รักเร่ร่อน...ของคนจรจัด 14 bymod-cup
เร่ร่อน14ร้าน ‘กินเส้น’ ขายดิบขายดีขึ้นทุกวัน
ด้วยรสชาติที่ถูกปากทำให้ลูกค้าแวะเวียนกลับมาอุดหนุนตลอด บวกความหล่อเหลาของพ่อค้าและเจ้าหมาตาแต้มดำที่เป็นสัญลักษณ์ประจำร้านไปแล้ว แบบที่ไม่มีใครรู้หรอกว่าร้านกินเส้นอยู่ที่ไหน แต่ถ้าบอกว่าร้านคนหล่อริมหนองล่ะก็ถึงบางอ้อกันทุกคน
และแน่นอนว่าเมื่อลูกค้ามากขึ้นก็ต้องมีการเพิ่มโต๊ะ เพราะโต๊ะแปดตัวไม่เพียงพอเอาเสียเลย ยิ่งช่วงสองสามทุ่มคนจะแน่นมากต้องมายืนออรอจับจองเก้าอี้กัน คนที่รอได้ก็รอ รอไม่ไหวก็สั่งใส่ถุงกลับบ้าน บางคนหงุดหงิดกลับไปเฉยๆไม่ทานเอาดื้อๆเลยก็มี ดังนั้นเราเลยซื้อโต๊ะเพิ่มและจัดวางให้ติดๆกันจึงได้เพิ่มมาเป็นสิบหกตัว ถามว่าพอมั้ย ผมบอกเลยว่าไม่พอ แต่พื้นที่เรามีจำกัดเพิ่มมากไปกว่านี้ไม่ได้แล้ว
ผมเคยเสนอให้ใหญ่เช่าบล็อกเพิ่มอีกหนึ่งบล็อก แต่เขาไม่เอาบอกว่าไม่อยากเสียค่าเช่าไปมากกว่านี้แล้ว เพราะไม่ใช่แค่รายเดือนที่ต้องเสียเพิ่ม แต่มันหมายความว่าไอ้พวกเรียกค่าคุ้มครองก็ต้องเรียกร้องเพิ่มเช่นกัน คิดแล้วก็แค้นไอ้พวกปลิงดูดเลือดนี่จริงๆ ขอสาปส่งให้มันหมดไปจากสังคมสักทีเถอะ
เห็นใหญ่บอกว่าขอขายแบบนี้ไปก่อนเก็บเงินทุนได้สักก้อนค่อยไปเช่าตึกแถวคงจะคุ้มกว่าการเสียยับเสียย่อยซึ่งผมก็เห็นด้วยเอามากๆ
เห็นไอ้พวกเก็บค่าคุ้มครองทีไรก็อดโมโหไม่ได้ทุกที ผมจะเกลียดเอามากๆและก็ต่อต้านที่สุดคนประเภท...เหยียดคนจน...แบ่งชนชั้น...ตัดสินกันแค่ภายนอก...ดูถูกคนที่ด้อยกว่า...ขูดรีดคนทำมาหากิน แล้วให้ตายเถอะ!ผมไปที่ไหนก็ต้องเจอคนประเภทนี้ทุกที่ไป ให้มันได้อย่างนี้สิ!
พักเรื่องนี้ไว้ก่อนที่อารมณ์จะขึ้นสูงอีกครั้ง ทั้งที่ผมเป็นคนใจเย็น ถึงจะติดนิสัยเอาแต่ใจจากการเป็นลูกคนเล็กมาบ้างแต่ก็ไม่เคยโมโหเกรี้ยวกราดสักที แต่เรื่องนี้ยอมไม่ได้จริงๆ
เอาล่ะ พอๆ มาพูดถึงเรื่องดีๆกันบ้างดีกว่า
มีรายการอาหารมาขอถ่ายทำล่ะทุกท่านนนนนนนนนนนนน
ถึงจะไม่ใช่รายการอาหารโด่งดังขึ้นชื่อ เป็นแค่ช่วงๆหนึ่งของรายการที่ให้ผู้ชมทางบ้านส่งจดหมายมาแนะนำ แต่ผมก็ดีใจมากๆเลย ใหญ่ที่ถึงแม้จะหน้านิ่งๆไม่ค่อยแสดงอาการแต่ผมก็แอบเห็นว่าเขาตื่นเต้นไม่น้อย
“โอเคครับ เรียบร้อย...เดี๋ยวผมขอเมนูอร่อยที่ทางบ้านส่งมาทางรายการนะครับ แล้วถ้าทางร้านมีเมนูเด็ดอีกก็นำเสนอได้” หนึ่งในทีมงานที่เซ็ตฉากหามุมถ่ายทำเรียบร้อยแล้วหันมาแจงกับผมด้วยท่าทางเป็นงานแต่ใบหน้าก็ยังคงความเป็นมิตร ผมพยักหน้ารับคำอย่างแข็งขันเตรียมพร้อมนำไปถ่ายทอดให้พ่อครัวตัวจริง
“งั้นเดี๋ยวเริ่มถ่ายทำเลยนะครับ”
“ให้ทำตามปกติเลยใช่มั้ยครับ” ผมค่อนข้างเครียดกับเรื่องนี้จริงจัง เพราะถ้าให้มาพูดแนะนำส่วนผสมวิธีการทำนายตี๋ใหญ่ของผมล่มแน่ๆ นี่แค่เรื่องรายละเอียดต่างๆที่ทางรายการชี้แจงยังไปนั่งนิ่งอยู่กับเจ้าตี๋น้อยซะงั้น ต้องให้ผมเอาไปถ่ายทอดอีกที
แล้วก็ไม่มีทีมงานสักคนกล้าเข้าไปพูดคุยก็ทำหน้านิ่งเป็นยักษ์ปักหลั่นขนาดนั้นเขาก็กลัวโดนต่อยกันน่ะสิ!
