รักเร่ร่อน...ของคนจรจัด 13 bymod-cup
เร่ร่อน13วันนี้เป็นวันเปิดร้านวันแรก
แบบว่า...ตื่นเต้นนนนนนน
ผมกวาดตามองไปรอบๆบริเวณร้านอย่างตื้นตันใจ รถเข็นสีฟ้าสดใสที่มีตู้กระจกวางตั้งอยู่ ภายในตู้มีเส้นก๋วยเตี๋ยวขนาดต่างๆทั้งเส้นเล็กเส้นใหญ่ หมี่ขาวหมี่เหลืองถาดใส่เนื้อสดเนื้อเปื่อยข้างกันมีถุงลูกชิ้นวางเบียดอยู่ ชิ้นหมูแดงหั่นเป็นชิ้นเรียวยาวแขวนห้อยกับตะขอดูน่ารับประทาน
ข้างๆกันในช่องกลมมีหม้อก๋วยเตี๋ยวไอควันสีขาวลอยวนรอบๆรอยปิดของฝาหม้อส่งกลิ่นหอมของน้ำซุป
เหนือขึ้นไปด้านบนมีป้ายพลาสติกสีขาวติดสติ๊กเกอร์สีน้ำเงินว่า‘กินเส้น’ แขวนเด่นอยู่
ถัดไปทางด้านขวาร่างสูงใหญ่ของนายหมาตูบกำลังกางโต๊ะพับหน้าเหล็กสีแดงเป็นแถวตอนสองแถว แถวละสี่ตัว ให้ผมที่ยืนพักเหนื่อยหิ้วเก้าอี้หัวโล้นสีเดียวกันไปจัดวางตามโต๊ะที่ถูกตั้งไว้แล้ว
“คุณเล็กไปทำงานเถอะเดี๋ยวสายนะ ที่เหลือผมทำเอง” ใหญ่ที่เสร็จจากการกางโต๊ะตัวสุดท้ายเดินมาแย่งเก้าอี้ก่อนบอก
“ก็อยากช่วย” ผมมุ่ยหน้าให้คนที่มาแย่งเก้าอี้ไปจากมือเพิ่งเจ็ดโมงสิบห้าเองเหลือเวลาอีกตั้งเยอะ!! ที่ทำงานผมขับรถสิบนาทีก็ถึง!
“เหลืออีกนิดก็เสร็จแล้ว เดี๋ยวผมทำต่อเอง คุณมาทานอาหารเช้าดีกว่าเดี๋ยวผมทำให้” ใหญ่จับไหล่สองข้างผมจากด้านหลังดันให้มานั่งบนเก้าอี้ก่อนจะเดินไปทำก๋วยเตี๋ยวกลิ่นหอมน้ำลายสอมาให้ผมหนึ่งชาม
“ว้าววว น่ากินจัง” ผมสูดลมหายใจให้สัมผัสกับความหอม แววตามองชามตรงหน้าอย่างวิบวับ เต้าหู้ไข่หั่นเป็นแว่นชิ้นหนากำลังดีวางเรียงอยู่บนเกี๊ยวกุ้งชิ้นพอดีคำกับหมูสับปั้นก้อนกลม ทุกอย่างลอยเด่นอยู่ในน้ำซุปสีชมพูอ่อนใส
“เกี๊ยวกุ้งเต้าหู้ไข่มื้อเช้าเบาๆท้อง” ใหญ่ทิ้งตัวลงนั่งเก้าอี้ตัวตรงข้ามก่อนส่งสายตาให้ผมลองชิม
ผมตักเกี๊ยวกุ้งและก้อนหมูสับขึ้นมาในช้อนเดียวกันส่งเข้าปากก่อนตามด้วยเต้าหู้ไข่และตบท้ายด้วยการซดน้ำซุปตาม
“อื้มมมม อร่อยอ่ะ ฉันไม่เคยรู้เลยนะว่ามีเมนูนี้ในโลกด้วย ทำเป็นเมนูแนะนำของร้านเลยมั้ยเหมาะเป็นอาหารเช้าอุ่นๆท้อง” ว่าแล้วก็ขออีกคำ
อื้มมมมม อร่อยยยยยย
“ผมไม่ได้ทำขายทำให้คุณทานคนเดียว”
กึก
ฟันกระทบกันช้อนดังกึกอย่างตกใจ...
ใหญ่ก็พูดด้วยน้ำเสียงธรรมดาแต่หัวใจไม่รักดีของผมดันกระตุกอย่างแรงจนน่าตกใจ
ทำให้ผมทานคนเดียวอย่างนั้นหรือ
จะเหมือนละครดังหลังข่าวที่เพิ่งจบไปหรือเปล่านะ...
...ขนมรสพิศุทธ์เพื่อกระรัตหญิงที่รักเพียงคนเดียว
...นี่ก็...เกี๊ยวรสปุญมนัสจากนายตี๋ใหญ่
ฉ่า!!
