เริ่มด้วยใคร่ ลงท้ายด้วย..? 5 (75%)
V ( 75% )น่ารำคาญ
เราถอนหายใจรู้สึกอึดอัดทั้งที่บริเวณที่เรานั่งนอกจากเราแล้วก็มีเพียงผู้หญิงใส่แว่นดูคงกระพันเรื่องการเรียนอยู่คนเดียวเท่านั้น ซึ่งผู้หญิงคนนั้นก็นั่งเยื้องอยู่ข้างหน้าไปอีกสัก 2 แถวโต๊ะเห็นจะได้
ไม่หรอก เราไม่ได้อึดอัดเพราะเธอคนนั้น แต่เป็นเพราะสายตาสอดรู้สอดเห็นของหลายๆคนในคลาสต่างหาก ดูก็รู้ว่าข่าวเรื่องเรากับเจเจอร์คงแพร่กระจายราวกับเชื้อระบาดไปเรียบร้อยแล้ว ...อืม นกรู้พวกนี้ทำงานกันไวดีเหมือนกัน ทั้งที่เรื่องมันเกิดขึ้นแค่ชั่วข้ามคืนผ่านมาเท่านั้น
จะว่าเรื่องความอยากรู้อยากเห็นของคนนั้นน่ากลัว ก็คงจะอย่างนั้นมั้ง แต่สำหรับเรา.... เรากลับมองว่ามันตลกดีมากกว่า คิดดูสิ คนคนหนึ่งจะมีความอยากรู้เรื่องของคนอื่นได้มากมายขนาดไหนกัน? คนพวกนี้ตีโจทย์เรื่องความอยากรู้อันไม่มีที่สิ้นสุดของมนุษย์แตกละเอียดเสียยิ่งกว่าเรื่องเรียนที่เป็นหน้าที่หลักของอนาคตของชาติซะอีกนะ
ข่าวลือแพร่สะพัดยิ่งกว่าไฟลามทุ่ง ไม่รู้หรอกว่าคนพวกนั้นสรรหาอะไรมาลือกันเพราะไม่ได้สนใจสักเท่าไหร่ แต่มีเรื่องหนึ่งที่รู้สึกตลกที่สุดตอนได้ยินคนในเซคชั่นพูดกันถึงข่าวที่ถึงกับลงในหนังสือพิมพ์ของมหาวิทยาลัยเลยก็คือ...
‘เจเจอร์วิวถึงคราวรักร้าว! มือที่สามเริดหน้าเข้าไปป่วนคู่รักสุดฮอตถึงงานวันเกิดหนุ่มเจร์เมื่อคืนวาน เจเจอร์ถึงกับซึมซัดน้ำเมาเป็นลิตรๆย้อมใจไม่หลับไม่นอนจนเกือบหมดหล่อเพราะถูกคนรักสุดร้อนแรงสะบัดรักต่อหน้ามือที่สามและคนที่ไปร่วมงานวันเกิดอีกนับสิบ!!’
เรากลั้นขำจนน้ำตาคลอ ทั้งที่พยายามแทบตายที่จะไม่หัวเราะออกมากับความคิดอันโง่เง่าของคนเหล่านั้น พวกเขากลับคิดว่าเราเสียใจเรื่องของเจเจอร์จนปล่อยโฮกลางห้องเรียนซะอย่างนั้น และเพราะต้องการให้เราได้ทำใจจึงไม่มีใครกล้าเข้ามานั่งใกล้เราในระยะโต๊ะเรียนตัวยาวสองตัวทั้งหน้าและหลังเลยตลอดคาบเรียน
เราเองก็อยากจะซึ้งใจในความหวังดีของพวกเขาหรอกนะ เพียงแต่ว่าเรื่องพวกนี้มันจี้เส้นจนเกินไป
เรากับเจเจอร์เคยรักกันที่ไหน? ไม่เคยบอกเลยด้วยซ้ำว่าคบกันในฐานะคนรักแค่ควงกันไปไหนมาไหนคนก็ตีตนไปก่อนไข้คิดกันเองเสียแล้ว ยังเรื่องมือที่สามที่ไม่มีใครออกมายืนยันตัวตน ไหนจะเรื่องที่ว่าเจเจอร์ซึมถึงขั้นนอนไม่หลับอีก
มันบ้ามากที่มีคนเชื่อเรื่องปรุงแต่งพวกนั้นอยู่เยอะพอสมควร
....ทั้งที่เป็นเรื่องตลกที่หามูลความจริงไม่ได้เลยแท้ๆ
.