ซึ่งผมก็เห็นใจทั้งสองฝ่าย...ทางทีมงานก็กลัวใบหน้าถมึงทึงไอ้ผมก็อยากจะบอกเหลือเกินว่านายตี๋ใหญ่ของผมแค่ตื่นเต้นก็เท่านั้น เฮ้อ
“ครับเราแค่ต้องการบรรยากาศของทางร้านและชิมเมนูที่ทางบ้านแนะนำกับเคล็ดลับความอร่อยนิดหน่อยไม่ลงลึกไปถึงวิธีการทำ”
เฮ้ออออ โล่ง ถ้าแค่นั้นคงไม่มีปัญหา
ดังนั้นผมจึงไปถ่ายทอดสิ่งที่เจ้าของร้านตัวจริงจะต้องทำ ซึ่งก็ไม่มีอะไรมากแค่ทำบะหมี่ตามปกติเดี๋ยวทางทีมงานจะตามเก็บภาพเอง หลังจากนั้นก็นำบะหมี่ไปเสิร์ฟกับพิธีกรรายการแล้วร่วมนั่งพูดคุย
ซึ่งทางรายการเลือกเวลาในการถ่ายทำตอนห้าโมงเย็นเป็นช่วงที่ลูกค้ายังมีไม่มากและเป็นช่วงแดดร่มลมตกให้บรรยากาศร่มสบาย
“ใหญ่พร้อมมั้ย” ผมถามพ่อค้าบะหมี่ที่หน้านิ่งมากคนภายนอกดูเหมือนไร้อารมณ์ แต่สำหรับผมใหญ่กำลังกดดัน
เขาพยักหน้า มือกำกระบวยลวกเส้นแน่น
“แค่ทำอย่างที่นายทำทุกวัน ไม่มีกล้อง ไม่มีทีมงานมีแค่นายกับลูกค้าที่รอชิมบะหมี่สุดแสนอร่อยอยู่” ผมบีบมือให้กำลังใจ ดวงตาคมเฉียบสบมองผมนิ่งก่อนระบายยิ้มบางออกมา
และพยักหน้า
ผมยิ้มและยื่นมือไปหยิกแก้มสากเบาๆอีกครั้งก่อนก้าวถอยหลังหลบมุมกล้องออกมา ใหญ่ยังยืนนิ่งจวบจนได้ยินเสียงสัญญาณจากทีมงาน ชายเจ้าของความสูงร้อยเก้าสิบห้าก็ตวัดมือหยิบจับเส้นลงกระบวยพลางจุ่มลงในหม้ออวลไอร้อนกระดกข้อมือสองสามทีก่อนยกขึ้นมาสะบัดไล่น้ำออกแล้วเทเส้นลงในชามกระเบื้องตราไก่ หลังจากนั้นก็เปลี่ยนมือเป็นหยิบจับเครื่องปรุงอย่างคล่องแคล่ว แล้วสุดท้ายก็จบด้วยตักน้ำซุปราดลงในชามที่ถูกจัดเรียงเครื่องต่างๆไว้อย่างน่าทาน
หลังจากกระบวนการทำเสร็จแล้ว ต่อมาก็ถึงเวลาที่ทุกคนรอคอยนั่นคือขั้นตอนการชิม ใหญ่ทำการแจกจ่ายให้ทีมงานทั้งหมดที่มีประมาณห้าคนและชามสุดท้ายก็เป็นของพิธีกร
หนึ่งตากล้องจับภาพ หนึ่งพิธีกรพูดเจื้อยแจ้วและตรงข้ามคือหนึ่งพ่อค้าบะหมี่สุดหล่อเลื่องชื่อ
ผมยังจำวินาทีที่ทุกคนตักบะหมี่ส่งเข้าปากได้ ถึงจะไม่ได้ทำหน้าตาอร่อยโอเว่อร์แอคติ้งเหมือนพิธีกรสาว แต่สีหน้าทุกคนก็ฉายแววพึงใจกับบะหมี่ร้าน ‘กินเส้น’ ไม่น้อยเลยทีเดียว
แล้วการถ่ายทำก็ผ่านไปด้วยดี ยังอดขำกับท่าทางพ่อค้าบะหมี่ใหญ่ไม่ได้ ให้สัมภาษณ์แบบถามคำตอบคำจนพิธีกรแทบลมจับ ดีที่ความหล่อแหลาของพ่อค้าช่วยขับให้เธอมีกำลังใจในการกู้สถานการณ์จนการถ่ายทำผ่านไปได้ด้วยดี
‘โหหน้าตาน่าทานมากเลยค่ะ ขอชิมเลยนะคะ’
ใหญ่ >>> พยักหน้า
‘อร่อยมากเลยค่ะหืม โดยเฉพาะน้ำซุปหอมมากเลย’
ใหญ่ >>> นิ่ง
‘เอิ่ม...ค่าไม่ทราบว่าคุณใหญ่มีเคล็ดลับอะไรที่ทำให้บะหมี่มีรสชาติอร่อยขนาดนี้คะ’
ใหญ่ >>> ‘น้ำหมัก...ครับ’
‘หืมน้ำหมักเหรอคะ หน้าตาเป็นยังไงเอ่ยยย’
ใหญ่ >>> เสือกถ้วยน้ำหมักให้ชิม
พอเถอะ แค่นี้ผมก็สงสารคุณพิธีกรสาวจะแย่ ฮ่าๆ
หลังจากทีมงานยกโขยงกลับไปหมด โดยแจ้งวันออกอากาศเทปนี้คือวันเสาร์หน้า พ่อค้าขายบะหมี่ของเราก็นั่งไหล่ลู่หูตกถอนหายใจเฮือกๆอยู่บนเก้าอี้หลังรถ เข็นข้างๆกันมีเจ้าตี๋น้อยนั่งมองตาแป๋วอย่างนึกสงสัยว่าเจ้านายมาดเข้มของมันเป็นอะไรไปเสียได้
“ว่าไงชายหนุ่ม” ผมเดินเข้าไปลูบศีรษะของนายหมาตูบที่นั่งคอตกอย่างขบขันปนสงสาร
“เฮ้อผมไม่เอาแบบนี้แล้วนะ” ว่าแล้วเจ้าตัวก็ถอนหายใจเฮือกอีกครั้ง
“ทำไมล่ะ ร้านนายจะยิ่งขายดีขึ้นนะ” มือสางเส้นผมดำสนิทลื่นมือเล่น เจ้าของหัวทุยเงยหน้าขึ้นสบตา สายตาคมเฉี่ยวบัดนี้ฉายแววหงอยมองผมอย่างร้องขอพลางส่ายหน้าอย่างเอาเป็นเอาตาย จนผมอดที่จะถามไม่ได้
“นายไม่ชอบมากขนาดนี้เลยเหรอ”
“เปล่า...ผมแค่...ไม่ชิน”
“บ่อยๆนายก็จะชินเอง”
“โธ่ คุณเล็ก”
