Daddy finger-1
Daddy fingerDaddy finger, where are you?
วันศุกร์ในเวลา 15.30 นาที
พระอาทิตย์ยังคงทำงานอย่างร้อนแรงเช่นเคย
อุณหภูมิกว่าสามสิบองศากำลังหลอมละลายเจ้าของเรือนผมสีน้ำตาลอ่อนจนเม็ดเหงื่อหยดไหลตามกรอบหน้ารูปไข่ เหมือนเวลาที่หมูสามชั้นวางบนเตาร้อนระอุ แผดเผาจนน้ำมันเยิ้ม
ปรมิณไม่ใช่พวกชอบตอกย้ำจุดด้อยของตัวเองหรอก แต่คนรอบข้างมักมีปัญหากับรูปร่างที่เขาส่องกระจกแล้วไม่เห็นว่ามันจะหนักหนาสักเท่าไหร่ น้ำหนักส่วนสูงเขาพอดีตามมาตรฐานด้วยซ้ำ เพียงแต่พวงแก้มขาวนวลซับสีแดงระเรื่อนั่นติดจะย้วยไปสักหน่อย
มันไม่ได้แย่
แต่กลับดู ‘น่ารักมาก’
อย่างที่เขาคนนั้นชอบบอกเสมอ
“ร้อนโว๊ย!” มือขาวล้วงหยิบผ้าเช็ดหน้าในกระเป๋าเสื้อพละขึ้นมาซับเหงื่อตามกรอบหน้า ก่อนจะเก็บเข้ากระเป๋าตามเดิม
ปอล่ะเกลียดคนจัดตารางสอนของวันศุกร์ซะจริง วันที่มันควรจะแฮปปี้กับวิชาเรียนที่นั่งฟังเลคเชอร์ในห้องแอร์สบายๆ แต่เขากลับต้องมาวิ่งไล่ลูกๆ กลมในสนามกับเพื่อนแบบนี้มันใช้ได้ที่ไหน เรียนพละในหน้าร้อนตอนบ่ายสามไม่ใช่เรื่องสนุกเลยสักนิด อากาศร้อนอย่างกับนรก
“ปรมิณ! อย่ามัวแต่เหม่อ! ฝั่งตรงข้ามจะเตะลูกเข้าโกลอยู่แล้ว”
สวีปเปอร์ตัวจ้อยเหลือบตามองอาจารย์พละตรงเก้าอี้พักข้างสนามอย่างขุ่นเขือง คนอยู่ใต้ร่มหลังคาย่อมสบายกว่าคนยืนใต้ฟ้าที่พระอาทิตย์เบ่งอำนาจร้อนแรงอย่างพวกเขาอยู่แล้ว
หงุดหงิดชะมัดที่วันนี้ไม่มีอะไรได้ดั่งใจปอสักอย่าง ตั้งแต่ถูกบังคับให้เป็นตัวกวาดทั้งที่ยืนยันหนักแน่นแล้วว่าขอเป็นตัวสำรอง
เพราะฉะนั้น วันนี้ร่างเล็กจะขอเดินเกมในสนามตามใจตัวเองบ้าง
จากที่ควรจะวิ่งตัดหน้าฝั่งตรงข้ามเพื่อชิงลูกบอลส่งให้พวกที่สวมเสื้อกั๊กสีแดงเช่นเดียวกับเขา ทว่าปอกลับเตะลูกกลมๆ ใต้ฝ่าเท้าเข้าโกลฝั่งตรงข้ามไปหน้าตาเฉย ไอ้ตัวแสบโห่ร้องดีใจเพียงคนเดียวในสนามพลางวิ่งกางแขนท่ามกลางความมึนงงของทีมฝั่งตรงข้ามและทีมของเขาเอง
ปริ๊ดดดดดดด!
รวมถึงอาจารย์ที่เป่านกหวีดลั่นสนามแล้วตะโกนว่า…
“เปลี่ยนตัว!”
