ผมได้อ่านประสบการณ์ของคนอื่นมามากแล้วส่วนใหญ่มักจะเล่าว่าเคของตัวเอง (หรือของคู่ขาในเรื่อง) ยาว 7 นิ้วบ้าง 8 นิ้วบ้างบอกจริงๆผมว่าโม้เป็นส่วนใหญ่ เพราะของคนไทยโดยเฉลี่ยแล้วราว 5 นิ้วเท่านั้นเอง อะไรจะมี 7-8 นิ้วได้มากมายขนาดนั้น
และอีกอย่างคนที่ว่าใหญ่ๆยาวๆนั้นที่จริงแล้วไม่มีความสุขหรอกครับ มันทรมานมากกว่าอย่างเช่นชีวิตของผมนี่ไง เพราะความที่เคใหญ่จึงทำให้ผมต้องกลายมาเป็นเกย์ซึ่งถ้าผมเลือกได้หรือย้อนเวลาไปได้ ผมอยากขอมีเคเล็กๆ (หมายถึงขนาดปกติ ไม่ต้องเล็กมาก) แล้วเป็นผู้ชายปกติธรรมดาดีกว่า
จำได้ว่าตอนเด็กๆนั้น (ราว 8-9 ขวบ) เจ้าน้องชายประจำตัวของผมก็ไม่ได้ใหญ่กว่าของคนอื่นหรอกครับเพราะเคยแก้ผ้าอาบน้ำกับเพื่อนๆแถวบ้าน (บ้านผมอยู่ติดคลอง) อยู่บ่อยๆ ทั้งตอนที่มันสงบและตอนที่มันตื่นตัว แต่พออายุได้ราว 10 ขวบสิครับ เวลามันตื่นตัวก็ชักจะเริ่มใหญ่โตผิดเพื่อนๆรุ่นราวคราวเดียวกันแต่ก็ยังไม่เท่าไรเพราะเวลาเล่นน้ำในคลองนั้นเล่นเป็นกลุ่ม มีเด็กที่โตกว่าผมก็มีของผมก็ไปใหญ่ราวเด็กอายุ 12-13
แต่พอผมเริ่มเป็นหนุ่ม อายุได้สัก 12 เจ้าน้องชายของผมมันก็ยาวใหญ่ขึ้นกว่าเดิมอีก คงจะประมาณ 5-6 นิ้วได้มั้งครับ เพราะตอนนั้นยังเป็นเด็ก ไม่เคยสนใจไปวัดดูหรอกแต่ก็ยาวผิดเพื่อนๆเยอะแล้วล่ะ แถมน้องชายยังอ้วนใหญ่อีกต่างหากเวลาว่ายน้ำแล้วแข็งตัวทีไรมันจะชี้โด่เป็นลำเลยในขณะที่เพื่อนๆแข็งแล้วก็ยังไม่ใหญ่กันเท่าไร เพื่อนๆก็เลยชอบล้อเลียนผมกัน ว่ายาวใหญ่เหมือนของม้าแล้วผมก็ได้ฉายา “ไอ้ม้า”
เพื่อนๆคงคิดว่าผมจะภูมิใจในความใหญ่ของตัวเองแต่ที่จริงไม่ใช่หรอกครับ เพราะเวลาถูกเรียกว่า “ไอ้ม้า”นั้นมันรู้สึกไม่ค่อยดีเลย จำได้ว่าผมได้ฉายานี้ตอน ม. 2 หลังจากที่ได้ฉายานี้มาจากคลองหลังบ้าน มันก็เริ่มแพร่เข้ามาในโรงเรียนเพราะเพื่อนที่ร่วมเล่นน้ำด้วยกันนั้นบางคนก็อยู่โรงเรียนเดียวกับผมแต่หลังจากที่ผมได้ฉายานี้ผมก็เลยไม่แก้ผ้าเล่นน้ำที่คลองหลังบ้านอีกหากจะเล่นก็จะนุ่งผ้าขาวม้าหรือใส่กางเกงใน เพราะโตแล้วก็เริ่มมีความอายอีกทั้งขนเพชรก็เริ่มขึ้นแล้วด้วย ขืนปล่อยให้เพื่อนเห็นมันก็ต้องเอาไปล้ออีก
