บทหนึ่งของชีวิต ตอนมนต์ขลัง...ที่วังตะไคร้ 1 โดย orama
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย orama เมื่อ 2024-7-2 20:34บทหนึ่งของชีวิต ตอนมนต์ขลัง...ที่วังตะไคร้ 1 โดย orama
หลังจากที่น้องยุทธไม่ติดต่อกลับมาเลยเป็นเวลาปีกว่า ๆ แถมไอ้กานต์ก็ลาออกไปอยู่ต่างจังหวัด ผมเลยใช้ชีวิตเงียบ ๆไม่สุงสิงกับใคร จะคุยก็แต่เรื่องงาน
ปลายเดือนตุลาคมเพื่อนผมสมัยเรียนปริญญาจะแต่งงานและจะจัดฉลองสมรสเฉพาะกลุ่มเพื่อนที่สนิท ๆ ประมาณ 50 กว่าคน ที่ภูเขางามรีสอร์ท จังหวัดนครนายก
ผมเป็น 1 ใน 50 ที่ได้รับเชิญให้ไปร่วมงานด้วย โดยธีมงานชื่อว่า “แต่งยังไงกูก็จะไปร่วมหอ” ใครอยากแต่งอะไรได้เต็มที่จะยุกไหน แบบไหนได้หมด แต่มีข้อแม้ว่าทุกคนต้องจัดเต็ม ถ้าใครโดนเพื่อน ๆ โหวดว่าจัดไม่เต็มจะโดนทำโทษ
ผมหาชุดอยู่ 2 วันเต็ม ๆ เครียดแทบบ้ามาก เพราะตีโจทน์ไม่ออกกับคำว่าจัดเต็ม ไม่รู้ว่าแค่ไหนถึงเรียกว่าจัดเต็มกลัวโดนเพื่อน ๆ ทำโทษ
งานฉลองจัดวันเสาร์ตอนเย็น แต่ผมถือโอกาสว่าจะไปพักผ่อนด้วยเลยกะว่าจะลาพักร้อนวันศุกร์ แล้วเดินทางไปแต่เช้า เพื่อไปเที่ยวน้ำตกด้วย แล้วค่อยเข้าพัก
จริง ๆ แล้วเครียดมากกว่าเรื่องธีมงานแต่ง เลยจะไปดูลาดเลาว่าใครแต่งแบบไหนจะได้มีเวลาหาชุดใหม่ เลยต้องแอบไปก่อนล่วงหน้า 1 วัน
ผมขับรถไปเที่ยวน้ำตกสาลิกาก่อน แล้วแวะมาหาอะไรกินแถวน้ำตกวังตะไคร้ ผมนั่งกินข้าวเงียบ ๆ
ขณะที่ผมนั่งกินข้าวคนเดียวเงียบ ๆ ได้ยินเสียงตีน้ำแรงขึ้นเรื่อย ๆ พร้อมกับเสียงคนตะโกนให้ช่วย ผมรีบไปที่ต้นเสียง เห็นคนตีน้ำเสียงดัง น้ำก็ไม่ลึกมากแค่อก ทำไมถึงร้องให้ช่วย
“พี่ครับ........ผมเป็นตะคริว ช่วยผมด้วย”
“เฮ้ย...........” ผมไม่รอให้เรียกรอบสอง รีบโดดลงไปในน้ำทันที พอขาผมถึงพื้นผมยืนขึ้น น้ำสูงประมาณอกผม
ผมรีบเอามือช้อนใต้รักแร้เด็กหนุ่มไว้ในอ้อมอก น้องเขากอดไหล่ผมแน่น พร้อมกับแสดงสีหน้าด้วยความเจ็บปวด
“ไหวมัย”
“ปวดขามากเลยครับ”
ผมเอามือช้อนร่างเด็กหนุ่มขึ้นมาอุ้มกระชับ น้องเขาเหยียดขาเกร็งพร้อมแสดงสีหน้าด้วยความเจ็บปวด
ผมอุ้มน้องเขาแล้วค่อย ๆ เดินขึ้นไปบนฝั่ง แล้ววางน้องเขาลงบนโต๊ะที่ผมนั่งกินข้าวเมื่อสักครู่ พลิกดูที่น่องกล้ามเนื้อแข็งเกร็งเป็นไต น้องกดต้นขามือสั่นขาสั่นแสดงถึงความเจ็บปวด