ซึ่งคำสั่งนั้นสร้างความดีใจให้ปอเป็นอย่างมาก ร่างเล็กวิ่งปรู้ดกลับเข้ามายังเก้าอี้พักโดยไม่ยอมแตะมือกับตัวสำรองที่จะเข้าไปเป็นตัวกวาดแทน ขวดน้ำเปล่าผสมเกลือแร่เป็นสิ่งแรกที่เขาคว้าขึ้นมาดื่มแก้กระหาย ก่อนจะทรุดตัวลงนั่งข้างเพื่อนสนิทที่ใช้สายตามองเอือมระอา ซึ่งตรงนี้ปอไม่ได้เก็บมาสนใจมันมากนัก
“มึงนี่มัน”
“ก็บอกแล้วว่าขอเป็นตัวสำรอง”
“เดี๋ยวลุงเขาก็หมั่นไส้เอาหรอก”
“ได้แค่หมั่นไส้นั่นแหละ”
อาจารย์พละที่แก่คราวพ่อไม่กล้าทำอะไรมากไปกว่าคำว่าหมั่นไส้อย่างเช่นการเขียน F ลงบนใบทรานสคริป ถึงเขาจะค่อนข้างดื้อและไม่ค่อยรวมกิจกรรมสนามมากนัก แต่ปอก็เป็นเด็กเรียนดี เชื่อเถอะว่าไอ้คนที่ครูพละส่งลงสนามไปแทนเขาเมื่อครู่น่ะ ฝีเท้ายังเล่นไม่ได้ดีเท่าครึ่งหนึ่งของเขาเลย
“ฝากของแป๊บ จะไปห้องน้ำ”
เพื่อนรักพยักหน้าจากนั้นก็หันกลับไปสนใจเกมในสนามต่อ
โดยที่มีสายตาคาดการณ์ของปอคอยมองอยู่ บอกเลยว่าสี่สิบเปอร์เซ็นต์ที่พวกอ่อนแอแบบบิวจะสนใจเกมบอลในสนาม ส่วนหกสิบเปอร์เซ็นต์ที่เหลือคือสายตาอ่านง่ายยิ่งกว่าแก้สมการดิฟอินทิเกรตนั้นกำลังจ้องอยู่ที่กองหน้าของทีมเสื้อสีแดง
ร่างสูงโดดเด่นในสนามอย่างชวินต่างหากที่เป็นจุดสนใจของนัยน์ตาเรียวเล็กนั่น
ซึ่งขนาดคนไม่ถูกจ้องอย่างเขายังดูออก แล้วนับประสาอะไรกับเด็กหนุ่มวัยสิบแปดปีแบบชวินที่ประสบการณ์รักค่อนข้างโชกโชนพอสมควร จะมองไม่ออกว่าคนซื่อบื้ออย่างบิวคิดเกินคำว่าเพื่อนไปมากแค่ไหน เคยมีวูบหนึ่งที่ปออยากให้เพื่อนสารภาพความรู้สึกดู แต่อีกวูบก็คิดว่าปล่อยให้มันเป็นไปตามความต้องการของเจ้าตัวมันดีกว่า อย่างน้อยเขาก็ยังไม่อยากเห็นหมาหน้าโง่นั่นยืนร้องไห้ในงานปัจฉิมนิเทศเพราะถูกหนุ่มฮอทของโรงเรียนทิ้งกลางทางหรอกนะ
พอเฝ้าสังเกตจนพอใจแล้ว ปรมิณก็เดินย่ำเท้าไปตามลู่วิ่งด้วยจังหวะแช่มช้า ไม่เร่งรีบ สองมือล้วงกระเป๋ากางเกงพลางฮัมเพลงที่ยังเล่นค้างอยู่ในหัวตั้งแต่เช้าจวบจนกระทั่งตอนนี้
“ไอ้ปอ!” เสียงของหมาบิวดังขึ้นทางด้านหลัง เรียกให้เขาหันกลับไปมองร่างบางกำลังวิ่งตรงมาทางนี้ “พ่อมึงโทรมา”
พ่อ?
