“My life cycle” วัฏจักรชีวิตของผม... บทที่ 5 "เนรคุณ"
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย INPUT เมื่อ 2019-6-2 20:15สวัสดีผู้อ่านทุกท่านสบายดีกันใช่ไหมครับ ช่วงเวลาที่ผ่านมาของแต่ละคนนั้นคงเจอทั้งสุขและทุกข์และเชื่อเถอะว่าสิ่งเหล่านั้นมันอยู่กับเราไม่นาน เพราะทุกสิ่ง “เกิดขึ้น ตั้งอยู่ดับไป” ร่างกายเรานี้ก็เช่นกัน เอาหละผมไม่ได้หายไปไหนนะครับเพียงแต่ว่าช่วงนี้ผมฝึกสอนงานที่วิทยาลัยจึงเยอะมาก บวกกับช่วงเดือน เม.ย.ที่ผ่านมาผมได้มีโอกาสบวชเพื่อทดแทนพระคุณพ่อแม่แต่อันที่จริงเราทำความดีอะไรก็ได้นะเพื่อตอบแทนท่าน ไม่จำเป็นต้องบวชเสมอไป ส่วนตัวที่บวชก็เพราะเหตุปัจจัยผมพร้อมและครั้งหนึ่งในชีวิตได้เกิดในพระพุทธศาสนาแล้วก็อยากจะบวชสักครั้ง
เมื่อสึกออกมาผมก็มีเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่อยู่คือรีบฝึกสอนให้จบจะได้ทำงานหาเลี้ยงตน และผู้มีพระคุณและอีกสิ่งก็คือเรื่องของความรัก การสร้างครอบครัวที่อบอุ่นและมีความสุขบางคนอ่านแล้วอาจจะงงว่าผมพูดเหมือนผู้ชายเลยอันที่จริงมันมีเหตุปัจจัยที่ทำให้ผมเปลี่ยนไปซึ่งจะเขียนให้ทุกท่านได้อ่านกันแต่ไม่ใช่เร็ว ๆ นี้ เพราะชีวิตผมก็ผ่าน “คน” มามากเหมือนกัน แต่ละคนที่ผ่านเข้ามาได้ฝากบทเรียนที่แสนเจ็บปวดไว้ทุกคนและมันทำให้ผมเติบโตขึ้นถึกขึ้นเหมือนฮีโร่สายแท๊งค์ใน “Rov” แต่บอกได้เลยว่าทุกสิ่งที่ประสบพบเจอนั้นไม่มีคำว่าบังเอิญทุกสิ่งถูกกำหนดเอาไว้แล้ว และ ณ ตอนนี้ผมเป็นชายไปแล้ว (นานแล้วด้วย)เอาหละเพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลาผมขอนำทุกท่านเข้าสู่เรื่องราวของผมต่อเลยนะครับ
บทที่ 5 “เนรคุณ”
[วันอาทิตย์ที่ 10 มิ.ย. 2555]
ณ ศูนย์ฝึกอบรมตำรวจภูธรภาค 2
“แม่ทำไมคนที่มาสอบเขาใส่ชุดวอมกันเต็มไปหมดเลยครับ” ผมถามแม่ขณะที่พ่อกำลังจะเลี้ยวรถเข้าศูนย์ฝึกภูธรภาค2
“ไม่รู้สิ เขามีสอบวิ่งแล้วมั้ง” แม่ตอบ
“ฮึ้ยบ้าน่า ไม่มีหรอก เขาแต่งกันมาแบบนั้นเองมั้ง”พ่อเสริม พูดจบก็จอดรถที่หน้าทางเข้าแล้วให้ผมกับแม่ลง ส่วนแกจะเอารถไปหาที่จอด
“คุณตำรวจคะ เขาใส่ชุดวอมกันทำไมหรือค่ะ”แม่ผมถามตำรวจคนหนึ่งที่นั่งพุงยื่นพร้อมกับดึงปากเล่นไปมา
“อ๋อ เป็นกฎครับพี่ อย่างน้องคนนี้เนี่ยผิดกฎระเบียบการสอบนะครับรีบไปเปลี่ยนก่อนที่จะถึงเวลาเข้าสอบนะครับ” ตำรวจตอบ หน้าผมนี่ชาเลยครับตัวเองใส่ชุดนักเรียนเทคนิคมาสอบ
“ไหนมึงบอกว่าอ่านระเบียบมาเรียบร้อยแล้วไม่ใช่หรอ!!!”แม่หันมาพูดกับผมด้วยเสียงที่แหบแห้ง แต่รู้สึกได้ถึงจิตสังหาร!!!