ยิ่งตอนขึ้นชั้น ม. 3 ในแต่ละปีนักเรียนจะถูกคละห้องเรียนใหม่เจ้าเพื่อนในห้อง ม.2 เดิมบางคนก็ได้ไปอยู่ร่วมห้องกับผมในชั้น ม.3 ด้วย มันก็เรียกผมว่าไอ้ม้าๆ พวกเพื่อนใหม่ในชั้น ม.3 ก็มักจะถามหาที่มาว่าทำไมถึงชื่อไอ้ม้า ไอ้เพื่อนมันก็จะบอกว่า“ไปถามไอ้ม้ามันดูเองสิ” ส่วนใหญ่ผมก็จะยิ้มๆ ไม่ยอมตอบแต่ไปๆมาๆเจ้าเพื่อนมันคันปากก็เลยแย้มๆออกไปว่า “บางอย่างมันใหญ่เหมือนม้าว่ะเลยได้ชื่อนี้” แค่นี้ทุกคนก็รู้แล้วว่าหมายถึงอะไรคราวนี้ผมเลยกลายเป็นตัวตลกประจำห้องเลย โดนล้อเลียนเรื่องนี้เป็นประจำบางคนก็บอกว่าจะขอยืมไปทำเสาธงบ้าง อะไรบ้างทั้งๆที่ไม่มีใครเคยเห็นเคของผมจริงๆเลยนอกจากเพื่อนที่เคยเล่นน้ำคลองด้วยกันเพียงไม่กี่คน
เพราว่าโดนล้อเลียนบ่อยๆผมก็เลยมีความรู้สึกว่าการมีเคใหญ่ผิดเพื่อนๆนั้นมันเป็นปมด้อยไม่เคยรู้สึกภูมิใจเลยครับ ยิ่งใครต่อใครพยายามขอดูบางทีก็แอบดูเวลาผมฉี่ในห้องน้ำ (ที่จริงตอนไม่แข็งก็ไม่ได้ใหญ่กว่าของคนอื่นเท่าไรนักหรอก) ก็ยิ่งทำให้ผมรู้สึกว่ามีปมด้อยมากขึ้น
ตอนผมอยู่ ม.5 ผมได้เพื่อนสนิทคนหนึ่งชื่อก้อย (ผู้ชายนะครับ โรงเรียนผมเป็นโรงเรียนชายล้วน) เพิ่งคบกันตอน ม. 5 เอง แต่ก้อยนิสัยดีมาก ไม่เคยล้อผมว่า “ไอ้ม้า” เลยแต่จะเรียกผมว่า “หนึ่ง” ซึ่งเป็นชื่อเล่นจริงๆของผมเสมอก้อยบอกว่าไม่ชอบล้อเลียนคนอื่น มันไม่ดีนี่เองที่ทำให้ผมสนิทกับก้อยมากขึ้นเรื่อยๆ
อยู่มาวันหนึ่ง พวกเพื่อนๆในห้องคุยกันเรื่องเที่ยวซ่องมีเพื่อนในห้องบางคนไปเที่ยวแล้วกลับมาเล่าให้ฟัง คุยแล้วก็เคแข็งเด่ไปตามๆกันตอนนั้นผมอายุย่าง 16 แล้ว เคยาวเกือบๆ 8 นิ้ว ใหญ่ราว 8 นิ้ว ใหญ่กว่าตอนอยู่ ม.3 อีก (แต่ไม่เคยมีใครเห็น) ของผมพอแข็งแล้วก็จะตุงเป็นลำในกางเกง มองเห็นได้ชัดเลยผมเลยต้องนั่งซุกตัวอยู่ในโต๊ะเรียนขณะคุยแต่ก็สังเกตว่าก้อยเหลือบมองมาที่เป้ากางเกงของผมบ่อยๆ...