หมายถึงพ่อบังเกิดเกล้าหรือว่า…
นัยน์ตากลมหลุบมองหน้าจอโทรศัพท์มือถือโชว์เบอร์โทรเข้า ซึ่งเพื่อนรักถือวิสาสะรับสายให้แล้ว
‘DADDY’
“เธอเมมชื่อฉันว่าอะไร ทำไมเด็กนั่นถึงได้คิดว่าฉันเป็นพ่อของเธอ”
เด็กหนุ่มหลุดยิ้มหลังจากได้ฟังคำถามแรกในรอบแปดชั่วโมงที่พวกเขาไม่ได้เจอหน้ากันแทนคำทักทายอย่างสวัสดี ปรมิณคิดไว้แล้วเชียวว่าอีกฝ่ายต้องไม่พอใจ แต่บิวมันก็ไม่ผิดหรอกในเมื่อ ‘Daddy’ ในความหมายของมันแปลว่าพ่อ
แต่สำหรับเขามันคืออีกความหมาย
ร่างสูงที่ใช้มือเพียงข้างเดียวจับพวงมาลัยไว้ แล้วเอี้ยวตัวมาเผชิญหน้ากันนั้นเป็นอะไรที่มากกว่า
“ก็แดดดี้ไม่ได้แปลว่าพ่อหรอกหรือครับ”
“ปอ เธออย่ากวนประสาทนะ”
“ขอโทษครับคุณพ่อ”
“ปรมิณ” เสียงทุ้มเรียกชื่อเขาดังเข้มอยู่ในคอ
“ฮ่าฮ่า” ร่างเล็กหัวเราะกับเสียงขู่ฮึมฮัมราวกับหมีที่กำลังไม่พอใจแบบสุดๆ เขาพยายามกลั้นหัวเราะก่อนที่จะโดนอุ้งเท้าใหญ่ของคุณหมีผิวสีน้ำตาลนั้นตะครุบร่าง… โดยการดึงให้ขึ้นมานั่งบนตักแล้วจัดการลงโทษเขาอย่างเคย
“ตัวแสบ”
“อย่านะครับ ตัวผมเหม็นเหงื่อ”
“แล้วยังไง” คุณอธิษฐ์ลอยหน้าลอยตาถามพลางขยับความหล่อเหลาเข้ามาใกล้เรื่อยๆ ทั้งยังไล่ต้อนให้เจ้าของความหวานราวน้ำผึ้งที่สัตว์กินเนื้อเช่นเขาโปรดปรานจนมุม
“มันเหม็นน่ะสิครับ” ปอบอกในขณะที่ยกฝ่ามือจับประคองใบหน้าคมคายเอาไว้
“ฉันไม่ถือ”
“แต่ผมถือนี่”
“กลิ่นเหงื่อเธอน่ะ ฉันไม่รังเกียจหรอก” คนฟังหน้าร้อนวาบเมื่อท้ายประโยคนั่นเอ่ยสื่อความนัยที่ทำให้เขาคิดอย่างอื่นไม่ได้เลย “ฉันดมมันออกจะบ่อย”
จะว่าเขินมันก็เขิน แต่อีกใจเขาก็แขยงหูหน่อยๆ ตอนฟัง หากคนพูดกลับเอ่ยมันออกมาด้วยใบหน้าเรียบเฉย เหมือนเป็นเรื่องธรรมดาที่ใครๆ ก็ชอบพูดกันแบบนั้น
คุณอธิษฐ์เป็นคนประเภทไหนกันเนี่ย
“คุณนี่มัน” หมดคำจะพูดกับคนเจ้าเล่ห์ตรงหน้า เด็กหนุ่มจึงเฉไฉเปลี่ยนเรื่องไป “มารับผมแบบนี้จะพาไปกินข้าวข้างนอกเหรอครับ ถ้าจะพาผมไปก็ต้องพากลับไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนนะ ผมไม่ยอมไปนั่งจ้องตากับคุณในร้านหรูด้วยสภาพเหงื่อซกแถมกลิ่นตุแน่ๆ”
“ไม่ล่ะ วันนี้ฉันจะกินเธอ”
“คุณธิ!” ปอร้องท้วงด้วยใบหน้าร้อนผ่าว
“โทษที หลุดปากน่ะ”
มันใช่เหรอ?
