เริ่มด้วยใคร่ ลงท้ายด้วย..? 9 (50%)
IX ( 50% )ก็ไม่เคยคิดหรอกว่าตัวเองจะต้องมาทำอะไรที่มันดู... งี่เง่า? แบบนี้
.......แต่ก็ทำไปแล้วล่ะนะ กลับลำตอนนี้คงไม่ทัน
“อ้าให้กว้างกว่านี้อีกหน่อยสิครับ คุณหนู...”
เราขึงตาให้อเล็กซ์แต่ก็ยอมทำตามโดยไม่ได้โต้แย้งอะไรออกไป ตัวของเราเริ่มสั่นระริก
“อ้า ..แบบนั้นหละครับ จะเข้าแล้ว...อื้มม ทนหน่อยนะ”
เราอยากจะพยักหน้ารับแต่ความแปลบปลาบที่แล่นริ้วขึ้นมาจากฝ่าเท้าทำให้ต้องนิ่วหน้าแทน เกร็งตัวจนจะขาดใจตายแล้ว
“ไม่เอาสิครับคุณหนู อย่าหุบ ...อ้าให้กว้างกว่านี้ อู้ยย ใกล้เข้าที่แล้ว อ๊ะ!”
แชะ!
“ร้องบ้าอะไรของนายแบบนั้นกันอเล็กซ์”เราทิ้งตัวนั่งลงบนเก้าอี้คว้ามือถือของเราที่ให้อเล็กซ์ไปทำหน้าที่ถ่ายรูปให้เรามากดดูรูปที่ถ่ายได้ อืม ... “ถ่ายบ้าอะไรของนายเนี้ยอเล็กซ์ เราให้ถ่ายเราคู่กับอาหาร แล้วนี่อะไร?”
“ก็คุณหนูของบ่าวกับอาหารจานโปรดฝีมือบ่าวไงครับ ฮ่าๆ อะไรกัน นี่ผมตั้งใจถ่ายสุดฝีมือเลยนะ คุณหนูออกจะดูดี น่าหม่ำขั้นหนักแบบนั้น รับรองว่าคุณน้ำจะต้องรีบมาหาคุณหนูแน่ๆ”
เราถอนหายใจกดลบรูปโง่ๆจากฝีมือคนที่โง่เง่ายิ่งกว่าทิ้ง เรื่องอะไรซูมซะจนเห็นเนื้ออ่อนตรงช่วงเอวที่โผล่พ้นเสื้อออกมาแบบนั้น แถมโฟกัสยังชัดเจนกว่าต้มยำทะเลน้ำข้นกับกุ้งสามรสที่วางเรียงอยู่บนโต๊ะอีก
ผิดที่คิดไว้ใจคนอย่างอเล็กซ์จริงๆ....
สุดท้ายเราเลยต้องถ่ายรูปใหม่ด้วยฝีมือตัวเอง เอื้อมสุดแขนกว่าจะเห็นครบทั้งคนทั้งของกิน พอได้รูปที่น่าพอใจแล้วเราก็เข้าโปรแกรมแชทกดส่งให้โตยธารทันที ไม่ได้มีสิ่งที่เรียกว่าแคปชั่น มีแค่รูปเท่านั้น
“อย่างนี้ล่ะน้าเด็กสมัยนี้ ก่อนกินก็ต้องเซลฟี่ เซลฟี่เสร็จก็ต้องอัพลงโซเซียลไม่ก็ส่งไปยั่วน้ำลายทำร้ายกระเพาะคนอื่น”
“เป็นแค่อเล็กซ์อย่าพูดให้มันมากนักจะได้ไหม ถึงจะไม่เคยบอกเพราะเห็นแก่หน้าปะป๊าแต่เราก็รู้สึกรำคาญเหมือนกันนะ”