“ฮ่าๆ โอเคๆ ต่อไปถ้ามีอีกฉันจะปฏิเสธให้นะ” ผมหัวเราะร่า วาดวงแขนรอบศีรษะของใหญ่กอดรัดเข้ามาซบอกแล้วโยกไปมา เราจะทำท่านี้กันได้ก็ต่อเมื่อเขานั่งและผมยืนเท่านั้น ถ้านั่งหรือยืนทั้งคู่หมดสิทธิ์เพราะผมจะกลายเป็นแกะน้อยในอ้อมอกหมีใหญ่ทันที
“คุณเล็ก ลูกค้ามา” แล้วผมก็ผละตัวเองออกทันทีพลางหันไปส่งยิ้มแก้เก้อให้คุณป้าวัยสี่สิบที่ยืนอยู่หน้าร้าน แกส่งยิ้มหยอกเย้ากลับมา ใหญ่ตีหน้านิ่งลุกขึ้นสวมผ้ากันเปื้อนแล้วเดินไปรับรายการตามป้าสั่ง
น่ารักจริงๆเลยน้านายหมาตูบเนี่ย
หลังจากรายการออกอากาศ นอกจากลูกค้าขาประจำที่เป็นคนแถวนี้จะเพิ่มขึ้นแล้ว ยังมีลูกค้าขาจรมาแวะเวียนเข้าร้านไม่ขาดสาย จนเราวางแพลนที่จะขยายร้านอย่างจริงจังช่วงนี้มีดูตึกแถวไว้บ้าง อยากได้แบบไม่ห่างจากที่เดิมสักเท่าไหร่นัก
และลูกค้าประจำที่ผมจำได้ติดตาคือเจ้าของร่างสูงไม่น่าเกินร้อยเจ็ดสิบ ผิวขาวจัดเนียนละเอียด โครงหน้าได้รูปดวงตากลมโตเป็นประกาย ปากบางเฉียบนิดจมูกหน่อย กริยาท่าทางเรียบร้อยเนิบนาบ ถ้าไม่นับการแต่งตัวและผมสีน้ำตาลแดงซอยสั้นใครๆต้องคิดว่าเขาเป็นผู้หญิงแน่ๆ ผู้หญิงที่สวยจัดซะด้วย
ทุกครั้งหลังเลิกงานผมจะมาเป็นลูกมือให้ใหญ่ ซึ่งนั่นก็ประมาณห้าโมงเย็น ไม่เกินหนึ่งชั่วโมงต่อจากนั้นผู้ชายหน้าสวยคนนี้ก็จะมานั่งตรงโต๊ะชิดกำแพงตัวหนึ่งพลางสั่งบะหมี่หนึ่งชาม ผ่านไปหนึ่งชั่วโมงเขาถึงจะกลับ
ช่วงแรกผมยอมรับว่าอคติกับเขาไปเสียหน่อย ก็ที่เห็น...บะหมี่เขาไม่ค่อยจะทานหรอกมองนายหมาตูบของผมซะมากกว่า แล้วไม่ใช่แค่เขาที่มอง...ใหญ่ก็เหลือบตามองบ่อยๆเหมือนกัน แล้วจะให้ผมไม่ร้อนรุ่มในใจได้ยังไงเล่า!!
แต่ใหญ่ก็มาอธิบายให้ผมฟังทีหลังว่าที่เขามองเพราะรู้สึกว่าโดนจ้องก็เท่านั้น แล้วเขาจะมีสายตาไว้มองใครได้ในเมื่อมีผมอยู่แล้วทั้งคน ซึ่งพูดจาดีผมเลยให้ผ่าน
ส่วนผู้ชายหน้าสวยคนนั้นผมก็มาเข้าใจทีหลังว่าที่เขาจ้องมองใหญ่คงเป็นเพราะรูปร่างท่าทางเหมือนแฟนของเขา เพราะทุกครั้งเมื่อผ่านไปหนึ่งชั่วโมงเป๊ะจะมีรถคันหรูมาจอดเทียบฟุตปาธก่อนจะมีชายรูปร่างสูงหล่อมารับกลับไป สันนิษฐานได้ว่ามานั่งทานบะหมี่คร่าเวลารอแฟนหนุ่มเลิกงาน ตั้งแต่นั้นผมเลยเลิกระแวงบ้าบออีก
“พี่เจมส์??” ผมเสิร์ฟชามลงบนโต๊ะ ในจังหวะที่จะยิ้มให้ลูกค้าก็ต้องร้องอุทานเมื่อเจอเข้ากับรุ่นพี่ที่สนิทสมัยมัธยมฯ เค้าหน้ารูปร่างเปลี่ยนไปบ้างแต่ผมมั่นใจว่าจำไม่ผิด
“อ้าว เล็ก” ใช่จริงๆด้วย ผมยิ้มกว้าง หันไปมองทางพ่อค้าหน้าหล่อก่อนหันกลับมาหาพี่เจมส์อีกครั้ง
“เดี๋ยวผมมาคุยด้วยนะพี่ ไปทำงานแป๊บ” พี่เจมส์พยักหน้ามึนๆผมรีบวิ่งกลับไปเสิร์ฟชามก๋วยเตี๋ยวตามโต๊ะต่างๆเมื่อมีช่วงว่างผมจึงกลับไปนั่งคุยกับพี่เจมส์
“พี่เจมส์มาทำไรที่นี่เนี่ย” ผมเลื่อนเก้าอี้มานั่งร่วมโต๊ะ
“พี่มาต่อยมวยน่ะ”
“อ้อ” ผมพยักหน้าเข้าใจจำได้ว่าพี่เจมส์เป็นนักมวยโรงเรียนตั้งแต่ ม.ต้น พอขึ้น ม.ปลายค่ายมวยก็ติดต่อไปเก็บตัวฝึกซ้อมทำให้ต้องย้ายโรงเรียน
นี่คงจะมาแข่งขันชกมวยจำได้ว่าที่หน้าค่ายจิรประวัติมีเวทีมวยอยู่
จะพูดก็พูดเถอะ ถ้าพี่เขาไม่ย้ายโรงเรียนเราสองคนก็คงเป็นแฟนกันไปแล้ว เพราะช่วงนั้นก็เกี้ยวกันไปเกี้ยวกันมาอยู่ แหะๆ
“แล้วเป็นไงชนะป่ะพี่”
“รุ่นไหนแล้ว” พี่เขายักคิ้วให้ ผมยิ้มกว้างอย่างยินดีด้วยพี่เจมส์ยิ้มตอบก่อนถาม “แล้วเล็กล่ะเป็นไงมาเสิร์ฟบะหมี่ล่ะเนี่ย”
ผมหันไปมองนายหมาตูบที่ง่วนอยู่หน้าร้านก่อนยิ้มออกมาอย่างมีความสุข
“มาช่วยแฟนน่ะพี่” ผมยิ้มเขินๆพี่เจมส์เลิกคิ้วก่อนหันไปมองตามสายตาที่ผมเพิ่งละมา
“โหมีแฟนหล่อมาก”
“พี่ก็!”
