เริ่มด้วยใคร่ ลงท้ายด้วย..? 10 (100%)
X“น้องวิว เดี๋ยวก่อนครับ”
เราหยุดเดินพอดีกับที่ร่างที่สูงกว่าของผู้ชายสองคนเดินมายืนขวางทางเดินเอาไว้ ...ก็ไม่ใช่ว่าไม่รู้ว่าพวกเขาคือใคร แต่ในเมื่อเราไม่ได้รู้จักเป็นการส่วนตัวก็คงจะเป็นเหตุผลที่เพียงพอหากเราเลือกที่จะไม่ทำตามที่พวกเขาบอกเมื่อครู่
ไม่ใช่คนที่จะยืดไม่ได้หรือหดไม่เป็นหรอกนะ... พวกเขาขวางทางอยู่ตรงหน้าสิ่งที่เราทำก็แค่เดินเลี่ยงผ่านพวกเขาไปเท่านั้น
“ฟังพวกพี่ก่อนสิครับ น้องวิว”
ตื้อชะมัดยาด
เราถอนหายใจก่อนที่จะเงยหน้าขึ้นมองร่างสูงกว่าทั้งสองร่างซึ่งเดินมาดักทางเราเอาไว้อีกครั้งอย่างตั้งคำถาม นักศึกษาต่างคณะอย่างเราใช่ว่าไม่มีใครในคณะนี้ไม่รู้จัก เพียงแต่ว่าเพราะผู้ชายสองคนนี้เป็นลูกไล่ อ่า.... ไม่สิ เรียกว่าลูกน้องที่พยายามจะยกหางตัวเองให้เลื่อนขั้นขึ้นเป็น ‘เพื่อน’ คนหนึ่งของเจเจอร์ในสักวันน่าจะถูกกว่า
เพราะสองคนนี้เป็นคนของเจเจอร์เลยไม่มีใครกล้าสอดขาเข้ามายุ่ง
คงจะมีแต่รอดูว่าเรื่องมันจะดำเนินต่อไปในรูปแบบไหนมากกว่า
ก็ไม่รู้หรอกนะว่าตอนนี้สองคนนี้ได้เป็นหนึ่งในเพื่อนที่เป็นประโยชน์ของเจเจอร์หรือยัง เราไม่ได้สนใจเรื่องของคนที่พยายามจะทำตัวให้เป็นคนใช้ที่มีประโยชน์ในบางเรื่องแต่กลับไร้สิ่งที่เรียกว่าสมองคิดเองสักเท่าไหร่
อืม ...เจเจอร์เลี้ยงคนประเภทนี้เอาไว้เยอะเลยทีเดียวล่ะนะ
“จำไม่เห็นได้ว่ามีเรื่องจะต้องคุยกับพวกคุณ?”
หนึ่งในนั้นหน้าเสียไปเล็กน้อยก่อนที่จะปรับสีหน้าให้กลับมาเป็นปกติพลางส่งรอยยิ้มเป็นมิตรและคล้ายเอ็นดูเราหนักหนาซึ่งคนโง่จริงๆเท่านั้นถึงจะดูไม่ออกว่าจริงๆแล้วหมอนี่กำลังปั้นหน้าสุดฤทธิ์ขนาดไหน
“พี่พีกับพี่กายไม่บังอาจมีเรื่องคุยกับน้องวิวหรอกครับ ที่มีน่ะเจเจอร์เพื่อนสนิทของพวกพี่ต่างหากที่มี”
“เห็นว่าเป็นเรื่องที่สำคัญมากด้วย เลยอยากจะให้น้องวิวช่วยมากับพวกพี่หน่อยได้ไหมครับ?”
เรามองเลยผู้ชายสองคนไปยังประตูห้องเรียนที่เพิ่งส่งโตยธารเข้าไปเมื่อไม่กี่นาทีก่อนที่จะหันกลับมามองใบหน้าปั้นแต่งให้ดูอัธยาศัยดีเอื้ออ่อนโยนต่อรุ่นน้องของพวกเขาอีกครั้ง
ถอนหายใจออกมาอย่างเหนื่อยหน่าย
“น่ารำคาญทั้งเจ้านายทั้งสุนัขรับใช้”
“วะ ว่ายังไงนะ?!”
