tor_8915 โพสต์ 2020-4-4 21:11:27

รักเร่ร่อน...ของคนจรจัด 3 bymod-cup

เร่ร่อน3



ฟุบ


ผมทิ้งตัวนอนหงายแผ่ลงบนเตียงอย่างหมดแรง ไม่ไหว ถ้ามีงานยักษ์เข้ามาแบบนี้บ่อยๆผมตายแน่ สี่วันมานี้ผมแทบจะกลายร่างเป็นไส้เดือนมุดดินหนีอย่างเดียว แต่คงเป็นไส้เดือนที่โชคร้ายที่สุดนอกจากจะมุดดินหลบไม่ได้แล้วยังโดนปูนโบกทับจนซี้แหงแก๋พอจะชอนไชหนีไปอีกครั้งก็โดนตามมาโบกทับอยู่ร่ำไป


คงเป็นเพราะงานนี้เป็นงานหนักงานแรกหลังจากผมเรียนจบมามันเลยหนักหนาสาหัสเป็นพิเศษหวังว่าอีกไม่นานคงจะปรับตัวทดเวลาบาดเจ็บได้


ทุกวันนี้ก็พยายามทดแล้วทดอีก ถ้าเป็นวิชาเลขก็ทดจนนับนิ้วไม่ไหว ต้องตื่นตีห้าเพื่อไปถึงที่ทำงานตอนหกโมงเช้านั่งสุมหัวทำงานกับทีมอีกห้าคน พอบ่ายโมงคอมเพลนงานกับหัวหน้า แล้วกลับมาสุมหัวทำงานกันต่อถึงห้าทุ่มเที่ยงคืนหรือเข้าเช้าวันใหม่เลยก็มี


ไม่ได้แวะไปไหนเลยนอกจากที่ทำงานกับคอนโด หมดแรงจริงๆแม้แต่อาหารของชายจรจัดผมก็ไม่ได้เอาไปให้เขามาหลายวันแล้ว ไม่รู้ว่าจะเป็นอย่างไรบ้างหวังว่าเขาจะเอาตัวรอดได้เหมือนอย่างก่อนหน้าที่จะเจอผม


อย่างเช่นวันนี้ผมก็กลับมาถึงห้องตอนห้าทุ่มสิบนาที


เพิ่งตระหนักเอาตอนนี้เองว่าการนอนแผ่บนเตียงมองเพดานห้องเป็นช่วงเวลาที่มีความสุขที่สุดแล้วT^T


นอนนิ่งสักพักผมก็ยันตัวลูกขึ้นเดินโงนเงนเข้าห้องน้ำ กว่าจะอาบน้ำเสร็จก็ปาไปเที่ยงคืนแล้ว เฮ้อเหนื่อยชะมัด ขอนอนเอาแรงเรียกลมปราณสักหน่อยเหอะ


หัวถึงหมอนปุ๊บสมองผมก็เหมือนสับคัทเอาท์ลงทุกอย่างดิบสนิทด่ำดิ่งเข้าความมืดสนิทแม้แต่ฝันก็ไม่มี


เช้านี้เป็นอีกวันที่ผมตื่นตั้งแต่ตีห้าลุกขึ้นอาบน้ำแต่งตัวเพื่อไปทำงานเหมือนสี่วันที่ผ่านมา แต่วันนี้ผมรู้สึกสดชื่นมากกว่าเดิม แน่สิ งานใกล้เสร็จแล้วเหลือเก็บรายละเอียดอีกนิดเดียวคาดว่าวันนี้คงเสร็จ...และเสร็จทันเวลาเลิกงานปกติซะด้วย


“ไอ้เล็ก”


“ว่าไงครับพี่มิ่ง” ผมละจากสิ่งที่เขียนเงยหน้าขึ้นมอง


พี่มิ่งเป็นหัวเรือของงานนี้ก่อนจะถึงมือหัวหน้างานทุกอย่างจะต้องผ่านพี่มิ่งก่อน ถ้างานดีพี่แกก็ได้หน้าไปแต่ถ้างานบรรลัยพี่แกก็รับเละเหมือนกัน


พี่มิ่งเลยเป็นผู้ชายสองบุคลิก เวลาปกติก็เฮฮาปาร์ตี้ขี้เล่นมีมุมกวนประสาท(กวนตีน)แต่ถ้าเป็นเรื่องงาน อื้อหืออย่าให้พูด มาเฟียชิดขวายากูซ่าชิดซ้ายบัวขาวที่ว่าหน้าโหดนักหนายังเทียบไม่ติดฝุ่น


แต่เพื่อนร่วมงานทุกคนต่างนับถือจากใจจริงกับความเก่งกาจทั้งเรื่องงานและการจัดการคนของพี่มิ่ง พี่เขาคือแบบอย่างของผมเลยล่ะ เมื่อผมอายุยี่สิบแปดผมอยากเป็นให้ได้เหมือนพี่เขาในตอนนี้


“ออกไปกินข้าวกันเที่ยงแล้ว”


“อ้าว แล้วงาน...” มองงานล้านแปดที่กองตรงหน้าเป็นเชิงถามว่าจะเอายังไงกับมัน มาแปลกแฮะทำมาชวนกินข้าวเมื่อวานแค่ขอไปเข้าห้องน้ำยังจะเขมือบหัวผมอยู่เลย


