เริ่มด้วยใคร่ ลงท้ายด้วย..? 15 (100%)
XVเรื่องมันเริ่มขึ้นจากตรงไหนกันนะ?
“อ๊าาส์ ....อื้ออ แรงอีก ...”
ขยับตัวอย่างกระสับกระส่าย เม้มกัดปากด้วยความเสียวซ่านเผลอแอ่นสะโพกเข้าหาความร้อนผ่าวที่กำลังทั้งดูดทั้งขบอย่างหน่วงหนักราวกับว่าอีกคนรู้แล้วว่าผมใกล้จะเสร็จเต็มที
“น น้ำ... อ๊ะ ..ไม่ไหว ...ไม่ ...อ๊า!”
แยกขาออกกว้างปลายเท้าจิกเกร็งมือสองข้างเผลอกดท้ายทอยระหงดันให้โผลงปากร้อนกลืนกินแก่นกายความเป็นชายของตัวเองเข้าไปให้ลึกที่สุดเท่าที่จะลึกได้ ...สมองขาวโพลนกระตุกตัวฉีดพ่นน้ำกามขาวขุ่นเข้าไปในโผลงปากเล็กแคบของอีกฝ่าย ...ครางดังซี๊ดขึ้นมาเมื่อเขายังคงดูดเลียความร้อนผ่าวของผมไม่หยุดราวกับจะกลืนเก็บให้หมดทุกหยาดหยดอย่างไรอย่างนั้น
ใบหน้าหวานผละออกเล็กน้อย ..น้ำสีขุ่นไหลออกมาจากมุมปากอิ่ม ดวงตาคู่กลมฉ่ำหวานช้อนขึ้นมองอย่างหลงใหล
ซึ่งตัวผมเองก็คงจะใช้แววตามองอีกฝ่ายไม่ต่างกันนัก
เม้มกัดปากเมื่อคนตัวเล็กที่ซุกหน้าอยู่ตรงหว่างขาแลบลิ้นสีสดกดเลียเนื้ออ่อนจากส่วนต้นขาด้านในขึ้นมาจนถึงข้อพับเข่า ทั้งที่ตายังไม่ผละละออกจากกัน
เพราตาเคลื่อนตัวขึ้นคร่อมตัวผมเอาไว้ในขณะที่ผมคล้องต้นคอขาวโน้มลงมาใกล้ สองขาเรียวเกาะเกี่ยวกายอีกคนเอาไว้ทำให้สัดส่วนที่เปลือยเปล่าของเราแนบทับเสียดสีกันไปมาเรียกความร้อนรุ่มให้ระอุขึ้นมาอีกครา
“เลียสิ”
น้ำเสียงแหบพร่าหวานหูเอ่ยสั่งซึ่งผมก็ยินดีที่จะทำตามอย่างไม่มีอิดออด
ค่อยๆไล้ปลายลิ้นเลียคราบน้ำรักของตัวเองที่เปรอะเปื้อนอยู่ จากปลายคางขาวเรื่อยขึ้นมาจนถึงมุมปากอิ่ม.... ก่อนที่จะถูกอีกฝ่ายฉกริมฝีปากแลกเปลี่ยนลมหายใจซึ่งกันและกันอย่างเร่าร้อน ผมครางอื้ออึงในลำคอดันดุนลิ้นผลักลิ้นยุ่นกลับ สองลิ้นร้อนตวัดพันเกี่ยวอย่างไม่มีใครยอมใคร เสียงเฉอะฉะดังก้องอยู่ในหู ชวนให้รู้สึกวาบหวามม้วนในท้อง
“..อึก”
กายของผมกระตุกน้อยๆ อดเกร็งตัวขึ้นมาไม่ได้เมื่ออีกฝ่ายสอดใส่ความต้องการของตัวเองเข้ามาช้าๆอีกครั้ง เขาผละจูบออก ผมมองหยาดน้ำใสเป็นสายที่เชื่อมระหว่างปากของเราทั้งคู่ด้วยความรู้สึกที่เหมือนจะมึนเบลอไปชั่วขณะ ก่อนที่จะเลื่อนสายตาขึ้นสบประสานกับดวงตากลมโตสื่อความนัยชวนให้ใบหน้าร้อนผ่าว
“อื้มม ...เกร็งแน่นขนาดนี้ ไม่อยากให้เราเข้าไปในตัวน้ำเหรอ?”
