konbannok
โพสต์ 2011-5-26 23:08:39
งานนี้มีแต่เดากับเดา * มีอาชีพ มีตำแหน่ง มีหน้าที่ * มั่วอีกแล้วตีโจทย์ไม่แตกคับ.
spicky
โพสต์ 2011-5-27 00:26:33
เหมือนหมอเหมือนกันครับ
คนแรกแพทย์หญิงอพิสมัย เป็นจิตแพทย์ เป็นนางสาวไทยมาก่อน
คนแรกสองเป็นทันตแพทย์
คนที่สามเป็นชาวเวียดนามป้ะครับ น่าจะเป็นหมอเหมือนกัน
คนสุดท้ายก็หมอโอ๊คเป็นแพทย์ผิวหนัง
spicky
โพสต์ 2011-5-27 00:38:40
ตอบกระทู้ spicky ตั้งกระทู้
แหม...คุณเก่งกว่าผมเยอะเลยครับ 55
spicky
โพสต์ 2011-5-27 00:41:47
เริ่มไม่แน่ใจแล้วว่าเด็กหญิงชาวเวียดนามนั้นมีอาชีพอะไร
Ice-Cold
โพสต์ 2011-5-27 01:19:01
ดวงตา ป่าว อิอิชอบหมอโอ๊คห้าๆๆ{:5_120:}
bikiman
โพสต์ 2011-5-27 17:29:12
น่าจะเหมือนกันตรงที่เกี่ยวข้องกับการรักษาเหมือนกัน
spicky
โพสต์ 2011-5-27 18:56:01
รอน้องยุ่นมาเฉลยนะค้าบ
bikiman
โพสต์ 2011-5-27 19:38:29
รอเล่นอันใหม่ เผื่อได้รางวัลกะเขามั่ง 55
yellow2550
โพสต์ 2011-5-27 20:02:17
ตอบกระทู้ spicky ตั้งกระทู้
มาเฉลยแล้วครับ
ทั้งสี่คนมีสิ่งที่เหมือนกันก็คือ
เป็น หมอ ครับ
คนแรก แพทย์หญิง อภิสมัย ศรีรังสรรค์ นางสาวไทยปี2542
คนที่สอง คูณ คนิน ขัตติยา ชั้นปีที่ 5 คณะทันตแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต
คนที่4หมอ โอ๊ค สมิทธิ์ อารยะสกุล แพทยศาสตร์บัณฑิต (เกียรตินิยมอันดับ1) คณะแพทย์ศาสตร์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, 2546
และคนที่สาม คิมฟุก และแน่นอน ปัจจุบันนี้เธอเป็นหมอครับ แต่เรื่องราวที่ผมอยากจะใหเพื่อนทุกคนทราบก็คือ
คิมฟุค เด็กที่ถูกไฟใหม้จนล่อนจ้อนที่รอดชีวิตจากสงครามเวียดนาม"
http://www.bloggang.com/data/pla-chada-ling/picture/1205978109.jpg
ภาพที่เด็กหญิงคนหนึ่ง เนื้อตัวล่อนจ้อน ตื่นตระหนกตกใจ ยืนร้องไห้อยู่กลางถนนคนเดียว ท่ามกลางความสับสนอลหม่านของชาวบ้านที่แตกฉานซ่านเซ็นหนีตาย ท่ามกลางควันโขมงจากไฟระเบิดนาปาล์มของสหรัฐ
คิมฟุค วันนี้ คือเด็กหญิงเหยื่อสงครามผู้ "บ้านแตก-สาแหรกขาด" ครั้งนั้น สิ่งเดียวที่ "คืนชีวิต" แท้จริงให้กับเธอ ณ วันนี้ คำเดียวสั้นๆ คือ
" อภัย" วันนี้ผมมีเรื่อง "คิมฟุค" จากอินเทอร์เน็ตลอกมาเล่าสู่กันฟัง "คิมฟุค" คือใคร.เอาไว้ท่านอ่านดูเองแล้วกัน
"คิมฟุค" คือเด็กหญิงชาวเวียดนามใต้คนนั้น ซึ่งช่างภาพอเมริกันได้ถ่ายไว้ ขณะที่เธอและเพื่อนบ้านกำลังแตกตื่นหนีภัย แม้เธอจะรอดตายจากระเบิดนาปาล์มที่ทิ้งลงหมู่บ้านของเธอ แต่ไฟก็ได้เผาลวกผิวหนังของเธอถึง ๖๕%
เธอต้องรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาลถึง ๑๔ เดือน และผ่านการผ่าตัดถึง ๑๗ ครั้ง กว่าจะหายเป็นปกติ เธอยังโชคดี เมื่อเทียบกับลูกพี่ลูกน้องอีก ๒ คน ซึ่งตายเพราะทนพิษบาดแผลไม่ไหว
นั่นคือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในปี พ.ศ.๒๕๑๕ เมื่อเวียดนามกลายเป็นคอมมิวนิสต์ ๓ ปีต่อมา ก็ไม่มีข่าวคราวของเธอปรากฏสู่โลกภายนอกอีกเลย
แต่แล้ววันหนึ่งในปี พ.ศ.๒๕๓๙ คิมฟุคก็ได้มาปรากฏตัวอยู่ต่อหน้าชาวอเมริกัน ซึ่งเคยผ่านสมรภูมิเวียดนาม เธอได้รับเชิญให้มาพูดเนื่องในโอกาสวันทหารผ่านศึก ณ กรุงวอชิงตัน ดี.ซี.