“พี่ส่งให้ลูกค้าไปแล้วทุกอย่างโอเค” พี่มิ่งยิ้มร่ายิ่งให้ผมงงหนักเข้าไปใหญ่


อะไรคือส่งงานให้ลูกค้าไปแล้ว


แล้วที่ผมปั่นหัวฟูอยู่มันคืออะไร(วะ)


เหมือนพี่มิ่งจะเข้าใจหน้าตาหมางงของผมเลยส่งมือข้ามโต๊ะมาตบไหล่สองทีหัวเราะร่าเหมือนมันเป็นเรื่องตลกมากก่อนตอบ


“อ้อ ที่มึงทำน่ะเป็นสรุปงานที่ต้องส่งให้หัวหน้า...” อ่อ...ผมพยักหน้าเข้าใจ ถือเป็นงานด่วนเหมือนกันสินะ...ผมกำลังจะคิดแบบนั้นถ้าไม่ใช่เพราะรอยยิ้มเจ้าเล่ห์(ผมยังมีความเคารพเลยหลีกเลี่ยงคำว่าชั่วร้าย)พร้อมกับประโยคตีแสกหน้า “...ศุกร์หน้าว่ะ ฮ่าๆ”


ผมโยนปากกาลงบนโต๊ะทันที


“อ้าวพี่แกล้งผมหรอ”


“ฮ่าๆก็เห็นท่าทางมุ่งมันตั้งใจแล้วไม่อยากขัดจังหวะ ช่างอุทิศตนเหลือเกินนะปุญมนัสก๊ากกกกกกก”


ไอ้พี่เวร!!


ถ้าไม่ติดว่าแต่งงานแล้วจะแช่งให้อาภัพรักทั้งชาติไปเลยชิ!!


“ไปยังพี่ อ้าว เป็นไรหน้าเป็นตูด” ไอ้ปอนด์เดินเข้ามาเรียกพี่มิ่งก่อนหันมาทักผม สี่วันมานี้ไอ้ปอนด์ไปกลับกับผมแล้วผมก็หมายหัวเอาไว้แล้วว่าวันนี้จะทิ้งให้มันกลับเอง!! ทำหน้ากวนตีนดีนัก ฮึ่ย! ทำไมทุกคนต้องรุมแกล้งผมด้วยนะ





เสร็จจากมื้อกลางวันที่เหมือนเหมือนงานฉลองกลายๆที่งานสำเร็จลุล่วงไปด้วยดีผมก็อดเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันไม่ได้ ยังไม่ทันจะได้แกล้งไอ้ปอนด์โดยการให้มันเดินกลับเลยเหมือนมันจะจับรังสีฆาตกรจากผมได้ดันเรียกพิณมารับซะงั้น ฝากไว้ก่อนเถอะ!


นี่ยังไม่นับเรื่องที่ทุกคนรู้หมดว่าวันนี้ได้หยุดครึ่งวัน


แต่ผมไม่รู้!!


เคืองเว้ย!


ใจเย็นปุญมนัสนายคือคนจิตใจดีผู้มีเมตตาอย่าให้สัตว์โลกมาดึงจิตใจนายให้ต่ำลง หายใจเข้าออกช้าๆ อืม อย่างนั้นแหละ


“ทำหน้าอะไรของมึง”


“ช่างผมเหอะ”


ผมสะบัดหน้าใส่พี่มิ่งก่อนเดินแยกออกมาจากหน้าร้านอาหาร วันนี้ผมจะโกรธทุกคน!! โดนว่าสาวแตกก็ช่างมันไม่อย่างนั้นผมจะโดนแกล้งแบบนี้อยู่ร่ำไป ผมไม่ชอบให้ใครมามองผมเป็นตัวตลกนะ!!


เอิ่ม...ความจริงผมก็ไม่ได้คิดมากขนาดนั้นหรอก ออกจะไม่คิดอะไรเลยด้วยซ้ำแค่ทำท่าให้ดูเยอะไปงั้นแหละ พวกพี่มิ่งรู้ถึงข้อนี้ดีถึงไม่สนใจท่าทีของผมเลย วันไหนงอนจริงขึ้นมาแล้วจะรู้สึก!


เมื่อควบคุมสติได้แล้วผมก็ขับรถกลับคอนโด ถึงห้องก็ถอดชุดทำงานออกเหลือแค่บ๊อกเซอร์กับเสื้อกล้ามสีขาวกระโจนขึ้นเตียงนอนหลับเพื่อฟื้นฟูร่างกายอันอ่อนเพลียของตัวเอง


กว่าจะตื่นขึ้นมาอีกทีก็ปาเข้าไปหกโมงเย็น โอ้โหตั้งแต่บ่ายโมงจนถึงตอนนี้ผมหลับไปกี่ชั่วโมงเนี่ย แต่ดูจากอาการของตัวเองถึงจะหลับไปร่วมสี่ชั่วโมงแต่ร่างกายพร้อมจะชัทดาวน์ต่อ เพลียจัดจริงๆ


ไปหาอะไรกินก่อนแล้วค่อยกลับมานอนยาวตอนกลางคืนทีเดียวแล้วกัน


คิดได้เช่นนั้นผมจึงลุกเข้าไปล้างหน้าล้างตาให้สดชื่นขึ้นก่อนผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าในชุดลำลองเสื้อยืดขาสั้นก่อนหยิบกุญแจห้องกับกระเป๋าสตางค์ออกจากห้องเดินไปสั่งข้าวกล่องที่ร้านอาหารตามสั่งเจ้าประจำแล้วข้ามถนนเพื่อไปเซเว่นเหมือนทุกครั้ง