“แฮ่ แฮ่” ผมขำแห้งๆ
“ยังจะมา แฮ่อีกไปหาชุดเปลี่ยนเลยนู้นตรงนู้นเขามีขาย” แม่บ่นพร้อมกับพาผมไปหาซื้อชุดสอบมาเปลี่ยน
คือวันนี้เป็นวันสอบตำรวจครับพ่อผมเขาให้ผมลองสมัครสอบเล่น ๆ ดู ถ้าได้ก็ดีไม่ได้ก็ไม่เป็นไรแต่ในใจมนั้นไม่อยากเป็นเลย จำได้ว่าวันนั้นเข้าห้องสอบตอนเที่ยงและเริ่มทำข้อสอบตอนเวลาบ่ายสองโมง สอบ ๆอยู่ก็มีกลุ่มตำรวจชุดหนึ่งเดินเข้ามาตรวจภายในห้องเป็นระยะเหมือนกับว่ามาตรวจดูความเรียบร้อยละมั้งครับ สอบเสร็จในเวลาห้าโมงเย็นโยประมาณ กลับไปถึงบ้านในช่วงค่ำมีข่าวรายงานว่าพบผู้ทุจริตในการสอบตำรวจการสอบจึงถือเป็นโมคะและจะแจ้งวันสอบในภายหลังที่แรกผมก็นึกว่าจะจบแล้วทีไหนได้มีคนโกงข้อสอบต้องไปนั่งสอบใหม่อีก เฮ้อ~ ช่วงนั้นเพื่อน ๆ ล้อกันใหญ่เลย บางคนก้มีมากล่าวคำล่ำลาทำอย่างกับว่าผมจะสอบติดจริง ๆ เสียอย่างนั้นแหละ
ในเวลาต่อมาผมก็ใช้ชีวิตปกติ เรียน เล่นไปวัน ๆ สนุกกับชีวิตวัยเรียนที่ไม่สนใจความรู้ สนใจแต่เพื่อนช่วงค่ำก็คุยโทรศัพท์กับกรเกือบทุกคืน กรสอนผมให้เล่น “Skype” เพราะเขาจะได้ไม่ต้องเสียเงินเวลาที่โทรหาผมกรมักโทรมาชวนคุยเล่นชนิดที่ว่าหาสาระของเรื่องที่คุยไม่ได้เลยแต่เราก็สนุกและมีความสุขไปกับมันทุกคืนเพราะอย่างน้อยมันก็ทำให้ลืมความรู้สึกที่มีต่อตันไปได้ในช่วงเวลาหนึ่ง
เวลาที่อยู่ในรั่วเทคนิคนั้นทุกคนต่างชินกับสิ่งที่ผมเป็นและไม่มีใครที่รู้สึกรังเกลียดเลยแม้งสักคนเดียวจึงทำให้ผมรู้สึกเป็นตัวของตัวเองมากเวลาที่ได้อยู่เทคนิค แต่อย่างว่าแหละครับคนเราทุกคนเวลาได้อะไรแล้วก็มักจะ “ได้คืบจะเอาศอก” แล้วผมก็เป็นเช่นนั้นจริง ๆผมมีความรู้สึกว่าการที่เพื่อน ๆ ทุกคนรู้ว่าผมเป็นอะไรนั่นมันยังไม่พอผมอยากเป็นตัวของตัวเองให้มากกว่านั้นในทุก ๆ ที่อย่างสบายใจ แม้งกระทั้งที่ “บ้าน”
[วันพุธที่ 11 ก.ค. 2555]
เวลา 11.30 น. บริเวณหน้าแผนก
วันนี้เรียนวิชาอะไรก็ไม่รู้ครับผมลืมไปแล้วผู้อ่านคงไม่นึกตำหนิกันนะครับ 555+
“ใครจะไปบางแสนบ้าง”
แบล็คเพื่อนกลุ่ม 2 เอ่ยปากชวนทุกคนเพราะจำได้ว่าคาบบ่ายอาจารย์ไม่อยู่ไปราชการ ดังนั้นคนส่วนใหญ่จึงลงความเห็นกันว่าจะไปบางแสนเว้นเสียแต่บางคนเท่านั้นที่ขอตัวกลับบ้าน
“อินจะกลับบ้านหรือไปบางแสนอะ” กรทักถามผม
“ไม่รู้เหมือนกันว่ะ เอาไงดี” ผมตอบอย่างลังเลส่วนกรทำสีหน้ากังวล
“ไปร้านคลาสสิกกับนี่ไหม นี่ไปกับชิต” คนชวนรายงานพร้อมกับรอคำตอบอย่างมีความหวัง
“โอเค ๆ ไปก็ไปเพราะกูก็ไม่ชอบไปทะเลร้อนด้วย” ผมตอบ กรทำสีหน้าดีใจแล้วก็เดินไปรายงานชิตที่ยืนคุยอยู่กับเพื่อนอีกกลุ่ม
ขณะที่กรเดินไปรายงานชิตผมก็กวาดสายตาไปมองดูกลุ่มเพื่อนที่เขาคุยกันเรื่องที่จะไปบางแสนขณะนั้นก็ไปสะดุดตาคนหนึ่งเข้าเขายิ้มพร้อมกับทักผมว่า
“อินไปบางแสนป่าว” ตันชวน
“เอ่อ...คือ” คราวนี้ผมลังเลอีกครั้งด้วยรู้สึกเหมือนถูกคนที่มีอิทธิพลมากกว่าทัก