“ไอ้พี!”
คนชื่อพีที่ตั้งท่าจะย่างสุมเข้ามาหาเราชะงักเมื่อเพื่อนอีกคนหนึ่งที่น่าจะชื่อกาย? ยกแขนขึ้นกันตัวของเขาเอาไว้ เสียงเข้มเอ่ยเรียกชื่อเชิงปราม และเพราะถูกเพื่อนปรามไว้ธาตุแท้เลยไม่ได้เผยออกมาให้เราเห็น
“เอ่อ ขอโทษนะครับ พอดีอากาศมันร้อนไปหน่อยพี่เลยค่อนข้างจะหงุดหงิดง่ายน่ะ”
น่านับถือในเรื่องของการสร้างภาพจริงๆ เพียงชั่วพริบตาจากใบหน้าที่แสดงชัดถึงความไม่พอใจกลับแปรเปลี่ยนเป็นใบหน้าที่หมองหม่นลงอย่างขอลุแก่โทษ
หึ
เราเขย่งเล็กน้อยพร้อมกับยกมือขวาขึ้นไล้หลังมือทำราวกับกำลังเช็ดอะไรบางอย่างออกจากหน้าของเขาอย่างแผ่วเบา จากหน้าผากเรื่อยลงมาตามโครงหน้าที่ติดจะหวานหน่อยๆมากกว่าจะคมเข้มก่อนที่จะอ้อยอิ่งอยู่ตรงปลายคางแหลม
“น ....น้องวิว?”
คนชื่อพีเหมือนจะแข็งค้างไปแล้วเมื่อเราส่งยิ้มหวานให้ เอียงคอน้อยๆพร้อมกับค่อยๆชักมือกลับ
“เห็นบอกว่าร้อนเราเลยเช็ดเหงื่อให้ มีอะไรตรงไหนที่ทำให้พี่พีไม่พอใจหรือเปล่า?”
คนชื่อพีเงียบไปในขณะที่คนชื่อกายเองก็เหมือนยังหาเสียงของตัวเองไม่เจอ เราหัวเราะเสียงกังวานใสออกมาเบาๆพลางหยิบผ้าเช็ดหน้าในกระเป๋ากางเกงออกมา หันข้างไปกดเครื่องปั๊มที่ใส่น้ำยาฆ่าเชื้อโรคซึ่งติดอยู่ข้างกำแพงใส่ตัวผ้าในจำนวนที่ไม่น้อยนัก .....ก่อนที่จะบรรจงปาดเช็ดหลังมือในส่วนที่สัมผัสโดนคนชื่อพีเมื่อครู่ช้าๆ
ทั้งที่ใบหน้ายังคงประดับไปด้วยรอยยิ้มหวานอยู่อย่างนั้น
คนชื่อพีหน้าขึ้นสีทันทีไม่รู้ว่าเพราะโกรธหรือเสียหน้ากันแน่เมื่อเห็นชัดๆว่าเราคล้ายจะแสดงออกให้เห็นว่ารังเกียจเขา ร่างที่กำลังจะพุ่งเข้าใส่เราถูกเพื่อนเอาตัวที่หนากว่ามาบังไว้ ส่วนตัวเรายังคงยืนนิ่งๆอยู่ตำแหน่งเดิมไม่ได้ก้าวถอยหลบหรือเดินหนีไปไหน
เราเชิดหน้าเล็กน้อยแล้วปรายยิ้มตรงมุมปากจางๆ
“ถ้าเจเจอร์อยากคุยกับเราจริงๆ เขารู้ว่าต้องทำยังไง”
“แต่....”คนชื่อกายอึกอักทั้งที่ยังยืนเอาตัวขวางตัวเพื่อนอีกคนที่เหมือนจะยังสงบสติอารมณ์ไม่ได้เอาไว้เหมือนเดิม
“เราไม่ใช่คนที่ชื่นชอบการถูกจูงจมูกที่พวกคุณนึกอยากจะให้ไปด้วยก็จะเดินตามไปง่ายๆเหมือนคนไม่มีหัวคิด...... เจเจอร์ไม่ได้บอกเหรอ?”