กลับมาแล้ววิถีชีวิตที่ผมคุ้นเคย คิดถึงเธอจัง T^T


แล้วก็เป็นเหมือนเคยในกิจวัตรประจำวันที่ไม่ได้ทำมาหลายวันเมื่อผมได้ข้าวกล่องก็เดินทะลุซอยผ้าที่บรรดาแขกขาวแขกดำเจ้าของร้านจำหน้าผมได้แล้วเพื่อเลี้ยวตรงไปยังตรอกอับแสง หวังว่าจะยังจำผมได้นะ


ผมเอากล่องข้าววางไว้ปากทางเข้าพร้อมน้ำหนึ่งขวดอ้อ นมจืดอีกหนึ่งกล่องของน้องหมาก่อนส่งเสียงเข้าไป


“นาย!ฉันเอาข้าวมาให้”


เงียบ


“นาย!จำฉันได้หรือเปล่า เอาข้าวมาให้แล้วนะ!”


ยังเงียบ


ผมเริ่มเอะใจทุกครั้งก็เงียบแต่ไม่ไร้การเคลื่อนไหวแบบนี้


ผมควักโทรศัพท์มือถือออกมาก่อนเปิดโปรแกรมไฟฉายและส่องแสงเข้าไปในตรอกมืดอับ


ว่างเปล่า


ไม่มีสิ่งมีชีวิตอยู่เลย ทั้งคน ทั้งน้องหมา


ผมลดมือที่ถืออุปกรณ์ส่องแสงลงข้างตัว พยายามคิดในแง่ดีเอาน่า...แกหายไปตั้งหลายวันนะคนเล็ก ถ้าเขามามัวรอแกมีหวังอดนานอยู่ในตรอกนี้แน่ ที่เอาน้องหมาไปด้วยก็คงกลัวว่ามันจะเดินหายไปที่อื่น


เดี๋ยวเขากลับมาเห็นอาหารที่เราวางไว้ให้คงรู้เองแหละ


เดี๋ยวพรุ่งนี้คงเจอกันเหมือนเดิม




เย็นวันรุ่งขึ้นเมื่อผมกลับมาจากที่ทำงานผมก็เปลี่ยนเสื้อผ้าลงมาซื้อข้าวตามปกติ ก่อนเดินไปเส้นทางคุ้นเคยเพื่อไปตรอกเดิมแต่เพียงแค่เลี้ยวพ้นซอยผ้ากล่องข้าวขวดน้ำเปล่าหรือแม้แต่กล่องนมที่ผมวางไว้เมื่อวานยังอยู่ที่เดิมบ่งบอกว่าไม่มีใครหยิบมัน...และบอกเป็นนัยว่าเขาไม่ได้กลับมา


หรือไม่อยู่แล้ว...


ผมเดินเข้าไปใกล้เพื่อดูให้แน่ชัด ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงทุกสิ่งที่ผมเห็นก่อนหน้านี้ยังเหมือนเดิม ถุงพลาสติกหูหิ้วที่บรรจุบรรดากล่องข้าวขวดน้ำและนมไว้กระพือพัดโยกตามแรงลมที่พัดมาเอื่อยๆส่งเสียงก๊อบแก๊บดังแว่วเข้ามาในหู เสียงเสียดสีกันเหมือนทำนองดนตรีเพี้ยนดังหยุบหยับรำคาญหูเสียดแทงเข้ามาในอกเหมือนมันกำลังส่งเสียงเยาะเย้ยผมอยู่


ทั้งที่มันเป็นเรื่องปกติของคนเร่ร่อนที่มักจะอยู่ไม่เป็นที่เป็นทาง เหมือนอย่างสองวันก่อนผมคุยกับแม่ทางโทรศัพท์แม่ยังบอกเลยว่าลุงเร่ร่อนที่แม่เคยช่วยไว้เมื่อปีก่อนแล้วหายตัวไปกลับมาแล้ว แม่ถามลุงว่าหายไปไหนมาตั้งหนึ่งปีลุงบอกแม่ว่า ‘ลุงเดินไปกรุงเทพฯมาไปอยู่ที่โน่นได้พักหนึ่งแต่ติดม๊อบลุงกลัวเลยกลับมาที่ระยอง’


อยากจะถามแม่เหลือเกินว่าพอแม่เอาของไปให้ลุงแล้วไม่เจอแม่รู้สึกอะไรหรือเปล่าแต่ก็เห็นแม่ยังอยู่ปกติสุขดี


แล้วทำไมใจผมต้องโหวงแบบนี้ด้วยล่ะรู้สึกเหมือนว่าหัวใจตัวเองเป็นนาฬิกาลูกตุ้มแกว่งไปไกวมาจะหลุดจากขั้วเสียให้ได้


อาจเป็นเพราะผมไม่ได้มองเขาเป็นแค่ชายเร่ร่อน หกวันที่เจอกันกับอีกสี่วันที่ไม่ได้เห็นหน้ามันเหมือนกับเขาเป็น‘เพื่อน’ ของผมอีกคนไปแล้ว


“ยายครับ” ผมเดินไปยังตึกแถวห้องที่เป็นเจ้าของผนังด้านหนึ่งของตรอกทางตันที่ชายเร่ร่อนเคยอาศัยอยู่ พอดีเห็นยายเจ้าของบ้านนอนดูโทรทัศน์บนเก้าอี้ไม้โยกแถมเปิดประตูเหล็กบ้านพับเอาไว้เลยเดินเข้าไปเรียกด้วยเสียงสุภาพ