“ไม่ต้องคิดแล้ว ไปนะ” ตันเดินมากอดคอผมแล้วพูด
“โอเค โอเค” ผมตอบอย่างไม่มีสติ ด้วยจิตใจที่ยังรักใคร่ห่วงหาอาทรคนคนนี้อยู่ขณะนั้นกรและชิตก็เดินมาพอดี
“ปะอิน” กรเดินมากับชิตพร้อมคำพูดชวนออกเดินทาง
“เดี๋ยวก่อนกร” ผมทักขึ้น
“ว่า” กรหันหลังมาหาผม
“คือถ้ากูจะบอกว่าไม่ไปแล้วมึงจะว่ากูไหม” ผมถาม ในใจตอนนั้นรู้สึกผิดต่อกรอยู่เหมือนกัน
“อ๋อไม่เป็นไร อินจะไปบางแสนละสิใช่ไหม” กรตอบพร้อมกับขยิบตาส่งสัญญาณประมาณเหมือนรู้ว่าผมไปเพราะเหตุอะไร
“โทษทีนะมึง คราวหน้าจะไม่เบี้ยวจริง ๆ” ผมตอบ
“ไม่เป็นไรๆ แล้วจะกินเพื่อละกัน” กรพูดและเดินไปรอรถหน้าวิทยาลัยพร้อมชิตและกลุ่มเพื่อน 2 – 3 คน ที่ไม่ไปไหนแต่จะกลับบ้าน
“ปะอินไปเอารถใหญ่เป็นเพื่อนตันที่บ้านหน่อยดิ” ตันชวน เพราะตอนนี้มีรถของแบล็ค 1 คันรถไม่พอที่จะพาเพื่อนไป ตันจึงอาสากลับไปเอารถที่บ้านอีก 1 คัน เพื่อเอาเพื่อน ๆไปบางส่วน
“โอเค” ผมรับคำอย่างง่ายดายพร้อมกับส่งสายตาไปที่กิ๊ฟซึ่งกำลังส่งสายตากวนส้นตีนใส่ผมเช่นกัน
ผมซ้อนรถเครื่องตันไปที่บ้านขณะซ้อนอยู่ผมนั่งปกติ พยายามที่จะไม่เอามือทั้ง 2 ข้างของตัวเองไปวุ่นวายกับหน้าขาของตันแต่แล้วสุดท้ายตันก็ขับรถเครื่องออกตัวแรงขึ้นเรื่อย ๆผมจึงอาศัยโอกาสช่วงนี้ในการเอามือไปวางไว้บนหน้าขาของต้นส่วนตันก็ไม่ว่าอะไรขับรถเครื่องไปเฉย ๆบางทีผมก็คิดนะว่าตกลงแล้วตันเป็นคนอย่างไร คือหมายถึงว่าเขาชอบผู้หญิงหรือผู้ชายกันแน่ เพราะผมทำแบบนี้เขาก็ไม่เห็นจะขัดขืนเลยแม้แต่นิดเดียว
ขับไปสักพักก็ถึงบ้านตันนี่เป็นครั้งแรกที่ผมได้เหยียบบ้านตัน บ้านตันนั้นเป็นพื้นที่กว้างล้อมด้วยรั้วไม้และมีบ้านหลาย ๆ หลัง อยู่รวมกันในรั้วพูดง่าย ๆคือตระกูลตันก็น่าจะใหญ่พอสมควรและอยู่รวมกันเพียงแค่แยกเรือนเท่านั้นไปถึงตันก็คว้ากุญแจแล้วเอารถฟอจูนเนอร์ออกมาขับ แล้วมุ่งหน้าสู่เทคนิคเพื่อรับเพื่อนๆ ทันที แต่ในระหว่างทางกิ๊ฟโทรมาหาผมบอกว่า “ไม่ต้องแวะรับแล้ว ให้ไปบางแสนเลยทุกคนอัดกันอยู่ในรถแบล็กหมดแล้วจำนวน 10 กว่าชีวิต” ผมนึกในใจมึงอัดกันเข้าไปได้อย่างไรเยอะฉิบหายสรุปผมก็มากับตัน 2 คน จนถึงบางแสน จอดรถลงมาก็พบเพื่อน ๆ กระโดดเล่นน้ำกันบางส่วนก็ซื้อเบียร์มานั่งกิน ผมยืนดูเพื่อน ๆ เล่นน้ำกันสนุกสนาน ส่วนตันพอถึงบางแสนก็ไม่สนใจอะไรผมเลยเขาวิ่งลงน้ำไปเล่นกับเพื่อน ๆ และก็แกล้งภีมเพื่อนที่เป็นเกย์คนหนึ่งในน้ำผมมองดูก็เกิดความรู้สึกไม่พอใจที่ตันไม่สนใจผมเลยทั้งที่ชวนผมมาแท้ ๆ
