตาดีแห่งยุคอยู่ที่บ้าน คุณอาจต้องวางเค้าไว้เคียงกับดาราดังอย่างคุณโดม คุณณเดช คุณหมาก คุณบอยปกรณ์ คุณมาริโอ้ หรืออีกหลายๆคนเป็นแน่ ส่วนผมน่ะหรอ...ขออยู่นอกตู้สบายๆดีกว่า
      เกือบสัปดาห์ต่อมา มีเมล์จากยูทูปแจ้งมาที่เมล์ผมว่า กระทู้ผมมีคำตอบจากเจ้าของวีดีโอกลับมาสั้นๆว่า “ขอบคุณครับ แล้วผมจะพยายามต่อไป” แต่ผมก็ไม่ได้เข้าไปดูเขาร้องเพลงอีกนาน

2. ความรู้สึกที่หวนคืน

          หลายสัปดาห์ถัดมา ผมยังใช้ชีวิตเหมือนเดิมไปเรียน เดินเที่ยว กลับบ้านทำงาน คล้ายๆกับนักศึกษาใน “รั้วสีชมพู”หลายๆคน ผมไม่ได้นึกถึงหมอนั่นอีก แต่แล้ววันหนึ่งผมก็มาสะดุดแทบล้มที่หน้าไม้ใหญ่เมื่อวันฝนตก ความคิดผมคงจะพิลึกตามนักศึกษาที่นี่ไปจริงๆ เพราะจู่ๆผมก็นึกถึงคำร่ำลือที่ได้ยินมาตั้งแต่สมัยเป็นนิสิตปี 1 ว่าไป “ถ้าสะดุดที่หน้าคณะไหน จะได้แฟนอยู่คณะนั้น” ผมหัวเราะแห้งๆกับตัวเอง เพราะความจริงมันก็ไม่ได้เกี่ยวกันหรอก ถ้าแค่สะดุดแล้ว คนเราจะมีแฟน คนซุ่มซ่ามอย่างผม คงได้แฟนเดือนละหลายๆคนไม่ซ้ำคณะ
         ผมมองไปที่ตึกจัดแสดงนิทรรศการข้างๆต้นไม้เย็นวันนี้มีจัดแสดงดนตรีไทยและนิทรรศการ “ดนตรีสยาม” ผมกวาดสายตามองบรรยากาศงานเล็กน้อย ผมไม่ได้สนใจเรื่องดนตรีไทยเท่าไร แต่ก็คงไม่เลวถ้าวันนี้จะได้ดูการแสดงหายากจากชมรมนาฏศิลป์สักชุดหนึ่ง ผมค่อยๆเลียบๆเคียงๆเข้าไปบริเวณงาน แต่ก็ถูกชนแทบล้มคว่ำ ผมและอีกฝ่ายต่างพูดขอโทษขอโพยกันใหญ่ พอเราเงยหน้าขึ้นมา ผมก็ถึงบางอ้อทันทีโดยไม่ต้องนั่งรถไฟไป เพราะบุรุษร่างสูงที่ทำผมแทบล้มกลิ้งก็คือหมอนั่น เขาเองยิ้มแบบเจื่อนๆแล้วขอโทษผมอีกครั้ง ผมพยักหน้ารับมารยาทของเขาเล็กน้อย ก่อนจะเดินเข้างานไปพร้อมกับภาวนาไม่ให้เขาจำผมได้
         ผมนั่งแถวหลังสุดริมสุด เพราะไม่มีที่ให้เลือก ขณะที่ชายคู่กรณีของผมเดินตามมานั่งข้างๆ ให้ตายเหอะ! ผมเข้าใจว่าที่มันไม่มีที่ แต่ที่เรานั่งใกล้กันแบบนี้ ผมรู้สึกปั่นป่วนยังไงไม่รู้ ผมมีอาการตัวแข็งฉับพลัน คล้ายกระต่ายที่พบนักล่าแล้วกำลังตัดสินใจว่าจะหนีเอาตัวรอดอย่างไร เอ~ นี่ผมเปรียบตัวเองเป็นกระต่ายหรอ ผมไม่ได้หน่อมแน้มขนาดนั้นนะ ไม่ได้ผอมแห้ง หรืออ่อนปวกเปียกด้วย อย่างน้อยผลจากการเข้ายิม (gym) ก็ทำให้ผมมีอะไรๆที่ดูแมน (manly) พอตัว อีกอย่างผมก็เตี้ยกว่าหมอนี่แค่ 8-10 ซม. เท่านั้นเอง (โถ่~ ไม่นะ) ความแมนไม่ได้อยู่ที่หน้ากับรูปร่างหรอกคุณ
         แต่ก็เถอะ หมอนี่คงเป็นพวกคนที่สมัยนี้เรียกว่าหนุ่มเมโทร (metro) ละมั้ง กลิ่นอ่อนๆของน้ำหอม ชุดสูดขาว กางเกงยีนส์เดฟสีดำ ผมพนันได้ว่าไอ้สิ่งที่ประกอบมาเป็นตัวหมอนี่ รวมทั้งนาฬิกา ไอโฟน (Iphone) และช่อดอกไม้ในมือ น่าจะมีมูลค่าสุทธิพอที่จะดาวน์ (down) รถได้คันนึงเลยทีเดียว ถ้าหมอนี่ไม่ได้รวยมาแต่กำเนิด ผมคิดว่าเขาอาจเป็นพวกวัตถุนิยมที่คิดว่าเอาอะไรแพงๆมาติดตัวแล้วคุณค่าความเป็นคนมันจะสูงขึ้นก็ได้ ตรงนี้ผมนึกหมั่นไส้เขาตะหงิดๆ ทั้งๆที่มันก็แค่การด่วนสรุปของผมไปเอง คล้ายกับว่าผมกำลังพยายามหาเหตุผลที่จะเกลียดหรืออะไรก็ได้ที่จะทำให้หมอนี่ดูแย่ลงในสายตาของผม
         พอการแสดงชุดแรกจบ ผมที่มัวแต่คิดวุ่นวายได้รับสุนทรียรสจากการฟังดนตรีไม่ได้เลย ต่างกับหมอนั่นที่ออกจะดูตื่นเต้นและชื่นชมการแสดงเอาเสียมากๆ จะว่าไปลุ๊ค (look) ของหมอนี่ก็ไม่ได้เข้ากับดนตรีไทยเสียเลย แต่แล้วนายนี่ก็พาผมไปถึงบางอ้อเป็นครั้งที่ 2 เมื่อเขาลุกขึ้นปรี่ไปหาหญิงร่างบางที่เพิ่งเดินลงจากเวทีพร้อมกับยื่นช่อดอกไม้ให้เธอ ถ้านี่เป็นนิยายหรือละครช่องมากสี ผมคงไม่คิดติอะไรกับมุกเดิมๆที่ไม่ค่อยประเทืองกรอบทางปัญญาของผู้อ่านผู้ชม แต่นี่คือชีวิตจริง พระเจ้า~ หนุ่มรูปงามกับสาวสวย ช่อดอกไม้ จังหวะ บรรยากาศ ทั้งหมดชวนให้ผมต้องเหลียวไปมองว่านี่เขามาถ่ายทำละครกันแถวนี้หรือเปล่า