การได้มาเผชิญหน้ากับบุคคล ซึ่งครั้งหนึ่งได้เคยมาทำลายบ้านเกิดเมืองนอนของเธอ ทำให้ญาติพี่น้องของเธอต้องตาย และเกือบฆ่าเธอให้ตายไปด้วยนั้น ไม่ใช่เป็นเรื่องที่ทำใจได้ง่ายนัก แต่เธอมาก็เพื่อจะบอกให้พวกเรารู้ว่า สงครามนั้นได้ก่อความทุกข์ทรมานแก่ผู้คนอย่างไรบ้าง
หลังจากที่เล่าถึงประสบการณ์อันเจ็บปวดของเธอแล้ว เธอก็ได้เผยความในใจว่า มีเรื่องหนึ่งที่เธออยากจะบอกต่อหน้านักบินที่ทิ้งระเบิดใส่หมู่บ้านของเธอ
พูดมาถึงตรงนี้ก็มีคนส่งข้อความมาบอกว่า คนที่เธอต้องการพบกำลังนั่งอยู่ในห้องประชุมนี้ เธอจึงเผยความในใจออกมาว่า "ฉันอยากบอกเขาว่า เราไม่สามารถเปลี่ยนแปลงประวัติศาสตร์ได้ แต่เราควรพยายามทำสิ่งดีๆ เพื่อส่งเสริมสันติภาพทั้งในปัจุบัน และอนาคต"
เมื่อเธอบรรยายเสร็จ ลงมาจากเวที อดีตนักบินที่เกือบฆ่าเธอก็มายืนอยู่เบื้องหน้าเธอ เขามิใช่ทหารอีกต่อไปแล้ว แต่เป็นศาสนาจารย์ประจำโบสถ์แห่งหนึ่ง เขาพูดด้วยสีหน้าเจ็บปวดว่า "ผมขอโทษ ผมขอโทษจริงๆ"
คิมเข้าไปโอบกอดเขา แล้วตอบว่า "ไม่เป็นไร ฉันให้อภัย ฉันให้อภัย"
ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่เราจะให้อภัย โดยเฉพาะกับคนที่ทำร้ายเราปางตาย คิมฟุคเล่าว่า เหตุการณ์ครั้งนั้นสร้างความทุกข์ทรมานแก่เธอทั้งกายและทั้งใจ จนเธอเองก็ไม่รู้ว่าจะมีชีวิตอยู่ต่อไปได้อย่างไร
แต่แล้วเธอก็พบว่า สิ่งที่ทำร้ายเธอจริงๆ มิใช่ใครที่ไหน หากได้แก่ความเกลียดชังที่ฝังแน่นในใจเธอนั่นเอง 'ฉันพบว่าการบ่มเพาะความเกลียดเอาไว้สามารถฆ่าฉันได้
เธอพยายามสวดมนต์ และแผ่เมตตาให้ศัตรู และแก่คนที่ก่อความทุกข์ให้เธอ แล้วเธอก็พบว่า 'หัวใจฉันมีความอ่อนโยนมากขึ้นเรื่อยๆ เดี๋ยวนี้ฉันสามารถอยู่ได้โดยไม่ต้องเกลียด
เราไม่อาจควบคุมกำกับผู้คนให้ทำดี หรือไม่ทำชั่วกับเราได้ แต่เราสามารถควบคุมกำกับจิตใจของเราได้ เราไม่อาจเลือกได้ว่า รอบตัวเราต้องมีแต่คนน่ารัก พูดจาอ่อนหวาน
แต่เราสามารถเลือกได้ว่า จะทำใจอย่างไร เมื่อประสบกับสิ่งไม่พึงปรารถนา
คิมฟุค ได้เรียนรู้จากประสบการณ์ของตัวเองว่า 'ฉันน่าจะโกรธ แต่ฉันเลือกอีกทางหนึ่ง แล้วชีวิตฉันก็ดีขึ้น'
บทเรียนของคิมฟุค คือ ในเมื่อเราเปลี่ยนแปลงอดีตไม่ได้ เราจึงไม่ควรปักใจอยู่กับอดีต แต่เราสามารถเรียนรู้จากอดีตเพื่อทำปัจจุบันและอนาคตให้ดีขึ้นได้
บทเรียนจากอดีตอย่างหนึ่งที่เธอได้เรียนรู้มาก็คือ การอยู่กับความโกรธ เกลียด และความขมขื่น นั้นทำให้เธอเห็นคุณค่าของการให้อภัย.