ผมเอาผ้าเช็ดหน้าออกมาซับน้ำที่น่องแล้วเอาฝ่ามือมาเป่าลมร้อนใส่มือแล้วเอาไปถูที่น่องน้องเขาเบา ๆ ทำแบบนี้อยู่สักพักน้องเขาก็คลายอาการเกร็งลง เหลือไว้แต่รอยแดง ๆ ที่น่องที่เห็นได้อย่างชัดเจน เพราะน้องเป็นคนที่ผิวขาวมาก ๆ
“ดีขึ้นหรือยัง”
“ดีขึ้นมากแล้วครับขอบคุณครับ”
“น้ำคงเย็น เลยเป็นตะคริว”
“ครับน้ำเย็นมาก ผมค่อย ๆ ไหลมาจากข้างบน พอถึงตรงนั้นอยู่ ๆ ก็เป็นตะคริว”
“คงแช่น้ำนานเกินไป”
“ดีที่พี่มาเห็น ไม่งั้นผมคงแย่”
“น้ำไม่ลึกไม่น่าเป็นไรมาก”
“เฮ้ยเซฟเป็นไงบ้างว๊ะ” ผมหันไปตามเสียง เป็นเด็กวัยรุ่นกลุ่มใหญ่ประมาณ 4-5น่าจะรุ่นเดียวกัน
“เชี้ย......ตะคริวแดกขากูนะดิ ดีที่พี่เขาช่วยไว้ทัน ไม่งั้นกูนอนเฝ้าวังตะไคร้แล้วมั้ง”
“พวกกูบอกมึงแล้วว่าช้า ๆ แม่งเสือกว่ายมาก่อน”
“เป็นไงบ้าง”
“ดีมากแล้ว อ้าวแล้วพี่เขาหายไปไหน” ขณะที่น้องเขาคุยกันผมก็เลี่ยงเดินออกมาขึ้นรถ
“พี่ครับ พี่ครับ” ผมอยู่ในรถได้ยินเสียงน้องเขาตะโกนเรียก แต่ผมนั่งอยู่ในรถแล้ว ตอนแรกว่าจะออกไปพอเห็นน้อง ๆ ช่วยกันพยุงน้องคนที่เป็นตะคริวเดินไปทางต้นน้ำ เลยไม่ออกไป น้องเขายังหันซ้ายหันขวามองหาผม จนกลุ่มน้องเขาเดินลับสายตาไป
พอพวกน้อง ๆ กลุ่มนั้นเดินลับสายตาผมก็สตาร์ทรถแล้วค่อย ๆ เคลื่อนรถออกไปทางรีสอร์ททันที โดยผมขับไปเรื่อย ๆ ถึงรีสอร์ทประมาณบ่าย 3 ผมรีบไปที่ฟร้อนเพื่อเช็กอินเข้าห้องพัก
จริงอย่างที่ผมคิด รีสอร์ทถูกจองห้องพักตั้งแต่วันศุกร์เกือบครึ่ง ผมแกล้งตีซี้ถามพนักงานที่ฟร้อนว่ามีใครมาบ้างจะได้นัดเจอกัน พอเห็นรายชื่อคนจองผมถึงกับตาเหลือก เพราะเป็นพวกตัวแสบ ๆ ทั้งนั้น สงสัยทุกคนรีบมาดูลาดเลาไม่ต่างจากผม
เดชะบุญที่ผมให้น้องกิ๊บเป็นคนจองห้องให้ ผมเลยใส่ชื่อน้องกิ๊บไป ทำให้ผมซ่อนตัวบรรดาเพื่อน ๆ ได้อย่างแนบเนียน
ผมเข้าห้องได้ก็อาบน้ำเพราะร้อนมาทั้งวัน ตอนแรกกะว่าจะแอบไปเล่นน้ำตก อุตส่าเตรียมกางเกงขาสั้นไป พอดีเจอน้องเขาเป็นตะคริวเลยรีบโดดลงไปทั้งชุด กางเกงยีนส์ตัวเก่งเปียกแฉะไปทั้งตัว
“สวัสดีครับ ที่นี่มีบริการซักรีดผ้าด่วนมั้ยครับ” ผมยกหูโทรศัพท์ไปที่ฟร้อน
“กี่ชั่วโมงครับ พรุ่งนี้สาย ๆ ได้หรือครับ งั้นมารับที่ห้องพัก B 215 ได้มั้ยครับ...ขอบคุณครับ”
ผมรีบถอดชุดที่ใส่ถึงแม้มันจะหมาด ๆ แต่อยากซักให้แห้งเพื่อใส่กลับ มีแม่บ้านมารับชุดไปซักแห้ง ผมรีบเข้าไปอาบน้ำแล้วออกมานอนผึ่งแอร์สบายๆ