.
โตยธารเลิกเรียนช้ากว่าเราครึ่งชั่วโมง ยังเหลือเวลาอยู่อีกครึ่งชั่วโมงกว่าๆ เมื่อไม่รู้ว่าจะไปรอที่ไหนเราเลยเลือกที่จะไปนั่งรออีกฝ่ายอยู่ในร้าน‘นมนม’ซึ่งเป็นร้านนั่งเล่นขนาดเล็กข้างคณะของเขาเพื่อฆ่าเวลา ไม่รู้หรอกว่าถ้าเขาเลิกเรียนแล้วจะชวนไปไหนต่อดี ไม่ได้คิดเอาไว้ล่วงหน้าเพราะตัวเราเองก็ไม่ใช่นักเที่ยวตัวยง
ที่ผ่านมาก็มีแต่คนพาไปตลอดไม่เคยต้องไปไหนมาไหนเอง ส่วนที่ที่เคยไปที่พอจะใช้ได้เราก็จำไม่ได้แล้วว่ามันอยู่ตรงไหนและไปยังไง
อืม.... เพิ่งรับรู้ว่าตัวเองความจำสั้นกว่าที่คิด
แต่มันก็เป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ล่ะนะ ถึงจะจำภาพบรรยากาศของสถานที่นั้นๆได้เราก็ไม่อยากจะเอาเวลาไปเสี่ยงเพื่อตามหามันอยู่ดี
“ขอโทษนะครับ”
เราชะงักมือที่กดพิมพ์ข้อความส่งบอกโตยธารให้เขารู้ว่าตอนนี้เราอยู่ตรงไหน เงยขึ้นมองตามเสียงข้างต้นเล็กน้อยเมื่อไม่เห็นว่าน่าสนใจเราก็ก้มหน้าพิมพ์ข้อความต่อจนเสร็จพร้อมกดส่ง ยกแก้วนมสดร้อนขึ้นจิบนิดหน่อยอมยิ้มน้อยๆเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายตอบข้อความกลับมาเร็วกว่าที่คิด
- ตกลงตอนไหนว่าผมจะไปด้วย? -
“หึ..”
“ขอโทษนะครับ”เสียงนั้นเข้มขึ้นกว่าเดิมเราส่งข้อความตอบกลับเสร็จพอดีเลยเงยหน้าขึ้นมองอีกครั้ง
ชายหนุ่มร่างสูงในชุดไปรเวทเสื้อโปโลสีอ่อนกางเกงยีนส์สีเข้มเข้ารูปยืนส่งยิ้มเป็นมิตรมาให้แต่ดวงตาคู่คมกลับมองสำรวจเรา ไม่ได้จาบจ้วงแต่ก็ไม่ได้ปิดบังว่ารู้สึกอย่างไรเช่นกัน เห็นความพึงพอใจในแววตาคู่นั้นเล็กน้อย.... มือเรียวขยับเลื่อนเก้าอี้ในขณะที่สายตายังคงจับจ้องมองเราไม่ละไปไหน
“ขอนั่งด้วยคนได้ไหมครับ?”
เราเงียบ ไม่ใช่ว่าไม่เข้าใจว่าผู้ชายคนนี้ต้องการอะไร แน่ล่ะในเมื่อเขาแสดงออกชัดเจนขนาดนี้ให้เด็กอนุบาลดูยังดูออกเลย ถึงเขาจะดูดีแต่เราก็ไม่คิดที่จะสานต่อไมตรีนั้นอยู่ดี ที่เราทำคือการก้มหน้าเล่นมือถือต่อไม่สนใจชายแปลกหน้าอีก
แต่ก็พอจะรู้สึกตัวว่าเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามที่เคยว่างเปล่ากลับไม่ได้ว่างเปล่าอีกต่อไป
ถ้าจะถามกันทั้งที่ไม่คิดฟังคำตอบแล้วจะถามทำไมตั้งแต่แรก?