ครับ..เป็นไงครับ ผมว่าแนวคิดเพื่อการบริหารชีวิตอยู่บนโลกแห่งความเป็นจริงใบนี้ของเธอ มีเสน่ห์ น่าสนใจมาก และคนนำมาเรียบเรียงเขาก็เก่ง เป็นแนวคิดที่ใช้ได้กับ ทุกการณ์ ทุกเวลา ทุกสถานที่ และทุกบุคคล เพื่อนๆว่าอย่างนั้นไหมครับ?
"การให้อภัย...บางครั้งก็ทำได้ยากยิ่ง
แต่ถ้าทำได้...สิ่งที่เห็นได้ชัดเจนที่สุด
ก็คือ...ความสุขสงบที่เกิดขึ้นกับตัวเรา
ข้อต่อไปเลยนะครับ
ง่ายมากๆเลยครับ
เขาเป็นใคร และกำลังทำอะไร ครับ
yellow2550
โพสต์ 2011-5-27 20:31:41
ตอบกระทู้ yellow2550 ตั้งกระทู้
ใช่ครับ อยากให้ทุกคนตระหนักถึงภัยของสงครามครับ
ความสูญเสียที่จะเกิดขึ้น
และสิ่งเดียวที่จะยับยั้งได้ก็คือความรัก และคำว่าอภัยครับ
ขอมีสาระนีส..นึงนะครับ
konbannok
โพสต์ 2011-5-27 21:07:54
พระสุธน กำลังแอบมองมโนห์ราอยู่ ใช่เปล่าคับ
bikiman
โพสต์ 2011-5-27 21:23:03
จะเด็ด แอบมอง ตะละแม่กุสุมา หรือเปล่า
yellow2550
โพสต์ 2011-5-27 22:17:15
ดูเพิ่มนะครับ
konbannok
โพสต์ 2011-5-27 22:40:16
ิิิอิเหนา กำลังแอบมองนางบุษบา
konbannok
โพสต์ 2011-5-27 23:52:08
ขุนช้าง แอบมอง นางวันทอง
istmarx
โพสต์ 2011-5-28 00:01:46
ยากจัง คิดไม่ออกเลย ฮ่าๆๆๆ
bikiman
โพสต์ 2011-5-28 00:36:49
จะเด็ด เจอ เชงสอบู ระหว่างปลอมตัวไปเพื่อชิงตละแม่กุสุมาคืนมาจากหงสา
spicky
โพสต์ 2011-5-28 00:40:04
รอภาพประวัติศาสตร์ๆดีกว่า
Ice-Cold
โพสต์ 2011-5-28 02:33:07
รู้สึกว่าจะมีคนถูกแลวแฮะ
ธรรม
โพสต์ 2011-5-28 09:04:24
ภาพที่เห็นนะน่าจะมาจากเรื่องผู้ชนะสิบทิศ ถ้าในภาพผู้ชายคนนั้นเป็นจะเด็ดก็ต้องกำลังมองไก่อยู่ครับ ภาพที่ยังไม่ปรากฎนะน่าจะเป็นไก่นะครับไม่ได้ติดตามครับเรื่องนี้