“แต่ว่า........”
“ถ้าเจเจอร์อยากคุยกับเราจริงๆก็ให้เขามาหาเราเอง ในเมื่อเรากับเขาไม่มีส่วนเกี่ยวข้องอะไรต่อกันแล้ว มันก็ไม่ใช่เรื่องที่เราจะต้องทำตามความต้องการของเขาอีก”
“แค่ผมมารับวิวด้วยตัวเอง เท่านั้นก็พอใช่มั้ยครับ?”
เราชะงักในขณะที่คนชื่อกายมีรอยยิ้มปรากฏขึ้นมาแทบจะในทันที สายตาของเขามองเลยข้ามไหล่ของเราไป... ต่อให้ไม่ต้องหันกลับไปมองตามเราก็รู้ดีว่าคนที่ยืนซ้อนอยู่ข้างหลังของเราเป็นใคร
สัมผัสอุ่นแตะลงบนหัวไหล่ข้างขวาแรงบีบคลึงเบาๆแต่กลับรู้สึกถึงความหนักแน่นมากกว่าจะโอบโลมด้วยความอ่อนโยน ลมหายใจร้อนเป่ารดกกหูพร้อมกับสัมผัสชื้นที่ไล่เลียติ่งหูไปมาคล้ายการหยอกเย้าอย่างที่ ‘เขา’ ชอบทำกับเราบ่อยๆ...
“ในเมื่อเจร์ก็มารับวิวด้วยตัวเองแล้ว วิวยังจะใจร้ายไม่ยอมคุยกับเจร์จริงๆหรือครับ...”
“...”
เมื่อเราไม่ตอบเขาเลยหมุนตัวเราให้หันไปประจันหน้ากับเขาตรงๆแทน ใบหน้าหล่อเหลาคุ้นเคยมีรอยยิ้มชวนให้ใครหลายคนหลงใหลประดับอยู่ไม่ต่างจากแต่ก่อน ....ไม่ต่างแม้กระทั่งแววตาคมดุจเหยี่ยวที่ทั้งที่ก็ไม่ได้เป็นประกายแพรวพราวส่อความเจ้าชู้อะไรแต่กลับส่งผ่านความร้อนแรงมาให้ราวกับเขากำลังใช้สายตานั้นมองสำรวจร่างกายที่เปลือยเปล่าของเราอยู่อย่างไรอย่างนั้น
ยังคงความเป็นผู้ชายที่มีเสน่ห์อย่างร้ายกาจไม่เปลี่ยนแปลง
เราเหลือบมองฝ่ามือใหญ่ที่ยกกอบกุมแก้มนุ่มข้างซ้ายของเราอย่างทะนุถนอม ก่อนที่จะเงยขึ้นสบกับดวงตาคู่คมส่อประกายลึกซึ้งยามจดจ้องมาที่ดวงหน้าของเรา...
น้ำเสียงทุ้มเอ่ยร้องขอคล้ายกับกำลังวิงวอนเว้าวอนกัน
“วิวครับ ช่วยรับฟังเรื่องนี้หน่อยได้ไหม แล้วหลังจากนั้นเจร์จะไม่มายุ่งหรือตื้ออะไรวิวอีก ...แค่วิวยอมฟังเจร์อีกแค่ครั้งนี้ครั้งเดียวเท่านั้น
.......นะครับ”
.
.