ยืนมองดูนานในใจก็เกิดโทสะแต่ก็ทำอะไรไม่ได้แท้จริงแล้วผมลืมตัวตนของตัวเองว่าเราเป็นใครส่วนตันจะเล่นกับใครมันก็เป็นเรื่องของเขา เพราะทุกคนเป็นเพื่อนกันแต่ในตอนนั้นผมไม่คิดแบบนั้นเลย ในใจมีแต่ความร้อนรน หวนนึกถึงกรขึ้นมาทันทีหากเราไปกับกรคงมีความสุขกว่านี้มากมาย สุดท้ายผมก็ทำอะไรไม่ได้เช่นเคยได้แต่ยืนมองดูเขาเล่นน้ำกันอย่างสนุกสนาน สุดท้ายผมจึงตัดสินใจลงเล่นน้ำบ้างแต่พอลงไปเล่น ตันกลับขึ้นมาบนฝั่ง ทำให้ผมใจเสียมากตันเดินขึ้นฝั่งแทบไม่มองหน้าผมเลย ผมก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าตันเป็นอะไรหรือเพราะผมคิดมากไปเองก็ไม่รู้สุดท้ายผมก็ลงไปเล่นกับเพื่อนอย่างไม่เต็มใจเท่าไหร่
เล่นไปจนถึง 16.00 น. ทุกคนก็กลับบ้านตันขับรถไปส่งผมกับบาสที่บ้าน ลงมาตัวก็เกือบแห้งหมดแล้วเหลือบางที่ที่ชื้น ๆเพราะแอร์ในรถตันเย็นมาก จึงทำให้เสื้อหาแห้งไวแต่ไม่ใช่แห้งสนิทนะครับเพราะมันไม่ใช่แดดมันคือแอร์จึงแห้งแบบชื้นๆ
“ขอบใจมากตัน”
“ไม่เป็นไร ๆ พรุ่งนี้เจอกัน ฝากสวัสดีแม่ด้วยนะ”ตันพูดจบก็ขับรถออกเพื่อไปส่งบาสต่อ
“แม่สวัสดีครับ” ผมกล่าวสวัสดีแม่ขณะถอดรองเท้าไว้หลังบ้าน กำลังเตรียมตัวจะเข้าในบ้านคือหน้าบ้านเปิดเป็นร้านตัดผม วันนี้เป็นวันพุธร้านจึงปิด ผมจึงมาเข้าหลังบ้านแทน
“ครับ” แม่ตอบออกมาจากข้างในบ้าน
“กลิ่นหอมจังแม่ วันนี้แกงอะไร”
“แกงหมูใส่ฟังทอง” แม่พูดขณะกินข้าว หากไม่ได้หันมามองผมเพราะดูทีวีข่าวช่อง 3 ช่วงเย็นอยู่
“โห ของโปรดเลย” ผมพูดพร้อมกับเดินไปเปิดฝาหม้อออกแล้วก้มลงไปดมกลิ่มแกงที่ผมชอบกิน
“กินเลยลูกๆ” แม่พูดผมจึงรีบเก้บกระเป๋าและไปตักข้าวมานั่งกินกับแม่
ผมนั่งกินข้าวไปคุยกับแม่ไปอย่างอารมณ์ดีตามประสาแม่ลูกจังหวะหยุดคุยผมก็ตักข้าวเข้าปากแล้วมองใบหน้าของแม่ผู้ให้กำเนิด ท่านกำลังกินข้าวดูทีวีไปด้วยความสุขตามประสาคนทำงานที่มีวันหยุดพักผ่อนเหมือนกับคนอื่นเขา เห็นดังนั้นผมจึงพูดในสิ่งที่ตนปรารถนาแล้วคิดว่าถึงเวลาอันสมควรแล้ว
“แม่”
“อืม...” แม่ตอบทั้งที่ตามองดูทีวี
“แม่รักผมไหมอะ”
“รักสิ เอ๊งถามทำไม” แม่ตอบพร้อมกับหันมามองอย่างแปลกใจ ด้วยคิดว่าลูกคนนี้บ้าไปหรือเปล่า
“แม่จำวันเสาร์ที่แล้วได้ไหมที่เราดูทีวีสกู๊ปชีวิตของครอบครัวหนึ่งที่น่าสงสารอะแม่”
“อืม ทำไม”
“ที่ผมถามแม่ว่า ไม่ว่าผมจะเป็นอะไรแม่ก็ยังรักผมใช่ไหมครับ” ผมพูดพร้อมกับพกความตื่นเต้นไปด้วย
เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมาเรานั่งกินข้าวกัน4 คน พ่อ แม่ น้อง และผม เราก็ดูสกู๊ปชีวิตของครอบครัวหนึ่งลูกเขาน่าสงสารมากพิการ ผมจึงถามแม่ว่า “ไม่ว่าผมจะเป็นอย่างไรแม่ก็จะรักผมใช่ไหม” แล้วแม่ก็ตอบว่า “รักหมดแหละลูกทุกคนอะไม่งั้นจะเลี้ยงจนโตถึงทุกวันนี้หรือ” ด้วยเหตุนี้ผมจึงเอาเหตุการณ์คืนนั้นมาเป็นตัวชี้วัดว่าวันนี้ถึงเวลาที่ผมต้องบอกความในใจที่เก็บไว้กับแม่ผู้ให้กำเนิดของผม
“อืม...ทำไมวันนี้แปลกจังมีอะไรก็พูดมาเลย ไปทำอะไรผิดมาหรือเปล่าลูก” แม่พูดอย่างปราณีทำให้ผมรู้สึกว่าสมควรที่จะบอกได้แล้วละ เพราะตอนนี้แม่อารมณ์ดี
“เปล่าครับแม่ ไม่ได้ทำอะไรผิดหรอกผมแค่จะบอกแม่ว่า....”
