รักเร่ร่อน...ของคนจรจัด7 bymod-cup
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย tor_8915 เมื่อ 2020-4-7 21:33เร่ร่อน7
“ฮ้าวววว”
ผมยกมือปิดปากหาวขณะที่หมุนควงพวงมาลัยรถเลี้ยวขวาข้ามสี่แยกไฟแดงที่เพียงเลี้ยวโค้งไปก็เจอปัญหารถติดยาว ไม่ใช่เกิดจากช่วงเวลาเร่งรีบเหมือนอย่างเช่นในเมือง แต่เพราะวันนี้เป็นวันเสาร์ วันหยุดของผม เป็นวันที่ผมพานายตี๋ใหญ่กับเจ้าตี๋น้อยมาเที่ยวตลาดนัด
เรียกว่าเที่ยวก็ไม่ถูกซะทีเดียวต้องบอกว่ามาจับจ่ายหาซื้อของ(ถูก)ไปกักตุนซะมากกว่า
ตลาดนัดที่เรามากันวันนี้ผมก็เพิ่งเคยมาครั้งแรก ‘ตลาดนัดค่ายจิรประวัติ’ หรือเรียกกันจนติดปากว่า ‘ตลาดนัดหน้าค่าย’ไอ้ปอนด์แนะนำผมมาเพราะมันมักจะถูกพิณบังคับให้มาด้วยกันแทบทุกอาทิตย์ (มันไม่อยากมาอยากนอนตื่นสายมากกว่าแต่ขัดพระบัญชาของเมียไม่ได้)
เป็นตลาดนัดช่วงเช้าเริ่มตั้งแต่ประมาณตีห้าจนถึงเที่ยงตรง มีเฉพาะวันเสาร์-อาทิตย์อยู่ในความควบคุมดูแลของทหาร ไม่มีทั้งรถยนต์และรถจักรยานยนต์เข้ามาเพ่นพ่านในส่วนของตลาดนัดต้องเอารถไปจอดในที่จอดรถที่จัดไว้ให้เท่านั้นแล้วเดินเท้าเข้ามาจึงสะดวกสบายต่อการเดินเลือกจับจ่ายใช้สอย
เหมือนอย่างเช่นตอนนี้ที่ผมจอดต่อท้ายรถ CRV และมีรถยนต์อีกหลายสิบคันจอดเรียงยาวต่อท้ายรถผมเพื่อจ่ายเงิน5 บาทแลกตั๋วเพื่อเอารถเข้าไปจอดยังที่จอดรถ ส่วนรถจักรยานยนต์ที่ขี่ฉวัดเฉวียนแทรกแซงตัดหน้าปาดหลังรถผมอยู่ตอนนี้มีที่จอดรถอีกทางหนึ่ง
พูดถึงพวกคุณทหารก็จัดการเป็นระเบียบเรียบร้อยดีนะ ที่จอดรถก็กว้างและมีบริการหลายแห่งทั้งส่วนหน้ากลาง และท้ายตลาดถ้าจะผิดก็คงผิดที่ปริมาณรถและคนที่มีมากเกินไปเนี่ยแหละ
สรุปมันคือตลาดนัดหรืองานวัดที่สิบปีมีหนกันแน่คนถึงได้แน่นขนัดนัก
ถ้าให้เดาส่วนหนึ่งเพราะวันนี้เป็นเสาร์สิ้นเดือนที่นำพามนุษย์เงินเดือนอันหื่นกระหายอยากใช้เงินมารวมตัวกัน ณ ตลาดแห่งนี้...รวมถึงผมด้วย =.=
“ใหญ่ๆขอเหรียญห้าหน่อย” เพราะมัวแต่มองดูบรรยากาศแปลกตาโดยรอบเลยลืมเตรียมเหรียญเอาไว้ พอถึงคิวตัวเองเลยต้องตบไหล่กว้างยิกๆ ขาก็แตะคันเร่งเพื่อให้รถไปจอดตรงคนแลกตั๋ว
ใหญ่เอี้ยวตัวไปทางด้านหลังเพื่อหยิบกระเป๋าสะพายของผมที่เจ้าตี๋น้อยนอนทับอยู่ พอดึงสายกระเป๋าออกมาเลยกลายเป็นว่าตี๋น้อยกลิ้งหลุนๆตกลงไปที่วางเท้าด้านล่าง ฮ่าๆ น่ารัก
ใหญ่ควานหาเหรียญส่งมาให้ผมซึ่งผมก็ส่งให้คนแลกตั๋วอีกที ก่อนเริ่มออกรถอีกครั้งเพื่อวนหาที่จอด สุดท้ายก็ได้ที่จอดรถใต้ร่มไม้ใหญ่ใกล้ห้องน้ำ
“ไอ้ตี๋อย่าซน!” ใหญ่ดึงสายจูงไว้พลางดุเมื่อตี๋น้อยจ้องแต่จะกระโจนไปข้างหน้าอย่างเดียวตั้งแต่ลงจากรถหางนี่กระดิกดิ๊กๆเชียว
“มาเดี๋ยวฉันจูงเอง” ผมขันอาสา
“ผมเองดีกว่าคุณใจดีเดี๋ยวมันเหลิง” ผมร้องเหอะหลังจากที่ใหญ่บอกนี่ก็แปลกคนมันเป็นหมาจะไปคิดอะไรแบบนั้นได้ไงเล่า!