         ทว่าหญิงสาวกลับฉีกดวงใจของชายหนุ่มเป็นชิ้นๆ ด้วยการเมินแล้วเดินไปรับช่อดอกไม้จากชายหนุ่มอีกคน ...
         แล้วภาพตรงหน้าผมทั้งหมดก็ดูช้าลง ชั่วครู่ที่ผมคิดไปว่าสายตาทุกคู่กำลังจับจ้องไปที่เขาและเธอ ตอนนี้ผมกลับรู้สึกเหมือนมีแค่ตัวเองที่เห็นเขา เห็นเหตุการณ์ทุกอย่างที่เกิดขึ้น ...

          ผมคิดตำหนิตัวเองที่คิดไม่ดีกับเขา และรู้สึกเห็นใจเขาอย่างบอกไม่ถูก บางทีเธอคนนี้อาจเป็นเหตุผลที่ทำให้เขาต้องนั่งตากฝนในวันนั้นก็ได้ ผมสังเกตเห็นเขาเดินออกจากงานไปอย่างเงียบๆพร้อมกับช่อดอกไม้ ผมอดใจไม่ได้ที่จะตามไปดูถึงเราจะไม่ได้เกี่ยวข้องกันก็ตาม ย่างก้าวที่ไม่สม่ำเสมอของเขาทำให้ผมรู้สึกว่าย่างก้าวของตัวเองหนักอึ้งไปด้วย


         วินาทีที่หมอนี่เดินชนผมพร้อมกับหัวใจที่เริงร่าราวกับมีความหวังในรัก วินาทีนี้เขาต้องเดินจากไปอย่างคนที่ไม่มีหัวใจ ความสุขในใจมันสั้นแค่นี้เองหรอ? แค่ช่วงเวลาที่เรามีหวัง ความสุขยังคุกรุ่นในหัวใจ แต่เมื่อความหวังจางไป ความสุขก็พลอยเลือนหายไปด้วย ผมรู้สึกกลัว “ความรัก” ขึ้นมาทันที การที่เราเลือกฝากความหวังหรือความรักไว้กับคนไหน คนๆนั้นจะเป็นผู้กำหนดความสุขของเราไปทันที
         ผมเห็นเขาเดินขึ้นรถสปอร์ต (sport) 2 ที่นั่งสีดำโดยมีดอกไม้ช่อนั้นวางอยู่ที่เบาะด้านข้าง เขาถอยรถแล้วขับออกไปอย่างรวดเร็ว ผมรู้สึกตัวอีกทีก็สงสัยว่านี่ผมมาเฝ้าหมอนั่นทำไม ยังไงเราก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันสักหน่อย แล้วทำไมผมต้องสงสารเขาด้วย วันนั้นผมกลับบ้านพร้อมกับอารมณ์ที่ขุ่นมัวเหมือนเมื่อวันนั้นไม่มีผิด จะมีวันไหนที่ผมเจอหมอนี่แล้วใจไม่ห่อเหี่ยวบ้างนะ