วันนั้นพวกเรา (มีอยู่ 5 คน) ตกลงใจว่าจะไปเที่ยวซ่องกันโดยมีคนที่เคยไปมาแล้วอาสาพาพวกเราไปขึ้นครูที่ซ่องในเมืองผมตื่นเต้นมากเพราะไม่เคยมีประสบการณ์ทางเพศเลย ไม่เคยแม้แต่จะช่วยตัวเองเพราะทำไม่เป็นอาศัยฝันเปียกเอาเป็นประจำ ผมก็ถามเพื่อนๆไปว่าเข้าไปแล้วจะเอาผู้หญิงยังไงเพื่อนมันก็บอกว่าเดี๋ยวพอถึงเวลาเขาก็สอนให้เองนั่นแหละ
จำได้ว่าตอนที่ผมเที่ยวซ่องครั้งแรกนั้นตื่นเต้นมากผมเลือกได้สาวอายุราว 19 ปีคนหนึ่ง หน้าตาดีทีเดียว แล้วทุกคนก็แยกย้ายกันไปเข้าห้องของตัว...
ในห้องเปิดไฟสลัวๆคู่นอนของผมเห็นผมนั่งเซ่ออยู่บนเตียงก็ถามผมว่าจะมานั่งเล่นเหรอ (ถามแบบน่ารักนะครับ) ผมก็บอกว่านี่เป็นครั้งแรก ตื่นเต้นจนทำอะไรไม่ถูกเธอก็บอกว่างั้นจะสอนให้ ว่าแล้วเธอก็ถอดเสื้อของผมออก จากนั้นก็ถอดกางเกง แล้วก็กางเกงใน
พอกางเกงในหลุดจากเอวเท่านั้นแหละครับ เคของผมก็ผงาดลำ 8 นิ้วขึ้นมาทันทีเพราะผมเองตอนนั้นเกิดอารมณ์เต็มที่แล้วตั้งแต่เธอเริ่มถอดเสื้อผ้าให้ แต่พอเธอเห็นเคของผมเท่านั้นแหละครับ เธอร้องอุ๊ยออกมาเบาๆหน้าเสียเลย จากนั้นเธอก็บอกผมว่าของผมใหญ่มาก เธอรับไม่ไหว กลัวเครื่องพังจากนั้นก็ขอร้องให้ผมเปลี่ยนเป็นคนอื่นแทน แถมยังบอกอีกว่าอย่าเลือกคนอายุน้อยๆเพราะคงไม่กล้ารับอีกเหมือนกันให้เลือกสาวที่อายุมากหน่อยเพราะผ่านผู้ชายมาเยอะแล้ว คงพอรับไหว
พอผมได้ยินอย่างนั้นเข้าก็หมดอารมณ์ทันทีเพราะรู้สึกว่าเสียศักดิ์ศรีลูกผู้ชายอย่างมากที่โดนผู้หญิงปฏิเสธผมรู้สึกว่าตัวเองเหมือนสัตว์ประหลาดที่ผิดมนุษย์ผมเลยแต่งตัวแล้วกลับบ้านทันทีโดยไม่ยอมเปลี่ยนคนใหม่ไม่ขอเงินคืนด้วยเพราะว่าอายแม่เล้า ทั้งอายทั้งเจ็บใจครับ
วันรุ่งขึ้นเจ้าเพื่อนที่ไปเที่ยวซ่องด้วยกันก็เอามาคุยฟุ้งในห้องถึงรสสวาทที่ได้รับมาจากซ่อง มีแต่ผมเท่านั้นที่นั่งหน้าบูดอยู่เพราะอารมณ์ไม่ดีมาตั้งแต่เมื่อคืนนอกจากความอับอายแล้วผมยังรู้สึกหงุดหงิดอีกด้วยเพราะความต้องการไม่ได้ ระบายออก (ก็อย่างที่บอก ตอนนั้นยังช่วยตัวเองไม่เป็นเลยครับ) เพื่อนมันก็แซวว่าสงสัยผู้หญิงที่นอนกับผมต้องไปพักฟื้นแน่เลยเพราะเครื่อง พังผมฟังแล้วยิ่งโมโหเลยเดินหนีออกจากกลุ่มไป ทิ้งให้ทุกคนงงในพฤติกรรมของผมใครมาถามผมก็ไม่ตอบ เอาแต่เงียบลูกเดียว เพราะปกติผมก็เป็นคนเงียบๆอยู่แล้ว...