“ว่าไงพ่อหนุ่ม” คุณยายหันมาพลางลุกนั่งตัวตรงผมเลยถามเข้าประเด็นทันที


“เอ่อ ยายเห็นผู้ชายตัวสูงๆประมาณนี้บ้างมั้ยครับ” ผมทำมือกะขนาดให้ดู “ผมยุ่งๆหน้าตามอมแมม ใส่เสื้อสีดำ ไม่สิบางทีเขาก็ใส่แจ๊คเก็ตสีแดง อ้อ มีน้องหมาเบ้าตาดำข้างหนึ่งด้วยนะครับ”


ผมอธิบายอย่างกระตือรือร้นยายทำท่านึกชั่วแวบหนึ่งก่อนโพล่งออกมาด้วยน้ำเสียงฉุนเฉียว


“อ๋อ!!ยายจำได้แล้ว ไอ้คนบ้าน่ะหรอ ยายไล่ไปแล้ว”


ใจผมกระตุกวูบ


“อะอะไรนะครับยาย ไล่งั้นหรอ...” เสียงผมแผ่วหวิว


“ใช่น่ะสิ!! มันมาจากไหนไม่รู้มาแย่งข้าวหมาบ้านยายกิน ขนาดข้าวบูดขยำกระดูกมันก็ยังแย่ง บ๊ะ! ยิ่งมารู้ว่ามันแอบซุกหัวนอนอยู่ข้างบ้านเลยรีบให้ลูกชายเอาไม้ไล่ตีมันไปกลัวว่าวันดีคืนดีจะมาขโมยของในบ้าน ท่าทางอย่างนี้ไว้ใจไม่ได้หรอก!”


ผมพูดอะไรไม่ออก ทุกคำพูดของยายเหมือนตะปูที่แทงจี้อยู่ตรงหัวใจส่วนน้ำเสียงเปรียบดังค้อนที่ตอกย้ำๆให้มันลึกจมหายเข้าไปยังก้อนเนื้อที่เต้นแผ่วลง


ตอกมิดหายไปจนมองไม่เห็นแต่ยังทิ่มแทงใจให้เจ็บปวด


สมองผมเบลอไปชั่วขณะก่อนพยายามตั้งสติและเริ่มออกเดินตามหาชายเร่ร่อนทั่วบริเวณเท่าที่จะหาได้และคาดว่าเขาจะไปอาศัยอยู่ทั้งในตรอกซอกซอยเล็กใหญ่ สวนสาธารณะ วัด ลานจอดรถหรือแม้แต่ที่ที่ผมเจอเขาครั้งแรกแต่ก็ไม่มีวี่แววเลย


จวบจนสามทุ่มขาผมเริ่มล้าและท้องเริ่มหิวจึงตัดใจเดินกลับคอนโด ตลอดเวลาที่ทานข้าว อาบน้ำหรือทำภารกิจส่วนตัวอื่นๆในสมองผมมักจะคิดวนเวียนอยู่แต่ว่า


‘เขาไปไหน’


‘จะอยู่ยังไง’


‘จะโดนใครไล่ตีอีกมั้ย’


และ


‘ทุกอย่างเป็นความผิดของผมเอง...’


ครืดดดด ครืดดดด


เสียงโทรศัพท์มือถือสั่นครูดกับโต๊ะเรียกสติผมที่นั่งเหม่อลอยบนโซฟาเดินมารับสายด้วยร่างกายเอื่อยเฉื่อยแต่เมื่อเห็นชื่อปรากฏของคนปลายสายน้ำตาที่ไม่คิดจะไหลก็รื้นขึ้นเต็มหน่วยตา


“มะแม่...”


[คนเล็กเป็นอะไรลูกร้องไห้ทำไม]


สิ่งที่อัดอั้นในใจพรั่งพรูออกไปแค่ได้ยินเสียงผู้หญิงที่ผมรักที่สุดในโลก ผมเล่าเรื่องกระทบจิตใจในวันนี้ให้แม่ฟังด้วยเสียงสะอื้น ถ้าแม่ยืนอยู่ตรงหน้าไม่ได้มาแค่เสียงผมคงโผกอดท่านไปแล้ว


ไม่รู้ว่าแม่จะฟังรู้เรื่องมั้ยผมไม่รู้อะไรทั้งนั้นแค่อยากได้ที่พักพิงและคำปลอบโยนที่จะทำให้ความรู้สึกผิดในใจทุเลาเบาบางลง


[คนเล็กอย่าคิดมากสิลูกทุกคนเกิดมามีกรรมด้วยกันหมด คิดเสียว่าเป็นกรรมที่เขาต้องใช้นะลูกนะ]


“ตะแต่เพราะผม...”