ใบหน้าอ่อนใสเอียงเล็กน้อย ตากลมหวานเว้าวอนออดอ้อนพาให้ใจสั่นไหวหัวใจเต้นแรงอย่างยากจะควบคุม ...ผ่อนคลายตัวปล่อยผ่านให้ความแข็งขืนสอดใส่เข้ามาในร่างกายจนสุด ครางผะแผ่วออกมาเมื่อความเสียวกระสันแล่นวาบขึ้นจากปลายเท้า
“อา ...น้ำ..... มันเข้าไปหมดแล้วล่ะ”
ผมเม้มปากขมวดคิ้ว “รู้แล้วน ..อ๊าา วิว ...อ๊ะ!”
จังหวะรักที่ไม่ช้าและไม่เร็วเกินไปกลับทำเอาผมแทบคลั่งเพราะความเสียวจนแทบจะขาดใจเมื่ออีกฝ่ายไม่ได้แค่สอดใส่หากแต่กลับหมุนเอวควงจนรู้สึกถึงความแข็งขืนที่ครูดสัมผัสไปทั่วผนังอ่อนนุ่ม
“ข้างในของน้ำ ...อื้ออ ร้อนจัง .....นิ่มด้วย อ๊ะ ..อื้อออ”
ประกบจูบบดกลีบปากอิ่มช่างพูด ที่ชอบเหลือเกินทำให้ผมอายด้วยคำพูดลามกระหว่างร่วมรักกัน
เพราตาคนนี้ไม่เหมือนอย่างที่เคยคิดไว้เลยแม้แต่น้อย ทั้งเจ้าเล่ห์กว่ามาก หื่นกว่ามาก ขี้อ้อนกว่ามาก ที่สำคัญ... เร่าร้อนได้อึดกว่าที่สุดของที่สุดจากที่เคยจินตนาการเอาไว้มากเหลือเกิน
ทั้งที่ตัวก็เล็กแค่นี้เองแท้ๆ ไม่รู้ว่าไปเอาเรี่ยวแรงมาจากไหน
....
หลังจากอาการป่วยหายเป็นปลิดทิ้ง วันนี้ทั้งวันเพราตายังไม่ยอมปล่อยให้ผมออกห่างกายเขาเลยแม้แต่น้อย ไม่ใช่ว่าทำรักกันจนไม่ลืมหูลืมตาแต่เพราะว่าวันนี้เป็นวันหยุดต่างหาก วันอาทิตย์วันหยุดที่เหมือนว่าครั้งนี้ผมจะใช้มันคุ้มจนเกินคุ้มเสียด้วยซ้ำไป
“วิว ลุกสิ”
“อื้ออ อีกนิดนะ เราเหนื่อย”
“วิวทำตัวเองทั้งนั้น อ..อื้มม”
คนตัวเล็กแสนดื้อรั้นปิดปากผมด้วยปากนิ่มๆของเขา สัมผัสอันเคยคุ้นทำให้ผมเผลอตัวเผยอปากออกรับลิ้นยุ่นที่ดุนดันสอดเข้ามาในโผลงปากโรมรันกับลิ้นของผมอย่างดูดดื่มได้อย่างง่ายดาย ครางหวานเสียงแผ่วในลำคอขนลุกซู่เมื่ออีกฝ่ายไม่เพียงแค่จูบ
ฝ่ามือนุ่มไล้ลูบจากสะโพกขึ้นมาจนถึงช่วงเอว รู้สึกถึงปลายนิ้วที่เกลี่ยไล้อ้อยอิ่งอยู่ตรงหน้าท้อง... ไม่นานอีกฝ่ายก็ผละจูบออกหากแต่ยังลงไม่ละใบหน้าออกห่างไปไหน
รู้ตัวอีกทีผมก็ยกมือขึ้นประคองหน้าของอีกฝ่ายเอาไว้เสียแล้ว
ไม่รู้หรอกว่าตัวเองทำสีหน้าหรือส่งผ่านความรู้สึกแบบไหนไปให้อีกฝ่ายได้รับรู้บาง ตอนนี้ผมรู้แค่ว่าไม่อยากให้ช่วงเวลานี้หมดไป อยาก ....อยู่ด้วยกันอย่างนี้ให้นานกว่านี้ .....