“เรียนอยู่คณะนี้เหรอครับ? เอ... แต่จะว่าไปก็ไม่เคยเห็นหน้าเลยแฮะ หรือว่ามานั่งรอใครเอ่ย?”
“รำคาญ...”
“ครับ?”
ก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมหลายคนที่เข้าหาถึงได้ชอบสรรหามุกจีบที่ฟังดูเหมือนกับจะไปจีบเด็กประถมซะมากกว่าแบบนั้นมาใช้กับเราอยู่เรื่อย หรือหน้าตาเราชวนให้คิดว่าคงจะชอบความนุ่มนวลหรือน้ำเสียงทุ้มอ่อนโยนชวนฝันอะไรอย่างนั้นหรือไงนะ?
เราละสายตาจากโทรศัพท์เงยหน้าขึ้นเอียงคอน้อยๆมองคนถือวิสาสะทั้งที่ไม่ได้รับอนุญาตแล้วส่งยิ้มหวานให้จนอีกฝ่ายคล้ายจะชะงักอึ้งไป.....
.
.
“ถ้าอยากนั่งก็นั่งไปเงียบๆสิ เราไม่ชอบคนพูดมากมันน่ารำคาญ”
“...”
ออกจะขำนิดหน่อย
...อันที่จริงก็ไม่นิดสักเท่าไหร่ ดูเหมือนอีกฝ่ายจะเข้าขั้น‘ช็อค’ไปแล้วเรียบร้อย ก็ไม่ได้ผิดไปจากที่คิดนัก พอตั้งหลักได้เขาก็ละล่ำละลักขอตัวซึ่งเราก็ไม่ได้คิดที่จะรั้งเอาไว้อยู่แล้ว
“วิว? น้องวิวจริงๆด้วย มาหาไอ้เจร์เหรอ”
จะต้องให้ถอนหายใจทิ้งอีกกี่ครั้งกันนะ....
“เปล่า”
“อ อ้าว.....”
เราลุกขึ้นยืนเพราะจ่ายเงินตอนสั่งเครื่องดื่มแล้วเลยไม่ต้องเสียเวลาเดินไปที่เคาน์เตอร์แคชเชียร์อีก เราเดินผ่านร่างสูงของรุ่นพี่ที่น่าจะเป็นเพื่อนคนหนึ่งของเจเจอร์ออกจากร้านโดยไม่คิดที่จะเอ่ยลา ไม่เห็นจำเป็นในเมื่อเราไม่ได้รู้จักกับเขาเป็นการส่วนตัวอะไรอยู่แล้ว
“ไปกันเถอะ”เราคว้ามือเรียวทันทีที่เดินถึงตัวร่างโปร่ง โตยธารดูเหรอหราเล็กน้อยมือเรียวพยายามจะดึงมือออก
แต่เราไม่ปล่อยซะอย่างเขาก็ทำอะไรไม่ได้อยู่แล้วล่ะ
“จะพาไปไหน บอกไว้ก่อนเลยนะถ้าเป็นอย่างคราวนั้นผมไม่ไปด้วยแน่นอน”
เขาคงจะหมายถึงเมื่อวานที่เราลากเขาไปโดยที่ไม่มีจุดมุ่งหมายล่ะมั้ง ถึงแม้ว่าสุดท้ายจะไปจบกันอยู่ที่ห้องสมุดก็เถอะ “ไปเดทกัน”
“เดท?”
“อื้อ คนคบกันเขาก็ต้องไปเดทกัน... เราเข้าใจไม่ถูกต้องเหรอ?”เอียงคอขมวดคิ้วน้อยๆ ส่วนโตยธารนั้นเงียบไป
“ไปตกลงคบด้วยตอนไหนกัน...”
“แต่ก็ไม่ได้ปฏิเสธนี่หน่า เพราะงั้นวันนี้เราไปเดทกันเถอะ”เรายิ้มจนตาหยี เหมือนตัวเขาเองก็จนใจจะเถียงต่อหรือไม่ก็คงจะเหนื่อยใจเพราะคงรู้ว่าไม่ว่ายังไงเราก็ต้องลากเขาให้ไปด้วยกันจนสำเร็จอยู่ดี
“แล้วจะไปไหนล่ะ?”