         คืนนั้นหลังจากทำภาระส่วนตัวเสร็จ ผมก็เข้ายูทูป เข้าไปที่เว็บเพจของเขา (webpage) ของเขา แล้วกดดูวีดีโอที่เขาร้องเพลงทีละเพลง ผมเพิ่งสังเกตว่าหมอนี่ชอบร้องเพลงที่อารมณ์สดใส สนุกสนาน หรือไม่ก็รักหวานๆโรแมนติก (romantic) ผมอมยิ้มกับตัวเองพลางคิดว่าพ่อหนุ่มโรแมนติกนี่ร้องเพลงได้ยอดแย่ทีเดียว แต่ถึงอย่างนั้น เนื้อเสียงของเขาก็ไม่ได้เลวร้ายอะไร เรนจ์เสียง (vocal range) ของหมอนี่กว้างพอตัวเลย อาจจะสัก 2.5-3 ออกเตฟ (octave) ถึงร้องเต็มเสียงไม่ได้เยอะ บางช่วงเสียงมีลมชัดเจนโดยเฉพาะช่องที่เชื่อมกับเสียงหลบ จะว่าไปหมอเสียงหมอนี่น่าจะอยู่ในช่วงเทอเนอร์ (tenor) ซะด้วย แต่เพราะเสียงของเขาไม่ได้รับการพัฒนาที่ถูกวิธี ผมจึงยังระบุประเภทเสียงของเขาละเอียดกว่านี้ไม่ได้ ทีแน่ๆคือตอนนี้เขาร้องเพลงได้ห่วย เพี้ยน และเมามาก สรุปคือหนุ่มอกหักคนนี้เป็นนักร้องมือสมัครเล่นเต็มตัว
         ผมสนุกกับการเที่ยวลงความเห็นตามวีดีโอของเขาไปเรื่อยๆ ผมก็จำไม่ได้หรอกว่าเขียนไปเท่าไรแล้ว แต่ก็มีทั้งติ ทั้งให้กำลังใจ บางทีก็พ่วงคำแนะนำเล็กๆลงไปด้วย แต่สุดท้าย อะไรไม่รู้ดลใจให้ผมพิมพ์ที่วีดีโอเพลงรักเพลงหนึ่งว่า “บางทีความรักก็ไม่สดใสอย่างที่เราคิด” ให้ตายเถอะ~ นาทีเดียวหลังจากนั้น ผมเพิ่งคิดขึ้นได้ว่าผมพิมพ์อะไรโง่ๆลงไป แล้วจะลบความเห็นได้ยังไงละนี่!!!



_คิม_ โพสต์ 2011-4-23 19:02:59

{:5_119:}{:5_135:} อิอิ....ไม่ต้องลบจร้า

yaifaiz โพสต์ 2011-4-23 20:37:36

เนื้อเรื่องดีๆแบบนี้ต้องปักหมุด {:5_119:}

sunet โพสต์ 2011-4-23 21:52:47

รู้สึกดีขึ้นมาบ้างแล้วช่ายมั้ยที่ด้ายระบายมันออกมา อะ{:5_116:}{:5_139:}

NaiNam โพสต์ 2011-4-24 11:37:01

ขอบคุณที่แวะเข้ามาอ่านกันครับ

เดี๋ยวไว้ผมจะเอาที่เขียนลงไดอารี่ไว้มาพิมพ์ลงในนี้ให้ ตอนนี้ทะเลาะกับแฟนอยู่ เพราะเขาเข้าใจผิด

ยังไงๆความรักก็ยังเป็นเรื่องเข้าใจยากสำหรับผมจริงๆ

ปล. ถ้าไม่ชอบสไตล์การเขียนของผมก็ขอโทษด้วยนะครับ แต่ที่ผมเขียนบรรยายเยอะเพราะ

(1) มาจากไดอารี่ที่เขียนระบายอารมณ์ของผมเอง
(2) สิ่งที่เกิดขึ้นผมยังจำภาพนั้นได้ชัด แต่ในรายละเอียดเล็กๆว่าโต้ตอบกันว่าอะไรบ้าง ผมเก็บไม่หมดจริงๆ จะมีอยู่ก็แค่ความรู้สึกข้างในเท่านั้น {:5_135:}