ใบหน้าเจ้าเล่ห์ของชายหนุ่มด้านข้างนั้นดูไม่น่าเชื่อได้เลยว่าอีกฝ่ายจะหลุดพูดอย่างที่บอก ถ้าแก้ตัวว่าตั้งใจพูด เขาว่ามันยังน้ำหนักมากกว่าเลย
“คุณนี่มัน”
เสียงทุ้มหัวเราะชอบใจก่อนจะแก้ต่างกับประโยคก่อนหน้าที่จะว่าเขาจงใจพูดผิดไปก็ได้ “ฉันอยากกินฝีมือเธอ วันนี้ช่วยทำอาหารให้กินหน่อยแล้วกัน”
เด็กหนุ่มในชุดพละทำตาปะหลับปะเหลือกก่อนตอบรับ “อย่างนั้นก็ได้ครับ ว่าแต่คุณอยากกินอะไรเป็นพิเศษหรือเปล่า— อ่อ ห้ามตอบว่าเป็นผมนะ”
เจ้าเด็กรู้มากพูดดักคอไว้ก่อนที่จะโดนอีกฝ่ายหยอดให้อายม้วน
“ไม่มี เพราะสิ่งที่อยากกินเป็นพิเศษเธอก็ชิงตอบไปก่อนแล้วนี่”
นั่นไงล่ะ
ต่อให้พูดดักไว้ สุดท้ายเขาก็โดนหยอดให้หน้าร้อนอยู่ดีนั่นแหละ
“คุณอธิษฐ์!”
ร้ายกาจชะมัด
“หึ” ร่างสูงแค่นหัวเราะในคอระหว่างที่หมุนพวงมาลัยทะยานรถ SUV คันหรูออกจากหน้าโรงเรียนมัธยมที่กลุ่มเด็กขี้สงสัยเริ่มจ้องมายังรถของเขาอย่างอยากรู้อยากเห็น
โชคดีที่รถติดฟิลม์ทึบ ไม่เช่นนั้นพรุ่งนี้ปรมิณคงตกเป็นขี้ปากไปทั้งโรงเรียนว่านั่งพลอดรักกับชายหนุ่มแก่คราวพ่— ไม่สิ เอาเป็นว่าแก่กว่ามากๆ ก็แล้วกัน
“แล้วกางเกงพละเธอมันไม่มีขายาวกว่านี้แล้วหรือไง”
“ก็ชุดของโรงเรียนนี่ครับ คนอื่นก็ใส่เหมือนกันหมด”
“กับผู้ชายก็ใส่ขาสั้นเหรอ?” อธิษฐ์ถามด้วยความสงสัย จำได้ลางๆ สมัยมัธยมไม่ว่าจะร้อนหรือหนาว กางเกงพละเขามันก็ขายาว ยกเว้นเสียแต่ว่าเป็นผู้หญิงถึงจะเป็นขาสั้น
“ครับ” คยองซูละสายตาจากเครื่องเล่นวิทยุมามองเสี้ยวใบหน้าของที่กำลังตั้งใจขับรถอย่างสนใจ “ผมใส่แล้วมันดูแย่เหรอครับ”
ไม่ได้แย่
แต่…
“มันสั้นไปหรือเปล่า” จบคำถามสายตาคมก็เอาแต่งเพ่งจ้องไฟแดงท้ายรถคันหน้า
“ไม่หรอกครับ มีคนสั้นกว่าผมอีกนะ”
