ครูเจต บุญเป็ง ผู้ปลูกจิตสำนึกให้เด็ก ๆ ปกากะญอ
ครูเจต บุญเป็ง ผู้ปลูกจิตสำนึกให้เด็ก ๆ ปกากะญอhttp://hilight.kapook.com/img_cms2/other1/11_3.jpg
ครูเจต บุญเป็ง
http://hilight.kapook.com/img_cms2/other1/242_25_1305858520.jpg
ครูเจต บุญเป็ง
http://hilight.kapook.com/img_cms2/other1/245_83_1305858825.jpg
ครูเจต บุญเป็ง
http://hilight.kapook.com/img_cms2/other1/36.jpg
ครูเจต บุญเป็ง
เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
ขอขอบคุรภาพประกอบจาก นิตยสาร ฅ คน
มอเตอร์ไซค์เก่า ๆ คันหนึ่ง ซึ่งผ่านร้อน ผ่านหนาวผ่านฝนตามเส้นทางลาดชันของดอยต่าง ๆ มาหลายพันกิโลเมตรได้นำพาชีวิตของครูชาวปกากะญอคนหนึ่ง ไปสร้างชีวิต และปลูกจิตสำนึกให้กับเด็ก ๆและเยาวชนอีกนับร้อยนับพัน เพื่อไม่ให้ลืมรากเหง้า และวิถีชีวิตของตัวเองและนี่คือเรื่องราวดี ๆ ของ "ครูเจต บุญเป็ง"ลูกหลานชนเผ่าปกากะญอแห่งหมู่บ้านริมลำน้ำกก จังหวัดเชียงราย
"จำนวนคนกะเหรี่ยงที่เรียนจบปริญญาตรีสูงมากแต่การไปใช้ชีวิตแบบคนในเมือง ทำให้เด็ก ๆ ของเราลืมรากเหง้าและวิถีบรรพบุรุษไปหลงยึดติดในสังคมวัตถุนิยม" นี่คือเหตุผลที่ว่า ทำไมครูเจต บุญเป็ง จึงเลือกที่จะควบมอเตอร์ไซค์คู่ใจพร้อมกับเสื้อสีแดงแบบปกากะญอที่เรียกว่า "เชกวา กวอ"ซึ่งบ่งถึงความเป็นชาติพันธุ์ ตระเวนไปตามดอยต่าง ๆเพื่อไม่ให้เผ่าชนถูกกลืนหายไปกับกระแสของความแก่งแย่งในเมือง โดยมีศาสนาคริสต์ที่ครูเจตนับถือเป็นเครื่องชี้นำทาง
ครูเจต เล่าว่า จริง ๆแล้วแต่ก่อนตัวเองก็เป็นหนึ่งคนที่สนุกกับชีวิตในเมืองมัวแต่สร้างเนื้อสร้างตัวให้ตัวเอง จนกระทั่งวันหนึ่งเขาหันกลับมามองตัวเองและคิดได้ว่าชีวิตทางโลกไม่จีรัง เขาจึงตัดสินใจเปลี่ยนชีวิตของตัวเองด้วยการเดินทางมาอาศัยอยู่ที่บ้านจันทร์อ.กัลยาณิวัฒนา จ.เชียงใหม่ ซึ่งเป็นอำเภอที่อยู่ห่างไกลที่สุดและคนในหมู่บ้านนี้ยังยึดถือขนบธรรมเนียมดั้งเดิมอยู่กว่า 90% โดยมาพร้อมกับความเชื่อที่ว่า หากมีแต่ศรัทธา แต่ไม่มีเงินเขาจะใช้ชีวิตอยู่ได้ไหม
http://hilight.kapook.com/img_cms2/other1/33.jpg
ครูเจต บุญเป็ง
http://hilight.kapook.com/img_cms2/other1/244_71_1305858768.jpg
ครูเจต บุญเป็ง
ก้าวแรกของครูเจต เริ่มต้นด้วยการขับขี่รถคู่ใจเข้าไปตามซอกหลืบของหุบเขาต่างๆ ที่มีหมู่บ้านซุกซ่อนตัวอยู่โดยเอาความเป็นลูกหลานปกากะญออย่างเต็มตัวเป็นเครื่องผูกมิตรไมตรีกับชาวบ้านปกากะญอตามพื้นที่ต่างๆ และด้วยสถานภาพอดีตครูพละของครูเจต ทำให้เขาคิดจะฝึกฝนให้เด็ก ๆ เก่งกีฬา จึงได้เปิดโครงการฝึกกีฬาขึ้นเพื่อให้ชาวบ้านนำลูกหลานมาฝึกกีฬากับเขาและเขายังจะช่วยส่งเสียให้เรียนจนจบปริญญาอีกด้วย