NaiNam โพสต์ 2011-4-24 11:40:03

ตอบกระทู้ _คิม_ ตั้งกระทู้

ตอนนั้นผมกลัวมากเยครับ กลัวว่าเขาจะรู้ว่าเป็นผม ที่จริงในไดอารี่ผมเขียนด่าตัวเองไว้เยอะมาก ว่าทำไมทำอะไรโง่ๆยังงี้ แต่ข้อความพวกนี้มันกลับเป็นส่วนหนึ่งที่สำคัญที่ทำให้คนที่ผมรักเขาหันมามองผมไปซะ จะเรียกว่าอะไรสักอย่างมันดลใจก็ได้มั้งครับ 55

NaiNam โพสต์ 2011-4-24 11:40:33

ตอบกระทู้ sunet ตั้งกระทู้

รู้สึกดีขึ้นครับ ขอบคุณที่เข้ามาอ่านนะครับ

NaiNam โพสต์ 2011-4-24 11:40:53

ตอบกระทู้ yaifaiz ตั้งกระทู้

ขอบคุณมากครับ {:1_1:}

NaiNam โพสต์ 2011-4-24 13:20:41

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย NaiNam เมื่อ 2011-4-29 15:02

3. สับสน
                ช่วงนี้สัปดาห์สอบกลางภาคกระชั้นเข้ามาทุกทีๆผมระอากับนิสัยเสียของตัวเองที่จะดองทุกอย่างไว้อ่านเอาสัปดาห์เดียวก่อนสอบซึ่งมันเป็นไปได้ยากมากที่จะจำให้ได้ดี แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ไม่เคยตกมีน (mean)นะ ดังนั้นวันหนึ่งของช่วงต้นเดือนธันวาคม ผมจึงตัดสินใจเด็ดขาดว่าจะ“ขัง”ตัวเองไว้ที่หอสมุดกลางของมหาวิทยาลัยทุกวันหลังเลิกเรียน และจะอนุญาตให้ตัวเองออกมาได้เฉพาะตอนกินข้าวเย็นไปเข้าห้องน้ำ จนถึง 2 ทุ่มค่อยกลับบ้าน แล้วผมก็ทำได้จริงๆทุกวันผมจะแอบซุกขนมไปนอนเกลือกกลิ้งบนชั้นที่เงียบที่สุด แล้วก็เล่นอินเตอร์เน็ต(internet) สรุปง่ายๆก็คือผมไม่ได้อ่านหนังสือสักเท่าไรหรอก
                จนวันที่ 12 ธันวา ขณะที่ผมเดินเลาะไปตามชั้นหนังสือมือข้างหนึ่งระไปตามหนังสือบนชั้น สายตากราดไปที่ชื่อหนังสือ แล้วผมก็สะดุดแทบล้มคว่ำเพราะมีขายาวๆของใครบางคนมาขัด แต่โชคดีที่ผมคว้าที่ชั้น รั้งตัวไว้ทัน ผมแทบหันไปต่อว่าด้วยความโมโหทว่าสายตาผมก็จับภาพใบหน้าที่คุ้นเคยนั้นได้ เจ้าของขานั่นคือไอ้ตี๋โรแมนติกนั่นเองลมหายใจผมหยุดไปชั่วขณะโดยไม่มีเหตุผล
               ข้อความที่ผมชุ่ยเขียนลงไปในยูทูปดังก้องในหัวผมว่า“บางทีความรักก็ไม่สดใสอย่างที่เราคิด”ใจผมเต้นรัว ผมอยากย่องออกไปจากตรงนั้นแล้วแต่ตาของผมยังคงจับจ้องที่ใบหน้าเรียวๆของเขาไม่ละ ผมต้องปลุกตัวเองด้วยการส่ายหัวเล็กน้อยก่อนจะลดมือที่เกาะชั้นหนังสือลง
               แต่มือเจ้ากรรมก็ดันทำหนังสือที่อยู่บนชั้นส่วนหนึ่งล้มระเนระนาดออกมาสองมือผมคว้ารับหนังสือที่ตกลงมาเป็นระวิง ก่อนที่จะมีมืออีกคู่ปรากฏขึ้นข้างตัวผมเสียงทุ้มของเขาบอกผมเบาๆว่า