เพียงแค่คิดใบหน้าผมก็ร้อนฉ่าดั่งไฟลามทุ่ง งือบางทีผมก็มโนเพ้อพบเกินไป จนรู้สึกได้ถึงพลังงานบางอย่างที่แผ่ออกมาจากภายใน T^T
“คุณเล็กอิ่มแล้วเหรอ”
ผมคงตะลึงค้างนานเกินไป จึงกระพริบตาถี่หันหน้าไปมองใบหน้าคมก่อนส่ายหน้าหวือ
“ไม่ๆแค่รู้สึกเหมือนติดคอน่ะ แต่ตอนนี้ไม่เป็นไรแล้ว” จากนั้นผมก็จ้วงเกี๊ยวปุญมนัสเข้าปาก ค่อยๆเคี้ยวกรุบกรับรับสัมผัสอย่างละมุนทั่วถึง รู้สึกว่าคำนี้มันอร่อยกว่าที่เคย ต้องทานให้หมด! แม้แต่น้ำซุปผมก็จะไม่ให้เหลือ!
“ค่อยๆกินสิครับเลอะหมดแล้ว” ใหญ่ดึงทิชชู่จากม้วนส่งมาให้ผมยกถ้วยซดเป็นครั้งสุดท้าย เสียงก้นชามกระเบื้องกระทบโต๊ะเหล็กดังตึงสองมือยังประคองอยู่ข้างชาม แต่ใบหน้าหันข้างไปทางนายหมาตูบก่อนทำปากจู๋ ปรายตามองไปยังกระดาษชำระที่ยังคาในมือเขา
“คุณเล็ก...”
“เช็ดให้หน่อย น้าๆ ดูสิๆเลอะหมดเลย” ว่าแล้วก็ส่งลิ้นเลียไปรอบๆริมฝีปาก ใหญ่หลุดยิ้มกับความมากเล่ห์ของผม สุดท้ายก็ยอมยื่นมาเช็ดรอบริมฝีปากให้อย่างเบามือ
ผมอมยิ้มพร้อมทำปากจู๋ไปด้วยจนรู้สึกเมื่อยปากเหมือนใหญ่จะหมั่นไส้จนทนไม่ไหวจึงลงแรงบี้ทิชชู่ลงบนริมฝีปากผม
ส่วนผมหัวเราะอย่างอารมณ์ดี
ฮะๆ ผมน่ารักล่ะซี้!!
“ไปทำงานได้แล้วครับ” เสร็จแล้วเขาก็เอ่ยคำนี้ออกมาผมยกนาฬิกาข้อมือขึ้นดู เพิ่งจะเจ็ดโมงสี่สิบเอง
“เดี๋ยวสิ ถามก่อนๆทำไมน้ำซุปมันถึงมีสีชมพูใสๆอ่ะ” ความสงสัยน่ะส่วนหนึ่งที่เหลือคือต้องการถ่วงเวลาล้วนๆ
แล้วเหมือนใหญ่จะหลงกลซะด้วยเขาระบายยิ้มอ่อนก่อนอธิบาย
“ผมยีเต้าหู้ยี้ใส่ลงไปนิดนึงมันจะให้รสเค็มคนละอย่างกับน้ำปลา ให้กลิ่นหอมกว่าด้วย”
“อืม”
“ถ้าอย่างนั้นก็ไปทำงานได้แล้วครับสายแล้ว” บู่ววววว แกล้วหลงกลนี่หว่า ไปก็ได้ ชิ
“งั้นขอให้ขายดิบขายดี เที่ยงนี้จะแวะมาหานะ” เขาพยักหน้ารับ ผมเลยได้โอกาสยื่นมือตะปบไปยังแก้มทั้งสองข้างก่อนจ้องเขาด้วยสายตาดุ “อย่าเที่ยวไปมองลูกค้าสาวๆนะ”
“ฮะๆ”
“ใหญ่...เล็กซีเรียสนะ” ผมปั้นหน้าจริงจัง
“ผมจะไม่ทำอีกสัญญา”
“ต้องอย่างนี้สิน่ารักที่สุด”
จุ๊บ!!
“คุณเล็ก!!”