อเล็กซ์หัวเราะรัวไม่รู้ว่าเพราะอารมณ์ดีเกินไปหรือเป็นบ้าไปแล้ว ประกายตาคมที่มองเราอยู่นั้นวาววับก่อนที่มือเรียวของเขาจะวางแหมะอยู่บนหัวเรา... “น่ารักจริงๆเลยน้า~ คุณหนูของบ่าวเนี้ย”
เราไม่สนใจอเล็กซ์อีกเขาเองก็ไม่ได้ตอแยอะไรเราต่อ เมื่อเห็นเราต่อสายหาโตยธารร่างสูงของอเล็กซ์ก็ผละเดินเข้าไปในครัว เราเอนหลังพิงพนักเก้าอี้ไม้ที่มีเบาะรองหลังอีกทีอย่างรู้สึกผ่อนคลาย เป็นแบบนี้ทุกครั้งที่ได้อยู่ที่บ้าน ใครอาจจะชอบไปเดินเที่ยวห้าง ดูหนัง โยนโบว์ลิ่งโชว์พาวคนอื่นแต่เรากลับไม่มีความคิดแบบนั้นอยู่ในหัวเลยสักนิด
อย่างที่บอกว่าเราชอบความสงบ เพราะฉะนั้นนอกจากเรือนเล็กของเราแล้วจึงไม่มีสิ่งปลูกสร้างอื่นอยู่ในระแวกเดียวกันเลยสักหลัง มีหน่อยก็ห่างออกไปหลายกิโลอยู่ ปะป๊าคัดค้านบ้านแทบแตกเมื่อเราเอ่ยปากว่าขึ้นมหาวิทยาลัยจะย้ายออกมาอยู่คนเดียว
แต่ค้านไปก็เท่านั้นในเมื่อเราไม่ได้บอกเพื่อขอแต่บอกเพื่อให้ท่านรับรู้เอาไว้ สุดท้ายปะป๊าผู้ที่ไม่เคยขัดใจเราได้เลยสักครั้งเลยยอมลงให้โดยมีข้อแม้ว่าเราจะต้องเหน็บคนของปะป๊าติดตัวมาด้วย อืม ก็อเล็กซ์นั่นหละ
เราเองไม่ได้ดื้อจนไม่ยอมรับฟัง ถึงเราจะอยากอยู่คนเดียวเงียบๆในบ้านหลังเล็กท่ามกลางสวนกุหลาบมากกว่าก็ตาม....
( ว่างมากหรือไง เพราตา? )
ยิ้มออกมาเล็กน้อยเมื่อได้ยินเสียงของอีกฝ่ายดังแทรกเข้ามาในช่วงที่กำลังคิดอะไรเรื่อยเปื่อย
“อยากมีคนกินข้าวเป็นเพื่อน กินคนเดียวเราเหงา”อ้อนเล็กน้อยเผื่ออีกฝ่ายจะใจอ่อน
ก็ไม่ได้หวังว่าเขาจะใจอ่อนยอมมาตามคำอ้อนของเราง่ายๆหรอก ดูเผินๆโตยธารเหมือนพวกคนหัวอ่อนก็จริง แต่ลึกๆแล้วก็แอบหัวดื้อใช้ได้ ไม่อย่างนั้นเขาคงตามเรามาที่เรือนเล็กตั้งแต่เราอ้อนให้เขามานอนค้างด้วยกันตั้งแต่ตอนอยู่ที่บังกะโลแล้วล่ะ
เชื่องมากไปก็ชวนให้เบื่อเอาง่ายๆ พยศบ้างสิกำลังดี....