[ลูกของแม่ทำดีที่สุดแล้วเชื่อแม่นะ]


“ครับ”


แม่ปลอบผมอีกสองสามประโยคถึงวางสายไปถึงจะรู้สึกดีขึ้นมาบ้างแต่ไม่ได้รู้สึกผิดน้อยลงเลยยังไงผมก็ยังคิดว่าเป็นเพราะผมอยู่ดี


คนที่ช่วยเหลือเขา...และทิ้งไปอย่างไม่ใยดี



ตื่นเช้ามาตาผมบวมมากคงเป็นเพราะเมื่อวานร้องไห้หนักไปหน่อยสู้ๆปุญมนัสแกต้องผ่านมันไปให้ได้


ผมต้องหาเขาให้เจอ


ผมไม่สามารถปล่อยผ่านไปอย่างที่แม่บอกได้


อย่างที่ผมบอกไปตั้งแต่ต้น...เขาไม่ใช่แค่ ‘ชายเร่ร่อน’ และเขาคือ‘เพื่อนของผม’



เที่ยงของวันนี้ผมต้องออกมาพบลูกค้ากับพี่มิ่งเลยต้องตบหน้าตัวเองเรียกขวัญกำลังใจกักเก็บความห่อเหี่ยวไว้ข้างในดึงความสดใสมั่นใจเข้ามาแทนที่ ไม่อย่างนั้นนอกจากลูกค้าจะไม่เชื่อถือข้อสำคัญจะโดนพี่มิ่งเตะโด่งตกสะพานเดชาเอาได้


เอ้อ ขอนอกเรื่องหน่อยพูดถึงสะพานเดชา นี่เป็นครั้งที่สองที่ผมได้ขับรถข้ามสะพานแห่งนี้เพราะส่วนมากจะวนเวียนอยู่แถวในเมืองมากกว่า ครั้งแรกตอนย้ายข้าวของจากกรุงเทพฯมาทำงานที่นี่ ได้ยินว่าเป็นอีกหนึ่งสัญลักษณ์ของจังหวัดนครสวรรค์แต่ผมอยากจะบอกว่ารถมันติดบรรลัยมาก อยากจะบอกผู้เกี่ยวข้องว่าควรมีมาตรการมาปรับปรุงมันบ้างก็ดี แบบเอกลักษณ์คงไว้แต่ช่วยจัดการไอ้ถนนคอขวดนี่ทีเถอะขนาดผมนานๆมาทีนะแล้วคนที่ต้องผ่านมันทุกวันล่ะ บ้าตายกันพอดี


นั่งบ่นไปผมก็มาถึงร้านอาหารอีสานแซ่บอีหลีซึ่งอยู่เยื้องกับแมคโคร พี่มิ่งบอกนัดกับลูกค้าไว้ร้านนี้นั่งรอได้ประมาณสิบห้านาทีลูกค้าก็ก็มา พี่มิ่งเป็นคนคุยรายละเอียดทั้งหมดผมมีหน้าที่แค่คอยส่งเอกสารและทำตามที่พี่มิ่งสั่งให้เท่านั้น


และการพบลูกค้าก็ผ่านไปด้วยดี เรากลับเข้าเมืองกันมาอีกครั้ง พี่มิ่งบอกไม่ต้องเข้าบริษัทแล้วกลับบ้านได้เลย ทุกวันนี้ผมยังสงสัยว่าตกลงพี่มิ่งเป็นเจ้าของบริษัทหรือเปล่าถึงได้มีอำนาจการตัดสินใจไปเสียหมด แต่เอาเถอะเชื่อพี่มิ่งไม่เคยมีปัญหา (เพราะถ้ามีพี่เขาจะเป็นคนรับกระสุนแทนเองทั้งหมดฮา)


ผมให้พี่มิ่งส่งผมหน้าร้านขายอาหารตามสั่งผมกะว่าจะข้ามถนนไปเซเว่นซะหน่อย


กึก


ทันทีที่ผมลงจากรถมายืนเทียบริมถนนเตรียมข้าม สายตาผมที่กวาดมองรถซ้ายขวาต้องหยุดอยู่หน้าเซเว่นฝั่งตรงข้าม


ตรงนั้น...หน้าเซเว่นที่มีเครื่องชั่งน้ำหนักหยอดเหรียญตั้งอยู่ ข้างๆกันมีผู้ชายรูปร่างคุ้นเคยนั่งยองๆหันข้าง มือฉวยหยิบแฮมเบอเกอร์ที่มีเด็กกัดกินเหลือไว้แล้วทิ้งลงในถังขยะมากินราวกับเป็นอาหารเลิศรส


ชายเร่ร่อน!!


ผมละสายตาชั่ววินาทีมามองถนนเพื่อรีบข้ามไปหาเขาให้เร็วที่สุด มาถึงเส้นแบ่งสีขาวที่กั้นระหว่างทางรถสวนผมหันกลับไปมองเขาอีกครั้งแต่ก็หายไปแล้ว...


หายไปแล้วงั้นหรอ...


ไม่!! ผมจะไม่พลาดอีก!!


ผมรีบข้ามถนนอย่างรวดเร็วไปหยุดหมุนคว้างหน้าเซเว่นกวาดตามองหาจนทั่วไม่เจอเลยวิ่งไปดูรอบๆอย่างกระวนกระวาย


ไม่มี...นี่ก็ไม่มี...ทางนั้นก็ไม่เจอ


ตัดสินใจวิ่งเข้าไปถามพนักงานเซเว่นที่ถูพื้นตรงประตูทางเข้าอยู่แล้วก็ได้คำตอบเดิมซ้ำๆ


ไล่ไปแล้ว...ลูกค้ากลัว


ฮะๆ ค้อนตอกตะปูเข้าที่ใจผมอีกหนึ่งตัว...