ผมยิ้มกว้างโน้มหน้าจูบลงบนมุมปากอย่างรวดเร็วก่อนถอนออก ใหญ่จับข้อมือทั้งสองข้างของผมดันออกอย่างตกใจ เค้นเรียกชื่อเสียงหนักพลางกวาดสายตามองซ้ายขวาอย่างเกรงว่าใครจะเห็น
“ฮ่าๆเที่ยงนี้เจอกันนะโชคดีน้าพ่อค้าหญ่ายยยย” ผมลอยหน้าลอยตาอวยพรอย่างอารมณ์ดีก่อนเดินผิวปากไปยังรถตัวเองที่จอดเทียบฟุตบาทอยู่
แหมะ นึกๆดูแล้ว เหมือนสามีภรรยากันเลยเนอะ ฮ้ามีความสุขจัง
ผมมาถึงที่ทำงานด้วยเวลาขีดเส้นตายพอดีนั่นคือแปดนาฬิกาตรงเด๊ะ ไม่ได้แวะเข้าไปดื่มกาแฟเดินตรงเข้าไปยังโต๊ะทำงานเลย ชะงักเท้าชั่ววินาทีเมื่อเห็นร่างของใครบางคนนั่งอยู่บนเก้าอี้อีกฝั่งของโต๊ะ ถอนหายใจเฮือกหนึ่งก่อนก้าวมุ่งตรงไป
“สวัสดีครับหัวหน้า” ผมนั่งลงบนเก้าอี้พลางยกมือไหว้ ในฐานะที่เขาเป็นหัวหน้าและอายุมากกว่าผม
“วันนี้มาสายนะครับคุณเล็ก” ผมขมวดคิ้วยกนาฬิกาข้อมือขึ้นดู
“ก็แปดโมงเช้าพอดีนี่ครับหรือว่าหัวหน้ามีงานด่วนจะให้ผมทำ”
“ก็ไม่ครับแต่...เรียกหัวหน้าแล้วฟังห่างเหินจัง”
“ก็หัวหน้าเป็นหัวหน้าผมจริงๆนี่ครับ”
“เฮ้อ คุณเล็กนี่ก็แอบดื้อเอาเรื่องอยู่นะ”
หลังๆมานี้ผมจะเรียกเขาว่า ‘หัวหน้า’ แทน‘คุณพชร’ เพื่อรักษาระยะห่างไว้เพียงหัวหน้ากับลูกน้อง แต่เหมือนคุณพชรจะไม่เข้าใจเอาเสียเลยมื้อเที่ยงถ้าผมเลี่ยงได้ก็จะเลี่ยง แต่ส่วนมากผมจะทนใจแข็งกับลูกตื้อของเขาไม่ได้นานสุดท้ายก็ยอมใจอ่อนไปทานมื้อเที่ยงกับเขาอยู่ดี เลยต้องใช้วิธีลากไอ้ปอนด์ไปด้วย แต่มันก็เป็นเพื่อนทรยศที่ไม่ค่อยให้ความร่วมมือ ยิ่งมารู้ว่าผมพาใหญ่กลับมาอยู่ด้วยกันมันยิ่งแทบจะเอาผมใส่พานถวายตัวให้คุณพชร
เฮ้อ เกิดมาเป็นปุญมันสนี่มันเหนื่อยใจเสียจริงๆ
ไหนจะต้องคอยเลี่ยงคนหนึ่งแล้วยังต้องหาทางเข้าหาอีกคน
“หัวหน้าเที่ยงนี้ผมขอตัวนะครับ พอดีมีธุระ” เพราะเที่ยงนี้ผมจะไปเป็นผู้ช่วยพ่อค้าใหญ่ทั้งในทางให้กำลังใจและกำลังกาย
“อ้าวงั้นเหรอครับ นานมั้ย ผมรอได้นะ”
“เอ่อก็นานอยู่ครับ คือ...ความจริงแล้ว...” บางทีผมควรจะใช้โอกาสนี้คุยกับหัวหน้าให้รู้เรื่องไปเลย
“...” หัวหน้านิ่งรอฟังอย่างตั้งใจ
“ผมคิดว่าจะไม่ไปทานมื้อเที่ยงกับหัวหน้าแล้วครับ ไม่ว่าวันนี้หรือวันไหน” ยิ่งพูดเสียงก็ยิ่งแผ่ว เอาล่ะหวา ก็ขอให้หัวหน้าเป็นคนแยกแยะออกไม่เอาเรื่องงานกับเรื่องส่วนตัวมารวมกันนะ ไม่งั้นมีหวังโดนเด้งกลับระยองไม่ทันแน่คนเล็กเอ๊ย
“คุณเล็กคงไม่ได้หมายถึงจะตัดความสัมพันธ์กับผมใช่มั้ยครับ” ใบหน้าหัวหน้าเปลี่ยนเป็นเคร่งเครียดขึ้นจากตอนแรกอย่างเห็นได้ชัด เอาแล้วไงคนเล็ก