โอเค เขาอาจจะทำตัวเหมือนตาแก่ขี้หวงเข้าไปทุกวัน แต่ยอมรับเลยว่าเรียวขาขาวที่โผล่พ้นขอบกางเกงพละขาสั้นเหนือขึ้นไปหลายคืบนั้นโดดเด่นสะดุดตา โคตรล่อลวงให้ยื่นมือเข้าไปสัมผัสลูบมันซ้ำแล้วซ้ำเล่าแบบนั้น เหมือนสินค้าตั้งโชว์บนเชลล์ ทว่าเจ้าเด็กที่นั่งมองหน้าเขาตาแป๋วข้างๆ กันมีมูลค่ามากกว่านั้น
เป็นเหมือนของสวยงามบวกความหายากที่พวกเศรษฐีอย่างเขายอมถูกด่าว่าโง่ ยามเซ็นเช็คจ่ายวัตถุชิ้นนั้นด้วยเม็ดเงินจำนวนมหาศาล เพราะหลายคนมองว่ามันไม่สมเหตุสมผลกับการทุ่มเงินซื้อของแรร์ที่ทำได้เพียงแค่นั่งมองเท่านั้น
ซึ่งอธิษฐ์ไม่นับว่าตัวเองโง่
ในเมื่อเขายอมจ่ายให้ของหายากที่ว่าด้วยอะไรบางอย่างที่มูลค่าของมันมากกว่าเงินเจ็ดหรือแปดหลัก เพื่อแลกกับฟังก์ชั่นที่มีประโยชน์มากกว่าการนั่งมองเฉยๆ ชายหนุ่มต้องการของสวยงามที่จับต้องได้ ตื่นตาตื่นใจ และดึงดูดอยู่เสมอ ซึ่งปรมิณ ถือว่าตอบโจทย์ความต้องการของเขาทุกอย่าง
เพียงแค่นั่งมองก็รู้สึกผ่อนคลาย อีกฝ่ายมักดึงดูดเขาอยู่เสมอด้วยรอยยิ้มรูปหัวใจ นัยน์ตากลมใสราวเด็กเล็กๆ หรือเครื่องหน้าจิ้มลิ้มที่แย่งกันโดดเด่นชวนมองนั่นก็ด้วย
ที่สำคัญยังจับต้องได้
และตื่นตาตื่นใจทุกครั้งที่สัมผัส
“คุณว่ามันสั้นไปหรือครับ?” คนตัวเล็กเอ่ยถามอย่างไม่แน่ใจนักเมื่อเห็นผู้ใหญ่วัยกลางคนเอาแต่เงียบ
“สำหรับฉันมันสั้น...” นักธุรกิจหนุ่มผ่อนคันเร่งชะลอรถลง เพราะป้ายสัญญาณไฟจราจรเปลี่ยนเป็นสีแดง ก่อนจะหันใบหน้าคมเข้มมามองตุ๊กตาหน้ารถที่กระพริบตาปริบๆ มองเขาอย่างไร้เดียงสา
“เพราะฉันหวงเธอ”
หมดกัน
ปออยากจะให้ไฟมันเขียวเดี๋ยวนี้เลย
การจราจรของวันศุกร์นั้นติดบรม
จากโรงเรียนเขาถึงคอนโดคุณอธิษฐ์ในเวลาปกติไม่เกินหนึ่งชั่วโมงด้วยซ้ำ แต่วันนี้กลับลากยาวไปเกือบสองชั่วโมงที่พวกเขานั่งร้องเพลงไปพร้อมกัน สลับกับจ้องตาและส่งยิ้ม
“เฮ้ ตัวผมเหม็นนะ”