ผมเลือกบ้านพักเป็นหลังที่ห่างไกลออกไปเพราะดูเงียบสงบ บ้านพักเป็นบ้านชั้นเดียว มีห้องนั่งเล่น และห้องนอนที่ยกสูงจากพื้นประมาณ 50 เซ็น ห้องน้ำในตัว มีทั้งแบบเตียงเดี่ยวและเตียงคู่ ผมเลือกแบบเตียงเดี่ยว
ผมเผลอหลับไปตั้งแต่ 4 โมงมารู้สึกตัวอีกทีทุ่มกว่า ๆ ได้ยินเสียงเด็กวัยรุ่นคุยกัน เสียงคุ้น ๆ แต่จำไม่ได้ว่าเคยได้ยินที่ไหน
ผมซื้อเบียร์ใส่รถมา 1 ถาดใหญ่ กะว่าจะมานั่งชมบรรยากาศนอนดูแสงดาวยามค่ำคืนแล้วจิบเบียร์เย็น ๆ ผมสั่งอาหารมารองท้องพร้อมกับแกล้ม
“อาหารมาแล้วครับ” พนักงานเสิร์ฟเรียกตรงประตูห้อง ส่วนผมนั่งจิบเบียร์อยู่ตรงระเบียง บ้านพัก
“อยู่นี่ครับ” ผมชะโงกหน้าไปตรงประตูหน้า
“เดี๋ยวผมเดินไปตรงนั้นก็ได้ครับ” พนักงานเสิร์ฟ เดินอ้อมมาด้านหลังเพื่อเอาอาหารมาให้ผม
“เท่าไหร่ครับ”
“650 บาทครับ” ผมเข้าไปเอาเงิน 700 ยื่นให้พนักงานเสิร์ฟ
“ไม่ต้องทอนครับ”
“ขอบคุณครับ มาคนเดียวหรือครับ”
“มาคนเดียวครับ มางานแต่งพรุ่งนี้หรือเปล่าครับ...เออขอโทษครับที่เสียมารยาต”
“ไม่เป็นไรครับ มางานนี้แหละครับ แต่เพื่อนห่าง ๆ”
“มิน่าละครับถึงมาพักเสียไกล เพื่อนเจ้าภาพฉลองกันอยู่ที่ห้องอาหาร”
“อ้าวหรอครับ คนเยอะมั้ยครับ”
“ประมาณ 30 กว่าคนครับ”
โห นี่มากันเกือบครบเลยหรือว๊ะ ผมนึกในใจ
“ส่วนใหญ่มากันเป็นครอบครัวครับ” อ๋อ สงสัยถือโอกาสพาครอบครัวมาพักผ่อนด้วย
“ครับ”
“จะสั่งอะไรเพิ่มเติมก็ได้นะครับ ครัวปิด 4 ทุ่ม”
“ได้ครับผม” พนักงานเสิร์ฟขอตัวกลับไปทำงาน
เมื่อกี้ผมได้ยินเสียงคนกลุ่มใหญ่คงเป็นเพื่อน ๆ มากับครอบครัว แรกๆก็ว่าจะไป แต่ทุกคนมากับครอบครัว ขี้เกียดตอบว่าทำไมเรายังไม่แต่งงาน เพราะตอนนี้เพื่อนผู้หญิงผมบางคนก็มีลูกจนเข้า ป.1 แล้วก็มี ชนิดที่ว่าจบมหาลัยปุบแม่งพากันเอาผัวปับแล้วมีลูกทันที ผมยังเคยคิดว่ามันคงเอากันตั้งแต่ยังไม่จบหว่า 5555555555
ผมนั่งจิบเบียร์เพลิน ๆ อยู่ตรงระเบียง
“พี่ครับ พี่ครับ” ผมหันไปตามเสียงเป็นเด็กหนุ่มถีบจักรยานมายืนตรงทางเดิน
“ครับ”
“พี่ที่ช่วยผมเมื่อกลางวันจริง ๆ ด้วย” เด็กหนุ่มทิ้งจักรยานแล้วรีบวิ่งมาเกาะที่ระเบียง ผมจ้องหน้าว่าคุ้น ๆ แต่ตอนนั้นน้องตัวเปียก ผมเปียก แต่ตอนนี้น้องตัดรองทรงปกหู
“เออ....ครับ”
“โหพี่..........โลกมันกลมจริง ๆ ผมยังไม่ได้ขอบคุณพี่เลย”
“ไม่เป็นไรครับ”
“ผมเข้าไปได้มั้ยครับ”
“เออ....ได้ครับ เดี๋ยวพี่เปิดประตูให้”