มีแค่โตยธารกับเพราตาเท่านั้น
“ทำไมถึงยอมเราขนาดนี้ล่ะ?”
....
รู้สึกได้ถึงฝ่ามือเรียวที่ไล้ลูบข้างแก้มของเราอยู่จะชะงักไป ดวงตากลมโตไหวระริกยามจดจ้องมาที่เราซึ่งยังคงไม่ละสายตาจากเขาไปไหน ไม่ได้อยากคาดคั้นหรืออะไรเพียงแต่เราแค่อยากรู้เท่านั้น
เพราะอยากรู้เลยต้องถามออกมา
“.......ทำไมน้ำถึงยอมทำตามใจเราทุกอย่าง คนที่ขึ้นชื่อว่าเป็นแฟนใหม่ของแฟนเก่าอย่างเรา... ทำไมถึงได้ยอม?”
เราคิดว่ามันไม่ใช่เรื่องแปลกที่นึกสงสัย ถึงตอนแรกเราจะแค่นึกสนุกอยากลองทำในสิ่งที่ไม่เคยคิดจะทำมาก่อนอย่างการนอนกับฝ่ายรับด้วยกัน ยอมรับตามตรงว่าเราแค่อยาก ‘สนุก’ กับโตยธารเท่านั้น อยากรู้ว่าเขามีดีอะไรทำไมถึงได้เอาเจเจอร์อยู่ ...แม้จะเป็นแค่ช่วงเวลาก่อนที่เจเจอร์จะเจอเราก็เถอะ
แต่ตอนนี้ความรู้สึกของเรามันไม่ได้เป็นอย่างในตอนแรกซะแล้ว และเราก็รู้ตัวดีและไม่คิดที่จะหลอกตัวเอง
‘เราชอบโตยธาร’
ความชอบที่ในภายภาคหน้าอาจจะพัฒนาเป็นความรัก ถึงจะไม่เข้าใจว่าสิ่งที่ใครหลายคนเรียกกันว่า ‘รัก’ นั้นมันเป็นความรู้สึกแบบไหนกันแน่ก็ตาม ...แต่เรารับรู้ได้ว่าโตยธารสำหรับเราในตอนนี้พิเศษเหนือกว่าคนอื่นๆ
และเพราะอย่างนั้นเราถึงได้อยากที่จะไขข้อข้องใจที่มีเกี่ยวกับตัวเขา
เขาเข้าหาเรา เพราะต้องการกันเราออกจากเจเจอร์เพื่อที่จะได้รอเวลากลับไปหาแฟนเก่าที่เคยบอกว่ารักมากอย่างเจเจอร์.....
หรือต้องการกันเจเจอร์ออกจากเราเพื่อเหตุผลบางอย่างที่เราหรือใครไม่อาจรู้หรือคาดเดาได้ถูกทาง
ความจริงแล้วมันเป็นแบบไหนกันแน่?
....
เราถอนหายใจออกมาเมื่อรอได้สักพักคนใต้ร่างก็ยังคงเม้มปากเงียบอยู่ไร้ซึ่งคำตอบหรือคำบอกเล่าใดๆ ขยับกายลุกขึ้นจากเตียง รู้สึกเหนียวตัวอยู่เหมือนกันถึงแม้ว่าในตัวเราจะไม่ได้มีคราบน้ำอะไรติดอยู่เหมือนอีกคนก็ตาม แต่ถึงอย่างนั้นตลอดหลายชั่วโมงที่ผ่านมาถือว่าเราเองใช้แรงไปเยอะเกินกว่าที่เคยเป็น
ทั้งที่เป็นคนไม่ชอบออกแรงและไม่ชอบที่จะเสียเหงื่อในปริมาณที่มากๆแท้ๆ
แต่กับโตยธาร... เรากลับชอบที่จะเป็น ‘ฝ่ายกอด’ พอได้กอดก็ยิ่งต้องการ
มากขึ้นทุกที
หมับ
“...เพราะว่าชอบ ........ชอบมาตลอด”
มือเรียวที่จับรั้งข้อศอกของเราเอาไว้ค่อยๆเลื่อนลงจับมือของเราแทน แรงบีบเบาๆพร้อมทั้งน้ำเสียงแผ่วเบาในลำคอทำให้เรารับรู้ได้ว่าเขากำลังประหม่าขนาดไหน แล้วก็ไม่ผิดไปจากที่คิดเมื่อเราหันกลับไปมองร่างบางที่ยังคงนั่งอยู่บนเตียง แววตาจากดวงตาคู่กลมไหวระริกหากแต่จ้องมองตรงมายังเราด้วยความมั่นคง
“...น้ำจะตอบทุกอย่างที่วิวอยากรู้”
เราพยักหน้าโตยธารเม้มปากแน่น....