“ว่าอะไรละ พูดมา”
“ถ้าผมบอกไปแม่จะโกรธผมไหม”
“เอะ ไอ่นี่หนิ มีอะไรก็ว่ามา” แม่เริ่มลำคาน
“อ่าว พูดมาเร็วๆอิน” แม่เห็นผมเงียบไปจึงทักถามต่อ ผมรวบรวมความกล้าทั้งหมดพร้อมกับพูดออกไป
“ผมก็ไม่รู้ว่ามันเกิดขึ้นเมื่อไหร่และตอนไหน แต่ผมอยากจะบอกแม่ว่าผมชอบผู้ชายอะแม่”
สิ้นคำแม่ผมมองหน้าผมอย่างเดาอารมณ์ไม่ออก แล้วจึงพูดว่า
“เอ๊งจะมาเล่นตลกอะไรอีก” แม่ถามด้วยคิดว่าผมพูดเล่น
“ผมพูดจริงครับแม่”
ครั้งนี้สีหน้าแม่ผมนิ่งไร้อารมณ์เหมือนไม่มีความรู้สึก แม่จ้องมองหน้าผมนานเหมือนกันสักพักก็ค่อย ๆลุกจากโต๊ะอาหารแล้วสาดจานข้าวที่ยังกินไม่หมดลงถังขยะ แล้วค่อย ๆ เดินเข้าไปในบ้านเหมือนคนป่วยผมนั่งนิ่งอยู่นานในใจรู้สึกตื่นตระหนก ไม่รู้ว่าแม่คิดอย่างไรแต่สิ่งที่แม่แสดงออกมาเมื่อครู่ก็สามารถตอบคำถามในใจของผมได้เลยว่า “แม่ใจสลาย” ผมค่อย ๆเดินเข้าไปในบ้านพบแม่นอนอยู่บนโซฟาไม้หน้าทีวีในบ้าน ผมจึงเดินเข้าไปค่อย ๆจับแขนแม่ที่อ่อนระทวยแล้วพูดว่า
“แม่ไหวหรือเปล่า”
“ถ้าบอกว่าไม่ไหวมึงจะว่าอย่างไร”แม่ตอบด้วยเสียงที่แผ่วเบาแต่ทำให้คนฟังรู้สึกใจสั่นสะท้าน
“กรรมของกูมีลูกก็ไม่ปกติเหมือนชาวบ้านเขา” แม่พูดด้วยเสียงที่แผ่วเบาคำนี้ทำให้ผมรู้สึกโกรธขึ้น
“มันผิดด้วยหรอแม่กับสิ่งที่ผมเป็น....คนเราเลือกเกิดไม่ได้แต่เลือกที่จะเป็นคนดีได้ ไม่ใช่เพราะแม่หรอครับ ที่ห้ามไม่ให้ผมมีแฟนตอน ม.ต้น จึงทำให้ผมเป็นแบบนี้วันนั้นแม่ก็บอกผมแล้วไม่ใช่หรอครับ ไม่ว่าผมจะเป็นอย่างไรแม่จะยังรักผม” ผมเถียงอย่างไม่มีเหตุผล พร้อมกับยกความผิดกับผู้ให้กำเนิด
“เนรคุณ”
แม่พูดพร้อมกับจ้องหน้าผม น้ำใส ๆ ในตาของแม่ค่อยๆ ไหลผ่านแว่นตาออกมา แม่ค่อย ๆ สะบัดมือของผมที่จับแขนแม่อยู่ออก แล้วพูดด้วยเสียงที่แผ่วเบาว่า
“ขึ้นไปบนบ้านแล้วไม่ต้องลงมาให้เห็นหน้าอีก”
สิ้นคำ ผมจึงเดินขึ้นห้องไปเข้ามาในห้องผมนั่งร้องไห้เสียใจกับสิ่งที่ตัวเองได้กระทำ โดยที่ไม่คิดหน้าคิดหลังให้ดีเสียก่อนผมโทรหาเมย์เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้เมย์ฟัง เมย์ก็ได้แต่ถอนหายใจแล้วบอกว่า “มันเกิดขึ้นแล้ว ที่หลังทำอะไรปรึกษากูก่อน ไม่ต้องคิดมากเดี๋ยวแม่มึงก็ดีขึ้นเอง”จากนั้นผมก็โทรหาเจ็สี่เพื่อนสนิท ม.ต้น ของผมซึ่งตอนนี้เธอไปเรียนต่อ “วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนีกรุงเทพ” เธอก็ให้กำลังใจในเชิงเดียวกับเมย์และคนสุดท้ายที่ผมไม่ลืมคือกร ผมส่งข้อความทางเฟสบุ๊คไปหาเขาว่า “แกเราบอกเรื่องที่เราเป็นกับแม่ไปแล้วแม่เราโกรธมาก” กรก็ปลอบใจเหมือนอย่างเพื่อนทั้ง 2 คน ที่ผ่านมา (ผมจำข้อความไม่ได้ว่าคุยอะไรกับกรบ้างเพราะได้ทำการล้างแชทไปหมดแล้ว แต่อาจจะจำได้ในบางส่วนบางเหตุการณ์เท่านั้นครับ)