“ถ้าหมายถึงเอ่อ ในทางพัฒนาไปเป็นแฟน ก็ใช่ครับ” ผมหลีกเลี่ยงคำว่าคนรักเพราะมันกระดากปากเกินจะพูด “ถ้าหัวหน้าไม่รังเกียจลูกน้องอย่างผม...เราก็เป็นเพื่อนกันได้นะครับ” ผมว่าต่อเมื่อบรรยากาศความกดดันเพิ่มสูงขึ้นจนมาคุเพื่อนร่วมงานคนอื่นๆ เริ่มเมียงมองมาอย่างสอดรู้ ผมขยับตัวอย่างอึดอัดทั้งที่ความจริงน่าจะชินได้แล้วเพราะทุกครั้งที่หัวหน้ามาหาที่โต๊ะทำงานก็เรียกสายตาสนใจใคร่รู้จากคนอื่นๆได้ทุกครั้งไป
“คุณเล็กมีคนอื่นแล้วเหรอครับ”
อึก เป็นคำถามที่จี้ตรงใจมากซึ่งผมก็คงทำได้แค่ตอบไปตามความจริง
“ครับ”
ทันทีที่ผมพยักหน้ารับความกดอากาศสูงก็แผ่ซ่านรอบตัวจนรู้สึกหายใจลำบาก เรามาคุยเรื่องพรรค์นี้กันในที่ทำงานมีสายตาพนักงานอีกเป็นสิบ ฮืออ ให้มันได้อย่างนี้สิ
ซึ่งถ้าว่ากันตามจริงแล้วคือเขาไม่ได้ผิดอะไร ไม่เคยล่วงเกิน แตะเนื้อต้องตัวหรือฉวยโอกาส มิหนำซ้ำยังเป็นสุภาพบุรุษและเฝ้ารออย่างอดทน
แย่ที่ตัวผมเองที่ไม่ปฏิเสธเขาอย่างเด็ดขาดทั้งที่ตัวเองก็รู้อยู่เต็มอกว่ารักใคร ให้โอกาสอย่างลมๆแล้งๆ บางทีความใจอ่อนขี้สงสารของผมก็ส่งผลเสียมากมายต่อความรู้สึกคนอื่นเหมือนกัน
ติ๊ดๆ
อีกฝ่ายจ้องมองผมนิ่งด้วยสายตาผิดหวังระคนน้อยใจก่อนถอนสายตาไปยังหน้าจอสี่เหลี่ยมที่ควักออกมาจากกระเป๋ากางเกงเมื่อมันส่งเสียงร้องเตือน เขากวาดตาอ่านเสี้ยววินาทีก็ถอนหายใจยาวออกมา
“ผมมีประชุมกับหัวหน้าสาขาใหญ่ต้องเข้ากรุงเทพฯด่วนกลับมาเราคงต้องคุยเรื่องนี้กันอีกทีเป็นการส่วนตัว”
ครืดดดด
แล้วเขาก็ลุกออกไปทันทีด้วยท่าทางหัวเสีย ไม่มีแม้คำล่ำลาเหมือนที่ผ่านมาในใจผมวูบโหวงอย่างเกรงกลัว เหวยยยยย ผมคงไม่ตกงานด้วยเรื่องนี้หรอกนะผมยังไม่อยากกลับระยองตอนนี้ หันไปเห็นพี่มิ่งที่ถึงแม้จะไม่ได้ยินเรื่องที่ผมคุยกับหัวหน้าแต่ก็คงสัมผัสได้ถึงบรรยากาศมาคุ จึงส่งยิ้มเจื่อนให้กำลังใจส่วนผมก็ยิ้มแหยๆกลับไป
เอาน่าคนเล็ก สู้ๆหน่อย
พอถึงเวลาพักเที่ยงผมก็รวบเก็บของบนโต๊ะเพื่อเตรียมตัวไปหาใหญ่ แต่ยังไม่ทันก้าวขาลงบันไดมาชั้นล่างพี่มิ่งก็วิ่งเข้ามากอดคอชวนไปทานข้าวเที่ยงด้วยกัน
“ผมมีธุระน่ะพี่”
“ธุระอะไรของมึง นานๆจะว่างจากคิวหัวหน้ากูอยากกินข้าวกับมึงจะแย่แล้ว เนี่ย ไอ้ปอนด์ก็ไปด้วยกัน” ผมเหลือบตามองไปด้านหลังพี่มิ่งก็เจอไอ้ปอนด์เดินตามมายักคิ้วกวนบาทาให้
“วันหลังๆ”
“โนวๆๆ วันนี้” ผมหรี่ตามองพี่มิ่งอย่างจับผิด ทุกทีไม่เห็นเป็นคนขี้เซ้าซี้แบบนี้นี่นา
“มีไรเปล่าพี่อยากถามผมเรื่องเมื่อเช้าอ่ะดิ” สะดุ้งเชียวนะแสดงว่าผมทายถูก
“ก็ไม่ได้จะก้าวก่ายนะเว้ยแต่ไอ้ปอนด์มันขอมา”
“เฮ้ยมาโยนกันได้ไงวะพี่” ไอ้ปอนด์ส่งเสียงโวยวายทันที
“อ้าวก็จริงนี่หว่า”
“พี่ก็อยากรู้เหมือนกันแหละ”
“กูไม่ได้อยากเจาะละเอียดเหมือนมึงแค่รู้ไว้ประดับหัวจะได้เดาอารมณ์หัวหน้าถูก กูต้องเข้าพบเขาทุกเช้านะเว้ย”
“นี่พี่...”