“คนที่น้ำชอบคือวิวไม่ใช่เจเจอร์ ไม่เคยเป็นมันและไม่มีวันเป็นมันไปได้”
เราพยักหน้าอีกครั้งส่วนโตยธารเลิกเม้มปากเปลี่ยนเป็นกัดปากแทน อยากจะหัวเราะเพราะท่าทางกดดันแบบนั้นของเขาดูตลกอย่างบอกไม่ถูก
น่ารักจริงๆเลยสิหน่า
“ความสัมพันธ์ระหว่างน้ำกับเจเจอร์ที่วิวอาจจะไม่รู้และไม่มีใครเคยได้รู้มาก่อน ....”เสียงท้ายประโยคเบาลง โตยธารก้มหน้ามือที่จับมือของเราอยู่กระชับแน่นขึ้น “เราเป็นพี่น้องคนละแม่กัน”
“เรื่องนั้นเรารู้แล้วล่ะ เจเจอร์เป็นคนบอกเราเอง”เพราะเห็นเขาทำหน้าสงสัยเราเลยบอกออกไปตามความจริง วูบหนึ่งที่เห็นดวงตากลมคู่สวยเป็นประกายไม่พอใจวาววับขึ้นมาก่อนที่จะหายไปอย่างรวดเร็ว..
อืม ท่าทางก็ดู'เอาเรื่อง'อยู่เหมือนกัน
“เพราะมันนั่นแหละเลยทำให้ทุกคนเข้าใจกันไปผิดๆ ทั้งเรื่องที่ว่าคบกันทั้งเรื่องที่....น้ำเป็นเมียมันไปแล้ว”เม้มปากอีกแล้ว... เราอดที่จะหัวเราะออกมาเบาๆไม่ได้จริงๆ ขยับเคลื่อนกายนั่งคร่อมตัวอีกคนเอาไว้ ไล้มือไปตามโครงหน้าได้รูปก่อนที่จะกดนิ้วโป้งคลึงกลีบปากบางแผ่วเบา
“เริ่มชอบเราตั้งแต่เมื่อไหร่เหรอ?”
มองริ้วแดงที่แต้มอยู่ตรงพวงแก้มเนียน ยิ้มออกมาเมื่อได้รับคำตอบ
“..ไม่รู้ ตอนแรกน้ำไม่ชอบวิวด้วยซ้ำ วิวดูหยิ่ง เข้าถึงยากจะตาย นี่ก็แปลกใจตัวเองเหมือนกันว่าจากไม่ชอบกลายเป็นหลงรักไปตั้งแต่ตอนไหน พอรู้ตัวก็รักไปแล้ว ....ไม่เคยคิดที่จะบอกให้รู้ด้วย ก็น้ำน่ะ ....ไม่ใช่รุก ดูยังไงรูปร่างหน้าตาแบบนี้ก็ไม่ใช่สเปคของวิวเลยสักนิด”
“แต่น้ำก็ได้รุกเรานี่หน่า”เรากระซิบหยอกพร้อมทั้งขบติ่งหูนิ่มเล่น “..ตั้งหลายครั้งด้วย”
“เรื่องนี้ก็ไม่ใช่สิ่งที่เคยคิดเอาไว้ด้วยเหมือนกัน”
เราหัวเราะ อีกฝ่ายค้อนควับทันที
“แล้วทำไมอยู่ๆถึงได้กล้าเข้าหาเราได้ล่ะ? เพราะเรื่องเจเจอร์งั้นหรือ?”