“หึๆ”
คุยสักพักพี่เจมส์ก็ขอตัวกลับไปพักผ่อนเพราะต้องนั่งรถตู้กลับกรุงเทพฯเลย ส่วนผมก็รีบกลับมาเป็นเด็กเสิร์ฟต่อ ยิ่งช่วงสองสามทุ่มเหมือนแข้งขาผมจะพันกันอยากจะมีสักยี่สิบมือ ฮือออ มีเสิร์ฟผิดโต๊ะด้วยแหละ ดูจากสายตาใหญ่แล้วเขาก็อยากจะมาช่วยแต่ตัวเองก็ยังละจากกระบวยไม่ได้เลย
เหนื่อยมั้ย ก็เหนื่อยนะแต่มันก็มีความสุขเมื่อนึกว่าชีวิตของใหญ่กำลังเติบโตแข็งแรงขึ้นเรื่อยๆ
สี่ทุ่ม ร้านปิดแล้ว....
ณ ตอนนี้เรากำลังช่วยกันเก็บร้าน...
ผมเก็บกวาด ใหญ่เก็บโต๊ะเก้าอี้
ผมเอาขยะไปทิ้ง ใหญ่เช็ดล้างตู้
และสุดท้ายเราก็มาช่วยกันล้างจาน ผมประจำกะละมังน้ำเปล่าส่วนเขาประจำกะละมังน้ำฟอง เก้าอี้ขาสั้นคนละตัว พื้นที่โดยรอบเงียบสงัดมีเพียงเสียงรถราที่วิ่งสวนไปมาเป็นระยะ
“คุณกลับไปพักผ่อนก่อนก็ได้นะทางนี้ผมจัดการได้” ใหญ่บอกขณะขัดหม้อ
“ช่วยกันน่าจะได้กลับบ้านพร้อมกัน” ผมล้างชามขึ้นคว่ำในตะกร้า
“แต่คุณทำงานมาทั้งวันยังต้องมาช่วยผมอีก แทนที่จะได้พักผ่อน”
“ฉันเต็มใจและมีความสุขมาก” ผมยิ้มแฉ่งกลบเกลื่อนความดื้อรั้น เอาเข้าจริงถึงกลับห้องไปก็นอนไม่หลับอยู่ดีต้องรอใหญ่กลับมาก่อนอยู่แล้ว
“คุณดื้อจริง” ถึงจะพูดอย่างนั้นแต่ใบหน้าคมนิ่งก็โน้มลงมาจรดริมฝีปากลงที่ข้างขมับผมอย่างอ่อนโยนผมยิ้มก่อนจะหอมแก้มใหญ่กลับไป
“แค่ได้รางวัลอย่างนี้ทุกวันฉันก็หายเหนื่อยแล้ว”
ติ๊ดๆ
‘ผมอยากคุยกับคุณพรุ่งนี้มาเจอกันหน่อยได้มั้ย’
ผมถอนหายใจเฮือกออกมาก่อนวางโทรศัพท์มือถือลงบนโต๊ะตามเดิม คงหลบหน้าคุณพชรต่อไปไม่ได้แล้ว นับแต่วันที่ปฏิเสธไปคราวนั้นก็ผ่านมาเกือบเดือน เห็นทีคงต้องคุยกันให้เป็นเรื่องเป็นราวเสียที
นี่ถ้าไม่ติดว่ามีโครงการใหม่เข้ามาทำให้หัวหน้าต้องเดินสายประชุมเป็นว่าเล่นจึงไม่มีเวลามาจัดการเรื่องส่วนตัวล่ะก็ ไม่อยากจะคิดเลยว่าตัวเองคงโดนเรียกตัวไปคุยตั้งนานแล้ว
“คุณเล็ก?? ยังไม่อาบน้ำอีกเหรอ” ใหญ่ที่นุ่งกางเกงขายาวเพียงตัวเดียวเดินมาขมวดคิ้วใส่ผมที่นั่งห่อเหี่ยวอยู่บนโซฟา จริงสิ ผมมายึดที่หลับที่นอนเขาไว้นี่นะ
“ใหญ่...” ผมเรียกชื่อเสียงอ่อนอ่อยลุกขึ้นเดินเข้าไปสวมกอดร่างสูงใหญ่ไว้โขลกศีรษะเข้ากับแผงอกหนั่นแน่นอย่างคิดไม่ตก
“เป็นอะไร” ใหญ่ถามเสียงนุ่ม มือสากลูบแผ่นหลังผมแผ่วเบา
จะทำยังไงดี ถ้าหัวหน้าไม่พอใจจนไล่ผมออกถ้าตกงานทางบ้านรู้เรื่องก็จะถูกหามกลับระยอง และถ้าผมต้องกลับบ้าน....แล้วผมกับใหญ่ล่ะม่ายยยยยยยยย
“นาย...”