ผมเดินเอื่อยเฉื่อยไปบนทางฟุตบาทไม่อยากกลับห้องหัวใจมันหนักอึ้งเกินไปที่จะไปอยู่ในสถานที่เงียบสงบคนเดียว


ขาทั้งสองข้างพาผมเดินมาถึงหนองสมบุญ สวนธารณะขนาดใหญ่ใจกลางเมือง นั่งลงตรงริมหนองเหม่อมองออกไปไกลให้สายตามองเห็นสิ่งต่างๆรอบตัว ไม่อยากจดจ่ออยู่กับความคิดตัวเอง


ผมนั่งอยู่แบบนั้นจนท้องฟ้าขึ้นแถบสีส้มทองจึงยันตัวลุกขึ้นเอาล่ะ เข้มแข็งไว้คนเล็ก นายทำดีที่สุดแล้วจำที่แม่บอกไม่ได้หรือไง


ผมตัดสินใจเดินอ้อมไปอีกทางแทนที่จะเดินทางตรงกลับห้องตัวเอง การได้เห็นสิ่งต่างๆแปลกใหม่รอบตัวทำให้ผมผ่อนคลายขึ้น บ้านเรือนที่ปลูกสร้างรูปแบบเดียวกับตึกแถวด้านหน้าแต่วัสดุที่ใช้สร้างเป็นไม้กระดานแผ่นดูแล้วคงสร้างมาหลายสิบปีเพราะดูทรุดโทรมมาก คนที่อาศัยอยู่มีไม่มากเหมือนตึกแถวด้านหน้าที่ใช้ทำการค้า มีป้ายไวนิลประกาศขายบ้านติดไว้หลายหลังคงเพราะใช้ทำการค้าไม่รุ่งเรืองเหมือนสมัยก่อนแล้ว


บ๊อก บ๊อก


เสียงเห่าแหลมเล็กแบบนี้เป็นของลูกหมาไม่ผิดเพี้ยนแต่จะเป็นลูกหมาจากที่ไหนและของใคร...


ผมสนใจขึ้นมาทันทีหันขวับเดินฉับเข้าไปยังบ้านไม้หลังหนึ่งที่ประตูไม้แบบบานพับปิดงับไว้เฉยๆไม่ได้ล็อก ส่งเสียงพึมพำขอโทษและขออนุญาตเจ้าของบ้านไปด้วย


เอ เหมือนผมจะได้ยินเสียงมาจากทางนี้นี่นาหรือไม่ใช่...


บ๊อก


ตึกๆๆ


ผมวิ่งขึ้นบันไดไม้ผุอย่างลืมตัวว่าต้องระวังว่ามันจะหักขอเถอะ ขอให้ใช่อย่างที่คิด


บ๊อก


ชะใช่...ใช่จริงๆด้วย


“น้องหมา!!!” ผมวิ่งเข้าไปหาแต่ไม่สามารถคว้าเอาไว้ได้ น้องหมาเข้าไปติดอยู่หลังตู้ไม้เก่าหลังใหญ่ผมลองยื่นมือเข้าไปแล้วแต่มือผมใหญ่เกินไปไม่สามารถยื่นเข้าไปได้ เสียงครางหงิงๆช่างน่าสงสารอดนึกถึงเจ้าของมันไม่ได้ เขาจะตามหามันหรือเปล่าหรือจะทิ้งน้องหมาอย่างที่ผมทิ้งเขา


คิดไปถึงว่าถ้าเขาอยู่ตรงนี้คงเลื่อนตู้นี้ออกอย่างง่ายดายไม่ใช่ผมคนไม่เอาไหนที่ออกแรงเท่าไหร่ตู้หลังนี้ก็ไม่มีวี่แววจะขยับเลยสักนิด


บ้าชะมัด!!


“กรี๊ดดดดดดดดดดดดด”


“ไฟไหม้!ไฟไหม้ๆหนีเร็ว”


เสียงอึกทึกด้านนอกเรียกให้ผมละจากการเลื่อนตู้วิ่งไปเปิดหน้าต่างชั้นสองมองลงไป ภาพมุมสูงที่เห็นคือความโกลาหลที่ทำให้ผมมึนงงชั่วขณะเสียงหวีดร้อง คนวิ่งวนสาละวนวุ่นวาย ทั้งวิ่งตัวเปล่าหอบลูกหอบหลาน แบกข้าวของเครื่องใช้ไฟฟ้าต่างคนต่างกระเสือกกระสนเอาตัวรอด


แล้วทุกอย่างก็กระจ่างแจ้งเมื่อกลุ่มควันลอยเข้ามาอบอวลทั่วบริเวณไอความร้อนสัมผัสโดนผิวจนต้องเบี่ยงตัวหนี และที่สำคัญลมพัดพากลุ่มไฟก้อนใหญ่โหมกระพือมาถึงบ้านหลังนี้แล้ว!!


“แค่กๆ” ผมเริ่มสำลักควันไฟจึงดึงผ้าเช็ดหน้าในกระเป๋ากางเกงมามัดปิดจมูกไว้ รีบวิ่งกลับไปยังตู้หลังใหญ่ที่กักขังน้องหมาเอาไว้ไม่!! ผมจะไม่ทิ้งมันเด็ดขาด ผมมีชีวิตรักชีวิตยังไงน้องหมาก็เช่นกัน!!


ผมไม่สามารถทิ้งมันไว้ให้โดนไฟคอกตายได้!!