เด็กหนุ่มร้องห้ามในตอนที่แขนยาวเต็มแน่นด้วยมัดกล้ามพาดลงมาบนบ่าแคบ ร่างเล็กพยายามเบี่ยงตัวเน่าๆ ออกจากวงแขนที่กรุ่นกลิ่นหอมแบบผู้ใหญ่ของชายหนุ่ม ทว่าคุณอธิษฐ์กลับไม่ยอมปล่อยแถมยังเกี่ยวเอวเขาเข้ามาแนบชิดจนเนื้อตัวอุ่นเบียดเสียดกันขณะเดินตรงไปยังห้องพักหมายเลข A3032
เพนท์เฮ้าส์ราคาสูงลิ่ว ชนิดที่เขามั่นใจว่าทำงานจนแก่ก็ไม่มีทางซื้อมันได้
“บอกแล้วว่าไม่ถือ”
“ผมก็บอกแล้วไงว่าผมถือ”
อธิษฐ์ฟังเด็กดื้อเถียงแล้วถอนหายใจออกมาแรงๆ จนกลุ่มผมสีน้ำตาลอ่อนปลิวไหว นัยน์ตากลมคมหลุบมองเจ้าคนที่สูงเพียงแค่คางเขาอย่างมันเขี้ยว ก่อนกดจมูกลงบนเรือนผมชื้นเหงื่อไปที ซึ่งคนโดนฉวยโอกาสก็เงยหน้าขึ้นมาทำท่าจะโวยวายที่คงไม่พ้นเรื่องกลิ่นเหงื่ออีกนั่นล่ะ คนอายุมากกว่าเลยจัดการปิดริมฝีปากช่างบ่นนั่นด้วยริมฝีปากไปอีกทีเป็นของแถม
เพียงแค่แตะแล้วผละออก ไม่ได้ลึกซึ้งอย่างที่อยากจะทำ
อย่างน้อยเขาก็มีสามัญสำนึกว่านี่มันหน้าห้อง แม้ว่าความหวานติดริมฝีปากนั่นจะชวนชิมมากก็ตาม
“คุณอธิษฐ์!”
“โวยวายเก่งจริง”
“ก็--”
“เถียงอีกจะไม่หยุดแค่นี้แล้วนะ” โน้มหน้าลงไปขู่ใกล้ๆ ก่อนจะเป่าลมเบาๆ ให้ผมยาวปรกหน้าผากกระจาย
“ถึงห้องแล้วปล่อยเลยครับ” ปอยกแขนนักๆ ออกจากบ่า ก่อนวางกระเป๋าเอกสารและเสื้อสูทของคุณอธิษฐ์ลงบนชั้นหน้าประตูห้อง แล้วค่อยถอดรองเท้าเคียงข้างคัทชูมันปลาบพร้อมกับปลดกระเป๋านักเรียน
“เธอจะอาบน้ำก่อนหรือเปล่า”
“คุณคิดว่าไง?” คุณธิเหลือบสายตามองคนถามที่จู่ก็ทำหน้าเจ้าเล่ห์ขึ้นมา
“ถ้าฉันบอกว่าไม่ล่ะ”
“นั่นมันก็เรื่องของคุณ เพราะว่าผมจะอาบ”
“แม้ว่าเธอจะต้องอาบอีกรอบน่ะเหรอ?”
“เรื่องปกตินี่ครับ”
“ปรมิณ” ร่างสูงคำรามเสียงต่ำกับประโยคยั่วยวนเขากลายๆ นั่น ร้ายนักเด็กคนนี้
ขอบคุณครับ
ขอบคุณครับ น่าสนุก ขอบคุณครับ ขอบคุณครับ สนุกครับ ขอบคุณนะครับ ขอบคุณค่ะ ขอบคุณครับ
ขอบคุณครับ ขอบคุณครับ สนุกครับ ขอบคุณครับ ขอบคุณครับ สนุกดีครับมาต่อไวๆนะ ขอบคุณครับ ขอบคุณคับ ขอบคุณครับ ขอบคุนครับ