การตระเวนบอกข่าวไปตามพื้นที่ต่าง ๆ ของครูเจตได้รับผลตอบรับดีเยี่ยม ชาวบ้านหลายคนเห็นด้วยกับโครงการนี้ ทำให้ครูเจตเกิดแรงฮึดคิดว่าจะต้องเดินทางไปกระจายข่าวนี้ให้ได้มากที่สุด นั่นจึงทำให้ ครูเจตต้องออกเดินทางไปยังอำเภอต่าง ๆ ในเชียงใหม่ เชียงราย แม่ฮ่องสอนลงใต้ไปไกลถึงจังหวัดตาก รวมระยะทางหลายร้อยหลายพันกิโลเมตร ด้วยรถมอเตอร์ไซค์เก่าๆ เพียง 1 คัน ซึ่งซ่อมไป ขับไป โดยหวังจะบอกข่าวสารโครงการของเขาในหมู่บ้านปกากะญอต่างๆ ให้มากที่สุด ซึ่งหากใครสนใจให้มาเจอกันตามนัดหมายที่บ้านจันทร์
"หลังจากตระเวนแจ้งข่าว เราก็กลับมาบ้านจันทร์ไปกู้เงินมาสองหมื่นบาทเตรียมไว้รองรับเด็ก ๆ ตั้งใจว่าจะหาของดี ๆ มาให้เด็ก ๆกินตลอดการฝึกหนักในช่วงอาทิตย์แรก แต่ปรากฏว่าถึงวันนัดหมาย 20 มีนาคม 2552 เราก็รออยู่จนมืดไม่มีใครพาลูกมาหาเราสักคนเดียว"ครูเจต เล่าให้ฟัง
เหตุการณ์วันนั้นทำให้ครูเจตต้องนอนน้ำตาร่วงอยู่ข้างมอเตอร์ไซค์คู่ใจซึ่งไม่ใช่เป็นเพราะไม่มีเด็กมาฝึกสอนกับเขา เพราะกลัวความยากลำบากแต่เป็นเพราะมีคนพูดว่า ชาวปกากะญอหลายชุมชนไม่กล้าใส่ชุดชนเผ่าเพราะอายและอยากทำตัวให้กลมกลืนไปกับคนเมือง หลายคนเคยพูดให้ครูเจตได้ยินว่า "ทำไมลูกชายยังใส่เสื้อกะเหรี่ยง อุตส่าห์ไปเรียนจนได้ปริญญา"
http://hilight.kapook.com/img_cms2/other1/34.jpg
ครูเจต บุญเป็ง
แต่แล้ววันหนึ่ง ก็มีเด็กชายชั้น ป.4 คนหนึ่งเดินทางไกลมาจากจังหวัดแม่ฮ่องสอนเพื่อจะมาขอคัดตัวอยู่กับครูเจต ครั้งนั้นครูเจตไม่อาจให้เด็กน้อยอยู่ด้วยได้เพราะคนไม่พร้อม แต่เด็กชายตัวเล็ก ๆ คนนี้เองกลับสร้างความหวังให้ครูเจตขึ้นมาอีกครั้ง เขาตัดสินใจตระเวนไปยังหมู่บ้านต่าง ๆเป็นรอบที่สอง เพื่อบอกข่าวอีกครั้ง จนกระทั่งได้รับการสนับสนุนจากโบสถ์คริสต์ที่เห็นความตั้งใจจริงของครูเจตทำให้พ่อแม่ในเริ่มส่งลูกหลานมาคัดตัวเป็นนักกีฬากับครูเจตในที่สุดโดยเริ่มจากชาวบ้านในบ้านจันทร์ที่เขาอาศัยอยู่นั่นเอง
"ผมสัญญากับเขาว่าจะส่งเสียเด็ก ๆ ทุกคนจนสำเร็จปริญญาตรีโดยจะรับผิดชอบค่าเรียน อาหารการกินทุกอย่าง ทางครอบครัวไม่ต้องลำบากผมจะสอนกีฬาจะได้ฝึกฝนให้เป็นปกากะญอที่ดีโดยยึดมั่นในหลักการของปกากะญอเราที่สอนถ่ายทอดกันมาให้นึกถึงคนอื่นก่อนนึกถึงตนเอง และไม่เห็นแก่ตัว"