เราทำเป็นหยุดคิดเล็กน้อย ....
“เราให้น้ำเลือกแล้วกัน”
อยากรู้ ..ว่าคนอย่างโตยธารจะพาเราไปเที่ยวที่ไหน มันน่าสนุกดีกับการได้คาดเดาความคิดของอีกฝ่าย ดูเผินๆแล้วโตยธารอาจดูเหมือนคนที่มักจะถูกคนอื่นอ่านออกได้ง่ายๆ แต่เรากลับไม่คิดว่ามันเป็นอย่างนั้น
จากความรู้สึกของเรา.....
คนคนนี้ยังมีอะไร‘มากกว่า’ที่ตาเห็น
.
.
“ไหนบอกว่าให้ผมเป็นคนเลือกไง ผมก็เลือกแล้ว..ฮะๆ อะแฮ่ม!......”
บางทีมันก็ไม่ทันแล้วหรือเปล่า? อยากจะหัวเราะก็หัวเราะไปเลยสิ... อย่างที่คิดเลย คนคนนี้น่ะ.....
.....เป็นมากกว่าที่ตาเห็นจริงๆนั่นหละ
“เอาหน่า ไหนๆก็มาถึงนี่แล้ว ไปทำบุญกันเถอะเพราตา”
เราเดินตามแรงกระตุกที่มือไปก็ไม่เชิงว่าว่าง่ายหรอก ตอนนี้เรารู้สึกเบลอๆมากกว่า มองลงไปยังมือที่ถูกกอบกุมเอาไว้ด้วยมือเรียวของอีกฝ่ายนิ่งๆ... ก่อนที่จะหลุดยิ้มออกมา
โตยธารพาเรามาที่วัดแห่งหนึ่ง ไม่รู้หรอกว่าชื่อวัดอะไรรู้แค่ว่าต้องนั่งเรือข้ามฟากมาจากตลาดน้ำที่อยู่อีกฝั่ง มันก็ไม่ได้ไกลอะไรมากแต่จากมหาลัยก็นั่งรถหลายต่ออยู่เหมือนกัน เอาเถอะ....เขาขยันพาเรามาเราก็จะขยันไปกับเขาด้วยแล้วกัน อันที่จริง
มันก็ไม่ได้เลวร้ายสักเท่าไหร่นักหรอก
“ผมไม่ได้มาทำบุญนานแล้วนะ ตั้งแต่เข้าเทอมสองของปีสองได้ล่ะมั้ง”
เราหันกลับไปมองเสี้ยวหน้าของคนที่ยืนให้อาหารปลาอยู่ข้างๆกันเล็กน้อยแล้วหันกลับไปมองปลาตัวโตที่ไม่รู้สายพันธุ์แย่งกันกัดกินขนมปังในน้ำ เงียบไปสักพักเราก็พูดขึ้นมาบ้าง
“ตั้งแต่เกิดนี่เป็นครั้งแรกที่เราได้เข้าวัด”หันไปเห็นสีหน้าคล้ายจะอึ้งไปของเขาก็ต้องหลุดขำออกมาเบาๆ “เรานับถือคริสต์น่ะ แต่ก็ไม่ได้เคร่งอะไรมากนักหรอกนะ”
“อ้อ...”
“และนี่ก็เป็นครั้งแรกเลยด้วยที่คู่เดทพาเรามาทำบุญ แปลกดีเหมือนกัน”
“แล้วปกติ ..ไปไหนกันล่ะ?”