( แล้วคุณอเล็กซ์ล่ะ? )
“อเล็กซ์พูดมากไป”
( ดีออก อยู่กับคนพูดมากจะได้ไม่เหงาไง )
เราเงียบไปเล็กน้อยแล้วส่ายหน้าทั้งที่คนปลายสายมองไม่เห็น “ไม่เอา เราอยากอยู่กับน้ำมากกว่า”
( ... )
เดาได้เลยว่าตอนนี้เขาคงกำลังเม้มปากอยู่แน่ๆ ภาพโตยธารที่เม้มปากคิ้วขมวดทั้งที่หน้าแดงหน่อยๆแล้วก็ต้องหัวเราะออกมาเบาๆ
อืม ....รู้สึกตัวว่าเราตอนนี้เริ่มไม่ค่อยปกติสักเท่าไหร่
เราท้าวคางกับโต๊ะกินข้าวตัวยาวพลางนึกถึงสีหน้าของคนปลายสายไปด้วย สิ่งที่แวบเข้ามาในความคิดคือใบหน้าที่เคยขาวจนซีดนั้นขึ้นสีระเรื่อดูน่ารักกำลังเหยเกน้อยๆยามเราดุนดันบางสิ่งเข้าไปในร่างกายของเขา ดวงตากลมคู่สวยอยู่ในห้วงพิศวาสช้อนมองเราฉ่ำเยิ้มเปี่ยมไปด้วยความปรารถนา
....
อ่า....แย่แล้ว
“โตยธาร....... เราคิดว่าเรากำลัง‘คิดถึง’นาย”
....
ปลายสายเงียบไป ได้ยินแต่เสียงลมหายใจดังปะปนไปกับเสียงของรถ เราเองก็เงียบ ยอมรับว่าใจเต้นแรงหน่อยๆกับการลุ้นว่าเขาจะตอบกลับมาว่าอะไร
นาน ...จนไม่ได้ยินเสียงแทรกอะไรอีกนอกจากเสียงลมหายใจของอีกฝ่าย........
....
( ...ถ้าพอจะมีห้องว่างให้ผมเช่าอยู่สักคืน .........จะไปกินข้าวเป็นเพื่อนก็ได้ )
ถึงจะไม่ค่อยเข้าใจที่เขาพูดแต่ก็ถือว่าเราบรรลุ‘เป้าหมาย’แล้วล่ะนะ....
“อื้อ เดี๋ยวเราให้อเล็กซ์ไปรับ”อเล็กซ์ที่เดินออกมาจากครัวพอดีไม่รู้ว่าเพราะฟังอยู่ตลอดหรือแค่ความบังเอิญ ร่างสูงยิ้มแล้วโค้งให้เราเล็กน้อยก่อนที่จะเดินผิวปากควงกุญแจรถออกไป
บางทีก็แสนรู้เกินไปจนน่าหมั่นไส้เหมือนกัน
“แล้วเราจะ‘เปิดห้อง’รอนะ”
( .....อื้อ )
.
.
“ว่ายังไงนะ?!”
“เอ่อ ท่านประธานคะ....”
“เดี๋ยว อย่าเพิ่งพูดอะไรดาขอผมคุยโทรศัพท์ก่อน”
ไม่รู้ว่าเป็นคำสั่งหรือประโยคคำพูดธรรมดาๆ แต่ไม่ว่าจะเป็นอย่างไหนก็ไม่มีใครในห้องประชุมนี้กล้าขัดผู้ที่รั้งตำแหน่ง‘ประธานใหญ่’หรือ‘ผู้ถือหุ้นส่วนหลัก’ของบริษัทอยู่ดี จากที่กำลังประชุมกันอย่างเคร่งเครียดกลับต้องหยุดชะงักเพียงเพราะ‘ท่านประธาน’ขอคุยโทรศัพท์ก่อน....
ในที่นี้ไม่มีใครไม่รู้ว่าเรื่องที่จะทำให้ท่านประธานปิญชาน์ลืมแม้กระทั่งงานที่ทำอยู่ได้ก็เห็นจะมีแต่เรื่องของคุณหนูเพราตา ลูกชายคนเดียวที่ท่านประธานแสนจะทั้งรักทั้งหวงราวอัญมณีในหินผาเท่านั้น
“ประชุมอยู่แล้วยังไงล่ะ? เรื่องน้องวิวสำคัญกว่าอยู่แล้ว”
ซึ้งใจกับท่านประธานเสียจริง แน่นอนอยู่แล้วเรื่องของลูกในไส้แถมยังเป็นลูกคนเดียวย่อมต้องสำคัญกว่างานที่ให้กำไรต่อปีตกปีละเกือบพันล้านอยู่แล้ว เรื่องนี้ทุกคนล้วนเข้าใจดี......