ครูเจต เล่าว่า แรกเริ่มเดิมทีเขาคิดที่จะสอนเด็ก ๆ เล่นฟุตบอลให้เก่งได้ไปไกลถึงทีมชาติแต่แล้ววันหนึ่งเขากลับพบว่า จริง ๆ แล้วสิ่งที่สำคัญที่สุดไม่ใช่ความเก่งเรื่องกีฬา แต่เด็ก ๆ ต้องมีจริยธรรมและมีความภูมิใจในชาติพันธุ์ปกากะญอของตนเองเพื่อที่ว่าหากไปอยู่ที่ไหนจะได้ไม่ถูกแสงสี และความเจริญกลืนชีวิตของชนเผ่าจนหายไปซึ่งหากเป็นเช่นนั้น สิ่งที่เขาทำมาทั้งหมดก็เท่ากับสูญเปล่า
http://hilight.kapook.com/img_cms2/other1/246_81_1305858894.jpg
ครูเจต บุญเป็ง
ด้วยเหตุนี้ ครูเจต จึงเน้นสอนจริยธรรมให้เด็ก ๆให้อ่านพระคัมภีร์เพื่อขัดเกลาจิตใจไม่ให้เด็กดูโทรทัศน์ซึ่งอาจจะนำภาพที่ไม่ดีจากสังคมภายนอกมาถึงตัวเด็ก ๆ เองแต่ครูเจตจะใช้วิธีอ่านข่าวสารให้ฟังแทน ทุกวันเด็ก ๆ ในความดูแลของครูเจตกว่า 20ชีวิต ต้องตื่นนอนตีห้าครึ่ง มาสวดมนต์ภาวนา และอบรมจริยธรรมจากนั้นก็กายบริหาร วิ่งออกกำลังกาย และไปโรงเรียนตามปกติหลังจากกลับมาจากโรงเรียนแล้ว ครูเจตจะสอนวิชาปกากะญอสอนภาษาปกากะญอให้เด็กไม่ลืมรากเหง้าของตัวเอง เพื่อให้เด็ก ๆ ภูมิใจและไม่อายที่เกิดเป็นลูกหลานปกากะญอ
นอกจากนี้ ในทุกวันสุดสัปดาห์ ครูเจต จะพาเด็ก ๆไปร้องเพลงสวดในโบสถ์ต่าง ๆ และยังพาเด็ก ๆ เข้าไปดูวิถีชีวิตของคนเมืองพร้อมแนะนำสั่งสอนไปในตัว เพื่อว่าหากวันใดเด็ก ๆต้องเข้ามาอยู่ในเมืองจะได้มีภูมิคุ้มกัน และไม่หลงไปกับกระแสของความศิวิไลซ์
"หลายครั้ง พวกเราไปร้องเพลงโดยไม่มีเงินติดตัวกันเลยแต่ไปด้วยความศรัทธา ผมทำงานนี้มาสองปีแล้ว ไม่เคยของบประมาณจากที่ไหนเลยทำด้วยตนเองมาตลอด" ครูเจต บอก
ตลอดเวลา 2 ปีที่ครูเจตทุ่มเทกายใจให้กับงานนี้แม้ไม่ได้เงินตอบแทนสักบาท แต่กลับมีค่าใช้จ่ายมากมาย ซึ่งท้ายที่สุดทุกปัญหาก็คลี่คลายได้ ซึ่งเขาเชื่อว่า สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นมาได้เพราะ"ศรัทธา" ทำให้บางครั้งครูเจตก็มานั่งคิดอยู่คนเดียวว่า หากวันนั้น เขาไม่ตัดสินใจลาออกจากอาชีพครูวันนี้ก็คงไม่ได้พบกับเด็ก ๆ และคงไม่สัมผัสกับความภาคภูมิใจได้มากมายถึงขนาดนี้
และที่สำคัญ การก้าวเดินของครูเจตในครั้งนั้นเอง เป็นการพิสูจน์ว่าเขา "รัก" และ "เทิดทูน" ในความดี และคุณธรรมอันเป็นพื้นฐานของคนปกากะญอมากเหนือสิ่งอื่นใดและไม่ต้องการให้รากเหง้าของชาวปกากะญอถูกกลืนไปกับวัฒนธรรมวัตถุนิยมอย่างเช่นโลกที่กำลังหมุนไปในปัจจุบัน
ขอขอบคุณข้อมูลจาก
http://hilight.kapook.com/admin_hilight/spaw2/imghilight4/logo/TV_Burapa_logo.jpg
อยุธยาไม่สิ้นคนดี
สังคมปัจจุบันต้องการคนแบบนี้ครับ
ขอบคุณครับพี่ ที่แบ่งปันเรื่องดีๆครับ ขอบคุรนะคราฟที่เอาสิ่งๆมาให้อ่าน ขอบคุณมากมายครับ
หน้า:
[1]