ผมออกแรงดันตู้อีกครั้งและก็เหมือนเดิมมันไม่ขยับ น้องหมาเริ่มออกแรงดิ้นและร้องครางหงิงมากขึ้น มันคงรู้ว่าอันตรายกำลังจะมาถึงตัว ผมเริ่มมองหาตัวช่วยอื่นเห็นไม้กระดานที่นำมาสร้างเป็นผนังบ้านด้านหนึ่งหลุดออกจากแผ่นอื่นห้อยลงมาผมไม่ลังเลเลยที่จะไปดึงมันให้หลุดออกมาทั้งหมด ออกแรงดึงสุดกำลังจนตัวเองล้มลงก้นจ้ำเบ้าจากแรงกระชาก แต่เวลานี้ไม่ใช่เวลามาสนเรื่องเจ็บไม่เจ็บ ผมรีบลุกขึ้นเอาหัวไม้ด้านหนึ่งกดกับผนังจับอีกด้านมั่นแล้วออกแรงงัดสุดแรง


เปาะ!!


อะไรมันจะซวยแบบนี้!! ไม้หักเป็นสองท่อน!! ที่โชคร้ายไปกว่านั้น! ตู้ขยับออกไปไม่ถึงสามมิลด้วยซ้ำอะไรมันจะเหนียวติดแน่นทนทานขนาดนี้!!


พึ่บ!!


“โอ๊ย แค่กๆ” ไฟลามไหม้ไปครึ่งหนึ่งของบ้านหลังที่ผมอยู่แล้ว ลมพัดแรงเมื่อครู่พาไอร้อนลวกผิวผม อากาศเริ่มน้อยลงรู้ได้จากการหายใจที่ไม่ค่อยสะดวกนัก


ต้องรีบแล้ว!!


เหลือทางสุดท้ายแล้วล่ะ!! ต้องโค่นตู้นี้ซะ!ถึงจะเสี่ยงที่น้องหมาจะเจ็บตัวแต่ก็ดีกว่าตายกันอยู่ในนี้!!


“ช่วยด้วยมีคนติดอยู่ในนี้!!” ผมตะโกนสุดเสียงพลางพยายามงัดตู้จากด้านหลังเพื่อให้มันล้มคว่ำหน้าลงไป น้องหมาก็พยายามช่วยเหลือตัวเองเต็มที่ด้วยการออกแรงดิ้น เสียงครางหงิงเงียบไปคงเพราะสำลักควันไฟเหมือนผม


ปึง!!


สำเร็จ!!


ทำไมไม่โค่นมันตั้งแต่แรกวะ!


น้องหมาโดนขาตู้กระแทกจนกระเด็นติดผนังนิ่งไปชั่วอึดใจก่อนจะวิ่งดุ๊กดิ๊กเข้ามาหาผมที่กระโจนเข้าไปอุ้มมันเหมือนกัน ผมอุ้มมันไว้ในอ้อมแขนก่อนหมุนตัวกลับไปทางบันไดเพื่อออกไปจากที่นี่ แต่ก่อนจะก้าวลงบันไดสายตาผมก็เหลือบเห็นคานไม้ที่เต็มไปด้วยไฟเพลิงสีแดงกำลังจะตกลงมา ผมก้าวถอยหลังหนีแต่กลับสะดุดกับทางต่างระดับจนล้มลงไป อ้อมกอดผมกระชับน้องหมาแน่นหลับตาปี๋


ไม่พ้น...โดน ต้องโดนแน่ๆ


“อ๊ากกก”


ปั่ก


ผมรู้สึกถึงของหนักหล่นทับแต่ไม่เจ็บไม่ร้อนลืมตาโพลงขึ้นมองก็เจอกับคนที่ตามหามาตลอด


ชายเร่ร่อน!! เจอแล้ว ฉันเจอนายแล้ว!!


ผมคลี่ยิ้มออกมา แต่...!!


คนเล็ก! นี่ไม่ใช่เวลาจะมาดีใจนะโว้ยยย


ทำไมต้องมาเจอกันในสถานการณ์แบบนี้ด้วยนะ!!


“นาย!เป็นไงบ้าง”


“ไม่เป็นไร รีบไปเถอะ” เขาพูดพลางลุกขึ้นทำหน้าเหยเก ไม้ที่เต็มไปด้วยเปลวไฟนั่นตกทับลงบนแผ่นหลังเขาผมเห็น!! แล้วก็เห็นด้วยว่าเขาปัดมันออกไปด้วยมือเปล่า!!


ทำได้ยังไงกัน!!


เขาลุกขึ้นยืนพลางประคองผมขึ้นด้วย ขมวดคิ้วยืนมองบันไดที่พังทรุดลงไปต่อหน้าต่อตาอย่างครุ่นคิด บันไดพังงั้นหรอ...แล้วเราจะลงไปชั้นล่างกันได้ยังไงล่ะ!


“ขึ้นมา” ในระหว่างที่ผมกำลังแตกตื่นเขาก็ย่อตัวลงจับตัวผมให้ขึ้นไปบนแผ่นหลังกว้างของเขาให้มือหนึ่งกอดกระชับไหล่เขาเอาไว้ส่วนอีกข้างส่งเสียงบอกให้ผมอุ้มน้องหมาดีๆ ท่อนแขนทั้งสองข้างเกี่ยวช้อนกระชับต้นขาผมแน่นก่อนผมจะถามว่าเขาจะทำอะไรร่างสูงก็เอ่ยแทรกซะก่อน “จับดีๆล่ะ”


ฟุบ


ผมยังไม่เข้าใจในสิ่งเขาพูดชายเร่ร่อนก็กระโดดลงมาจากชั้นสองที่สูงประมาณสิบฟุต...สะสิบฟุต...บ้าไปแล้ว!!เขาทำได้ยังไง!!