“หืม”
“ฉันจะพยายามเพื่อเรานะ” ผมไม่ได้อธิบายอะไรไปมากกว่านั้นขณะที่ใหญ่ก็ไม่ถามอะไรเพิ่มเติม มีเพียงวงแขนผมที่รัดเอวเขาแน่นขึ้นและอ้อมแขนอุ่นหนาที่โอบรัดปลอบโยนกลับมา“หัวหน้า สวัสดีครับ” ผมเอ่ยทักบุคคลที่ใส่ชุดไพรเวทสบายๆด้วยกางเกงยีนขายาวเสื้อคอปก การแต่งตัวที่ค่อนข้างจะแปลกตาคงเพราะผมไม่เคยเจอหัวหน้าในวันหยุดมั้ง เขามานั่งรอผมอยู่ก่อนแล้ว
“นั่งสิ” ผมนั่งลงตรงข้าม เหลือบตามองบรรยากาศโดยรอบนิดหน่อยขณะขยับตัวอย่างอึดอัด ด้วยหนึ่งผมไม่ค่อยได้มานัดตามโรงแรมหรู(แน่ล่ะ ต่างจังหวัดแบบนี้จะมีโรงแรมหรูสักกี่ที่กัน) และสองเจ้าของนัดทำหน้าตาเคร่งขรึมจนผมหายใจลำบาก
“สั่งอะไรก่อนมั้ย”
“เอ่อตามแต่หัวหน้าเลยครับ”
“นอกเวลางานไม่ต้องเรียกผมว่าหัวหน้าก็ได้” ผมขยับตัวอย่างอึดอัดอีกครั้ง
“ผมชินเรียกหัวหน้าแล้วล่ะครับ” เขาจ้องมองผมนิ่งอย่างหยั่งเชิงก่อนจะถอนหายใจหนักอย่างยอมแพ้ในที่สุด
“ตามใจละกัน” หัวหน้าว่าแค่นั้นก่อนเรียกพนักงานมาสั่งอาหาร ตอนนี้เป็นเวลาบ่ายสองซึ่งผมเพิ่งทานอาหารฝีมือใหญ่ก่อนจะออกมายังไม่หิวเลย แต่หัวหน้าคงยังไม่มีอะไรตกถึงท้อง ตามมารยาทแล้วผมก็ควรจะทานเป็นเพื่อนเขา
“ตกลงคุณมีคนรักแล้วเหรอ” ผมแทบสำลักเม็ดข้าวตายอยู่ๆก็ถามโพล่งขึ้นมาขณะทานอาหารไม่ให้ตั้งตัวเลยสักนิด
“เอ่อจะว่าอย่างนั้นก็ได้ครับ”ผมวางช้อนลง
“แล้วคุณมาเอ่ยปากให้โอกาสผม??” หัวหน้ามีสีหน้าไม่พอใจขึ้นอย่างเห็นได้ชัดเอาแล้วไง
“ตอนนั้นเรายังไม่ได้คบกันน่ะครับ มีแต่ผมที่ชอบเขาข้างเดียวเอ่อ...อย่างที่คุณได้ยินผมชอบเขาก่อน” ผมเกาหัวเก้อๆ“ผมเลยอยากให้โอกาสคุณเพราะเข้าใจคนหัวอกเดียวกัน แต่สุดท้ายเมื่อรู้ตัวว่ายังไงก็เปลี่ยนใจไปจากเขาไม่ได้จึงมาบอกหัวหน้านี่แหละครับ”
ผมไม่ได้โกหกนะ ผมรีบมาบอกหัวหน้าแล้วแต่ช่วงแรกที่ปล่อยทิ้งไว้สักพักก็เพราะมันต้องเตรียมใจรับสิ่งที่จะเกิดขึ้นบ้างใช่มั้ยล่ะ
“ถ้าผมบอกว่าไม่ยอมแพ้ล่ะ” เอาแล้วไง ขอให้เป็นแค่การพูดลองใจทีเถอะ นายหมาตูบของผมเซ่อซ่ากว่าจะมาประมือกับผู้ชายที่ขึ้นเป็นผู้บริหารทั้งอายุยังน้อยนะ!
“แหะๆอย่าเลยครับ ผมว่าสักวันจะเจอคนที่ดีกว่าผมแน่ๆ”
“คุณรู้มั้ยว่าทำไมผมถึงประสบความสำเร็จได้เร็วนัก”
“ครับ??” อยู่ๆก็เปลี่ยนเรื่องให้ผมมึนงงไปหมดเริ่มจะตามไม่ค่อยทันแล้วนะ
“ผมมักจะมีเป้าหมายที่ชัดเจน เมื่อมีเป้าหมายก็ต้องรู้จักวางแผน แน่วแน่มั่นใจแล้วก้าวไปตามแพลนชีวิตที่ออกแบบไว้” เขายกน้ำขึ้นจิบก่อนวางลงแล้วพูดต่อ
ส่วนผมก็เสหลบสายตาจริงจังที่จ้องมองมา
“ผมไม่เคยมองอุปสรรคระหว่างการไปสู้เป้าหมายว่ายากเลยสักนิด ตรงข้ามมันกลับท้าทาย” ไม่รู้ทำไมรอยยิ้มมุมปากทำให้ผมรู้สึกประหม่าจนต้องยกแก้วน้ำส้มที่เหลืออยู่มากระดกดื่ม
“ถ้าเส้นทางไปสู่เป้าหมายไม่ได้เป็นไปตามแผนที่วางไว้ ผมก็แค่ปรับใหม่ บางอย่างถ้าใช้แต่ความถูกต้องแล้วมันไม่ใช่ก็ต้องมีพลิกแพลงกันบ้าง”
สองมือผมบีบเข้าหากันแน่น เหงื่อเริ่มผุดพรายเขาต้องการจะสื่ออะไรกับผมกันแน่นะ??