“หนังสือตกจากชั้นงี้ต้องเอาไปวางไว้ที่จุดพักครับ เรียงเองไม่ได้ ตัวเลขหนังสือมันรัน(run)มั่วแล้ว”
                ใจผมหล่นวาบไปที่ตาตุ่ม ผมได้ยินเสียงเต้นของหัวใจตัวเองและเสียงของอีกลมหายใจที่ไม่ใช่ของผมอยู่ข้างๆ ผมรวบรวมสติโดยไม่มองหน้าเขาแล้วพูดขึ้นว่า
                “ขอโทษครับ เดี๋ยวผมจัดการเอง”น้ำเสียงผมตะกุกตะกักราวกับเด็กที่กำลังสารภาพผิดกับครูไม่มีผิด
                “ไม่เป็นไร ช่วย”น้ำเสียงนั้นห้วนและราบเรียบ แต่ผมกลับรู้สึกร้อนผ่าวไปหมด (ให้ตายเหอะ!)
                ผมพูดไม่ออก แต่ก็พยักหน้ารับแล้วรีบก้มหน้าผมตาคว้าหนังสือที่กระจัดกระจายที่พื้น กองเป็นตั้งแล้วยกขึ้นมา แต่ตอนที่ผมลุกขึ้นนั้นผมก็ไม่ทันสังเกตว่ามีแขน 2 ข้าง กำลังเก็บหนังสือบนชั้นอยู่ จึงกลายเป็นว่าผมสอดตัวเข้าไปในอ้อมแขนคู่นั้นขมับซ้ายของผมสัมผัสเข้ากับบางสิ่งที่อ่อนนุ่ม ลมหายใจของเขาปะทะที่ไรผมของผมเบาๆ จมูกผมได้กลิ่นน้ำหอมอ่อนๆจากอกเสื้อของเขาก่อนที่ทั้งผมและร่างสูงของอีกฝ่ายจะผละออกจากกันด้วยความตกใจ และสำหรับเขาอาจจะมีปนความขนลุกด้วยก็ได้เสี้ยววินาทีนั้นผมชิงขอโทษขอโพยยกใหญ่ พลางเก็บหนังสือ หอบใส่แขนสองข้างแล้วรีบเดินออกมาทันที
                หัวผมมีแต่เสียงตำหนิตัวเองไม่หยุดไอ้โง่เอ้ย ไอ้บ้า ซุ่มซ่าม ไอ้ ฯลฯ แต่ความรู้สึกที่แลบแล่นอยู่ข้างใน และแรงที่ดันอกข้างซ้ายของผมให้กระเพื่อมไม่เป็นจังหวะนั้นคืออะไรผมในตอนนั้นยังตอบกับตัวเองไม่ได้ อาจเป็นความรู้สึกผิด อับอาย ขายหน้าหรือว่าอะไรสักอย่าง แต่ผมไม่มีเวลาหาคำตอบหรอก วินาทีนั้นจะทำยังไงให้สถานการณ์มันคลี่คลายไปสักทีผมอยากหลบหน้าของคนที่ทำให้ผมรู้สึกแบบนี้
                ร่างสูงเดินเอาหนังสือที่เหลือตามมาวางที่จุดพักเช่นเดียวกับผมหากผมเดินไปเฉยๆคงเสียมารยาทแต่ผมก็ไม่รู้ว่าควรจะพูดอย่างไรดีกับเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นวันนี้ แต่ปากผมกลับไวกว่าความคิด
                “ขอโทษ” ผมหยุดครู่หนึ่ง “แล้วก็...ขอบคุณ...ครับ” ผมชั่งใจไม่ถูกว่าควรขอโทษเขาดีหรือขอบคุณดีเลยพูดมันทั้ง 2 อย่าง
                เจ้าของริมฝีปากที่สัมผัสขมับข้างซ้ายของผมพยักหน้ารับเล็กน้อยคล้ายเป็นสัญญาณว่าผมควรเดินออกไปจากเขาได้สักที ผมจึงรีบเก็บกระเป๋าแล้วเดินออกจากหอสมุดทันทีโดยไม่คิดถึงเรื่องอะไรอีกแล้ว