โตยธารเงียบไปก่อนที่จะซบหน้าเข้ากับไหล่ของเราในขณะที่เอวเปล่าเปลือยของเราถูกเขาโอบกอดแน่นขึ้นกว่าเดิม
“...แค่อยากลองเสี่ยงดูสักครั้ง”
เรายิ้มพลางกระซิบถาม
“แล้วถ้าผลไม่ได้ออกมาเป็นอย่างตอนนี้ล่ะ ถ้าเราไม่สน ไม่เล่นด้วยล่ะ?”
ใบหน้าที่ซุกซบอยู่บนไหล่ผละออกแทบจะในทันทีที่จบคำถามจากเรา รอยยิ้มหวานถูกส่งมาให้พร้อมกับแรงโอบกอดที่กระชับแน่นขึ้น
“วิวจำครั้งแรกที่เราเคยคุยกันได้ไหม?”
เราพยักหน้า
“ที่น้ำบอกว่าแค่อยากรู้ว่าวิวรักเจเจอร์หรือเปล่า แล้ววิวก็ตอบกลับมาว่าถ้าวิวบอกว่ารัก น้ำจะยอมตัดใจจากเจเจอร์แล้วปล่อยเจเจอร์มาให้วิวง่ายๆอย่างนั้นเหรอน่ะ”
เราพยักหน้าอีก ก็ไม่ใช่ว่าจำได้ทั้งหมดหรอกแต่ก็ลางๆเหมือนว่าจะเคยพูดไว้แบบนั้นจริงๆ
“ไม่มีทาง นั่นคือสิ่งที่น้ำตอบกลับไป”
“...”
รอยยิ้มอ่อนโยนปรากฏขึ้นบนใบหน้าขาวที่ไม่ได้ดูจืดชืดอย่างที่เคยมองเห็นในตอนแรกพร้อมกับมือเรียวที่ยกขึ้นประคองแก้มของเราเอาไว้ ท่าทีที่ดูทะนุถนอมกันแบบนั้นทำให้เรารู้สึกใจวูบโหวงในท้องแปลกๆ... ปลายนิ้วโป้งลูบไล้เนื้อแก้มนุ่มอย่างนุ่มนวล พร้อมกับใบหน้าที่น่ารักขึ้นเยอะในตอนนี้สำหรับเราจะส่งยิ้มอ่อนโยนหวานขึ้นกว่าเดิมมาให้....
คิดว่าหัวใจเต้นผิดจังหวะไปหลายจังหวะเลยทีเดียว
“คำตอบนั้นของน้ำไม่ใช่ไม่ยอมตัดใจจากเจเจอร์อย่างที่วิวเข้าใจหรอก‘ไม่ว่ายังไงน้ำก็จะไม่ยอมตัดใจจากวิวแน่นอน’ต่างหาก คือความหมายที่แท้จริงของมัน”
อ่า .....เราคิดว่าเรากำลังเข้าถึงคำว่า ‘เขิน’ เพราะโตยธาร
เป็นครั้งแรกที่รู้สึกแบบนี้กับใครเลยจริงๆ
คงต้องเพิ่มเข้าไปในลิส ‘ครั้งแรกกับโตยธาร’ อีกเรื่องหนึ่งแล้วล่ะ
.
.
อเล็กซ์ไม่รับโทรศัพท์
เพราะแบบนั้นเลยทำให้เราต้องมานั่งนึกย้อนมองตัวเองว่าที่ผ่านมาใช้งานเขามากเกินไปหรือเปล่า? แต่ถ้าหมอนั่นจะนึกประท้วงอะไรกันก็ไม่น่าจะเพิ่งมาทำตอนนี้ เพราะจากที่จำความได้เวลาเราต้องการอะไรอเล็กซ์มักจะเป็นคนไปสรรหามาให้เราเสมอ ไม่เคยมีสักครั้งที่จะแสดงสีหน้าหรือท่าทางไม่พอใจอะไร และแน่นอนว่าทุกอย่างที่เขาทำให้เราล้วนแล้วแต่เพอร์เฟคไร้ที่ติทั้งนั้น
ไม่เคยมีสักครั้งที่เขาจะไม่รับสายของเรา
จะเกิดอะไรขึ้นหรือเปล่านะ?