คืนนั้นผมเก็บตัวอยู่แต่ในห้องไม่กล้าออกมาข้างนอกเพราะระอายต่อสิ่งที่ตนได้กระทำลงไป เช้าวันต่อมาผมลุกอาบน้ำแต่งตัวออกจากบ้านโดยที่สวัสดีแม่อย่างเคยแต่แม่ไม่รับไหว้แต่ทำเหมือนผมไม่มีตัวตน เมื่อผมขึ้นรถพ่อก็ขับออกจากบ้านไปขณะขับพ่อก็เหลือบไปเจอสาวโรงงานเดินอยู่ข้าง ๆ รถ พ่อจึงพูดขึ้น
“ดูนี่สิลูก เอ๊งว่าผู้หญิงคนนี้สวยไหม”พ่อถาม ซึ่งปกติพ่อไม่เคยพูดเรื่องแบบนี้กับผมเลย
“เฉย ๆ ครับ” ผมตอบด้วยความรู้สึกที่ไม่อยากจะตอบเพราะผมใจเสียตั้งแต่เมื่อคืนนี้แล้ว
“ทำไมวันนี้กระเป๋าดูตุงจังลูก”พ่อถาม อันที่จริงกระเป๋าผมตุงทุกวัน แต่พ่ออาจจะไม่ได้สนใจ
“ก็ไม่มีอะไรนี่ครับ นอกจากหนังสือและอุปกรณ์การเรียน”
“มีเครื่องสำอางด้วยหรือเปล่า” พ่อพูดคำนี้ ผมถึงกับหน้าชา มันเป็นความรู้สึกที่บอกไม่ถูกจริง ๆ ครับทั้งโมโห เสียใจ และทำอะไรไม่ถูกรวมกันเข้ามาผมอยากจะร้องไห้แต่ก็ไม่มีน้ำตาสักหยดคงเป็นเพราะความรู้สึกภายในมันกำลังประกาศความโศกเศร้าของตนอยู่ ผมได้แต่นั่งเงียบหันหน้าออกทางกระจกข้าง จนกระทั่งลงรถที่หน้าปากซอย
ผมนั่งรถสองแถวเพื่อไปสมทบกับเพื่อน ๆที่รอผมที่คิวรถเหลือง มาถึงผมก็ไม่พูดไม่จากับใครตลอดทาง แม้กระทั่งกรผมก็ไม่พูดด้วยเพราะผมไม่มีอารมณ์ที่จะพูดกับใครและไม่รู้ด้วยว่าตัวเองจะต้องทำอย่างไรต่อ กระทั่งช่วงเข้าเรียน เพื่อน ๆทุกคนเค้นถามผมด้วยความเป็นห่วงผมจึงต้องเล่าให้ทุกคนฟังทุกคนต่างก็เห็นใจแต่ก็ทำได้เพียงแค่ปลอบใจเท่านั้นขณะเรียนอยู่เสียงโทรศัพท์ของผมก็ดังขึ้นผมจึงออกไปรับสายข้างนอก
“ฮาโหลดครับแม่”
“อยู่ไหนเนี่ย” แม่ถามด้วยเสียงเหมือนไม่ค่อยสบาย
“เรียนอยู่ครับ แม่เป็นอะไรหรือเปล่า”
“เป็นสิ แม่กินยาไปเกือบ 10 เม็ด แล้วสวดมนต์ขอพรพระอย่าให้เอ๊งเป็นแบบนี้”แม่พูดยังไม่ทันจบก็ร้องไห้ออกมา
"นี่ถ้าพ่อใหญ่แม่ใหญ่ ปู่ย่ารู้เข้าไม่ตายกันเลยรึว่าหลาดชายคนโปรดที่เป็นความหวังของคนที่บ้านเป็นพวกผิดเพศ!!!"แม่พูดไปร้องไห้ไป
“แม่จะพาเอ๊งไปหาหมอจิตแพทย์เพื่อให้เขาช่วยรักษาสิ่งที่เอ๊งเป็น” แม่พูดไปร้องไห้ไป จากนั้นแกก็วางสายไป เมื่อผมกลับเข้าไปในห้องเรียนได้สักพักก็มีเสียงโทรศัพท์ดังขึ้นอีก ผมจึงขอตัวออกมารับสาย คราวหน้าเบญเพื่อนกลุ่ม 2เดินตามออกมาด้วยคงเป็นห่วงผม
“ฮาโหลดครับน้า”
“อยู่ไหนเนี่ยลูก” น้าสาวคนสุดท้องถามผม
“อยู่วิทยาลัย เรียนอยู่ครับน้ามีอะไรหรอครับ”
“น้ารู้เรื่องทั้งหมดจากแม่แล้วนะ อินรักใครชอบใครในโรงเรียนหรือเปล่าลูก”
“ไม่มีครับ” ผมโกหกน้าตัวเอง
“แม่เขาแย่เลยนะตอนนี้ไม่สบายอ้วกเป็นเลือดด้วย ตอนนี้พ่อเขากำลังพาแม่ไปฉีดยาที่โรงพยาบาลเอกชล 2”น้าพูด
“ครับน้าผมขอโทษครับที่ทำให้เป็นแบบนี้”
“ไม่เป็นไรลูกเอาเป็นว่ากลับบ้านไปขอโทษแม่เขาสะนะ แล้วคิดดี ๆกับสิ่งที่เราเป็นอยู่ทุกวันนี้มันดีหรือเปล่าถ้ามันดีครอบครัวเราจะเป็นแบบนี้หรอลูก น้าเป็นห่วงนะแค่นี้แหละลูก” น้าพูดจบแล้วก็วางสายไป ผมทำอะไรไม่ถูก ในใจก็เสียใจมากส่วนเบญที่ตามออกมาก็เดินมากอดคอผมแล้วพาเข้าห้องไป ช่วงพักกลางวันผมไม่ได้ไปกินข้าวกับเพื่อนที่โรงอาหารแต่ขึ้นมาหา อ.บุญทัน บนแผนกแทน