“ไม่ต้องแล้วครับ” เด็กหนุ่มปีนระเบียงขึ้นมาซึ่งระเบียงจะสูงกว่าถนนประมาณ 50 เซ็น โดยปลูกต้นไม้รอบ ๆ อย่างสวยงาม
พอปีนรั้วขึ้นมาได้ก็ยืนตรงยกมือไหว้ผมด้วยความนอบน้อม
“ผมกราบขอบพระคุณพี่อีกครั้งครับ ที่โดดลงไปช่วยผมเมื่อกลางวัน ถ้าไม่ได้พี่ช่วยผมคงจมน้ำตายไปแล้ว”
“ไม่เป็นไรครับ นั่งก่อนดิ” ผมเชื้อเชิญให้น้องเขานั่งเก้าอี้ตรงข้ามผม
ผมมองดูไฟตาแมวดวงเล็ก ๆ ที่อยู่ตรงระเบียงมันก็สว่างไม่มากทำไมน้องเขาถึงจำผมได้
“ดื่มด้วยกันมั้ยครับ”
“เกรงใจพี่”
“เอาน่ามิตรภาพสำหรับเพื่อนใหม่” ผมเปิดเบียร์ที่เย็นเฉียบยื่นส่งให้ ทำให้น้ำเย็น ๆ จากกระป๋องหยดลงใส่ต้นขาน้องเขาถึงกับสะดุ้ง
“เฮ้ย.....” น้องคงตกใจรีบลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว น้องใส่เสื้อกีฬาสีแดง และกางเกงบอลสีขาว ขาสั้น เผยให้เห็นต้นขาที่ขาวผ่อง
“เฮ้ย...ขอโทษ”
“ไม่เป็นไรครับ แค่ตกใจนึกว่าอะไรกัด 55555555”
“ขาเป็นไงบ้างครับ”
“หายดีแล้วครับ ได้น้ำมันมวยนวด ผมคงแช่น้ำนานเกินไป เลยทำให้เป็นตะคริว”
“น้องพักที่นี่หรอ”
“ครับ ผมมากับพี่สาว มางานแต่งเพื่อนพี่เขย”
“เออ.....ยังไง”
“คือพี่เขยผมเป็นเพื่อนกับเจ้าสาวและเจ้าบ่าว ส่วนผมเป็นน้องเมีย”
“อ๋อ มากัน 3 คน หรอครับ”
“ผมมา 5 คน มีหลานมาด้วยอีก 2”
“แล้วเพื่อน ๆ เมื่อบ่าย”
“เพื่อน ๆ กลับกรุงเทพหมดแล้วครับ พวกมันแค่มาเที่ยวน้ำตก”
“พักกรุงเทพหรอ”
“ผมเป็นคนพิษโลกครับแต่มาเรียนที่กรุงเทพ”
ผมนึกถึงเพื่อนผมว่าคนไหนหว่า ที่ได้เมียคนพิษโลก นึกเท่าไหร่ก็นึกไม่ออก
ได้แต่เก็บความสงสัยไว้ จะถามก็ไม่กล้ากลัวเพื่อน ๆ รู้ว่ามาแต่ไม่ยอมไปเข้ากลุ่ม
“ผมยังไม่รู้จักชื่อพี่เลย ผมเซฟครับ”
“พี่ชื่อต๊ะ”
“พี่ต๊ะมาเที่ยวหรือครับ”
“ก็ประมาณนั้นแหละ”
“เพี๊ยะ”
“ยิ่งดึกยุงยิ่งเยอะนะครับ”
“กลางป่าก็แบบนี้แหละ”
“สงสัยงานเลี้ยงคงเลิกแล้วเห็นเงียบ ๆ”
“งานเลี้ยงอะไรครับ” ผมแกล้งถามน้องเซฟ
“พี่ ๆ เขามาร่วมงานแต่งพรุ่งนี้ วันนี้เลยซ้อมเมากัน เห็นคุยกันว่าจะแต่งชุดอะไร ผมเองก็โดนพี่สาวให้แต่งเหมือนกัน เป็นชุดเจ้าชายอะไรสักอย่างนี่แหละ”
“ครับ” ผมพอจะเดาออกแล้วว่าจัดเต็มมันคืออะไร คงแต่งแบบแฟนซีแน่ ๆ หรือไม่ก็แบบพระเอกนางเอกในหนังการ์ตูน ซึ่งสมัยนี้คงเรียกว่าคอสเพล
เราสองคนคุยกันถูกคอมากขึ้น คุยทุกเรื่อง ดิน น้ำ ลมไฟ การเมือง หนัง ละคร ผมดูนาฬิกา5 ทุ่มกว่า ๆ