“พอๆทั้งคู่ไม่ต้องเถียงกัน ผมยอมแล้ว ดีเหมือนกันช่วยหาลูกค้าให้ใหญ่”
“นี่มึงจะพากูไปกินที่...”
“เออ เดี๋ยวแวะไปรับพิณด้วยพี่มิ่งเลี้ยงนะ”
“อ้าวซวยกูซะงั้น”
“ช่วยไม่ได้”
แล้วผมก็พลิกวิกฤติเป็นโอกาส อยากรู้กันนักก็พาไปหาเจ้าของหัวใจตัวจริงซะเลย แถมช่วยหาลูกค้าไปอุดหนุนพ่อค้ามือใหม่ได้อีกต่างหาก พวกเรามารถพี่มิ่งแวะรับพิณที่ธนาคารก่อนมายังร้าน‘กินเส้น’ ณ แอดติจูดที่สามสิบสองขอบหนองสมบุญ
“นี่มันแถวคอนโดมึงนี่”
“ใช่ดิพี่ จอดๆตรงนี้เลย” ผมชี้ไปยังช่องว่างริมฟุตบาท พี่มิ่งเลี้ยวพวงมาลัยรถเข้าจอด เมื่อรถจอดสนิทผมก็เปิดประตูลงจากรถควงแขนกับพิณเดินนำไปที่ร้านทันที
พิณค่อนข้างจะชื่นชอบใหญ่มากทีเดียว เหตุผลหลักคือหล่อเท่ระเบิดตรงสเปคนางทุกประการ ส่วนเหตุผลรองคือเป็นคนดีไม่ย่อท้อต่อสิ่งโชคร้ายที่เข้ามาในชีวิต เราสองคนเลยเป็นลูกคู่ที่ดีมากเวลาต้องไฟท์กับไอ้ปอนด์
อากาศตอนเที่ยงค่อนข้างร้อนถึงอย่างนั้นบริเวณร้านก็ยังมีร่มเงาจากต้นก้ามปูที่แผ่กิ่งก้านข้ามกำแพงมาจากด้านในของหนอง แต่ก็ยังมีไอร้อนของดวงอาทิตย์แผ่มาโดนผิวหนังให้แสบๆคันๆ
ผมพาทุกคนเดินเข้าไปนั่งลงที่โต๊ะตัวหนึ่งที่เมื่อเช้าผมกับใหญ่ช่วยกันจัด กวาดมองไปรอบร้านมีลูกค้านั่งอยู่สองโต๊ะแต่ละโต๊ะมาเป็นคู่ โต๊ะหนึ่งเป็นชายหญิงน่าจะเป็นแฟนกัน ส่วนอีกโต๊ะเป็นผู้หญิงทั้งคู่ซึ่งน่าจะเป็นเพื่อนกันส่วนโต๊ะผมมีสี่คน
เบนสายตามองไปยังพ่อค้าใหญ่ที่กำลังขะมักเขม้นกับการลวกเส้น เขาหันมายิ้มให้ผมแวบหนึ่งซึ่งผมก็โบกมือให้กำลังใจ ที่เลือกมานั่งโต๊ะไม่เข้าไปหาก็เพราะเห็นเขากำลังวุ่นวายอยู่ด้วยแหละ ไม่อยากกวน
กวาดตามองไปรอบร้านอีกครั้งแล้วอดจะยิ้มไม่ได้ ถึงลูกค้าจะไม่ได้แน่นขนัดดูเงียบๆด้วยซ้ำแต่ก็ถือว่าเป็นการเริ่มต้นที่ดี อย่างน้อยก็ยังมีลูกค้าล่ะน่า
“เล็ก...ใหญ่หล่อมากเลยเนอะท่ายืนลวกก๋วยเตี๋ยวยังเท่”พิณที่นั่งข้างผมสะกิดแขนยิกๆพลางทำหน้าเพ้อจนไอ้ปอนด์ต้องกระแอมเรียกสติ
“แฮ่มสามีนั่งอยู่ตรงนี้นะ”
“อุ่ย นิดหน่อยน่า” พิณทำเป็นแกล้งสะดุ้งเหมือนกลัว ผมขำในลำคอกับการรับส่งมุกของสามีภรรยา คบกันมาตั้งแต่ปีหนึ่งไอ้ปอนด์ก็ยังไม่เลิกหึงพิณสักที
ส่วนพี่มิ่งก็มองซ้ายมองขวาเหมือนหาใครอยู่จนผมอดถามไม่ได้
“มองไรพี่”
“หากล้องเขาถ่ายหนังกันหรอวะ แต่ไม่เห็นทีมงานสักคน”
“ถ่ายหนังอะไร”