“ตามใจ” ที่ยอมไม่ใช่เพราะเห็นด้วยกับเหตุผลติ๊งต๊องของใหญ่หรอกนะ แต่เพราะพอตี๋น้อยมันดื้อมากๆจะพุ่งไปตะกุยขาคนที่เดินผ่านไปมา ใหญ่ก็ม้วนสายจูงพันกับฝ่ามือให้หดสั้นลงจนตัวตี๋น้อยลอยหวือขึ้นมาในอ้อมแขน เขาก้มลงไปกระซิบอะไรกับตี๋น้อยไม่รู้หน้าตาขึงขังเชียว ก่อนเอากำปั้นทุบหัวมันเบาๆไปหนึ่งที แล้วพอวางมันลงบนพื้นอีกครั้งคราวนี้ตี๋น้อยยอมยืนกระดิกหางนิ่งๆประหนึ่งไม่เคยซนมาก่อน
เหลือเชื่ออ่ะ! คนกับหมาคุยกันรู้เรื่องผมเหวอไปเลย
“คุณคนเล็ก” แหมมม เรียกซะเต็มยศเลยนะ
“ว่าไงแล้วบอกให้เรียกเล็กเฉยๆ”
“ผมทำอาหารให้ทานมั้ย” สรุปฟังกันบ้างป่ะ
แต่เดี๋ยวนะ เมื่อกี้เขาว่าอะไรนะจะทำอาหารให้ผมทานหรอ
“นายทำเป็น” ผมหยุดฝีเท้าหันมองหน้าเขา...นายหน้าหมาตูบเนี่ยนะจะทำอาหารให้ผมทานท่าทางไม่ให้เลยขอบอก
เขาพยักหน้าก่อนว่าต่อ
“ผมเห็นคุณกินแต่กระเพราไข่ดาวแล้ววันนี้ก็วันหยุดของคุณ ผมเลยอยากทำ”
“ไม่คิดว่านายจะทำอาหารเป็น”
“ผมก็ไม่เคยทำแต่คิดว่าน่าจะทำได้”
นายเอาอะไรมามั่นใจขนาดนั้น ของแบบนี้คิดว่าทำได้แล้วมันจะได้ดั่งใจคิดหรือไง มันต้องมีทักษะพื้นฐานติดตัวบ้าง อยากพูดนะ แต่เห็นใบหน้ามีหวังกับสายตาแวววาวมุ่งมั่นทำให้ผมพูดไม่ออก ได้แต่ยิ้มกว้าง เอาน่า ไม่ลองไม่รู้
บางทีนายหมาตูบของผมอาจจะมีพรสวรรค์ด้านการทำอาหารซ่อนอยู่ก็เป็นได้
“งั้นเดินเล่นตรงตลาดผ้าก่อนเนอะ”
ผมหันไปยิ้มตาหยีบอกซึ่งใหญ่ก็ยิ้มบางพยักหน้าตอบกลับมา
หลังจากนั้นผมก็เดินนำเคียงเขาเข้าไปยังโซนขายผ้า มีทั้งมือหนึ่งมือสองราคาตั้งแต่หลักสิบถึงหลักพันให้เลือกสรร แล้วไอ้ที่ว่าหลักสิบคือสิบจริงๆตัวละสิบบาทยังมีเลย! คืออะเมซิ่งไทยแลนด์มากแล้วไม่ใช่ว่าสภาพดั่งผ้าขี้ริ้วอะไรแบบนั้นนะ คือสภาพมันดีเลยล่ะแถมซักซะหอมกลิ่นน้ำยาปรับผ้านุ่มฟุ้งจมูก แบบที่แขวนบนราวก็จะแพงหน่อยสามตัวร้อยงี้ตัวละห้าสิบงี้ แต่ที่กองๆอยู่บนผ้าใบนั่นถูกจริงถ้าเลือกดูดีๆก็จะได้ของดีราคาไม่แพง
ผมคนหนึ่งที่ดิ่งเข้าไปนั่งบนเก้าอี้เตี้ยแบบเดียวกับเก้าอี้ซักผ้า เข้าไปรื้อๆคุ้ยๆกว่าจะได้เสื้อกล้ามสีเข้มมาสามตัวเล่นเอาปาดเหงื่อ อยากได้เสื้อยืดกับโปโลบ้างแต่ไม่มีไซส์ที่ใหญ่ใส่ได้ จะซื้อตัวใหม่ให้เขาก็ไม่เอาร้องค้านว่ามันแพงแถมพาเจ้าตี๋น้อยเดินหนีออกนอกร้านมาเลย สุดท้ายเป็นไง ผมเลยต้องกลายร่างกลืนกับพวกเหล่าคุณแม่บ้านเพื่อแย่งชิงสมบัติล้ำค่าในกองภูเขาใหญ่