“ถ้าเป็นห่วงก็ไปดูเขาที่เรือนเล็กเลยสิ เดี๋ยวน้ำไปเป็นเพื่อน”
รู้สึกดีที่ตอนนี้เรามีโตยธารอยู่ด้วยจริงๆ
เคยบอกหรือเปล่าว่าเราไม่ชอบนั่งรถโดยสาร ต่อให้เป็นแท็กซี่ที่มีความเป็นส่วนกว่าพาหนะอย่างอื่นอยู่บ้างก็ไม่ชอบอยู่ดี เหตุผลหลักๆที่ไม่ได้มีความยุ่งยากเลยคือ ‘เราไม่ชิน’
หากแต่ยังไม่ทันที่เรากับคนร่างบางที่อาสาไปดูใจอเล็กซ์เป็นเพื่อนจะได้เดินไปไหนไกลจากหอ ปอร์เช่คันสีดำขึ้นเงาสวยกลับปาดตัดหน้าจนต้องชะงักเสียก่อน ....
“จะไปไหนครับวิว ให้ผมไปส่งไหม?”
ทำไมผู้ชายคนนี้ถึงได้ทนทานยาดนักนะ?
“อย่าเสือก”
เปล่า ไม่ใช่เราแต่เป็นคนตัวบางข้างกายต่างหากที่ตอกหน้าเจเจอร์กลับไป มือของเราถูกกอบกุมด้วยมือเรียวของเขาพร้อมกับที่อีกคนก้าวขึ้นนำเอาตัวขวางระหว่างเรากับร่างสูงของเจเจอร์ไว้
ร่างหนาของเจเจอร์ยกนิ้วชี้ขึ้นแตะปากตัวเองพลางส่งเสียงที่ฟังดูแล้วน่าหมั่นไส้อย่างไรไม่รู้ออกมา “จุ๊ๆ ผมไม่ได้คุยกับพี่ โน่น ..คนโน่นต่างหากที่อยากจะคุยกับพี่จนตัวสั่น”ว่าพลางยกนิ้วโป้งชี้ข้ามไหล่ตัวเอง
ถึงตรงนี้เราเพิ่งเห็นว่านอกจากเจเจอร์แล้วยังมีใครอีกคนที่เอาแต่ยืนเงียบๆอยู่ข้างรถมาเสียนานสองนานอยู่ด้วย เหมือนกับรอจังหวะนี้อยู่แล้ว ร่างที่หนาพอกันกับเจเจอร์ก้าวขาทิ้งห่างจากรถเดินมายืนข้างกัน ความภูมิฐานบ่งบอกถึงความมีอายุและอำนาจในตัว เค้าโครงหน้ากับดวงตาคมกริบเหมือนเจเจอร์ไม่ผิดเพี้ยน มีเพียงสิ่งหนึ่งที่ไม่เหมือนเจเจอร์แต่กลับเหมือนร่างบางที่ยังคงยืนเยื้องอยู่หน้าเราแทน
กลีบปากบางแย้มรอยยิ้มยินดีออกมาให้คนร่างบางที่ออกแรงบีบมือเราจนรู้สึกเจ็บ
แต่กลับหุบยิ้มทันทีเมื่อมองมาทางเรา ....
“เพื่อนลูกคนนั้นให้น้องไปส่งเขาจะดีกว่า คนเคยคุ้นกันดีอยู่แล้วไม่ใช่หรือ?”