คราวนี้เขาประสานมือลงบนโต๊ะก่อนยื่นหน้าเข้ามาใกล้รอยยิ้มสุภาพที่มักปรากฏบนใบหน้าเขาจนชินตาบัดนี้มันกลับเต็มไปด้วยเล่ห์กล
“คุณว่ามั้ย เส้นทางที่ถูกต้องมันก็แค่คำสวยหรูที่ปั้นแต่งขึ้นมาเพื่อซื้อใจคนก็เท่านั้นแต่ความจริงแล้วมันเป็นหนามเล็กๆที่น่าหงุดหงิดรำคาญใจซะมากกว่า รู้มั้ยเพราะอะไร”
“พะ...เพราะอะไรครับ” ถึงในอกจะสั่นไหวเพียงใดแต่ผมก็พยายามข่มเสียงออกมาอย่างปกติที่สุด บางอย่างกำลังบอกว่าวันนี้เขาไม่ได้นัดผมเพื่อมาเคลียร์ปัญหาที่ค้างคาเพียงแค่นั้น
“เพราเส้นทางที่ถูกต้องมักไปถึงเป้าหมายช้าหรือไม่ก็ล้มเหลวคุณคงไม่คิดว่าผมมีอย่างทุกวันนี้ได้เพราะเส้นทางบ้าบอนี่ใช่มั้ย”
มุมปากแสยะยิ้ม ผมสะดุ้งเฮือก ความร้อนรุ่มแล่นพล่านในกาย เหงื่อเม็ดโตเริ่มผุดพรายทั่วใบหน้า ไม่ใช่...มันไม่ใช่เพราะปฏิกิริยาตอบสนองธรรมชาติของร่างกาย ยอมรับว่าตื่นกลัวแต่มันไม่มากขนาดที่ทำให้ผมควบคุมร่างกายตัวเองไม่ได้เช่นนี้ เหมือนถูกกระตุ้นด้วยสิ่งแปลกปลอมบางอย่าง แต่ยังไม่รู้ว่ามันคืออะไรด้วยซ้ำก็รู้สึกเบลอไปหมด
รู้ว่าถูกลากถูกชักจูงแต่ทำอะไรไม่ได้เลย...บังคับร่างกายตัวเองไม่ได้เลย....
ฟึ่บ!!
ร่างกายถูกโยนโครมลงบนเตียง ก่อนสองมือจะถูกรวบขึ้นเหนือหัวแล้วมัดไว้กับหัวเตียง ในใจผมเต้นรัวด้วยความตื่นกลัวกู่ร้องโหยหวน ทุกส่วนในร่างกายเหมือนไม่ใช่ตัวเองความรู้สึกเหมือนถูกผีอำ พยายามขยับก็ขยับไม่ได้จะเปล่งเสียงร้องลำคอก็เหมือนถูกบีบตีบตัน มีเพียงลูกตาที่สามารถกรอกไปมาได้เท่านั้น
โสตประสาทรับรู้ทุกอย่าง ตั้งแต่โดนพามาที่ลิฟท์เขาห้อง จนจบลงบนเตียง แต่ไม่สามารถบังคับร่างกายได้เลย
ไม่คิดเลยว่าคนที่กำลังกระทำสารเลวกับผมจะเป็นหัวหน้าที่เคารพนับถือมาโดยตลอด
“คุณเลือกเองนะ” เมื่อมัดมือผมติดกับหัวเตียงมันก็ขยับลงมานอนข้างผมตะแคงท้าวศอกลงบนเตียง มืออีกข้างลูบไล้มาบนใบหน้าผมอย่างแผ่วเบา...ชวนขนลุก
ผมส่งเสียงอื้ออึงในลำคอพลางจ้องใบหน้านั้นอย่างตื่นกลัวช่วยด้วย ใครก็ได้มาช่วยผมที
“ผมจริงจังกับคุณนะ คุณคือยอดดวงใจ คือรักแรกพบที่พาหัวใจผมสั่นไหว เพียงแค่คุณรับรักผมก็จะกลายเป็นคนที่โชคดีที่สุดในโลกผมจะดูแลคุณ ให้ความรัก เอาใจใส่...” มันพูดเสียงละเมอเพ้อพบขณะที่มือก็ไล้ไปตามใบหน้าลงมาลำคอก่อนลากไล้ปลายนิ้วมาปลดกระดุมเสื้อผมช้าๆแล้ววกกลับมายังใบหน้าอีกครั้ง
“แต่คุณก็ปฏิเสธมัน!!” น้ำเสียงเปลี่ยนเป็นแข็งกร้าวให้ผมสะท้านเฮือก ร่างที่นอนอยู่ผุดลุกขึ้นก่อนลงแรงบีบที่สันกรามจนความเจ็บปวดแล่นริ้ว แม้ร่างกายภายนอกที่นิ่งเฉยเริ่มสั่นเทิ้มอวัยวะภายในบีบรัดแน่นขัด“...ไปเลือกไอ้พ่อค้าขายบะหมี่ซมซ่อ!!”
เฮือก!!!มันรู้...มันรู้แล้ว...แสดงว่านัดผมมาเพื่อจัดการผมโดยเฉพาะ แล้วใหญ่ล่ะ!!มันจะทำอะไรใหญ่มั้ย...ไม่นะ!!
“แต่วางใจเถอะ...” น้ำเสียงมันกลับปรับโทนอ่อนนุ่มอีกครั้ง แต่ไม่ได้ทำให้ความกลัวในใจผมลดลงเลย “...ไม่ต้องกลัว...ผมรักคุณมากขนาดนี้จะทำร้ายคุณได้ยังไง...” มันล้วงเข้าไปในกระเป๋ากางเกงหยิบซองบางอย่างขึ้นมาก่อนจะเปิดปากถุงเทของในนั้นลงบนฝ่ามือ แล้วใช้นิ้วมืออีกข้างหยิบขึ้นมา...เป็นเม็ดสีขาว...เหมือนยา...ไม่รู้ว่ามันคืออะไรแต่ไม่ใช่เรื่องดีสำหรับผมแน่
“กินซะที่รัก...แล้วเราจะได้มีความสุขกัน” เม็ดยาถูกยัดลงเข้ามาระหว่างรอยแยกของริมฝีปาก ผมพยายามกัดฟันแต่เหมือนทุกอย่างจะไม่เป็นผลผมควบคุมมันไม่ได้ “กลืนซะ...อย่างนั้นแหละเด็กดี...”