เย็นวันนั้น หลังเลิกเรียน ทุกคนออกจากห้องกันไปหมดแล้วเหลือผมเป็นคนสุดท้าย นั่งคิดอะไรเพลินๆอยู่ก็เห็นก้อยย้อนกลับเข้ามาในห้อง
“เฮ้ย หนึ่ง ทำไมยังไม่กลับวะ” ก้อยทัก
เงียบ ผมไม่ตอบเพราะไม่รู้จะตอบว่าอะไร
“นายหนึ่ง ทำไมวันนี้หน้าตาไม่ดีเอาเลยเมื่อคืนไปเที่ยวมาน่าจะมีความสุขนะ” ก้อยพูดต่อ ถึงก้อยไม่ได้ไปด้วยแต่ก้อยก็นั่งฟังเจ้าเพื่อนกลุ่มนั้นคุยมาตั้งแต่ตอนกลางวันแล้ว
“เฮ้ย หนึ่ง เป็นอะไรไปวะ ปล่อยให้เราพูดคนเดียวอยู่ได้”
“ไม่มีอะไรหรอก” ผมตอบ แต่หนึ่งไม่เชื่อ
“เฮ่ย มีอะไรก็เล่าสู่กันฟังได้นะเผื่อว่านายจะสบายใจขึ้นบ้าง” ก้อยพยายามปลอบใจผม แต่ผมก็ยังไม่ยอมเล่าอยู่ดีเรื่องน่าอายแบบนี้จะเล่าได้ยังไง แม้ว่าก้อยจะป็นเพื่อนที่ผมสนิทที่สุดก็ตาม
“เอา ไม่เล่าก็ไม่เล่าวะ เอายังงี้นายอย่าเพิ่งกลับบ้านเลย ไปเที่ยวบ้านเราไหม เผื่อจะสบายใจขึ้น”
เมื่อก้อยเปลี่ยนเรื่องพูดผมรู้สึกขอบคุณก้อยในใจที่ทำตัวเป็นเพื่อนที่ดี และหวังที่จะช่วยผมโดยไม่คิดสอดรู้สอดเห็นผมก็เลยตอบตกลงว่าจะไปเที่ยวบ้านก้อย
บ้านของก้อยอยู่ในอำเภอซึ่งเป็นย่านพักอาศัยของคนที่มีฐานะดีเป็นบ้านขนาดปานกลาง ไม่ใหญ่ ไม่เล็ก ตกแต่งดี น่าอยู่ดูก็รู้ว่าเป็นครอบครัวที่มีฐานะ ต่างจากบ้านของผมที่เป็นครอบครัวชาวสวนอยู่ที่กิ่งอำเภอ
ก้อยพาผมไปไหว้พ่อแม่ของเขา จากนั้นก็เลี้ยงน้ำและขนมผมแล้วพาผมขึ้นไปที่ห้องนอนของก้อย ห้องนอนนอนของก้อยขนาดกะทัดรัด จัดอย่างเรียบร้อยดูน่าอยู่ ผิดกับห้องของผมที่รกรุงรังก้อยเอาเทปเพลงมาให้ผมเลือกเพื่อจะเปิดให้ผมฟัง พลางก็อวดเครื่องเสียงชุดเก่งที่ก้อยภูมิใจมากครับ ก้อยเป็นคนชอบฟังเพลงมากทีเดียว รวมทั้งยังหลงใหลเครื่องเสียงอีกด้วย
ก้อยชวนผมคุยนั่นคุยนี่โดยไม่ถามถึงเรื่องที่ผมหน้าบูดตลอดวันอีกเลยจนผมรู้สึกเกรงใจในความดีของก้อยหลังจากนั้นมาผมก็รู้สึกว่าสนิทกับก้อยมากขึ้นกว่าเดิม และมักไปนั่งฟังเพลงจากเครื่องเสียงชุดเก่งของก้อยบ่อยๆ
หน้า:
[1]
2