เรากับเขานั่งนิ่งๆกันมาได้สักสิบนาทีได้แล้วล่ะมั้ง เขาไม่พูดอะไรออกมาในขณะที่เราเองก็ไม่ได้เร่งซักไซ้เอาความอะไรจากเขา
คนที่อยากพูดคือเขาไม่ใช่เราสักหน่อย บอกไว้ก่อนแล้วว่าเรามีเวลาให้แค่ยี่สิบนาที หากเขาอยากจะทำให้เวลาที่เราสละให้เสียไปโดยเปล่าประโยชน์ก็ช่างเขาประไร
วันนี้ร้านนมนมข้างคณะของโตยธาร อืม...ก็คณะเดียวกันกับเจเจอร์นั่นหละ ค่อนข้างจะให้บรรยากาศที่มาคุและอึมครึมมากกว่าจะผ่อนคลายเหมาะสำหรับการมานั่งจิบกาแฟพักผ่อนสมองอย่างที่ควรเป็น เพราะในร้านมีเพียงเรากับเจเจอร์แค่สองคน ส่วนลูกน้อง อ่า....ไม่สิ เพื่อน ของเจเจอร์สองคนยืนรออยู่นอกร้าน เรายกถ้วยนมร้อนขึ้นจิบพลางมองสองคนนั้นที่ยืนเฝ้าเจ้านายอยู่หน้าประตูร้านแล้วกระตุกยิ้มออกมาหน่อยๆ
ดูไปแล้วก็เหมือนกับสุนัขรับใช้ผู้ซื่อสัตย์จริงๆนั่นแหละ
“ความจริงแล้วผมกับสายน้ำไม่ได้เป็นแฟนกัน ไม่สิ เราไม่เคยแม้แต่จะรักกันในแบบนั้นด้วยซ้ำ”
เราชะงักมือที่กำลังจะส่งนมร้อนที่เริ่มกลายเป็นนมอุ่นเข้าปากอีกครั้งเล็กน้อยก่อนที่จะเอียงแก้วจิบนมต่อแล้ววางแก้วลงบนแผ่นรองกันความร้อนตำแหน่งเดิมบนโต๊ะ เราท้าวคางมองออกไปนอกกระจกใส ถามออกไปเบาๆคล้ายกับไม่ได้ใส่ใจในคำบอกเล่านั้นของเจเจอร์สักเท่าไหร่
“บอกเราทำไม”
“ผมแค่อยากให้วิวรู้จักผู้ชายคนนั้นเอาไว้ก่อนที่จะตัดสินใจคบกับคนแบบนั้นต่อ”
“เราจะคบหรือไม่คบกับใคร บางที...เราก็คิดว่ามันไม่เกี่ยวกับคนอื่น”เราหันกลับไปมองเจเจอร์ที่ยังคงมีสีหน้าเป็นปกติแต่ดวงตาคมกลับวาววับ เรายกยิ้มน้อยๆแล้วเอนหลังพิงเก้าอี้ปุนวมนุ่มหลัง “ว่าต่อสิ เรื่องที่เจเจอร์อยากให้เรารู้น่ะ”
เจเจอร์หัวเราะออกมาเบาๆก่อนที่ใบหน้าหล่อเหลานั้นจะนิ่งขรึมเหมือนเดิม ถ้าถามว่าเราอยากรู้มั้ย? ไม่เลยสักนิด แต่สิ่งที่เราสนใจคือ เจเจอร์ต้องการที่จะบอกอะไรเรากันแน่ และเขา....มีจุดมุ่งหมายอะไรแอบแฝงหากเราได้รู้เรื่องราวที่เขากำลังจะพูดออกมาแล้วกัน?
เราไม่มีความคิดที่ว่าจู่ๆเขาก็แค่อยากอยู่ตามลำพังกับเราอีกสักนิด ต่อให้เป็นเรื่องไร้สาระขนาดไหนเขาก็พร้อมที่จะเอามาเล่าให้เราฟังเพื่อยื้อหรือต่อเวลาอะไรเทือกๆนั้นหรอก ไม่เอาหน่า คนอย่างเจเจอร์เนี้ยนะที่จะทำอะไรที่มันงี่เง่าแบบนั้น
อย่างน้อยเราก็สัมผัสได้ถึงความจริงจังในน้ำเสียงเข้มของเขาล่ะนะ
ส่วนเรื่องจะจริงใจสักแค่ไหนก็เป็นอีกส่วน
“สายน้ำเป็นคนที่ถึงแม้ภายนอกจะดูจืดชืดไร้สีสันไปสักหน่อย แต่พอลองได้คบด้วยแล้วเขาก็ถือได้ว่าเป็นเพื่อนที่ดีคนหนึ่ง ..ดีมากเท่าที่ผมเคยคบมาเลยด้วยซ้ำ หึ เรารู้จักกันได้เพราะงานกลุ่ม วิวก็น่าจะรู้ว่าผมไม่ค่อยสนเรื่องพวกนี้สักเท่าไหร่”
เราเงียบแต่ก็พยักหน้าตอบรับไป เจเจอร์ก็คล้ายกับเราเพียงแต่เราถ้าไม่สนก็คือไม่สนในขณะที่เจเจอร์หากได้ถูกกระตุ้นมากๆ ก็จะกลายเป็นคนที่เอาการเอางานคนหนึ่งเหมือนกัน แล้วถ้าเราเดาเนื้อเรื่องต่อไปไม่ผิด.....