“ใหญ่ๆดูกางเกงกันๆ” แล้วผมก็เลี้ยวขวาเข้าไปในร้านกางเกงผ้ายางยืดสามส่วนที่แขวนอยู่บนราวเหล็ก ป้ายกระดาษลังสีน้ำตาลเขียนด้วยเมจิกสีน้ำเงินตัวใหญ่‘ซื้อ 3 แถม1’ โอ้วววโปรโมชั่นถูกใจให้จริงยิ่งกว่าบิ๊กซีซุปเปอร์เซนเตอร์ซะอีก แถมยังเป็นผ้ามือหนึ่งจากโรงงานราคาเลยถูกตัวละ 50 บาทเอง
งานนี้ใหญ่ไม่มีสิทธิ์คัดค้านเพราะผมไม่ผิดข้อตกลง ของดี ถูก ง่าย สบายกระเป๋า ผมเลยคันไม้คันมือเลือกหยิบมาห้าตัวแต่ใหญ่แย่งเอาไปเก็บสามตัว ซึ่งผมไม่ยอมเลยไปหยิบกลับมาอีกหนึ่งตัว เอาล่ะสามตัวคนละครึ่งทาง วินวิน
“คุณ พอแล้วนะ” ใหญ่ทักเมื่อเห็นผมกำลังเพลิดเพลินกับการหาซื้อเสื้อผ้าให้เขา ผมเข้าออกเป็นสิบร้านขณะที่ในมือใหญ่มีถุงเสื้อผ้าอยู่เพียงสองถุง เพราะไม่ว่าผมจะเข้าร้านไหนใหญ่ก็จะลากผมออกมาทุกครั้ง เลยกลายเป็นว่าได้เสื้อผ้ามาจากสองร้านแรกเท่านั้นแล้วดูสิ! ยังมาทำหน้าหน่ายใจอย่างกับผมซื้อมากมายงั้นแหละ!
“ยังไม่พอ”
“คุณ...”
“นายยังไม่ได้รองเท้าเลย!” ผมเถียงก่อนที่เขาจะพูดไปมากกว่านี้
“ผมใส่คู่นี้ได้”
“คู่นี้เนี่ยนะ” ผมขึ้นเสียงสูงพลางเหยียดมองไปยังรองเท้า(อัปรีย์)ที่เขาสวมใส่อยู่ มันเป็นรองเท้าหูคีบของผมที่หูขาดแล้วแต่ยังไม่ได้เอาไปทิ้ง เจ้าตี๋น้อยมันไปคาบมากัดเล่น ใหญ่เห็นเลยเอามาซ่อมด้วยการปักเข็มหมุดติดหูที่ขาดไว้กับพื้นรองเท้า มันมีคุณสมบัติพิเศษที่ใส่แล้วไม่สามารถลงน้ำหนักเท้าแรงได้(เพราะเข็มหมุดมันจะหลุด) สามารถอบอุ่นส้นเท้าได้จากอุณหภูมิที่ร้อนของพื้นปูนซีเมนต์เพราะเท้าผมมันเล็กกว่าเขาเกือบครึ่งแล้วนึกถึงสภาพตอนเขาใส่รองเท้าของผมสิ ใช่!! ส้นเท้าของเขาเดินเปลือยเปล่าท้าพื้นดินมาก! มองๆแล้วมันไม่สมควรเรียกว่ารองเท้าด้วยซ้ำเหมาะแก่การเอาไปเฉือนทำเชื้อเพลิงก่อไฟเตาถ่านมาก
“ผมไม่ค่อยได้ออกไปไหน...” ยังจะมาเถียงงึมงำอีก ผมเลยถอนหายใจเฮือกบอกเขาด้วยน้ำเสียงอ้อนวอนเต็มที่
“ขออีกอย่างเดียวแล้วจะไม่ทู่ซี้ซื้ออะไรให้แล้ว นะ”
แล้วใช้ลูกอ้อนขนาดนี้มีหรือใหญ่จะค้านผมได้ ^_^
“อีกอย่างเดียวพอนะ...”