“โหพี่คุยเพลินเลย เดี๋ยวผมกลับห้องก่อนนะครับ ป่านนี้พี่สาวผมด่าไฟแลบแล้วมั้ง...เออว่าแต่พี่กลับวันไหน” ไอ้น้องเซฟไม่รอคำตอบ โดดข้ามระเบียงคว้าจักรยานได้ก็รีบถีบไปทางรอบบี้โรงแรมทันที
จากห้องที่ผมพักไปรอบบี้ก็ประมาณ 100 - 200 ร้อยเมตร ผมมองตามไปจนน้องเซฟถีบจักรยานลับตา ทางเดินมีไฟดวงเล็ก ๆ ขนาด 3 แรงเทียน เปิดไว้เป็นระยะเพื่อให้เห็นทางเดินยามค่ำคืน ถ้าปิดไฟตรงระเบียงทุกห้องแล้วเหลือไว้เฉพาะไฟตรงทางเดินจะทำให้สวยมาก
ผมกลับเข้าห้องเพราะยุงเริ่มเยอะขึ้นเรื่อย ๆผมเดินไปนั่งจิบเบียร์ต่อบนโซฟาพร้อมกับดูรายการทีวีสลับกับนึกถึงใบหน้าน้องเซฟที่มีรอยยิ้มกวน ๆ ช่างพูด ปากได้รูป จมูกโด่ง ตาตี่เล็กน้อย ผิวขาวเนียน รูปร่างสมส่วนน่าจะสูงพอ ๆ กับผม เด็กสมัยนี้มันสูงกันจริง ๆ ตัดผมรองทรง แล้วปล่อยให้มาปลกใบหน้าดูมีเสน่ห์ เวลายิ้มเห็นฟันขาวใส
ผมตื่นขึ้นมาประมาณ 8 โมงกว่า ๆ ตอนแรกว่าจะไปกินอาหารเช้า แต่ขี้เกียดเลยหาขนมปังกับนมที่ซื้อติดมือมากินรองท้อง
“พี่ต๊ะครับ พี่ต๊ะตื่นหรือยังครับ”
ผมงัวเงียลุกออกจากห้องนอนไปที่ประตู แง้มผ้าม่านออกดูเห็นเป็นน้องเซฟมายืนเคาะประตู
“มีไรครับ”
“ตื่นไปวิ่งออกกำลังกายกันมั้ยครับ”
“ไม่ไหวครับ เมื่อคืนหนักไปหน่อย”
“อ้าวพี่ ดื่มต่อหรอครับ”
“อืม....เกือบหมดถาด”
“เฮ้ย....ไอ้ต๊ะใช่มั้ยว๊ะนั่น”ผมหันไปตามเสียง
“เฮ้ย.......ไอ้ยศ”
“เออ...พี่ต๊ะรู้จักพี่ยศหรอครับ”
“เออ...เพื่อนพี่เอง”
“อ้าว...เมื่อคืนพี่ไม่เห็นบอกผม พี่ยศนี่แหละพี่เขยผม”
“อ้าว......หรอ”
“ไอ้เหี้ย...มาถึงเมื่อไหร่” แหมเจอหน้าก็ยัดเยียดเหี้ยให้กูเลยนะมึง
ไอ้ยศ หรือทรงยศ เรียนคณะเดียวกับผม เป็นคนสระบุรีแต่ชอบบอกใคร ๆ ว่าบ้านอยู่ลพบุรี เพราะเพื่อน ๆ ชอบเรียกมันว่าคนบ้านกระหรี่ดัง ก็คือสระบุรี นมดี กระหรี่ดัง มันเลยย้ายบ้านหนีปากเพื่อน ๆ ไปอยู่ลพบุรี แต่จริง ๆ แล้วมันก็ยังอยู่สระบุรีนั่นแหละ
“กูมาถึงเมื่อวาน เหนื่อย ๆ เลยพักผ่อน”
“เหี้ยมาแล้วตั้งแต่เมื่อคืนไม่ยอมไปร่วมกลุ่ม เพื่อน ๆ ถามหาว่ามึงจะมาหรือเปล่า แล้วนี่มากับใคร อย่าบอกนะว่ามาคนเดียวตามเคย”
“เออ....คนเดียว” ผมกระแทกเสียงใส่ไอ้ยศ
ผมยืนคุยกับไอ้ยศเพลินน้องเซฟเข้าไปนั่งในบ้านเรียบร้อยโดยไม่ต้องเชื้อเชิญ
“เข้ามาในห้องก่อนมั้ย”
“ไม่ล่ะ เดี๋ยวไปดูลูกอ้าวไอ้เซฟ.....มึงเข้าไปนั่งในห้องเขานะรู้จักพี่เขาหรอ”