“สายน้ำช่วยผมทุกอย่างไม่ว่าจะเรื่องงานกลุ่มหรืองานเดี่ยว เขาไม่ได้ช่วยทำให้ทั้งหมด แต่มักจะคอยเตือนผมอยู่เสมอ ทุกการกระทำที่ผ่านมาที่ผมคบกับเขา ถึงจะไม่ใช่ในฐานะแฟนหรือคู่นอนเหมือนกับคนอื่นที่ผ่านเข้ามาในชีวิต แต่สายน้ำสำหรับผมแล้ว.... การมีเขาเป็นเพื่อนหรือแม้กระทั่งไปไหนด้วยกันกับเขามันทำให้ผมรู้สึกสบายใจมากกว่าจะต้องมาคอยปั้นหน้าตอนอยู่กับคนอื่น เพราะแบบนั้นทุกคนเลยมักจะเห็นผมไปไหนมาไหนกับเขาเสมอ และก็คงจะเพราะอย่างนั้นล่ะมั้งเลยพากันลือไปผิดๆเกี่ยวกับสถานะของผมกับเขา
ตอนนั้นหากจะเรียกว่าหลงเพื่อนใหม่ก็คงจะไม่ผิดนัก แต่ผมไว้ใจเขามาก ....และเพราะไว้ใจมากเลยไม่ทันได้ระวัง ใครจะไปคิดล่ะจริงมั้ย? จู่ๆวันหนึ่งผมก็ได้รู้ความจริงบางอย่าง เป็นความจริงที่ผมไม่เคยนึกเชื่อจนเขาหลุดสารภาพออกมาเอง”
“...”
“สายน้ำเป็นพี่น้องคนละแม่กับผม ...เรามี 'พ่อ' คนเดียวกัน”
.
.
ร้อน
เราหยีตาลงเล็กน้อยเมื่อแสงจากดวงอาทิตย์ลอดผ่านง่ามนิ้วจากฝ่ามือที่ยกขึ้นบังความร้อนแรงจากแสงที่กำลังแผดเผาไปทั่วพื้นที่มาปะทะเข้ากับดวงตาของเรา ถอนหายใจน้อยๆรู้สึกคั่นเนื้อคั่นตัวจนน่าหงุดหงิด
วันนี้อาจารย์งดคลาส ให้นักศึกษารับรู้กันเองจากข้อความที่เขียนเอาไว้บนไวท์บอร์ดหน้าห้องเรียน หลายคนโอดครวญ หลายคนสาปแช่งหักกระดูกอาจารย์ผู้สอนกันสนุกปาก ส่วนบางคนแทบทรุดเพราะไม่ได้หลับไม่ได้นอนจากการท่องตำราเรียน เนื่องจากวันนี้มีควิซท้ายคาบแถมยังมีส่งรายงานเดี่ยว อืม...คะแนนน่าจะสัก 10% ของทั้งหมด 100% ล่ะมั้ง?