แล้วสุดท้ายผมก็ได้รองเท้าหูคีบตราดาวสีเขียวอ่อนเบอร์ 11 (เบอร์ใหญ่สุด) มาหนึ่งคู่อยากได้รองเท้าหนังแบบเท่ๆนะ แต่ใหญ่ไม่ชอบอยากได้แบบนี้บอกว่าเข้ากับเสื้อผ้าที่เขาใส่ดี(เสื้อกล้ามกางเกงผ้าร่ม) ผมว่าเขาอ้างไม่เอาของแพงมากกว่า ชิ
เมื่อภารกิจหาผ้าให้หมีใส่เสร็จสิ้น ผมก็เดินมายังโซนเนื้อสัตว์เพื่อเลือกซื้อวัตถุดิบไปทำอาหาร คราวนี้แหละใหญ่จัดเต็มไม่เกรงใจเลย เขาหันมาถามว่าซื้อไปตุนไว้มั้ยถูกดีผมก็เออๆไปก็ไม่ใช่คนทำนิ อีกอย่างใหญ่พูดแบบนี้แล้วแสดงว่าต่อไปผมคงได้กินฝีมือเขาทุกวัน
ผมชอบตลาดนัดหน้าค่ายนะ จัดเป็นระเบียบดีแยกของแต่ละประเภทไว้อย่างชัดเจนเป็นโซนๆไม่กระจัดกระจาย ต้องขายเป็นที่ที่จัดไว้ให้ห้ามหาบของเดินเร่ขายเด็ดขาดไม่อย่างนั้นจะมีเจ้าหน้าที่พี่ทหารมาจัดการไล่ งือ โหดมาก
เสร็จแล้วเราก็เดินขึ้นไปยังโซนผัก ก่อนไปถึงเสียงเจ้าหน้าที่ก็ประกาศมาตามสายว่าใกล้แปดโมงเช้าแล้วให้เตรียมตัวหยุดยืนตรงเคารพธงชาติ ผมก็คิดว่าเออคงไม่มีใครฟังเพราะผมเห็นหลายที่แล้วบอกแบบนี้ไม่เห็นมีใครจะทำตามยังเจี๊ยวจ๊าวจับจ่ายกันปกติ
แต่แล้วผมก็คิดผิดเมื่อเสียงเพลงชาติขึ้นทุกฝีเท้าที่เดินหยุดชะงัก แม้แต่แม่ค้าที่นั่งขอดเกล็ดปลายังหยุดมือวางมีดขึ้นยืนตรง ทุกเสียงเงียบลง เสมือนแผ่นหนังสะดุดให้ภาพทุกอย่างหยุดนิ่งจวบจนเสียงเพลงจบลงตลาดจึงกลับมาคึกคักดังเดิม
เช่นเดียวกับใหญ่ที่ขยับตัวไปเลือกผักอย่างชำนาญจนผมทึ่ง ความจริงผมอึ้งตั้งแต่เขาเลือกเนื้อสัตว์จำพวกหมูไก่ ปลา ตั้งแต่เมื่อกี้แล้วแบบพลิกซ้ายขวาเป็นอันรู้เรื่อง ผมนี่แม่เคยใช้ไปซื้อยืนจ้องอยู่นานว่าอย่างไหนคือสดจนสุดท้ายก็ได้แต่หันไปขอความช่วยเหลือจากแม่ค้า
“คุณอยากได้อะไรอีกมั้ย”
ผมส่ายหัว ไม่ล่ะ แค่นี้ก็สงสารใหญ่จะแย่ ข้าวของพะรุงพะรังถุงเต็มสองมือ ปลายนิ้วที่เกี่ยวถุงไว้ขึ้นสีม่วงอย่างเลือดมาเลี้ยงไม่ถึง ส่วนผมน่ะหรือเดินตัวปลิวจูงตี๋น้อยอย่างสบายใจเขาไม่ให้ผมช่วยถืออะไรเลย! ได้แต่บอกจูงตี๋น้อยจอมซนอย่างเดียวก็ลำบากแล้วได้ข่าว นายอบรมมันซะเรียบร้อยเลยไม่ใช่รึ!