               ใจผมขุ่นมัวอย่างบอกไม่ถูกช่วงเวลาไม่กี่นาที อารมณ์ผมพลิกไปมาวุ่นไปหมด ทีแรกผมจะโกรธเขาที่ทำผมแทบล้มคว่ำต่อมาผมก็กลัว แล้วก็รู้สึกผิด ไหนจะไอ้สิ่งที่มันคั่งค้างทำผมปั่นป่วนนั่นอีก จากวันนี้ ผมคิดว่าคงไม่มาอ่านหนังสือที่หอสมุดกลางนี่อีกแล้วพอกันที เรื่องเรียนก็ไม่ได้ ยังต้องมาเจอเรื่องวุ่นๆ ที่ทำให้ผมรู้สึก “แย่” อีก
                สมัยนี้เขาเรียกว่า “เหวี่ยง” ใช่มั้ย? เอาละผมจะเหวี่ยงบ้างละเหวี่ยงเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้น ผมจะไม่ไปยุ่งกับเขาอีกไม่ว่าเรื่องอะไรผมบอกกับตัวเองอย่างนั้น พร้อมกับเสียงหัวใจที่ตอบรับเป็นจังหวะว่า “ตึก ตึก... ตึกตึก... ตึก ตึก...”

             คืนนั้นผมนอนไม่ค่อยหลับความทรงจำของไม่กี่ชั่วโมงก่อนหน้าผมมันยังรบกวนสมองของผมตลอดผมแอบฝันไปว่าถ้าฉากวันนี้เป็นอย่างในภาพยนตร์รักโรแมนติก นางเอกคงยืนอยู่ด้านหนึ่งของชั้นหนังสือและพระเอกก็อยู่อีกด้านทั้ง 2 หยิบหนังสือเล่มเดียวกัน แล้วสบตากันผ่านช่องหนังสือ

เอ้ย~ นี่ผมกำลังคิดอะไรอยู่ ผมลุกขึ้นมาราวๆตี 2พร้อมกับคำถามนี้ ก่อนที่จะเขียนหนังสือตัวโตๆใส่ไดอารี่ของผม คล้ายกำลังคัดตัวอักษรแบบเด็กประถมฯว่า “ห้ามชอบไอ้ตี๋นั่นเด็ดขาด”และวันนั้นผมก็ภาวนาในใจอย่างนั้นไปจนหลับไปจริงๆ

rubrub โพสต์ 2011-4-24 16:14:37

ชอบมากคับ

แล้วมาลงอีกนะคับ

sunet โพสต์ 2011-4-24 19:51:33

นี่เปนประสบการจริง จะด้ายเก็บเปนแนวทางชีวิตต่อไป อะ
ม่ายรู้จะพูดคำว่าขอบคุนกี่พันครั้ง ถึงจะสาสมกับคุน{:5_116:}

sunet โพสต์ 2011-4-24 19:52:41

สู้ ๆๆๆๆๆต่อไป นะครับ   ผมคนหนึ่งละจะเปนกำลังจัย หั้ยสู้โว้ย {:5_136:}

NaiNam โพสต์ 2011-4-25 00:04:48

@ rubrub - ขอบคุณที่เข้ามาอ่านครับ แล้วผมจะนำมาลงเรื่อยๆครับ

@ sunet - ครับผม ผมอยากบอกคุณ sunet ว่าเรื่องของผมมันจะเนือยๆแบบนี้ไปตลอดละครับ แล้วผมก็จะอยู่ในสภาพน่าอึดอัดอย่างนี้ไปอีกหลายเดือน ความจริงผมกับแฟนเพิ่งคบกันได้ไม่นานเลย แต่มันก็เพราะสาเหตุหลายๆอย่างด้วย เรื่องของผมมันน่าเวียนหัวกว่าที่คิดเยอะครับ เหมือนมีทั้งแรงดึงและผลักระหว่างผมกับเขาอยู่ตลอด จะว่าไปแล้ว ผมก็ไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่าผมกับเขาเคยลงเอยกันรึเปล่า T . T

NaiNam โพสต์ 2011-4-29 13:59:31

4. อุบัติเหตุ
                     ผมไม่ได้แวะมาลงเรื่องของผมต่อมาหลายวัน เพราะแฟนของผมที่เพิ่งคืนดีกัน พาผมไปเที่ยวต่างจังหวัดมา 2 วัน สำหรับคนที่ติดตามอยู่ ผมต้องขอโทษด้วยครับ