“อาจารย์ครับ ผมทำผิดไปแล้วครับ”
“อนิรุต มีอะไรค่อยๆพูดค่อยๆจานะใจเย็นๆมันเกิดอะไรขึ้น” อ.บุญทัน พูดอย่างปราณีผมจึงเล่าเรื่องทั้งหมดให้อาจารย์ฟัง
“อนิรุต เอ๊ยทีหลังจะทำอะไรคิดให้รอบคอบ หรือไม่ก็ปรึกษาครูก่อนก็ได้ กลับบ้านไปก็พูดกับเขาดีๆ”
“จะให้พูดอย่างไรครับอาจารย์”
“คงต้องโกหกเขาไปว่าเราไม่ได้คิดแบบนั้นแล้ว”
“อาจารย์ ผมทำแบบนั้นไม่ได้หรอกครับถึงจะโกหกแต่สุดท้ายผมก็ไม่ได้เป็นชายแท้อย่างที่ปากพูดวันหนึ่งแม่ก็ต้องรู้อยู่ดีครับ”
“อนิรุตครูไม่ได้ให้เธอปิดที่บ้านไปตลอดชีวิต แต่เธอคิดเอาระหว่างโกหกเพื่อให้เขาสบายใจหรือจะให้ทนต่อความจริงที่เป็นอยู่แล้วให้เขาตายลงไปต่อหน้า”
“ก็ได้ครับอาจารย์ผมจะทำตามที่อาจารย์แนะนำครับ”
“ผมมีเพื่อนอยู่ที่โรงพยาบาลชลบุรีเป็นหมอจิตแพทย์ อนิรุตลองจดชื่อและเบอร์โทรศัพท์เขาไปนะ เผื่อเขาจะช่วยได้”อ.บุญทัน แนะนำ พร้อมกับบอกข้อมูล ผมรับไว้แล้วเดินออกมาจากห้อง
จำได้ว่าบ่ายวันนั้นไม่มีเรียนหรืออาจารย์ไปราชการนี่แหละทุกคนจึงกลับบ้านกันมีแต่ผมที่ยังไม่กลับเพราะเครียดเรื่องนี้จึงไม่กล้าไปพบคนที่บ้านผมจึงนั่งอยู่ที่ม้านั่งระหว่างแผนกอิเล็กและแผนกไฟฟ้า พวกเพื่อน ๆที่กินข้าวเสร็จจากโรงอาหารก็กำลังเดินกลับบ้านไปกัน (กิ๊ฟกับภีมแต่กลับบ้านไปตั้งแต่เลิกเรียนวิชาช่วงเช้าแล้วเพราะต้องกลับไปช่วยที่บ้านขายของส่วนภีมอยู่บ้านใกล้กิ๊ฟ จึงต้องกลับไปพร้อมกัน)แล้วทางออกจากเทคนิคต้องผ่านแผนกอิเล็ก และแผนกไฟฟ้า เพื่อนทุกคนจึงต้องเดินผ่านผมทุกคนตันเดินผ่านผมไปผมก็มองตัน ในใจนึกหวังว่าเขาจะต้องเห็นใจเราและชวนเราไปนั่งที่บ้านเขาเหมือนอย่างสมัยเรียน ปวช. ครั้งที่ผมลืมจ่ายค่าเน็ตแล้วทะเลาะกับที่บ้านจนต้องไปอยู่บ้านที่ตันพักอยู่กับป้าคนนั้นแต่แล้วฝันก็สลายเมื่อตันหันมามองผมแล้วพูดว่า “อย่าไปคิดมากเดี่ยวก็ดีขึ้นเอง บายพรุ่งนี้เจอกัน” ผมมองตันที่เดินจากไปอย่างไม่เหมือนตันในตอนนั้นรู้สึกน้อยใจตันมากที่ตันทำกับผมเหมือนไม่มีเยื้อใยอย่างแต่ก่อนแต่ผมก็ทำอะไรไม่ได้อยู่ดี สักพักกร ชิต และอาม ก็เดินมา
“ปะอิน กลับบ้านกัน” กรพูด
“กูยังไม่อยากกลับว่ะ”
“กลับเถอะมึง อยู่ที่นี่ไม่มีเพื่อนนะ กลับคนเดียวเดี๋ยวเหงาอีก”ชิตเสริม
“ขอบใจมาก แต่กูยังไม่อยากกลับจริง ๆว่ะ”
“อะ เดี๋ยวนี่นั่งรอเป็นเพื่อนเอาไหม”กรพูดขึ้นพร้อมกับนั่งลงข้าง ๆ ผม
“ไม่ดีกว่า มึงกลับเถอะกูกลับเองได้ไม่ต้องเป็นห่วง” ผมพูดส่วนกรกับชิตก็นั่งอยู่กับผมสักพักใหญ่ ๆบรรยากาศเงียบมากเพราะไม่มีใครพูดอะไรกันเลย สักพักกรจึงพูดอีก
“ปะอิน กลับเถอะ”
“มึงกลับเลย กูขอร้อง” ผมพูดอย่างจริงจัง กรกับชิตมองหน้ากันแล้วจึงลากลับกรเดินนำหน้าส่วนชิตตบไหลผมเบา ๆ แล้วจึงเดินตามกรกับอามไป