“ใหญ่ๆอยากกินขนมไทย” ระหว่างเราเดินกลับไปที่รถ ผมก็เจอร้านขายขนมไทยใส่ถ้วยซีลปิดฝาเหมือนแก้วชาไข่มุกผมชอบกินขนมไทยนะชอบมากกกกกก แต่หาร้านอร่อยๆกินยาก แต่สำหรับร้านนี้โลโก้สีชมพูที่ประทับบนฝาทำให้ผมปรี่เข้าไปหาเลย พิณเคยซื้อมาฝากผมจำได้และจำได้ดีมากว่ารสชาติอร่อยแค่ไหน
“ใหญ่กินมั้ย” ใหญ่ยิ้มบาง อย่างที่ผมเดาความหมายได้ว่า ‘แล้วแต่คุณ ยังไงก็ได้’ ถามแม่ค้าแล้วได้ความว่าเก็บไว้ได้หลายวันผมเลยจัดการหยิบมาทุกอย่างที่ร้านมีอย่างละห้าแก้วทั้ง ปากิมไข่เต่า เต้าส่วน บัวลอย ลูกเดือยและลอดช่อง
“คุณชอบหรอ” ใหญ่มองตามอึ้งๆ(ด้วยใบหน้านิ่งขรึมเหมือนเดิมแต่ผมมองออก)ผมยิ้มกว้างพยักหน้า
“มากกกกกกกกกกกกกกก ถ้าใหญ่ทำอาหารได้หัดทำขนมด้วยนะเอารสชาติที่ฉันชอบ” ใหญ่นิ่งก่อนออกเดินอีกครั้งผมจูงเจ้าตี๋น้อยเดินเคียงกันไป เหมือนเขาจะไม่สนใจแต่เสียงที่ลอยแว่วเข้ามาก็ทำให้ผมยิ้มกว้างกว่าเดิม
“ผมจะหัดทำ...”
พอกลับมาถึงห้อง ผมก็ขอตัวไปอาบน้ำเพราะเหนียวตัวเหลือเกินใหญ่แยกตัวเข้าไปในครัว ส่วนเจ้าตี๋น้อยได้กระดูกแทะเล่นที่ผมซื้อให้ก็ตรงดิ่งไปมุมห้องนั่งเล่นทันที
อาบน้ำเสร็จแล้วรู้สึกสดชื่นสบายตัวขึ้น เมื่อเช้าไม่ได้อาบน้ำความจริงถ้าไม่ได้ใหญ่มาเคาะห้องปลุกมีหวังคงได้ไปช่วยเขาเก็บตลาดเป็นแน่
“หืม หอมจัง” เดินเข้ามาในครัวก็ได้กลิ่นหอมโชยเข้าจมูก เห็นใหญ่ยืนผัดอะไรไม่รู้ในกระทะ ข้างๆกันมีหนังสือคำภีร์ยอดยุทธ์ที่ติดตัวเขามาด้วย เห็นเขาหันมาอ่านๆแล้วก็กลับไปหยิบนู่นนี่ตักใส่เข้าไป ผมเลยเดินเข้าไปชะโงกหน้าดู
“อะไรอ่ะ”
“ปลาสามรส” ใหญ่บอกแล้วกันผมออกห่างเขาคงกลัวไอ้น้ำราดแดงๆในกระทะจะกระเด็นใส่ ผมยู่ปากก่อนถาม
“ให้ฉันช่วยมั้ย”
ส่ายหัวตอบมาให้ผมยู่หน้าใส่ ไม่ช่วยก็ได้ กลัวว่ามันจะวุ่นวายกว่าเดิมหรอกนะเลยเดินเข้าไปรื้อถุงที่วางไว้บนโต๊ะ อืมๆๆๆ
“ใหญ่ ขนมอ่ะ” ผมหันไปถามรื้อหาดูแล้วไม่มีแสดงว่าใหญ่เก็บไปแล้ว
“ในตู้เย็น” ใหญ่ตอบทั้งที่ยังง่วนอยู่กับอาหารตรงหน้าไม่ได้สนใจผมเท่าไหร่ ผมเดินไปเปิดตู้เย็นหยิบปากิมไข่เต่าออกมาหนึ่งถ้วย ดึงฝาปิดหน้าออกจนน้ำกะทิกระฉอกหก เลยต้องวางถ้วยไว้ไปเอาผ้ามาเช็ดทำความสะอาดโต๊ะ แล้วเดินไปหยิบช้อนมานั่งกินขนมบนโต๊ะในครัว