“แล้วนี่นายได้จัดการไอ้เด็กนั่นแทนฉันไปหรือยังอเล็กซ์? .....ยังงั้นเหรอ! แล้วมัวทำบ้าอะไรอยู่! แล้วนี่ฉันส่งนายให้ไปอยู่ข้างๆน้องวิวเพื่ออะไรกันเล่าไอ้งี่เง่าเอ้ย!”
ถึงจะรู้อยู่แล้วว่าท่านประธานปิญชาน์เป็นคนที่ชอบพูดอะไรตรงๆติดจะขวานผ่าซากและไม่ไว้หน้าใครทั้งนั้นก็ตาม แต่พอมาได้ยินกับหูตัวเองอย่างนี้เห็นทีจะยากเกินกว่าที่จะทำใจให้ชินได้ ...กับบุคลิกอันสุขุมและเยือกเย็นทุกครั้งที่ต้องเจรจาธุรกิจกับคู่ค้า หากไม่มีตำแหน่งที่ใหญ่พออย่างผู้ถือหุ้นหรือเลขาฯใหญ่เป็นเพียงพนักงานธรรมดาๆคงยากที่จะเห็นท่านประธานใหญ่ในมุมนี้
“หัวเราะหาพระแสงอะไร วันนี้ฉันจะไปหาน้องวิวที่เรือนเล็ก แล้วอย่าสะเออะปากสว่างไปบอกน้องวิวก่อนจนแกหนีหน้าฉันไปนอนที่อื่นอย่างคราวที่แล้วล่ะ เข้าใจไหม? อืม ดี แค่นี้ล่ะฉันจะประชุมต่อ ...ฉันไปเจอน้องวิวไม่ได้ไปเจอนายถ้าไม่อยากตกงานก็เลิกกวนประสาทได้แล้ว!”
“เอ่อ...”ดารารัตน์เลขาฯสาวใหญ่เอ่ยขึ้นมาเบาๆเมื่อเห็นท่านประธานวางมือถือลงบนโต๊ะ ดวงตาคมทรงอำนาจตามประสาเจ้าคนนายคนกวาดมองคนในที่ประชุมก่อนที่ใบหน้าคมสันที่ไม่ได้ดูโรยราไปตามช่วงอายุจะพยักเล็กน้อย
“ขอโทษที่ต้องให้ทุกคนรอ เริ่มประชุมต่อได้”
ผมจะได้รีบกลับไปหาลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของผมสักที
ทุกคนได้แต่ต่อประโยคนั้นอยู่ในใจ......
.
.
“ลมเย็นดีจัง .....นายอยู่ที่นี่กับคุณอเล็กซ์แค่สองคนเหรอ?”
หลังจากให้อเล็กซ์ไปรับโตยธารมาที่เรือนเล็กของเราพร้อมกับรับประทานมื้อเย็นกันเรียบร้อยแล้ว เราก็พาเขาออกมานั่งรับลมเล่นตรงเก้าอี้ม้าข้างตัวเรือนใกล้กับสวนกุหลาบที่เราเป็นคนปลูกแต่ส่วนใหญ่แล้วอเล็กซ์จะเป็นคนที่ดูแลเพราะมีเวลาว่างมากกว่า
หันมองคนที่นั่งอยู่ข้างกันเล็กน้อย เห็นสีหน้าที่ดูคล้ายจะพอใจของเขาเราก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมาน้อยๆ เราครางตอบรับเบาๆพลางเอนตัวพิงศีรษะไว้ที่ไหล่ของอีกคน รู้สึกถึงอาการเกร็งตัวหน่อยๆแต่สักพักอาการเกร็งตัวที่ว่าก็ดูเหมือนจะค่อยๆผ่อนคลายลง
“...กระดูกที่คออ่อนตั้งแต่กำเนิดเหรอ?”