“อ้าว ก็ไอ้พ่อค้าบะหมี่นั่นไง ออร่ามาขนาดนั้นช่างไม่เข้ากับเสื้อผ้าที่ใส่ พระเอกหนังแน่ๆผิวคล้ำไปหน่อย แต่ดูดีโคตร” ผมกับพิณระเบิดขำ ส่วนไอ้ปอนด์ทำหน้าปูเลี่ยนเหมือนจะอ้วกเสียให้ได้
“นั่นน่ะพ่อค้าตัวจริงเสียงจริงเลยค่ะ ญาติคนเล็กเขา” พี่มิ่งทำตาโตหันหน้ามาหาผมทันที
“จริงเหรอวะมึงมีญาติหล่อขนาดนี้” ผมยักไหล่
“ความจริงเรียก ‘ว่าที่แฟน’ จะดีกว่า”
“ห๊ะ!!” คราวนี้ตกใจยกกำลังสองยิ่งกว่าเดิมโดนสายตาประณามจากไอ้ปอนด์ด้วยแหละ มันคงอยากจะด่าว่าผมแรดเหลือกำลัง
“แฮ่ๆ” ผมก็เลยได้แต่ยิ้มแหยๆแล้วพระเอกของงานก็ได้เวลาออกโรง พ่อค้าในชุดกางเกงยีนตัดขาพอดีเข่ากับเสื้อกล้ามสีดำคล้องทับด้วยผ้ากันเปื้อนสีกรมเดินมาหยุดยังโต๊ะที่เรานั่งกันอยู่
“รับอะไรดีครับ” ใหญ่ถามด้วยใบหน้านิ่งเฉยจนผมหลุดขำกับลูกค้าคนอื่นทำหน้าแบบนี้มั้ยเนี่ย ลูกค้าคงคิดว่าเป็นพ่อค้ามาเฟียซะล่ะมั้ง
คงมีแต่ผมที่รู้ว่าเขาไม่ได้ตีหน้าโหดมันคือใบหน้าปกติทั่วไปของเขา
แต่ไม่ได้แล้วล่ะ ผมคงต้องเทรนให้เขาทำหน้ารับแขกมากกว่านี้ยิ้มนิดนะรับรองลูกค้าติดตรึม
“ขายดีมั้ยคะ” เป็นพิณที่เอ่ยทัก ใหญ่พยักหน้าก่อนตอบสองคนนี้พอคุ้นเคยกันอยู่
“พอได้ครับขอบคุณนะที่มาช่วยอุดหนุน”
“เล็กเขาชวนมาประเดิมร้านใหม่ไม่รู้ว่ารสชาติจะดีเหมือนหน้าตาพ่อค้าหรือเปล่าน้า”
“อะแฮ่ม” โอ้ย ขำไอ้ปอนด์ว่ะ
“งั้นสั่งมาเลย รับรองพ่อค้าคนนี้ฝีมือเด็ดทุกเมนู” ผมว่าเสียงหยอก พลางหยิบกระดาษกับปากกาที่เสียบไว้บนโต๊ะมาให้ทุกคนจดรายการ ใหญ่รับกระดาษมาก่อนเดินกลับไปที่รถเข็นพี่มิ่งก็เอ่ยปากทันที
“กูว่าละทำไมมึงไม่สนใจหัวหน้ากูเลย” ชิ ผมก็ไม่ได้ชอบใหญ่เพราะหน้าตาอย่างเดียวซะหน่อย
หงิง...หงิง... แฮกๆ
“ตี๋น้อย เป็นไงร้อนมั้ย” ผมหันไปตามเสียงครางหงิงก็เจอเข้ากับเจ้าตี๋น้อยนั่งลิ้นห้อยหอบแฮกๆอยู่ข้างเก้าอี้ที่ผมนั่ง มันคงเห็นผมและเข้ามาทักทาย ซึ่งพอผมลูบหัวมันก็เชิดหน้าขึ้นเล็กน้อยเหมือนมีความสุข ตอนนี้มันไม่ได้เป็นเจ้าหมาน้อยที่ผมอุ้มเล่นได้อีกต่อไปแล้ว กลายเป็นหมาสี่เดือนตัวใหญ่แถมฉลาดขึ้นด้วย
ทุกครั้งที่ขยับตัวกระดิ่งที่แขวนอยู่กับปลอกคอสีส้มของมันก็จะส่งเสียงกริ๊งๆ จำได้ว่าช่วงแรกที่ซื้อปลอกคอมาใส่ให้ มันพยายามใช้ขาหลังเพื่อถอดออกหรือไม่ก็เอาหัวตัวเองไถๆกับพื้นเหมือนรำคาญจนผิวหนังบริเวณคอถลอก ผมเกือบใจอ่อนถอดให้มันแล้วแต่ใหญ่บอกว่าไม่ เพราะที่ปลอกคอมีจี้สลักชื่อ-ที่อยู่พร้อมเบอร์โทรเผื่อว่ามันหลงทางคนที่เจอจะได้ส่งกลับบ้านถูก