เรายิ้มพลางขยับเข้าใกล้ร่างโปร่งมากขึ้นกว่าเดิม เขย่งน้อยๆพร้อมกระซิบตอบด้วยเสียงกระเส่าข้างหูจนหูขาวๆเริ่มเปลี่ยนสีเป็นชมพูระเรื่อพอกันกับใบหน้า ปากบางเม้มเมื่อเราจงใจแตะริมฝีปากเฉียดติ่งหูของเขาเบาๆ
“คนทะลึ่ง อยู่ในวัดในวาหัดสำรวมหน่อยสิ ....บ้าจริงๆ”
เราถอนหายใจแต่ครั้งนี้ไม่ใช่เพราะความเหนื่อยหน่ายหรือรำคาญ ...มองตามหลังร่างโปร่งที่เดินขึ้นจากชั้นปูนเป็นขั้นๆริมท่าน้ำที่มีเอาไว้สำหรับให้คนลงมาเพื่อให้อาหารปลาโดยเฉพาะ ไม่มีรอกัน ไม่รู้ว่าเพราะเขินหรืออายสิ่งที่เราตอบเขาไปเมื่อครู่กันแน่
แต่ไม่ว่าอย่างไหนก็ตาม......
จะทำตัวน่ารักไปถึงเมื่อไหร่กันนะ โตยธาร?
.
.
การเดินตลาดน้ำไม่ใช่สิ่งที่เราเคยทำมาก่อนพอกันกับการทำบุญ ด้วยอากาศที่ร้อนอบอ้าวของเมืองไทยไม่ได้ชวนให้อยู่ในที่แคบๆเลยแม้แต่น้อย และโดยเฉพาะอากาศร้อนกับอาหารร้อนๆ ....ไม่ได้น่าพิสมัยเลยสักนิด
แต่เพราะมีพัดที่ทำจากไม้สานคอยพัดให้ถึงจะไม่ได้ตลอดเวลาเพราะอีกฝ่ายก็ชักมือกลับไปพัดให้ตัวเองด้วยเหมือนกัน ไม่รู้ทำไม.....แต่เราไม่รู้สึกร้อนอะไรมากมายอย่างที่คิด ผิดกันคนที่โบกพัดให้กับทั้งตัวเองและเรากลับมีเหงื่อออกจนแทบชุ่มเสื้อนักศึกษา
ความบางของเสื้อนักศึกษาทำให้แอบเห็นยอดอกสีอ่อนรำไร แน่นอนว่าเราเห็นคนอื่นก็ต้องเห็น
ไม่ชอบเลย
เราลุกขึ้นพอดีกับที่ผัดไทกุ้งแม่น้ำสดที่คนร่างโปร่งนำเสนอสุดๆถูกยกมาวางบนโต๊ะ กลิ่นหอมชวนชิมของมันไม่ได้ทำให้เรามีอารมณ์อยากนั่งกิน เราบอกให้โตยธารนั่งรออยู่ที่นี่ โดยไม่รอคำตอบเราหมุนตัวเดินออกจากร้านเล็กๆริมท่าน้ำทันที
จำได้ว่าตอนเดินผ่านกับโตยธารมาตามทางนี้เห็นมีร้านขายเสื้อผ้าอยู่หลายร้านด้วยกัน....
เดินได้สักพักจนแสบผิวเราก็ยิ้มออกมาได้ เลี้ยวเข้าร้านที่เป็นจุดมุ่งหมาย เลือกเสื้อยืดสกรีนลายเป็นชื่อของตลาดน้ำแห่งนี้มาสองตัว สีเดียวกันคือสีเขียวอ่อนดูสบายตาต่างกันก็ตรงขนาดไซส์ของเสื้อเท่านั้น พอจ่ายเงินเสร็จเราก็หมุนตัวเดินออกจากร้านเดินตรงกลับไปทางเดิม
....ก็คิดว่าเป็นแบบนั้นน่ะนะ
แต่ดูเหมือนว่าร้านผัดไทที่เราให้โตยธารนั่งรออยู่จะไม่ได้อยู่ในละแวกนี้
เรายืนนิ่งอยู่กับที่ คงหลงซะแล้ว..... มือถือไม่ได้อยู่กับตัวจำได้ว่าวางไว้บนโต๊ะที่ร้านผัดไทนั่น น่าจะนับได้ว่าเป็นประสบการณ์ครั้งแรกอีกเรื่องเลยก็ว่าได้ วันเดียวได้มาหลายประสบการณ์ .....อืม
ก็ไม่ได้เลวร้ายสักเท่าไหร่จริงๆนั่นหละ
ขอบใจมาก ต่อๆชอบมากขอบคุณจากใจที่แบ่งปัน ขอบคุนครับ
หน้า:
[1]