                     จากคืนวันนั้นที่ผมได้แต่พยายามข่มตาและเสียงภาวนาในใจว่าผมจะไม่ชอบเขา ผมไม่ได้หลอกตัวเองนะครับ ผมเริ่มแน่ใจว่าผมชอบเขาจริงๆ และผมไม่ได้ปฏิเสธตัวเองว่าเป็นเกย์นะ ผมยอมรับว่าผมชอบผู้ชาย แต่ผมไม่เคยรักใคร ผมใช้คำว่า “รัก” นะครับ ไม่ใช่ “ชอบ” ปีหนึ่งๆผมอาจมีคนที่ผมชอบและปลื้มใครต่อใครอยู่ห่างๆหลายคนก็จริง แต่พูดตรงๆ ผมไม่เคยเข้าไปข้องแวะกับเขา ชอบคือชอบ แต่อยู่ห่างๆ ผมอาจอ่อนแอเกินไปที่จะทำตามความรู้สึกของตัวเองก็ได้ แต่กรณีของหนุ่มตี๋คนนี้มันต่างไปกว่านั้น เขาชอบผู้หญิง และคงไม่ชอบหน้าผมด้วย
                     ทุกวันผมจึงไปนั่งอ่านที่ห้องสมุดคณะแทน แต่ทุกครั้งที่ผมเห็นชั้นหนังสือ ผมก็อดคิดถึงเขาไม่ได้ ซึ่งมันทำให้ผมหงุดหงิด ผมโกรธตัวเองอย่างไม่มีเหตุผล ... คุณคงเข้าใจดี ... ก็ผมมันไม่เคยมีเหตุผลมาตั้งแต่แรก ทั้งๆที่ผมกับเขาไม่เคยรู้จักกันเลย แต่เรื่องของเขากลับรบกวนหัวใจผมได้ขนาดนี้... แต่ใช่ครับ เวลาช่วยได้มาก แต่ละวันที่ผ่านไปผมคิดถึงเขาน้อยลงๆ ผมใช้เวลาให้กับเรื่องเรียน เรื่องกิจกรรมเพิ่มขึ้น ผมเริ่มแวะเวียนที่ชมรมที่ร้อยวันพันปีก็ไม่เคยเข้าทั้งๆที่ลงชื่อไว้ ผมเริ่มช่วยงานเขียนวารสารของคณะ เริ่มรับสอนพิเศษ และผมก็รู้สึกดีที่ทุกอย่างกำลังราบรื่น แค่เวลา 2 สัปดาห์ เขาก็จางหายไปใจผมแล้ว
                     เมื่อสอบกลางภาคเสร็จสิ้น ผมกับเพื่อนๆก็ไปฉลองกันที่ร้านซิสเลอร์ (Sizzler) เพราะพวกเรามากและสนิทกัน บทสนทนาเล็กๆ เลยเริ่มกลายเป็นเสียเอะอะ ใจนึงผมก็สนุก อีกใจผมก็อายๆ เลยทำทีเป็นลุกไปหาอะไรกินที่สลัสบาร์ (Salad Bar) เลือกน้ำสลัดอยู่พักนึง ก่อนจะเดินดูผัก แล้วผมก็เจอเขาเดินสวนมา ผมนึกได้ 2 อย่างคือ ผมเดินผิดทาง เพราะคนปกติเขาไปดูผักก่อนแล้วค่อยตักน้ำสลัด และโลกนี้มันกลมกว่าที่ผมคิด แล้วคุณนึกสภาพออกไหมครับ เวลาที่คุณเจอคนที่ไม่อยากเจอ และไม่คาดว่าจะเจอแบบจังๆ แถมผมยังยืนขวางทางเขาอยู่ ผมเดินเลี่ยงซ้ายพอดีกับที่เขาขยับหลบมาทางขวา (ของเขา) ผมเลยเลี่ยงไปอีกด้าน เขาก็ขยับเหมือนกัน กลายเป็นหลบไปทางเดียวกันถึง 4 หน จนเขาเอามือข้างหนึ่งมาจับไหล่ให้ผมอยู่เฉยๆ
                     “ขอโทษครับ” ผมรีบเอ่ยปากทันที
                     “ทำไม เจอกันทุกครั้ง ถึงต้องขอโทษผม” เขาวางจานลงที่บาร์ คิ้วหนาของเขาขมวดลงเล็กๆ ท่าทางเหมือนไม่สบอารมณ์
                     “หา~” ผมอุทานขึ้นงงๆ นี่เขากำลังว่าผมใช่ไหม แล้วผมจะตอบว่ายังไงดี ผมรู้สึกร้อนวูบๆที่ใบหน้า
                     “ขอโทษ” ผมพูดแล้วเดินกลับโต๊ะ หน้ามุ่ย อารมณ์บูดสุดๆ
                     “น้ำกินมะเขือเทศกับน้ำสลัดหรอ” เกมส์ เพื่อนข้างๆผมพูดขึ้น พลางมองที่จานสลัดของผม
                     “อ๋อ เออ...อร่อยดี” ผมตอบ พลางค่อยๆเหลือบมองไปตามโต๊ะว่าหมอนั่นนั่งอยู่แถวไหน
                     “มองหาใคร” เกมส์ถาม
             “เปล่า มองหานาฬิกาว่ากี่โมง” ผมพูดปัดไปอย่างงั้นๆ
                     เกมส์ถลกแขนเสื้อยื่นให้ผมดู พลางถามว่า “รีบไปไหน” ผมส่ายหน้า แล้วหันมาสนใจกับวงสนทนาบนโต๊ะ ใจผมยังเต้นแปลกๆอยู่ แต่มันไม่แรงเหมือนครั้งที่แล้ว ผมยังข่มใจได้ พยายามเตือนตัวเองในหัวว่าผมจะไม่ชอบเขา ไม่มีเหตุผลที่ผมต้องหนีไปไหนอีก ผมกำลังสนุกอยู่กับเพื่อนๆ และไม่มีวันให้หมอนั่นมาทำช่วงเวลาฉลองของผมล่มแน่ๆ และก็นับเป็นโชคที่ผมไม่เจอเขาอีก