หัวใจผมแทบวายเมื่อรู้ว่าตัวเองกำลังจะเผชิญกับความหวาดเสียวขั้นสุดยอดถ้าผมรอดจากเหตุการณ์นี้ไปเครื่องเล่นไหนที่ว่าแน่ผมคงไม่หวั่นอีกแล้ว


ตึกๆ


ผมรู้สึกได้ว่าเขาออกแรงวิ่งนั่นหมายความว่าเราลงมายืนบนพื้นได้อย่างปลอดภัย จบจากตรงนี้ผมคงต้องถามเขาว่าไปเรียนวิชาตัวเบามาจากไหนผมจะได้ไปเรียนบ้าง แต่ตอนนี้สติผมเหมือนล่องลอยคงเพราะจากการขาดอากาศหายใจ หมดเรี่ยวแรงมือที่เกาะเกี่ยวรอบคอเริ่มหลุดออก อีกข้างที่กระชับกอดน้องหมาเริ่มอ่อนแรงลง


ก่อนทุกอย่างจะวูบไป





“เล็ก ไอ้เล็ก” เสียงเรียกอันน่ารำคาญทำให้ผมค่อยๆปรือตาขึ้นใบหน้าแรกที่เห็นลอยอยู่ตรงหน้าเป็นไอ้ปอนด์ หน้าตามันตลกชะมัด


“อย่าบอกที่บ้านกูนะ” ผมส่งเสียงแหบแห้งออกไปคงไม่ถามว่าที่นี่ที่ไหนหรือผมเป็นอะไรไป เพราะสิ่งที่เผชิญมามันบอกในตัวมันเองอยู่แล้ว แต่ห่วงที่สุดคงเป็นเรื่องที่บ้านถ้ารู้กันนะรับรองได้โดนสั่งย้ายด่วนแน่


ผมยังไม่อยากกลับระยอง!!


“เออๆกูรู้แล้วมึงเป็นไงบ้างให้ตามหมอมั้ย” มันถามอย่างกระตือรือร้น


“ไม่ต้องๆกูโอเคเออมึง...แล้วชายเร่ร่อนล่ะ” ผมถามตรงประเด็นที่อยากรู้


“มึงถามถึงมันทำไม! มึงยังกลัวอยู่หรอ ไม่ต้องกลัวแล้วนะ มีชาวบ้านไปช่วยมึงทันก่อนจะโดนไอ้บ้านั่นทำร้าย มันสารเลวมากทั้งที่มึงเป็นคนให้ข้าวให้น้ำแท้ๆยังจะมาทำเลวกับมึงอีก คนที่ไปช่วยมึงไว้บอกว่ามันกำลังจับมึงแก้ผ้าวิปริตที่สุด! นี่มันคงทำร้ายมึงจนสลบไปใช่มั้ยสมน้ำหน้าโดนรุมสกัมไปคงเละอยู่ คงได้ไปโรคจิตในคุกอีกนาน!!”


“มะมึงว่าอะไรนะ...ขะเขา...” ไปกันใหญ่แล้วระหว่างที่ผมสลบไปเกิดเรื่องร้ายขึ้นขนาดนี้เชียวหรือ!


“พวกกูจับมันเข้าไปนอนในซังเตแล้วรับรองมันมาทำอะไรมึงไม่ได้อีกแน่นอน!!”




ฮะๆค้อนตอกตะปูเข้าที่ใจผมอีกแล้ว...จนได้แต่ภาวนาว่าพื้นที่ที่ตอกลงไปมันจะหมดลงเสียที

minone โพสต์ 2020-4-4 21:37:30

ขอบคุณ​มาก​นะ​ครับ​{:5_130:}

65gpy โพสต์ 2020-4-4 22:14:27

ขอบคุณครับ

ball3225 โพสต์ 2020-4-4 22:16:05

ขอบคุณมากครับ

kabuki โพสต์ 2020-4-5 02:08:20

ตัดสินคนที่ผิวหน้าจริงๆ สงสารอ่ะ

kichjakan โพสต์ 2020-4-5 02:19:38

ขอบคุณครับ

uglymen โพสต์ 2020-4-5 02:41:07

เป็นงั้นไป เฮ้อ

Phol_th โพสต์ 2020-4-5 03:02:27

มารัว ๆ อ่านไม่ทัน

guide01 โพสต์ 2020-4-5 03:06:50

ขอบคุณมากเลยครับ

pipi1 โพสต์ 2020-4-5 03:17:04

{:5_136:}ขอบคุณครับ{:5_136:}

rowetszaa โพสต์ 2020-4-5 05:07:08

ขอบคุณครับ

bassabassy โพสต์ 2020-4-5 07:40:18

ขอบคุณครับ

Akeoutdoor โพสต์ 2020-4-5 07:43:47

เศร้าเกินไปละ

N-xanco โพสต์ 2020-4-5 07:53:40

ขอบคุณครับ

Pathxx โพสต์ 2020-4-5 07:54:15

สงสารเลย

Aonz003 โพสต์ 2020-4-5 07:58:27

:victory::victory:

Ling_Elvis โพสต์ 2020-4-5 08:18:24

ขอบคุณครับ

Aquarius_Camu โพสต์ 2020-4-5 08:30:45

ขอบคุณครับ

loveza โพสต์ 2020-4-5 08:44:31

ขอบคุณครับ

jatuAAA โพสต์ 2020-4-5 09:57:05

ขอบคุณครับ
หน้า: [1] 2 3 4 5 6
ดูในรูปแบบกติ: รักเร่ร่อน...ของคนจรจัด 3 bymod-cup