“ก็พี่ต๊ะนี่แหละที่ช่วยผมตอนเป็นตะคริวที่วังตะไคร้”
“อ้าวจริงดิ...ไอ้เหี้ยแม่งโลกกลมชิบหาย” เสียงไอ้ยศสบดออกมาดังลั่น
“เฮ้ยเดี๋ยวกูไปก่อนออกมานาน ป่านนี้เมียกูด่าไฟแลบไหม้โรงแรมแล้วมั้ง 555555555”
“เดี๋ยวผมตามไปนะพี่ยศ”
“เออ....ตามสบายมึงจะอยู่คุยกับพี่เขาก็แล้วแต่”ไอ้ยศรีบวิ่งออกไปอย่างรวดเร็ว แล้วหันมาตะโกนเสียงดัง
“เฮ้ยต๊ะ......เดี๋ยวเย็น ๆ เจอกันโว้ย
“เฮ้ยต๊ะ......เดี๋ยวเย็น ๆ เจอกันโว้ย”
“เออ ๆ” ผมยืนงงเป็นไก่ตาแตกไอ้ยศมันมาไว ไปไว ส่วนน้องเซฟนั่งหน้าแป้นเปิดทีวีดูเหมือนไม่เดือดร้อน
“เออพี่ต๊ะ พี่กับพี่ยศเพื่อนกันสมัยไหน”
“เรียนมหาลัยด้วยกัน 4 ปี”
“พี่ยังไม่มีแฟนหรอ”
“ยัง”
“โห......หน้าตาอย่างพี่หล่อกว่าพี่ยศเป็นร้อยเท่า ทำไมพี่ถึงไม่มีแฟน พี่ยศนอกจากหน้าตาไม่ได้เรื่องแล้ว....แถมยังปากหมาอีก”
“55555555555555555”
“พี่หัวเราะอะไร”
“พี่ยศปากร้ายหรอ”
“อย่างพี่ยศไม่เรียกว่าปากร้ายหรอก เรียกว่าปากหมา แต่พี่เชื่อมั้ยเวลาอยู่กับพี่สาวผม พี่ยศแกเป็นคนละคนเลยนะ พูดจาเรียบร้อย”
“งั้นแสดงว่าพี่สาวเราปากร้ายกว่านะดิ”
“ขานั้นอย่าเรียกกว่าปากร้ายเลย ต้องเรียกว่าโคตรร้าย ชนิดที่ด่าสามวันสามคืนไม่ซ้ำกัน”
“ไม่ขนาดนั้นมั้ง”
“จริง ๆ พี่ ผมเคยเห็นพี่สาวผมทะเลาะกับแม่ค้าในตลาดเรื่องโกงตาชั่ง มียายแก่ ๆ คนนึงมาขายผักให้แม่ค้าในตลาด ยายแกโดนแม่ค้าในตลาดโกงตาชั่งพี่สาวผมเห็นพอดี แกทนไม่ได้ด่าแม่ค้าคนนั้นลากยาวตั้งแต่เช้ายันบ่าย พี่ยศต้องมาจับแยก”
“อันนั้นเขาไม่เรียกว่าปากร้ายหรอก เขาเรียกว่าผดุงคุณธรรม”
“พี่ต๊ะนี่เข้าใจเรียกเนาะเออ....แต่ก็จริงเพราะผมไม่เคยเห็นพี่ผมไปร้ายกับใครก่อนเลยนะ แถมใจดีด้วย แกชอบช่วยเหลือคนอื่น โดยเฉพาะคนที่ถูกรังแก”
“แล้วพี่ยศล่ะ”
“โอ้ยพี่ยศนะหรอ อย่าให้พูดเลย พอพ้นสายตาเมียก็เตะหมู เตะหมา ด่าแม่เจ็กไปทั่ว คำพูดก็สรรหามาแต่ไอ้เหี้ย ไอ้สัตว์ พอเจอเมียเท่านั้นแหละเงียบ หงอย เรียบร้อย”
“พี่ยศมีเมียน้อยมั้ย” ผมกะจะแกล้งไอ้ยศ
“ไม่น่ามีนะ เพราะถ้าพี่สาวผมรู้..ศพพี่ยศไร้ที่ฝังแน่ ๆ”
“ขนาดนั้นเลยหรอ” ผมพูดเบา ๆ แล้วก็คิดแผนว่าจะแกล้งไอ้ยศปากหมาเล่น ๆ ยังไง
“เออ....ไม่รู้งานคืนนี้กิ๊กเก่าไอ้ยศจะได้รับเชิญมามั้ยน้อ” ผมพูดลอย ๆ พอน้องเซฟไอ้ยิน