ตลกดี ที่เราเองไม่ได้จะแทบทรุดเพราะตรากตรำทำงานหรืออ่านหนังสือ แต่เป็นเพราะอยู่ร่วมรักกับโตยธารในห้องน้ำนานเกินไปเท่านั้น ทั้งยังต่อที่เตียงอีก 2 รอบเห็นจะได้ โตยธารอึดเป็นที่น่าพอใจสำหรับเราก็จริง ความจริงแล้วเราไม่นึกหรอกว่าวันต่อมาอาการไข้จะมารุมเร้าตัวเราทั้งที่ก็ไม่ได้เกิดอาการที่เรียกว่า ‘ไข้กิน’ มาตั้งนานแล้ว อาจจะตั้งแต่ตอนมัธยมต้นเลยล่ะมั้ง
โทรบอกอเล็กซ์แล้วแต่เขาติดธุระเยี่ยมเพื่อนอยู่สำนักงานนักสืบอะไรสักอย่าง ไม่ใช่เพราะไม่อยากรบกวนเวลาพบปะเพื่อนเก่าของอเล็กซ์แต่เพราะเรามีเป้าหมายแล้วต่างหาก
ส่งข้อความไปอ้อนโตยธารแล้วเรียบร้อย คงอีกสักประมาณชั่วโมงครึ่งกว่าๆได้เขาถึงจะเลิกเรียน แต่เชื่อเถอะว่าอีกไม่นานเขาต้องมาโผล่ที่คณะของเราแน่ๆ....
ไม่ใช่ว่าไม่เชื่อในสิ่งที่ได้รับรู้มาจากเจเจอร์ ถึงจะดูออกว่าเขาไม่ได้โกหกหรือปั้นเรื่องขึ้นมาเพื่อเรียกความสงสารจากเราก็ตาม แต่มีหลายอย่างในสิ่งที่เจเจอร์เล่าให้ฟังยังมีสิ่งที่เรียกว่าช่องโหว่ของความไม่สมเหตุสมผลอยู่ แล้วอีกอย่าง....สิ่งที่เรารับฟังมันก็เป็นแค่ความข้างเดียวจากเจเจอร์ด้วย
หากให้เราปักใจเชื่อความจากปากเจเจอร์เลยมันก็ดูจะอยุติธรรมสำหรับโตยธารไปสักหน่อย....
..........ถึงแม้ว่าเราจะไม่ค่อยสนว่าจริงๆแล้วความจริงระหว่างสองคนนั้นเป็นมายังไงกันแน่ก็เถอะ
สำหรับโตยธาร เราไม่ได้รู้จักเขาไปมากกว่าใครที่อาจจะรู้จักเขามาก่อนอย่างเช่นเจเจอร์ก็ตาม แต่ยังไงแล้ว... โตยธารก็คือโตยธารอยู่ดี เจเจอร์อาจจะไม่ได้โกหกเราเรื่องที่เล่าให้ฟังก็จริง ในขณะเดียวกันตลอดเวลาที่อยู่กับโตยธารเราก็สัมผัสไม่ได้ถึงความหลอกลวงเช่นเดียวกัน
.
โตยธารอาจจะมีด้านที่เรายังมองเห็น ....หรือเขาอาจไม่ต้องการให้เราเห็น ?อยู่
.
“เพราตา ขอคุยเรื่องรายงานกลุ่ม... เฮ้ย! ระวัง!!”
เพราะถูกใครบางคนเรียกเอาไว้เราจึงชะงักขาที่กำลังจะก้าวลงบันไดจังหวะนั้นดวงตาที่เคยมองเห็นกลับมืดสนิท รู้สึกเย็นเฉียบที่ศีรษะและคล้ายกับศีรษะทั้งศีรษะถูกเหน็บชากินตลอดไปจนทุกส่วนของร่างกาย
ในช่องท้องเสียววูบคล้ายกำลังตกจากที่สูง และก็คงจะเป็นอย่างนั้นในเมื่อภาพสุดท้ายที่ตาเรามองเห็นคือขั้นของบันได...
.
.
อ่า .....ขั้นบันไดเหลืออีกแค่ไม่กี่ขั้น ตกลงไปเราคงไม่เจ็บมากนักหรอก .....มั้ง?
ก็อาจจะมีเจ็บหรือระบมบ้าง แต่ก็คงไม่มาก...........
.
.
“เพราตา!”
ไม่เคยมีความรู้สึกแบบนี้มาก่อน อาจจะเป็นอาการเพ้อเพราะพิษไข้ แต่...
.............อยากให้เสียงสุดท้ายที่ได้ยินมาจากโตยธารอยู่เหมือนกัน.
ต่อๆชอบมากขอบคุณจากใจที่แบ่งปัน ขอบคุนครับ
หน้า:
[1]