คำแรกเท่านั้นแหละ...อร่อยเลย
“กินป่ะ” ผมชูถ้วยขนมขึ้นเมื่อใหญ่เหลือบตามามองขณะรอน้ำเดือดส่ายหน้าปฏิเสธผมเลยเดินไปตักจ่อปากถึงที่
“คุณกินเถอะ” เบี่ยงหน้าหลบ
“ลองดูอร่อย” ผมขยับมือตามจนสุดท้ายใหญ่ก็ยอมอ้าปากงับช้อนเขาทำหน้าแหยะๆ สงสัยไม่ชอบของหวานแน่เลย
“หวาน”
นั่นไง ผมเดาผิดที่ไหนเป็นประเภทเดียวกับไอ้ปอนด์อีกละ เซ็งเลย
“คุณเลิกกินขนมแล้วมากินข้าวก่อน” เสียงเรียกดังมาจากห้องนั่งเล่นสงสัยจัดโต๊ะเสร็จแล้ว อย่ามองผมด้วยสายตาว่าทำไมไม่ช่วยถ้าคุณมาอยู่กับนายหมาตูบจะรู้เอง ผมหยิบจับอะไรก็แย่งทำไปซะหมดเลยตัดปัญหานั่งกินขนมรออยู่ในครัวอย่างเดียว
“ว้าวววว” เมื่อเห็นอาหารตรงหน้าผมก็ตาวาวขึ้นมาทันทีสรุปนายหมาตูบทำอาหารเป็นจริงๆด้วย ผมลองเอานิ้วคีบเนื้อปลามาลองชิม
อืม ถึงไม่อร่อยเลิศแต่รสชาติพอได้
มื้อนี้เขาทำอาหารสามอย่างคือ ปลาสามรสต้มจืดผักกาดขาวหมูสับเต้าหู้ไข่ และแกงเผ็ดเห็ดนางฟ้า
“เพิ่งรู้ว่าหนังสือของนายมีเมนูพวกนี้ด้วย” ผมว่าพลางเอานิ้วคีบเห็ดมาชิมอีก อืมเผ็ดไปหน่อยแต่ก็โอเค
“มันอยู่หน้าท้ายๆ” ผมพยักหน้าหงึกหงักพลางรับจานข้าวของคนตอบคำมาใหญ่คดข้าวของตัวเองพลางนั่งลงบนพื้นพรมอีกด้านของโต๊ะเตี้ย
เราสองคนทานข้าวไปได้สองคำเสียงกดกริ่งก็ดังขึ้นผมเป็นคนลุกไปเปิดประตู อย่างที่เคยบอกไปใหญ่ค่อนข้างประหม่ากับคนแปลกหน้า
“อ้าวไอ้ปอนด์มาไมวะ” เปิดประตูมาก็ไม่ใช่ใครไอ้เพื่อนข้างห้องผมนี่เอง
“หิวว่ะพิณไปต่างจังหวัดมีไรกินบ้างวะ”
เหมือนรู้เลยเนอะ มันไม่รอให้ผมเชิญเข้าห้องก็แทรกตัวเข้ามาเอง เดินผ่านเข้าไปยังห้องนั่งเล่น ขมวดคิ้วเล็กน้อยเมื่อเห็นใครอีกคนนั่งอยู่ ผมดันมันให้มานั่งข้างกัน ก่อนหันไปบอกใหญ่ที่ปิดปาดเงียบเข้าสู่อีกโหมดทันทีเมื่อมีบุคคลที่สาม
“มันมาฝากท้องด้วย” ใหญ่ไม่มีท่าทีอะไรแค่ยันตัวลุกเดินไปตักข้าวมาอีกจาน
“สรุปมันเป็นใบ้ใช่ป่ะ”
“ไม่ใช่เว้ยยย” แค่ประหม่าหรอก...กับผมก็พูดปกติกับพิณก็มีพูดบ้างถามบ้างนะแต่นอกนั้นหมดสิทธิ์ไม่มีเสียงเรียกจากคนตัวโตเลยสักนิด
ความจริงใหญ่ก็เจอไอ้ปอนด์บ่อยนะแต่เหมือนสองคนนี้ไม่ค่อยถูกชะตากัน(ผมว่าไอ้ปอนด์มากกว่าที่ชอบแผ่รังสีคุกคาม)