ร่างกายผมกลืนเม็ดยาลงไปมันยกยิ้มพอใจก่อนค่อยๆปลดเสื้อผ้าตัวเองออกจนเหลือเพียงแค่ชั้นในอย่างไม่รีบร้อนเหมือนรอเวลา...
จากนั้นความสนใจก็หันเหมาที่ร่างกายผม ลงมือปลดเสื้อออก...ร่างกายรู้สึกถึงความร้อนรุ่ม...เมื่อกางเกงถูกดึงหลุด...ผิวเนื้อที่ถูกสัมผัสลูบไล้สะท้านเฮือกและเรียกร้อง...
แม้ในใจกู่ร้องรังเกียจหลีกหนี...แต่ร่างกายกลับเบียดรัดเข้าหาอย่างต้องการ
“เป็นไงที่รักเริ่มขยับตัวได้แล้วใช่มั้ย นั่นแหละ เดี๋ยวผมจะปลดข้อมือคุณนะเราจะได้สัมผัสกันและกัน....”
ไม่...ใครก็ได้หยุดผมที...ผมไม่ต้องการแบบนี้...ไม่อยากได้สัมผัสอันน่ารังเกียจนี้...
น้ำตาไหลอาบแก้มอย่างทุกข์ทม...แต่กลับเปล่งเสียงร้องครางอย่างสุขสมออกมา
กริ๊ก!!
โครม!!
ในขณะที่สองร่างกำลังซุกไซ้โรมรันเสียงทุบบางอย่างตามมาด้วยเสียงประตูที่เปิดออกกว้างกระทบผนังโดยแรง ร่างด้านบนลุกพรวดขึ้นแต่มือผมกับไขว่คว้าหาสัมผัสนั้นอย่างน่าสมเพช
“คุณเล็ก!!” เสียงเรียกดังกังวานอันคุ้นหูดึงให้ผมหันกลับไปมอง ดวงตาที่พร่าเลือนด้วยกามารมณ์สว่างขึ้นทันตา และวินาทีต่อมาก็ถูกบดบังด้วยทำนบเขื่อนน้ำตามากมาย
“ใหญ่...ใหญ่...ใหญ่” ผมส่งเสียงเรียกเขาไม่ขาดปากหัวใจอุ่นวาบอย่างรู้สึกปลอดภัย พยายามรวบรวมสติของตัวเองกลับมา
“มะมึง...เข้ามาได้ยังไง!!” เสียงตวาดกร้าวอย่างโมโห พร้อมนิ้วสั่นระริกด้วยความเกรี้ยวโกรธชี้ไปยังร่างสูงใหญ่ของผู้บุกรุกที่หน้าตาดุดันไม่ต่างกัน มองไปยังกลอนประตูก่อนเบิกตากว้างอย่างไม่เชื่อสายตา
ประตูตรงหน้าที่ถูกเปิดออกมีรอยโหว่ตรงส่วนลูกบิด เลื่อนสายตามาจึงพบว่าลูกบิดประตูพร้อมส่วนล็อกรูปทรงบิดเบี้ยวทั้งยวงหลุดคามือเจ้าของร่างสูงใหญ่ผิวเข้มตรงหน้า
เป็นไปไม่ได้...โรงแรมหรูแห่งนี้มีระบบรักษาความปลอดภัยที่ยอดเยี่ยม ทำไมถึงปล่อยไอ้ขี้คากแต่งตัวมอซอเข้ามาได้ และยังสามารถทำให้ประตูมีรอยโหว่จากการกระชากลูกบิดออก...เหมือนทำให้แหลกด้วยมือเปล่า...จะเป็นไปได้ยังไง
ร่างของนายพชรถอยกรูด ถึงมันจะตัวสูงใหญ่แต่ก็เทียบไม่ได้เลยกับร่างใหญ่โตตรงหน้า ผมข่มความร้อนรุ่มในกายแล้วเบิกตากว้าง ไม่...สายตาคมคู่นั้น...ว่างเปล่า...ลุกโชน...
ใหญ่ไม่พูดอะไรย่างสามขุมเข้าไปหานายพชร ผมกำลังจะเปล่งเสียงร้องเมื่ออีกฝ่ายคว้าปืนจากในลิ้นชักออกมาแต่ก็ช้ากว่าใหญ่ที่สะบัดมือออกไปทีเดียวปืนก็หลุดออกลอยขึ้นไปในอากาศและตกลงมาอยู่ในความครอบครองของเขา
“กะแก...” มันเบิ่งตาโตอย่างตกใจก่อนร่างกายจะเริ่มสั่นเทิ้มและลนลานอย่างเห็นได้ชัด“กูจะเรียก รปภ. จะแจ้งตำรวจ!!”
ปัก!!
เหมือนใหญ่ไม่รับรู้อะไรแล้ว เขาใช้สันปืนตบลงไปบนขมับฝ่ายตรงข้ามจนล้มลงยกปืนขึ้น แต่ไม่!!...ใหญ่ไม่ได้เหนี่ยวไก กลับคุกเข่าข้างหนึ่งลงบนพื้นเพื่อนั่งลงตรงหน้าร่างที่ถดตัวหนีไปด้านหลังทุบกำปั้นเข้าตรงลิ้นปี่จนมันร้องอั่กก่อนแน่นิ่งไป โยนปืนขึ้นมาบนเตียง คว้าจับข้อมือก่อนกดลงบนพื้นบังคับฝ่ามือนั้นให้แบออกนาบขนานกับพื้นไม้แล้วใช้กำปั้นของตัวเองทุบลงไปบนนิ้วอีกฝ่ายโดยแรง ผมได้ยิน...ได้ยินเหมือนเสียงกระดูกแตก
“อ๊ากกกกกกกกกกกก”
แล้วใหญ่ก็ทุบเช่นนั้นกับทุกนิ้ว...ทีละนิ้ว...ผมตัวสั่นเทิ้มเมื่อได้ยินเสียงกระดูกแตกหักสลับเสียงร้องครวญครางอย่างเจ็บปวด เมื่อครบเขาก็ละไปยังมืออีกข้างแล้วก็เริ่มทุบ...