ใหญ่พูดกับผมอย่างใจเย็นเมื่อผมน้ำตาคลอสงสารมันว่า ‘ถึงมันจะฉลาดแต่มันก็คือหมา พูดไม่ได้ขอความช่วยเหลือไม่เป็น คุณจะถอดปลอกคอมันผมไม่ว่าแต่นั่นคือมันต้องอยู่ในห้องนี้ ผมจะไม่เอามันไปด้วย’
แล้วผมจะเลือกทางไหนได้อีก ให้มันอยู่แต่ในห้องผมก็สงสารมัน มันตัวโตขึ้นกำลังอยู่ในวัยซุกซน ต้องการพื้นที่กว้างๆในการวิ่งเล่น ยังจำวันที่พามันไปวิ่งเล่นในสวนสาธารณะได้อยู่เลยมันวิ่งไปรอบๆหนอง ไล่นก วิ่งขึ้นลงสะพานมุดพุ่มไม้ เล่นกับสุนัขตัวอื่น ดูมีความสุขจนผมที่วิ่งออกกำลังกายอดจะยิ้มตามไม่ได้
เพราะอย่างนั้นผมเลยต้องใจแข็งให้มันชินกับปลอกคอที่ใส่เพื่อให้ใหญ่เอามันมาด้วยเวลาขายก๋วยเตี๋ยว
มันดูตื่นเต้นดีใจ เมื่อเช้าตอนผมกับใหญ่ช่วยกันเตรียมร้านมันก็วิ่งหายเข้าไปในประตูภายในหนอง ชั่วโมงกว่าๆถึงวิ่งหอบลิ้นห้อยกลับมายกขาหน้าข้างหนึ่งสะกิดขาใหญ่ยิกๆ เขาเขกหัวมันไปทีก่อนเทน้ำใส่ชามประจำตำแหน่งให้
นี่ก็คงไปหนีเที่ยวมาอีก
“ไอ้ตี๋ มานี่!” เจ้าตี๋น้อยหันตามเสียงเรียกของเจ้านายมัน หันกลับมาเอาขาหน้าข้างหนึ่งตีลงบนฝ่ามือผมสองทีก่อนวิ่งกระดิกหางดิ๊กๆไปนอนลงตรงที่นิ้วใหญ่ชี้ มันคือที่ว่างหลังรถเข็นตรงมุมเสาข้างกำแพง
“หมาเชี่ยไรวะฉลาดฉิบหาย” พี่มิ่งมองตามไปอย่างอึ้งๆ อยากจะบอกว่าไม่ใช่ใครจะไปสั่งมันก็ได้นะ ไม่ค่อยฟังหรอกต้องเจ้านายมันคนเดียวเท่านั้นแหละทีเดียวอยู่เลย อย่างผมบางทียังต้องพูดซ้ำหลายๆครั้ง
ผมลุกขึ้นไปช่วยใหญ่ยกชามมาเสิร์ฟแต่เขาไล่ผมให้มานั่งซึ่งแน่นอนผมไม่ฟัง
“ก็อยากช่วย”
“ไปนั่งพักเถอะครับเดี๋ยวคุณต้องกลับไปทำงานอีกนะ”
“ขายดีมั้ย” ผมหรือจะสนก็เปลี่ยนเรื่องกันไป
“ก็พอได้เมื่อเช้าเงียบๆ สายๆมาหน่อยก็เริ่มมีคนแต่ก็ไม่มากมาทีละคนสองคนอย่างที่คุณเห็นมีคุณนี่แหละโต๊ะที่มาเยอะสุดของวัน”
ผมยู่หน้า
“นึกว่าสาวๆจะมาต่อคิวซื้อซะอีก”
“หึๆ ไม่ใช่ในละครนะ”
“นั่นสิเนอะ”
ถ้าในละครมีพ่อค้าหล่อระเบิดมาเปิดร้านขนาดนี้สาวๆคงแห่กันมาซื้อต่อคิวกรี๊ดกร๊าดกันจนร้านแทบแตก แต่นี่คือชีวิตจริง ถึงผมจะแอบเห็นลูกค้าสาวๆแอบกระซิบกระซาบดี๊ด๊ากันถึงความหล่อของพ่อค้า แต่ก็นั่นแหละ...ร้านที่จะอยู่รอดได้จริงๆต้องพึ่งรสมือความสะอาด และราคาที่สมเหตุสมผลกับปริมาณ