ใหญ่กลับมาพร้อมจานข้าวในมือ วางลงตรงหน้าไอ้ปอนด์ก่อนนั่งลงนิ่งๆแล้วทานข้าวไปเงียบๆ บทสนทนาส่วนใหญ่จึงผูกขาดระหว่างผมกับไอ้ปอนด์ ทานข้าวไปสักพักมันก็เปิดประเด็นใหม่ขึ้นมา
“กับข้าวนี่ซื้อหรอวะ”
“ใหญ่เป็นคนทำ”
ไอ้ปอนด์ขมวดคิ้วหันไปจ้องบุคคลที่ถูกกล่าวถึงทันทีใหญ่เกร็งตัวอย่างรู้สึกได้
“มันจะอยู่ที่นี่ไปถึงเมื่อไหร่”
แกร๊ก
คราวนี้เป็นทั้งผมและใหญ่ที่หยุดชะงัก
ไอ้ควาย! มันประเด็นเดียวกับเรื่องอาหารตรงไหนวะวกออกเรื่องอื่นได้เสียบรรยากาศมาก
“โอ้ย” ผมบิดเนื้อตรงเอวมันเต็มแรงมันร้องเจ็บพลางกระเถิบตัวหนี แต่ยังไม่วายปากเสีย“เจ็บนะเว้ย กูแค่ถาม ทำไม หรือมึงจะให้มันเกาะกินไปตลอดชาติ”
“ไอ้ปอนด์!!” คราวนี้เป็นผมที่ตวาดเรียกเสียงดัง มันพูดกับผมเรื่องนี้หลายครั้งแล้วแต่ผมก็เฉไฉตอบส่งๆเอาตัวรอดไปกะว่าเดี๋ยวมันเบื่อก็เลิกถามไปเอง ไม่คิดว่ามันจะใจร้ายใจดำมาถามต่อหน้าใหญ่
ถึงสีหน้ายังนิ่งไม่เปลี่ยนแปลง แต่ผมกลับหวั่นใจ
ไอ้ปอนด์กลับไปได้สักพักแล้ว ขณะที่ผมไปส่งมันหน้าประตูอยู่ทางนี้ใหญ่ก็เก็บโต๊ะเรียบร้อย ผมเข้าไปชวนคุยด้วยเพราะกลัวว่าเขาจะคิดมากซึ่งเขาก็มีท่าทีปกติเหมือนไม่มีอะไรติดค้างในใจ ซึ่งนั่นทำให้ผมเบาใจ
แต่มันก็แค่ช่วงเวลาหนึ่งเท่านั้น
เพราะหลังจากนั่งเล่นดูหนังแผ่นจบไปหนึ่งเรื่อง(ผมบังคับให้เขามาดูด้วยกัน) พี่มิ่งก็โทรมาให้ผมส่งงานของเมื่อวานให้ทางอีเมล์เพราะพี่แกดันลืมเอกสารไว้ที่บ้าน(วันนี้แกมีงานนอก)ผมเลยหายเข้าไปในห้องนอนร่วมสามชั่วโมงเห็นจะได้
พอออกมาจากห้องผมก็กวาดตามองไปรอบๆ หายตัวอีกแล้วไปแอบหลับมุมไหนอีกล่ะคราวนี้
แล้วก็เหมือนเดิมที่แอบซ่อนตัวอยู่มุมระเบียงอย่างเก่าเปลี่ยนแค่จากระเบียงห้องนอนเป็นระเบียงด้านนอก
และคราวนี้เขาก็ไม่ได้งีบหลับเหมือนวันนั้น กลับนั่งกอดเข่าแหม่อมองออกไปด้านนอกอย่างไร้จุดหมาย มองผ่านกระจกจากมุมนี้แววตาของเขาไม่มีแววหม่นเศร้าหรือทุกข์ใจ แต่หัวใจผมกลับกระตุกอย่างรุนแรงเพราะแววตาคมดุกลับฉายความ‘ว่างเปล่า’ ดังเดิม...
แววตาที่หายไปช่วงเวลาหนึ่ง แววตาที่ผมเกลียด
ครืดด
ผมเลื่อนบนประตูออกก่อนก้าวลงไปนั่งขัดสมาธิข้างๆเขา
“ใหญ่...”