“อ๊ากกกกกกกกกก”
“พอ...ใหญ่พอแล้ว...” ผมเปล่งเสียงสั่นเทิ้ม แต่เหมือนเขาไม่ได้ยิน...จดจ่ออยู่กับร่างกายที่ดิ้นทุรายตรงหน้าด้วยสายตาว่างเปล่าแข็งกร้าว
หลังครบนิ้วทั้งสิบ เขาก็เริ่มจัดการตามข้อต่อสำคัญๆของร่างกาย เริ่มด้วยข้อศอกเขาใช้มือทั้งสองข้างหักมันไปอีกด้านอย่างฝืนธรรมชาติจนมันผิดรูปร่าง ทำให้ผมนึกถึงตอนเด็กๆที่หักตะเกียบเล่น
“อ๊ากกกกก พอ!! ปล่อยฉัน ขอร้อง ใครก็ได้ ช่วยที อ๊าก!!” ร่างที่ถูกกระทำขอร้องด้วยใบหน้าบิดเบี้ยวเจ็บปวด หว่างขามีน้ำเหลวใสไหลออกมา
ไม่!!ผมจะปล่อยให้เขาทำร้ายคนอื่นมากไปกว่านี้ไม่ได้แล้ว
“ไม่...พอ...หยุดเถอะ...ขอร้อง หยุดนะ” ผมเพิ่มเสียงพลางตะกายร่างไปเพื่อรั้งเขาไว้แต่เหมือนจะไม่ได้ผล ใหญ่หลุดไปอีกโลกที่ผมเข้าไม่ถึง
“หยุดซะ”
กึก
มือที่กำลังจะจัดการกับขาทั้งสองข้างนิ่งชะงัก ผมหันกลับไปมองเจ้าของเสียงก็เจอเข้ากับชายหนุ่มหน้าสวยลูกค้าประจำของร้าน เขามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร ใหญ่นิ่งงัน หยุดชะงัก ก่อนลุกขึ้น...เหมือนสติเขากลับมาแล้ว แววตาว่างเปล่าดุดันกลับมาสะท้อนเงาเหมือนอย่างเคย
ก่อนจะไหววูบเมื่อเห็นผม “คุณเล็ก...” น้ำเสียงนุ่มทุ้มเอ่ยอย่างสะท้อนใจก่อนเดินเข้ามาใช้ผ้าคลุมร่างผมไว้แล้วช้อนอุ้มขึ้น
ผมซกลงบนอกอุ่นอย่างโหยหาในจังหวะที่ก้าวผ่านชายร่างสวย เจ้าของเสียงนุ่มหวานก็เอ่ยขึ้น “ไปพักห้องผมก่อนเถอะอยู่ข้างๆนี่เอง”
ผมจ้องมองเขาอย่างฉงนสงสัย และเหมือนเขาจะรู้ตัว
“ผมได้ยินเสียงโครมครามเลยมาดูก็เท่านั้นไปเถอะ”
ใหญ่เดินตามเสียงนั้นไปอย่างว่าง่าย ผมไม่ได้สนใจเรื่องนั้นหรอก สิ่งที่ผมไม่เข้าใจคือทำไม...เพียงแค่เขาใช้เสียงนุ่มหวานโทนปกติไม่ได้ดังไปกว่าเสียงของผม แต่ทำไมเมื่อเป็นเขาร้องห้าม...ใหญ่ถึงหยุด...เพียงแค่เสียงแว่วหวานก็ทำให้เขารู้สึกตัวขึ้นมา
ทำไมกัน...
“พาเขาเข้าไปในห้องน้าน่าจะช่วยได้”
“ขอบคุณ เดี๋ยวผมจัดการต่อเอง” ชายหน้าสวยพยักหน้าก่อนเดินออกไปด้านนอกและช่วยปิดประตูให้ ตอนนี้จึงเหลือแค่ใหญ่ที่วางผมลงในอ่างอาบน้ำ...และผมที่ความร้อนรุ่มกลับมาครอบงำอีกครั้ง
“ใหญ่ช่วยฉัน...ช่วยฉันหน่อย” พอเป็นใหญ่ผมก็ไม่คิดจะกักเก็บความทรมานอีกแล้ว กระโจนตัวลุกขึ้นเข้าเรียกร้องสัมผัสเขาจูบตอบผมกลับมาลิ้นที่เกี่ยวพันเรียกให้รู้สึกต้องการจนต้องเลื้อยมือเข้าไปช่วยปลดเปลื้องเสื้อผ้าของเขา
แต่ใหญ่ก็รั้งผมออกก่อนกดร่างลงแช่ในน้ำเย็นๆ
“ใหญ่...” ผมมองด้วยแววตาเว้าวอน เขาตรึงผมไว้แน่นจนไม่อาจขยับตัวเข้าหา
“คุณเล็กอดทนนะ อีกเดี๋ยวก็จะทรมานน้อยลงแล้ว น้ำเย็นๆจะช่วยคุณให้ดีขึ้น”
“ไม่ใหญ่...ฉันทรมาน...สัมผัสฉันนะ...นะ” มือผมพยายามไขว่คว้าเกี่ยวรั้งแต่ก็ถูกผลักดันกดลงในอ่างน้ำเย็นมากขึ้น
“คุณเล็กฟังผม...เพียงคุณอดทนและผ่านมันไปได้หลังจากนี้ถ้าคุณยังต้องการที่จะให้ผมกอด...ผมก็จะกอดคุณ...”
เพียงเท่านี้ก็ทำให้ผมสงบนิ่งได้มากขึ้นกัดริมฝีปากแน่นอย่างข่มกลั้น ภายในใจกลับเต็มตื้นด้วยความตื้นตัน
.สนุกครับขอบคุณ โดยยาอะไรเข้าไปนี่ ขอบคุณครับ สนุกมากเลยครับ ขอบคุณมากนะครับ{:5_130:} ขอบคุณครับ หัวหน้า..ไม่น่าเลย ขอบคุณครับ{:5_119:} สนุกครับ น่าติดตาม ขอบคุณครับ ขอบคุณครับ ขอบคุณครับ ขอบคุณครับ ชอบมาก สนุกมากครับ รออ่านตอนต่อไป มาเร็วๆน่ะ สนุก ตื่นเต้น ขอบคุณครับ ขอบคุณครับ ขอบคุณมากครับ ขอบคุณขอบคุณขอบคุณ