“มันไม่เกี่ยวกับคุณ”
“พูดแบบนั้นพ่อเสียใจนะน้ำ เธอ ..วิวสินะ? พอดีฉันมีเรื่องส่วนตัวจะคุยกับลูกชายของฉัน หวังว่าเธอคงจะเข้าใจนะ เรื่องภายในครอบครัวน่ะให้มีคนนอกอยู่รับฟังด้วยมันคงจะไม่ดีนัก”
เราเงียบก่อนที่จะยิ้มออกมา ดึงมือออกจากมือเรียวของโตยธารจนอีกฝ่ายครางเรียกชื่อเสียงอ่อน ....ที่เราทำไม่ใช่การโอ๋โตยธารที่คงจะเริ่มใจเสียแต่เป็นการเดินไปยืนเผชิญหน้ากับชายภูมิฐานแทน
“เราดีใจที่คนที่เลี้ยงน้ำมาเป็นคุณแม่ ......ไม่ใช่คุณพ่อ”
อย่างที่น่าจะรู้กันว่าเราถนัดพูดแต่ความจริงแล้วสิ่งที่เราพูดก็ออกมาจากใจจริงๆไม่ได้เสแสร้งหรือ‘จงใจ’ว่ากล่าวอะไรเขา แต่ดูเหมือนว่าเขาจะเข้าใจเป็นอย่างนั้นไปเสียแล้วถึงได้แสดงสีหน้าโกรธเกรี้ยวออกมาให้เห็นแบบนั้น ...ซึ่งก็ไม่ใช่สิ่งที่เราให้ความสนใจสักเท่าไหร่นัก เราหันกลับไปเพื่อบอกโตยธารว่าเราจะกลับมาอีกทีมืดๆ ก่อนที่จะหันกลับมายกมือไหว้คุณพ่อของเจเจอร์ที่ไม่แม้แต่จะยกมือรับไหว้ตามมารยาท
ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกสักเท่าไหร่เพราะดูเหมือนว่าเขาจะไม่ค่อยพอใจ หรือบางทีอาจจะลามไปถึงไม่ชอบหน้าเรา ไม่ใช่เพราะคำพูดประโยคนั้นของเราแต่น่าจะก่อนหน้าที่จะเจอเราเสียอีกด้วยซ้ำ แสดงออกเสียขนาดนั้นขนาดคนโง่ก็คงดูออกได้อย่างไม่ยากเย็นอะไร
เราก้าวขาขึ้นรถเมื่อเจเจอร์รีบเดินมาเปิดประตูให้ และเขาคงกลัวว่าเราจะเปลี่ยนใจถึงได้รีบวิ่งอ้อมรถพอขึ้นมานั่งประจำที่คนขับได้ก็ออกรถทันที
ไม่ใช่ว่าเราไม่ห่วงโตยธารหรือจะให้โอกาสเจเจอร์ได้ทำคะแนน ไม่เอาหน่า...หมดเวลาสำหรับเจเจอร์มานานแล้วไม่รู้หรือ?
เพียงแต่เรื่องบางเรื่องมันก็ละเอียดอ่อนเกินกว่าที่คนนอกอย่างเราจะเข้าไปยุ่งเกี่ยวได้ โดยเฉพาะเรื่องของครอบครัว โตยธารจะต้องรับมือด้วยตัวเองให้ได้และเราเชื่อว่าเขาเข้มแข็งมากพอ
ไม่อย่างนั้นก็คงไม่อยู่ด้วยตัวเองคนเดียวมาได้จนถึงตอนนี้หรอก
แน่นอน ....เรารู้อะไรเกี่ยวกับโตยธารมากกว่าเขาที่นึกคิดเสียอีก
“หลงมันมากขนาดนั้นเลยหรือไง สายน้ำน่ะ ถึงขั้นจะไปหอบผ้าหอบผ่อนมาอยู่กับมัน”
“ถ้าไม่คิดจะทำตามคำพูดของตัวเอง ทีหลังอย่าพูด”เราพูดเรียบๆไม่แม้แต่จะหันไปมองคนขับที่คงจะกัดฟันกรอดสะกดกลั้นอารมณ์อย่างเคย
คนความอดทนต่ำอย่างเจเจอร์ เดาปฏิกิริยาได้ไม่ยากนักหรอก
“พ่อรักมันมาก เขาไม่ยอมให้มันเป็นเกย์หรือมีเมียเป็นผู้ชายหรอก ถ้าวิวไม่คิดจริงจังก็ดีไป”
“เหรอ”
“วิว!!”
“เราเองก็ลืมไปว่าคุณน่ารำคาญขนาดไหน รู้อย่างนี้เรายอมนั่งรถเมล์เบียดเสียดคนอื่นหรือไม่ก็แท็กซี่คงจะดีกว่า”
เจเจอร์ไม่โต้ตอบอะไรกลับมาอีกแต่ความเร็วรถกลับเพิ่มขึ้นจนเสียววูบในท้องน้อย เขาไม่ใช่คนโง่หรือความจำสั้นอะไร คงรู้อยู่ว่าต่อให้เร่งความเร็วรถจนเหมือนจะเหาะได้ทั้งคันรถขนาดไหนเราก็ไม่รู้สึกกลัวจนถึงขั้นร้องขอหรืออ้อนวอนให้เขาลดความเร็วลงหรอก
คงจะอยากระบายโทสะของตัวเอง
...แต่ก็คงจะระบายออกได้แค่ส่วนหนึ่งเท่านั้นล่ะนะ
เอาเถอะ ขอแค่ถึงเรือนเล็กเขาจะบ้าจะคลั่งขนาดไหนระหว่างทางก็ช่าง หากเพียงแต่...........