เราหลุดขำออกมา ขยับนั่งคอตรงเหมือนเดิมหันไปยิ้มพราวให้กับอีกคนแล้วลุกขึ้นยืนเดินไปหยุดยืนอยู่ตรงหน้าร่างโปร่ง โตยธารมีสีหน้างุงงงเล็กน้อยก่อนที่จะมีสีหน้าตระหนกยามเราก้าวขาขึ้นนั่งคร่อมกายของเขาเอาไว้
และก่อนที่เขาจะได้พูดท้วงอะไรเราก็ชิงพูดขึ้นมาก่อน “วันนี้เจเจอร์มาหาเราที่นี่...”
ปฏิกิริยาผิดจากที่คิดไปเล็กน้อย ไม่ได้มีแววความไม่พอใจหรือหึงหวงอะไรให้ได้เห็น อืม...แต่ก็ไม่ได้ดูผ่อนคลายเป็นประกายสดใสอย่างในตอนแรก เราแนบฝ่ามือลงบนแก้มนิ่มพลางขยับหน้าเข้าใกล้อีกนิด
“เจเจอร์จูบเราด้วย....”
คราวนี้ดวงตาคู่กลมนั้นมีแววไหวระริกให้เห็น แต่ก็ยังดูไม่ออกอยู่ดีว่าเขารู้สึกยังไง
น่าสนใจ .....กำลังไม่พอใจ? ไม่ชอบใจ? หรือเริ่มที่จะหึงหวงเจเจอร์ขึ้นมาบ้างแล้วกันแน่นะ?
“แล้วมาบอกผมทำไม”ปากบางเม้มแน่น ดวงหน้าขาวพยายามจะหลบเลี่ยงมือของเราแต่เราขืนเอาไว้ไม่ยอมให้เขาหลบสายตากันไปได้ง่ายๆ
เรายิ้ม โตยธารเริ่มหน้าซีด ....คล้ายจะเห็นน้ำใสๆคลอหน่วยอยู่ที่ขอบตากลม
เราขยับเบียดกายจนแผ่นอกของเราสองคนสัมผัสกัน ...
“โตยธาร ......ช่วย‘ลบรอย’ของเขาให้เราที”
.
.
อุณหภูมิของห้องนอนที่เพิ่งจะเปิดแอร์ไม่ได้ทำให้เรารู้สึกร้อนราวกับกำลังเอาตัวทั้งตัวเข้าไปอยู่ในเตาไฟได้เท่ากับร่างกายเปลือยเปล่าของเรากับร่างโปร่งบางของโตยธารที่กำลังกอดเกี่ยวกันอยู่บนเตียงกว้าง ปากของเราทั้งคู่แทบจะไม่ห่างกันเลยแม้แต่ตอนที่ถอดเสื้อผ้าออกจากร่างกายของอีกคนก็ตาม
คล้ายจะเข้าใจร่างกายของกันและกันดี
ชนวนสวาทถูกจุดขึ้นมาอย่างง่ายดายเพียงแค่เราทั้งคู่ลูบไล้สัมผัสกัน นิ้วเรียวของโตยธารบีบบี้อยู่ที่ยอดอกของเราในขณะที่มือเล็กของเราฟ้อนเฟ้นอยู่บนสะโพกกลมกลึงนุ่มมือของเขา เราครางออกมาเบาๆเมื่อปลายนิ้วของอีกฝ่ายจิกกดตรงส่วนหัวนมที่แข็งเป็นไตสู้มือ กระสันเสียวจนต้องแอ่นอกขึ้นร่อนยั่วตามสัญชาตญาณ
“น้ำ...อ๊าส์ ....เราเสียวจัง อื้อออ”
เรากัดปากช้อนดวงตากลมฉ่ำปอยของตัวเองมองออดอ้อนร่างโปร่งที่ยังคงไม่หยุดขยี้นิ้วเล่นกับยอดอกของเรา ไม่รู้ว่าตาฝาดไปเองหรือเปล่า... แต่เรียวปากบางของเขาขยับยกขึ้น รอยยิ้มที่เห็นมันดู.......ร้ายกาจ?