เมื่อก๋วยเตี๋ยวสี่ชามมาเสิร์ฟผมก็กลับมานั่งทานที่โต๊ะ ระหว่างนั้นก็มีลูกค้ามาเพิ่มอีกหนึ่งคนเป็นลุงมีอายุคนหนึ่งซื้อสามถุงกลับไปทานที่บ้าน พี่มิ่งขอเบิ้ลสองพลางชมว่าอร่อยไม่ขาดปาก ส่วนไอ้ปอนด์ถึงจะยังไว้ท่าบ้างแต่ก็เห็นว่ามันซดน้ำซุปจนแทบไม่เหลือ จนผมกับพิณแอบลอบยิ้มกันสองคน
เหมือนทุกอย่างจะไปได้ด้วยดีแต่ทางที่ดีก็มักมีอุปสรรคเสมอ
เมื่อหลังเลิกงานผมมาช่วยงานที่ร้านช่วงเย็นลูกค้าหนาตาขึ้นกว่าเมื่อตอนเที่ยงเรียกได้ว่าถึงไม่แน่นร้านแต่มีเข้ามาเรื่อยๆ
แต่เรื่องมันอยู่ตรงนี้ต่างหาก
“ค่าที่อะไรกัน พวกเราเซ็นสัญญาว่าจ่ายเป็นรายเดือนนี่” ช่วงประมาณทุ่มนึงก็มีผู้ชายหน้าโหดสองคนขับรถมอเตอร์ไซค์มาจอดหน้าร้านพร้อมกับบอกว่ามาเก็บค่าที่รายวัน
รานวันแป๊ะแกสิ!! ดูก็รู้ว่าพวกทำกร่างไถเงิน
“นั่นมันก็ส่วนรายเดือนไม่เกี่ยวกัน ถ้าอยากอยู่อยากปลอดภัยมีคนคุ้มครองก็จ่ายมาซะวันละสองร้อย”
“สองร้อย! จะบ้าหรอขายก๋วยเตี๋ยวตั้งแปดชามกว่าจะได้สองร้อย อยู่ดีๆจะมาเอา ไอ้ความคุ้มครองอะไรนั่นเราไม่เอาหรอก” ผมโวยวาย ลูกค้าที่นั่งอยู่หันมามองจนผมต้องเบาเสียงลง แต่ก็ช้ากว่าพ่อคนตัวโตที่แทรกมาด้านหน้าและดันผมเข้าไปหลบข้างหลังเขา
“เฮ้ยถ้าไม่จ่ายก็ขายที่นี่ไม่ได้!!”
“มีสิทธิ์อะไรวะ” ผมตะโกนข้ามไหล่สูง ใหญ่หันมามองทำนองให้ผมเงียบก่อนหันไปทางไอ้บ้าสองคนนั่น
“สองร้อยใช่มั้ย”
“เออ”
ใหญ่พยักหน้าแล้วควักเงินจากกระเป๋าผ้ากันเปื้อนส่งให้พวกมัน
“ใหญ่!!”
“แค่นี้ก็หมดเรื่อง” มันตบแบงค์ร้อยสองใบลงบนมือแปะๆก่อนเดินออกไปด้วยใบหน้ากวนตีนมากผมโมโหจี๊ดๆจะไปเอาเงินคืนแต่ใหญ่ก็รั้งแขนไว้
“คุณ...เราต้องหากินแถวนี้อีกนานร้านกำลังไปได้ดีถ้ามีเรื่องตั้งแต่วันแรกลูกค้าคงไม่กล้าเข้ามากินอีก”
“แต่วันละสองร้อยเลยนะ!!”
“คิดซะว่าแลกกับความสบายใจของลูกค้า”
“ทำไมเราไม่แจ้งตำรวจล่ะ”
“คุณคิดว่าพวกมันมาป่าวประกาศเรียกค่าคุ้มครองขนาดนี้ตำรวจจะทำอะไรมันได้เหรอ เผลอๆมีคนใหญ่โตหนุนหลังด้วยซ้ำ คุณเล็กเชื่อผมนะ” ใหญ่จับมือผมขึ้นมาก่อนใช้มืออีกข้างลูบแผ่วอย่างปลอบโยนให้เย็นลง
ฮึ่ย!! แล้วผมจะทำยังไงได้ล่ะพ่อครัวใหญ่เขาตัดสินใจแล้วนิ!!
น่าเจ็บใจชะมัด!
สนุกครับขอบคุณ ขอบคุณมาก ขอบคุณครับ มีเสมอ กับการเรียกค่าคุ้มครอง สนุกมากเลยครับ ขอบคุณมากนะครับ{:5_130:} ลุ้นต่อไปๆ ขอบคุณครับ ขอบคุณมาก สนุกครับ เจอพวกเลว ขอบคุณครับ ขอบคุณครับ สู้ๆนะครับ ขอบคุณครับ สนุก น่าติดตาม ขอบคุณครับ ขอบคุณครับ ขอบคุณมากครับ ขอบคุณครับ ขอบคุณขอบคุณขอบคุณ