....
กลับไม่ใช่เรือนเล็กคุ้นตาที่ปรากฏอยู่ตรงหน้า
บ้านเจเจอร์
ปัง!
เราถอนหายใจอย่างหนักหน่วงเมื่อเจเจอร์เหวี่ยงปิดประตูรถด้วยอารมณ์ ไม่พอยังกระชากเปิดประตูรถฝั่งเราด้วยความฉุนเฉียวไม่ต่างกัน ระหว่างทางมานี่คงไม่ได้ทำให้เขาลดความบ้าของตัวเองลงได้เลยสินะ
“ลงมา วิว”
มือหนาที่กำลังจะคว้าข้อมือของเราคว้าได้เพียงแค่อากาศเมื่อเราขยับมือหลบทัน และนั่นคงจะทำให้เส้นความอดทนของเขาใกล้ขาดเต็มที
“วิว! ผมบอกให้ลงมา!!”
เราถอนหายใจ “ถอยไปหน่อย เราลงเองได้” ถึงจะไม่พอใจแต่คงเพราะไม่อยากขัดเรามากเขาถึงได้ถอยห่างจากประตูรถที่เปิดกว้าง เราก้าวขาข้างหนึ่งแตะพื้นพลางเอ่ยเสียงไม่ดังนัก “รู้อะไรไหมเจเจอร์?”
“??”
“ส่วนดีของคุณคือการที่คุณตรงสเปคของเราทุกอย่าง นั่นทำให้เราคบกับคุณได้นานกว่าคนอื่น”
“....”
“แต่มันก็แค่นั้น ตอนนี้ต่อให้คุณลดความน่าเบื่อลงทำตัวให้ตรงสเปคของเรามากกว่านี้อีกเป็นร้อยๆพันๆเท่า เราก็ไม่เอาคุณอยู่ดี”
ปัง
กริ๊ก
เราอาศัยช่วงเวลาที่เจเจอร์อึ้งกระชากประตูรถปิดกว่าที่เขาจะเรียกสติคืนกลับมาได้เราก็ย้ายไปนั่งฝั่งคนขับพร้อมทั้งปิดล็อคประตูรถเรียบร้อยแล้ว หากจะโทษใครก็ต้องโทษตัวเขาเองที่ประหม่าเราเกินไป นั่นเป็นสิ่งที่ทำให้เรารู้ว่าตลอดเวลาที่ให้เขาได้อยู่ข้างกาย..... เจเจอร์ไม่เคยรู้จักเราเลยสักนิด
นึกชอบใจที่รถคันนี้เก็บเสียงได้ดีกว่าที่คิด เพราะต่อให้เจเจอร์ตะเบ็งเสียงจนเส้นเลือดขึ้นคอ ...มันก็เป็นได้แค่เสียงก่อกวนเล็กๆน้อยๆไม่พอให้ได้รู้สึกระคายหูเลยแม้แต่น้อย
เรายิ้มให้เจเจอร์ที่ทุบกระจกรถด้วยสีหน้า อืม...จะว่าน่ากลัวในสายตาคนอื่นมองก็คงจะน่ากลัวอยู่ แต่ในสายตาเราเขาดูเหมือนคนบ้าที่กำลังคลั่งมากกว่า
ในความทรงจำของเรา .....ยังมีคนที่น่ากลัวกว่าเจเจอร์เสียอีก
มากขนาดเขาเทียบไม่ติดแม้แต่ฝุ่นผงเลยล่ะ
ขยับมือเข้าเกียร์แต่ก่อนที่จะออกรถเราเลื่อนกระจกลงเล็กน้อยแค่พอพูดออกไปแล้วให้เขาได้ยินเท่านั้น.........
“ไม่ต้องห่วงหรอก เรามีใบขับขี่”
อืม อาจจะไม่ใช่เรื่องที่เขาอยากรับฟังสักเท่าไหร่แต่เราอยากพูด
ก็แค่นั้น.
ต่อๆชอบมากขอบคุณจากใจที่แบ่งปัน ขอบคุนครับ
หน้า:
[1]