                     พอฉลองเสร็จราวทุ่มครึ่ง ผมก็เดินออกจากห้างเพื่อไปขึ้นรถไฟฟ้า ผมมองซ้ายมองขวาก่อนรีบวิ่งข้ามถนน แล้วเรื่องที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ทันทีที่ผมข้ามไปจนถึงอีกฝั่งถนน รถที่จอดอยู่ริมฟุตบาตก็เคลื่อนตัวออกมาอย่างรวดเร็ว ผมได้ยินเสียง “กร๊อบ” แล้ววูบเดียวนั้น ผมร้าวจากเท้าซ้ายขึ้นมาทั่วตัว ผมทรุดลง ไม่มีเสียงใดๆ หูผมอื้อมาก ความเจ็บปวดตรงนั้นมันเกินบรรยาย ความเจ็บที่ผมกลัวว่าหากผมร้องออกไปมันจะทำให้อะไรๆในตัวผมมันกระเทือน ผมแทบไม่มีสติเลย ได้ยินเสียงเอะอะราวกับเสียงบนโต๊ะอาหารอยู่รายล้อม ก่อนจะมีคนอุ้มผมไปก่อนผมจะหมดสติไป
                     เสียงโทรทัศน์ปลุกผมให้ตื่นอีกครั้งราวๆตี 3 กว่าๆ ในห้องมืดๆ พร้อมกับความรู้สึกคล้ายกับฝันไป ร่างกายรู้สึกตัวใหญ่ๆ บวมๆพิกล ก่อนที่ผมจะตระหนักได้ว่าตัวเองกำลังนอนอยู่บนเตียงมีสายน้ำเกลือติดแขนอยู่ ผมเพิ่งสังเกตว่าเท้าข้างซ้ายของผมเข้าเฝือกแน่นหนา ผมนึกไม่ออกว่าตัวเองมาที่นี่ได้ยังไง แล้วมันเกิดอะไรขึ้นกับผมกันแน่ ผมพยายามเรียบเรียงเหตุการณ์ในหัว สายตาพลางสอดส่องไปในห้องว่างๆที่ไม่มีคน ทันใดนั้นก็มีร่างของคนๆหนึ่งตะคุ่มๆ ผมเพ่งสายตามองโดยอาศัยแสงของโทรทัศน์ เห็นร่างสูงๆของใครสักคน
             ร่างตะคุ่มๆนั้นเดินไปเปิดไฟ ก่อนที่จะหันมาสร้างความประหลาดใจให้กับผมพร้อมกับเสียงทักทายว่า “เป็นไง ฟื้นแล้วหรอ”
                     “ครับ” ผมหยุดเล็กน้อย ด้วยความประหลาดใจว่าไอ้ตี๋หมอนี่มาอยู่ที่นี่ได้ยังไง ก่อนจะถามว่า “มันเกิดอะไรขึ้น”
                     หมอนั่นเดินมาที่ข้างเตียง แล้วนั่งลงที่เก้าอี้โดยไม่มองหน้าผม ก่อนบอกว่า “ไอวิทย์ มันขับรถเหยียบเท้าซ้ายคุณ กระดูกแตกละเอียด คุณคงพิการ”
                     “หา” ผมอุทานเสียงดัง ทั้งตกใจและใจหาย สายตามองไปที่เฝือกที่ครอบเท้าซ้ายผม แต่ก็ไม่กล้ากระดิกมันสักนิด ก่อนที่หมอนั่นจะหัวเราะอย่างพอใจ แล้วเอามือจับที่ไหล่ผมพลางบอกว่า
                     “กระดูกหัก 3 ท่อน หมอบอกอีก 3-4 เดือนถึงหาย ไม่พิการหรอก”
             หนอย! ไอ้นี่ ชักจะกวนเกินไปแล้วนะ แต่เดี๋ยวก่อนเรื่องมันเป็นยังไงกันแน่ “ไอ้วิทย์” คือใคร แล้วผมต้องอยู่โรงพยาบาลอีกนานแค่ไหน? แล้วมีใครที่บ้านผมรู้เรื่องแล้วรึยัง? ในหัวผมมีแต่คำถามเต็มไปหมด แต่ใบหน้าระรื่นตรงหน้าผม มันชวนให้ผมทิ้งความกังวลใจพวกนั้นไป .... ด้วยความหมั่นไส้

yamnano โพสต์ 2011-5-3 03:31:52

จะมีตอนต่อไปหรือเปล่าครับ??

Solitaire โพสต์ 2011-5-9 01:00:14

ขอบคุนครับ อิอิ

2A-1 โพสต์ 2011-8-3 19:48:09

เห้ย~ เจอกระทู้นี้แล้ว แต่ก่อนผมใช้ log in นี้ แต่ลืมรหัสไปเลยสมัครใหม่ ยังมีคนอยากอ่านเรื่องของผมอีกไหมนะ {:5_140:}

เหล้า โพสต์ 2011-8-4 00:54:28

ภาษาของคุณสวยและประณีตมากครับ......นี่แหละบทความพรรณนาเลยล่ะ.....

มุมมองสวยงาม......ต่อไปนะครับ

Tedap โพสต์ 2018-2-13 21:23:13

ขอบคุณครับ
หน้า: [1] 2
ดูในรูปแบบกติ: รักเย็นๆของคนธรรมดาๆ