“ถ้ามาซวยแน่ ๆ เลยพี่” ผมทิ้งระเบิดไว้แล้วก็เดินเข้าห้องนอนเตรียมตัวอาบน้ำ
“งั้นผมกลับก่อนนะพี่ต๊ะ”
“ครับผม”
ผมอาบน้ำเสร็จกำลังแต่งตัวได้ยินเสียงทุบประตูดังลั่น
“ไอ้เหี้ยต๊ะ.......มึงออกมาพูดกับกูเดี๋ยวนี้”
ผมจำได้ว่าเป็นเสียงไอ้ยศ พร้อมกับเสียงเด็ก
“มีไรยศ”
“เมื่อกี้มึงพูดอะไรกับไอ้เซฟ”
“พูดอะไร”
“มึงบอกว่ากูพากิ๊กเก่ามางานนี้ด้วย กูเคยมีกิ๊กที่ไหน สมัยเรียนหมาสักตัวยังไม่มองกูเลย”
“5555555555555555555”
ผมหัวเราะไปเหลือบไปเห็นน้องเซฟยืนหน้าบูดเป็นตูดอุ้มและจูงหลานมาด้วยสองคนน่าจะประมาณ 3-5 ขวบ
“พี่ต๊ะ..........โกหกผม”
“ก็ใครจะไปคิดว่าเซฟจะเอาไปบอกพี่ยศล่ะ”
“ผมไม่ได้บอกพี่ยศ แต่ผมแค่ไปคุยกับพี่ซินพี่สาวผมเฉย ๆ ว่ารู้จักแฟนเก่าพี่ยศมั้ย”
“อ้าวหนักกว่าเก่า.....แล้วพี่สาวว่าไง”
“จะว่าไงล่ะพี่ ...ผมถามยังไม่ทันขาดคำ พี่ซินรมขึ้นอาละวาดหนัก แล้วเห็นนี่มั้ย ผมถึงต้องหอบหลานมาหลบที่นี่ ป่านนี้ห้องโรงแรมไฟไหม้เป็นจุลแล้วมั้ง”
“นั่นไงมานั่นแล้ว เดี๋ยวพวกผมหลบก่อน” น้องเซฟมีอาการหวาดกลัวอย่างเห็นได้ชัด ไอ้ยศเองก็ตกใจจนหน้าซีดคงไม่คิดว่าเมียจะตามมาถูก
เมียไอ้ยศยังอยู่ในชุดนอนผมเผ้ายุ่งเหยิงมายืนหอบหน้าบ้านพร้อมกับจ้องหน้าผมตรงทางเท้า
“นั่น.....นั่นพี่ต๊ะใช่มั้ย”
“ใช่ครับ”
“ดีใจจังเลยเจอตัวจริงเสียที” น้องซินหรือเมียไอ้ยศ พี่สาวน้องเซฟ วิ่งโผเข้ากอดผมแน่น ผมเองก็ตกใจ
“เออ..เดี๋ยวครับ มีอะไรเข้าใจผิดหรือเปล่า” ผมงงกับครอบครัวนี้จริง ๆ ส่วนไอ้ยศ กับน้องเซฟที่หลบอยู่ในห้องก็แง้มประตูดูด้วยความสงสัย
“วันแต่งงานพี่ไม่ไปแต่ยังอุตส่าส่งของขวัญไปให้หนู”
“ผมไป...... แต่ไปถึงตอนเจ้าบ่าวเจ้าสาวอยู่บนเวที พอดีมีเรื่องด่วนรีบกลับเลยฝากของขวัญไว้ที่โต๊ะหน้างาน”
“นี่ไง...สร้อยข้อมือที่พี่ให้หนู....หนูยังใส่อยู่เลย”
น้องซินชูข้อมือขาวผ่องให้ดู พร้อมสร้อยเงินที่มีคลิสตัลร้อยเป็นพวงรอบ ๆ
“มันเป็นสร้อยข้อมือที่หนูอยากได้มาก…เป็นของขวัญที่หนูชอบที่สุด หนูใส่มาตลอดตั้งแต่วันนั้น..พี่ต๊ะรู้ใจหนูจริง ๆ”
“แล้วรู้มั้ยว่าทำไมพี่ถึงซื้อสร้อยเส้นนี้ให้” ผมเริ่มเดาเหตุการณ์ออก
“ไม่รู้”
“ก็เจ้าบ่าวคืนนั้นแหละบังคับให้พี่ไปตะเวนหาซื้อให้พี่เลยมาถึงงานสาย”
“พี่ยศนะหรอ” น้องซินพูดขึ้นด้วยความตกใจ
“อืม.......ไอ้ยศมันกะว่าจะใส่ให้น้องซินตอนอยู่บนเวที…แต่พี่ไปไม่ทัน..พี่ขอโทษ”