“เห็นทีคราวนี้คงเป็นผมที่จะเป็นฝ่ายกอดวิวสินะ...”น้ำเสียงอ่อนโยนแต่แววตากับรอยยิ้มช่างดูแตกต่างจากน้ำเสียงที่ใช้โดยสิ้นเชิง.....
แต่ว่านะ
หมับ
“อ๊ะ! ด เดี๋ยวสิ”มือเรียวสองข้างยันอกของเราเอาไว้เมื่อเราดึงสะโพกของอีกคนที่คร่อมอยู่บนตัวลงจ่อกับแก่นเนื้อที่กำลังขยายได้ที่ของเรา
ใบหน้าที่หวานขึ้นเพราะอารมณ์ใคร่ของโตยธารเหยเกเล็กน้อยยามที่เรายกเอวร่อนถูไถส่วนแข็งขืนกับร่องทางรักของเขาไปมา คราวนี้เป็นตาเรามั่งที่จะยกยิ้มร้าย เราผงะตัวขึ้นครอบปากลงบนยอดอกสีอ่อนที่ขึ้นสีก่ำของอีกฝ่ายพลางออกแรงดูดจนเกิดเสียงดังจ๊วบ
“ว วิว...อ๊าา ดะ....เดี๋ยว ค่อยๆใส่นะ”
อ่า ...อยากจะฟังอยู่เหมือนกันนะ แต่ตอนนี้เราไม่ไหวแล้วจริงๆ
“ขอโทษนะน้ำ แต่เราอยากเข้าไปในตัวน้ำจนทนไม่ไหวแล้ว อะ..อื้ออ อย่าเพิ่งรัดกันสิ”
อยากจะขำแต่ก็ขำไม่ออก โตยธารมองค้อนเราทั้งที่ตาปรอยไปด้วยหยาดกามารมณ์ เราก้มลงมองช่วงล่างก็เห็นว่าท่อนลำของเราเข้าไปในร่องทางร้อนจัดของอีกคนได้เกือบครึ่งแล้ว เลียปากน้อยๆเมื่อเห็นชัดเจนว่าช่องทางสีสดของเขากำลังค่อยๆกลืนกินแก่นเนื้อของเราช้าๆ
เร้าอารมณ์จนแทบบ้า
แต่ในขณะที่ทุกอย่างกำลังเข้าที่เข้าทางและควรเป็นไปตามทางที่ควรจะเป็น.......
ปัง!
“น้องวิวจ๋า ปะป๊ามาแล้วจ้าาา~!!”
.
.
“เฮ้ยย! นะ....นั่นกำลังทำอะไรกัน!!”
เรากรอกตาอย่างสุดเซ็งในขณะที่โตยธารตกใจจนสะดุ้งดึงตัวกลับคว้าหาผ้าห่มมาพันรอบกายม้วนจนเห็นแต่ส่วนหัว ....เกือบจะกลิ้งตกเตียงแล้วด้วย โชคดีที่เราคว้าตัวเขาเอาไว้ได้ทัน
เราถอนหายใจหันไปมองร่างสูงดูภูมิฐานคุ้นตาที่ยืนอ้าปากค้างเบิกตากว้างจนน่ากลัวว่าจะหลุดทะลักออกจากเบ้า สลายมาดนักธุรกิจใหญ่พันล้านจนหมดเกลี้ยง
.
.
“เราไม่เคยนึกเกลียดปะป๊าได้มากเท่าวันนี้มาก่อนเลย”
ขอบใจมาก ต่อๆชอบมากขอบคุณจากใจที่แบ่งปัน ขอบคุนครับ
หน้า:
[1]