เย็นวันนั้นผมกลับไปที่บ้านแม่และพ่อก็เรียนผมคุย โดยที่ไม่ให้อุ้มเข้ามารับรู้เรื่องนี้เราคุยกันอยู่นานจนสุดท้ายผมจึงต้องโกหกพ่อแม่ไปว่า “เป็นเพียงอารมณ์ชั่ววูบเท่านั้น ตอนนี้ผมเข้าใจในสิ่งที่พ่อแม่บอกแล้วครับ”พูดจบสถานะการณ์ก็ดูผ่อนคลายมากขึ้น ผมเชื่อนะครับว่าพ่อแม่ไม่ปักใจเชื่อผม100 % หรอก อย่างน้อยต่อจากนี้เขาต้องจับตาดูผมเป็นพิเศษแน่นอน แต่แบบนี้ก็ดีแล้วครับดีกว่าให้ผมยื่นคำขาดในสิ่งที่เป็นเพราะนั้นอาจตามมาด้วยการสูญเสียบุคคลผู้ให้กำเนิดผมก็เป็นได้
[วันศุกร์ที่ 13 ก.ค. 2555]
เช้าวันนี้ห้อง 1 ของพวกผมเรียนวิชาของอ.ภคภูมิ ผู้ที่มีวิชาสอนแต่ไม่เคยสอนเลย 555+ ขณะที่ทุกคนกำลังนั่งเล่นกันในห้องอย่างเสียงดังอ.ภคภูมิ ก็เดินเข้ามาแล้วตะโกนว่า
“เฮ่ย มีข่าวด่วนว่ะ” อาจารย์ตะโกน
“มีอะไรค่ะอาจารย์” กิ๊ฟถาม
“งานกิจกรรมเขาแจ้งมาว่าให้แผนกเราส่งตัวแทนไปร่วมโครงการสัมมนาที่พัทยา5 วัน ใครพร้อมมั้งว่ะ”
“อ่าว แล้วประธานแผนกละค่ะอาจารย์”กิ๊ฟถามต่อ
“ไอ่ห่ามันไม่สบาย เร็ว ๆกูรีบใครก็ได้” อาจารย์เร่งต้องการคำตอบ ทุกคนไม่ออกความเห็นใดๆ
“ใครหัวหน้าห้องว่ะกูลืมละ” อาจารย์ถาม
“อีอินค่ะอาจารย์” กิ๊ฟพูดพร้อมกับชี้นิ้วมาที่ผมพร้อมกับเพื่อนๆทุกคน
“สัสเหยิน” ผมแอบด่ามันเบาๆ
“เออ งั้นอินไปนะ ช่วยครูที”
“แต่ผมต้องขาดเรียนนะครับอาจารย์”ผมพูด
“มึงจะกลัวอะไร กูใคร กูจัดการได้นี่มันงานสัมมนามึงคือตัวแทนของวิทยาลัยเลยหนะ เอาหละๆ ไปแล้วกัน”
อาจารย์พูดคนเดียวแบบไม่ให้เวลาผมตัดสินใจเลยแม้แต่น้อย พูดจบแกก็เดินออกนอกห้องเพื่อเอาชื่อมไปส่งที่งานกิจกรรมผมจึงเดินตามแกออกไป
“อาจารย์ครับ”
“ว่า”
“เอาเพื่อนไปด้วยได้ไหมครับไปคนเดียวมันแปลก ๆ อะครับ” ผมขอร้อง
“ได้สิ มึงจะเอาใครไปละ”
“อภินันท์ครับอาจารย์”
“ใครว่ะ อภินันท์”
“ตันไงครับอาจารย์”
“อ๋อ โอเค แล้วนี่มึงบอกมันหรือยังไม่บอกเดี๋ยวก็มีปัญหากันหรอก” อาจารย์พูดจบตันกับบาสก็เดินมาพอดี เมื่อกี้มันไม่อยู่ในห้องเพราะออกไปกินข้าวที่โรงอาหารมาวิชา อ.ภคภูมิ เป็นวิชาที่ชิลล์มากใครจะทำอะไรแกไม่เคยสนใจเลย 555+
“คุยอะไรกันหรอครับอาจารย์” ตันถาม
“เออ มึงมาก็ดีละวันนี้มึงเตรียมตัวเก็บของเลยนะ พรุ่งนี้เตรียมตัวออกเดินทางไปพัทยากับอินไปงานสัมมนา” อาจารย์พูด
“เดี๋ยวนะครับอาจารย์ผมยังไม่ทันรู้เรื่องอะไรเลยนะครับ”
“เออ ก็รู้แล้วนี่ไงพอๆไม่ต้องมากมายมึงแหละไปเป็นเพื่อนกัน” พูดจบแกก็เดินดุ่มๆไปงานกิจกรรม
“อะไรว่ะเนี่ยงงไปหมด” ตันงง ส่วนบาสก็เดินเข้าห้องไป ผมจึงอธิบายให้ตันฟังตันก็โอเคไม่มีปัญหาอะไร ผมรู้สึกดีใจมากที่ผมจะได้ใช้เวลา 5วันนี้อยู่กับตันคนที่ผมรัก.....แค่นี้ก่อนนะครับ
เด็กเมืองชลเหมือนกันเรย ขอบคุณครับ ขอบคุณครับ ขอบคุณครับ ขอบคุณครับ
ขอบคุณครับ
ขอบคุนนะครับ อ่านแล้วเศร้าจัง ยิ่งตอนเกริ่นเรื่อง ก็รู้แล้วว่าไม่มีทางสมหวังแหงๆ T^T น่าจะเอากรไปเป็นเพื่อนแทนตัน อย่างว่าแหละเนาะก็คนมันรักตันไปแล้ว ตอนนี้ยังไม่เห็นกร ในสายตา ขอบคุณครับ ขอบคุณครับ ขอบคุณครับ ขอบคุณครับ
หน้า:
[1]