“พี่ไม่ได้โกหกหนูนะ”
“พี่จะโกหกซินไปทำไม แล้วยศเคยถามมั้ยว่าทำไมซินถึงใส่แต่สร้อยเส้นนี้เวลาออกงาน เพราะยศเขารู้ตัวว่าเขาเป็นคนหามาให้ซินเองเลิกงานแล้วยศมันยังโทรไปขอบคุณพี่ ถึงแม้จะไม่ได้ให้บนเวทีแต่วันนั้นมันก็ใส่ให้น้องซินในห้องหอก็สุขใจ.....ยศใส่ให้วันนั้นเลยใช่มั้ยในห้องนอน”
“ค่ะ.....ค่ะ.........โห....โห...โห.....พี่ยศ”
น้องซินปล่อยโหแบบไม่อายใคร ผมเองก็งงว่าทำไมต้องร้องไห้ขนาดนั้น
ไอ้ยศแอบมายืนข้างหลังผมเงียบ ๆ พอน้องซินเจอหน้าไอ้ยศ น้องซินโผเข้ากอดไอ้ยศแน่น
“พี่ยศ ซินขอโทษ ซินคิดว่าพี่ยศไม่รักซิน ถึงไม่หาของที่ซินชอบมาให้ ซินเข้าใจผิดมาตลอด” ไอ้ยศมองหน้าผมแบบนิ่ง ๆ พร้อมกับขอบตามีน้ำใสๆล้นเอ่อออกมา
“พี่รักซินคนเดียว และจะรักตลอดไปชั่วนิรันดร์”
“พี่ยศ” น้องซินเงยหน้ามองผัวตัวเองแล้วซบลงไปที่อกไอ้ยศนิ่ง
ผมมองไปงงไป สองผัวเมียนี่มันยังไง ไม่รักกันแล้วมันแต่งงานกันได้ไงว๊ะ
ผมถอยออกมายืนห่าง ๆ โดยมีน้องเซฟมายืนข้าง ๆ
“เออ...พี่ต๊ะมันเกิดอะไรขึ้น”
“พี่ก็ไม่รู้”
“กลับห้องเราเถอะพี่” ซินจูงมือไอ้ยศกำลังจะออกไปนอกห้อง
“เดี๋ยวพี่ซิน แล้วไอ้สองตัวนี่ล่ะ”
“แกดูแลหลานอยู่ที่นี่แหละ” ซินหันมาสั่งน้องเซฟให้อยู่กับหลานที่นี่
“เฮ้ย.....พี่ซิน....”
น้องเซฟกำลังอุ้มหลานจะวิ่งตามออกไป ผมรีบคว้าแขนน้องเซฟไว้อย่างรวดเร็ว
“ห้ามผมทำไมพี่.......หลานยังไม่ได้กินข้าว ผมจะเอาไปคืนพี่สาว”
“พี่สาวเราบอกว่าให้ดูแลหลานอยู่ที่นี่ แสดงว่าเราต้องอยู่กับหลานที่นี่ก่อน”
“ทำไมล่ะพี่”
“เออ......เขาสองคนขอเวลาปลอบใจกันสักพัก”
“ปลอบใจก็เลี้ยงลูกไปด้วยได้นี่ครับ”
“เออ.....เขาต้องปลอบแบบสองต่อสอง แบบแนบเนื้อ แบบไม่มีใครรบกวน”
“เออ.......” น้องเซฟหน้าแดงขึ้นมาอย่างรวดเร็ว
“กลางวันแสก ๆ นี่นะพี่”
“มันไม่มีเวลาตายตัวหรอก เดี๋ยวพอเซฟมีแฟนก็รู้เองแหละ”
“บ้าพี่....ผมยังไม่มีแฟน” น้องเซฟรีบออกตัวแล้วไปนั่งหน้าแดงกับหลานที่โซฟาอย่างรวดเร็ว
“555555555555555555555"
ขอบคุณครับ ขอบคุณมากนะครับ{:5_130:}
ขอบคุณมากๆ ครับ สนุกมากเลยครับ เรื่องนี้น่ารัก : ) น้องเซฟเสร็จแน่ ขอบคุณคับ ขอบคุณคับ ติดตามต่อครับ ขอบคุณครับ
ขอบคุณมากครับ ดวงต๊ะสมพงษ์กะเด็กๆจริงเลยนะครับ ขอบคุณครับ รออ่านตอนต่อไปครับ ขอบคุณครับ ขอบคุณครับ {:5_146:} ขอบคุณครับ ชอบๆ รอติดตามครับ ขอบคุณนะฮะ