“ผมอยากทำงาน” ยังไม่ทันพูดจบใหญ่ก็แทรกขึ้นผมชะงัก...เขาเก็บคำพูดของปอนด์มาคิด
“อย่าไปฟังไอ้ปอนด์เลยมันปากหมา”
“ไม่เกี่ยวกับคุณปอนด์หรอก ผมคิดเรื่องนี้มาสักพักแล้วและคิดว่ามันถึงเวลาสักที”เขายังนั่งกอดเข่าเหม่อมองออกไปยังท้องฟ้าเบื้องหน้า กลับเป็นผมเองที่เอาฝ่ามือแนบแก้มสากอีกฝั่งและดันให้ใบหน้าเขาหันกลับมาทางผม
มองลึกเข้าไปในดวงตาคมตรงหน้า มือที่ยังนาบอยู่บนแก้มสากลูบเบาๆให้อะไรก็ตามที่เขารู้สึกอยู่ตอนนี้คลายลง ทำไมนะแค่ผมขอดูแลเขาไปเรื่อยๆแบบนี้มันผิดนักหรือไง ทำไมต้องพยายามผลักไสเขาไปไกลตัว
“นายก็ทำงานบ้านให้ฉันนี่ไง” เขาส่ายหัว มือใหญ่ทาบลงบนมือผมบนแก้มของเขา
“นั่นไม่ใช่งาน” เขาจ้องกลับมาอย่างสื่อความหมาย หัวใจผมเต้นระรัว“ช่วยผมนะ”
ผมเม้มปากใจอยากจะปฏิเสธแต่จำต้องพยักหน้าตกลง
มันคือความตั้งใจแรกของผมไม่ใช่หรือ ช่วยเหลือให้เขามีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นเพื่ออยู่ในสังคมได้อย่างเท่าเทียม สามารถหยัดยืนด้วยตัวเองได้
แต่ตอนนี้กลับเป็นผมเองที่อยากเหนี่ยวรั้งเขาไว้ข้างตัว อยากให้เขาพึ่งพาต่อไปเรื่อยๆไม่ใช่ไอ้ปอนด์ที่ผิด ไม่ใช่ใหญ่ที่ผิด เป็นผมเองที่มีความคิดแย่ๆ
“อืม!งั้นพรุ่งนี้ไปหางานกัน!”
คงถึงเวลาเสียที...
การหางานให้ใหญ่นั้นไม่ง่ายเลย เพราะเขาไม่มีหลักฐานแสดงตัวตนสักอย่างไม่ว่าจะเป็นบัตรประชาชน ทะเบียนบ้านหรือบัตรต่างด้าวหากันจนเกือบจะถอดใจแต่สุดท้ายก็ได้งานเป็นเด็กยกของที่ร้านอาแปะใกล้คอนโดนี่เอง(เส้นผมบังภูเขาแท้ๆ!) เป็นร้านขายส่งจำพวกของชำผมถามถึงค่าจ้างอาแปะให้วันละ 150 บาท ทำงานตั้งแต่ตีห้าถึงสองทุ่ม (เวลาร้านเปิดปิด)คือเหนียวมาก เขี้ยวลากดินสุดๆผมไม่อยากให้ทำแต่ใหญ่บอกว่าเขาทำได้
หึ! เห็นไม่มีทางเลือกหน่อยกดราคากันเลยนะอาแปะ!!
เอาเถอะ ตอนแรกอาแปะจะไม่รับด้วยซ้ำเพราะอย่างที่บอกเขาไม่มีอะไรสักอย่าง แต่อย่าลืม!เขามีในสิ่งที่คนอื่นอยากจะมีแต่ลูกจ้างทั่วไปแทบไม่มี!! นั่นคือรูปร่างอันโดดเด่นกับหน้าตาหล่อลากไส้ แล้วจะรอดสายตาอาหมวยที่พุ่งหลาวตัดหน้าอาแปะแทบจะอัญเชิญเข้าทำงานหรือ บอกเลยไม่มีทาง! ใหญ่ทำหน้ากลืนไม่เข้าคลายไม่ออกผมเลยให้โอกาสเปลี่ยนใจ!
แต่เขาก็ไม่!
โดนชะนีจับกินเมื่อไหร่จะสมน้ำหน้าให้!!
*******วันนี้แวะมาลงให้2ตอนครับ ไม่ต้องเป็นกังวลน่ะครับมีจนจบครับ*****
ขอบคุณครับ ขอบคุณมากนะครับ{:5_130:} ขอบคุณครับ ขอบคุณมากเลยครับ ขอบคุณน้าา{:5_119:} ขอบคุณครับ ขอบคุณครับ {:5_136:}ขอบคุณครับ{:5_136:} ขอบคุณคนับ ขอบคุณครับ ขอบคุณครับ ขอบคุณครับ {:5_119:} รอนะค้าบบ น่าสงสาร ขอบคุณครับ ตามต่อ ขอบคุณครับ ขอบคุณครับ