รักเร่ร่อน...ของคนจรจัด 15 bymod-cup
เร่ร่อน15แสงแดดอ่อนยามเช้าส่องลอดผ้าม่านเข้ามาให้ผมที่นอนอยู่บนเตียงมุดหน้าลงบนหมอนใบนุ่มเพื่อหนีแสงที่แยงเข้าตา...
พอปรับสายตาสลัดความงัวเงียได้ก็รู้สึกปวดหัวจี๊ดจนต้องยกมือขึ้นกุมขมับ
ปวดมาก ปวดหนักๆปวดถ่วงๆ
ผมค่อยๆพลิกตัวมาอีกด้าน หน้าเหยเกเมื่อรู้สึกถึงความเมื่อยขบตามร่างกาย ก่อนนอนนิ่งมองที่ว่างข้างเตียง ยื่นมือลงไปสัมผัสไล้ปลายนิ้วเบาๆ ความเย็นของเตียงบอกให้รู้ว่าอีกคนได้ลุกออกไปสักพักแล้ว
รอยยิ้มจุดขึ้นบนใบหน้าซีดเซียว...
แม้ในเวลาร้ายๆก็ยังมีเรื่องดีๆเกิดขึ้น
เมื่อคืนกว่าผมจะขึ้นจากอ่างเวลาก็ผ่านไปนานเท่าไหร่ก็จำไม่ได้ รู้แค่ว่าความร้อนในกายทุเลาแทนที่ด้วยความหนาวเย็นจนตัวสั่นปลายนิ้วชาดิก นั่นล่ะ ใหญ่ถึงอุ้มผมขึ้นมาก่อนจับถอดเสื้อผ้าที่เปียกออกแล้วหุ้มด้วยผ้าขนหนูผืนนุ่มหลังจากนั้นจึงอุ้มผมออกมาวางลงบนโซฟาด้านนอก รับเสื้อผ้าจากชายหน้าสวยและสวมใส่ให้อย่างเบามือ
ถึงจะยังเบลอๆสติไม่ครบถ้วนแต่ผมก็จำสัมผัสอ่อนโยนการดูแลทะนุถนอมนั้นได้ดี...
ต่อมาใหญ่ก็พาผมขึ้นขี่หลังแบกผมขึ้นรถนิสสันมาร์ชสีขาวที่จอดทิ้งร้างไว้หลายชั่วโมงและพากลับมายังห้องของเรา
เขาหายาแก้ปวดหัวมาให้ทานแล้วป้อนน้ำอุ่นๆรสชาติแปลกๆให้ผมดื่มจากนั้นก็รู้สึกโล่งศีรษะ ร่างกายเบาโหวง แล้วก็ค่อยๆเคลิ้มหลับไป
ก่อนสติทุกอย่างจะดับมืด ผมไขว่คว้ามือของคนตัวโตไว้ ร้องขอด้วยเสียงเบาหวิวให้เขาอยู่ด้วยกัน...กอดผมไว้...ให้ความอบอุ่น...ให้รู้สึกปลอดภัย...
...วินาทีต่อมา...ในห้วงความฝันที่ล่องลอยผมก็รู้สึกถึงอ้อมกอดอบอุ่นแข็งแรงที่โอบรัดรอบกายให้นอนหลับฝันดี...
แอ๊ด
ผมหันไปมองทางประตูที่เปิดออกเป็นนายหมาตูบตัวใหญ่ในชุดกางเกงขายาวสีเทาเสื้อไม่ใส่เดินถือถาดเข้ามา
“ตื่นแล้วเหรอ ผมทำข้าวต้มมาให้” ใหญ่วางถาดไว้บนโต๊ะข้างเตียงก่อนฟุบนั่งบนเตียงค่อยๆจับผมนอนหงายแล้วกวาดตาสำรวจทั่วใบหน้า “หน้ายังซีดอยู่เลย ปวดหัวมั้ย” เขาถามเสียงนุ่ม
“อืม ปวดหัว” ผมว่าเสียงอ้อน จับมือใหญ่ให้แตะลงบนหน้าผาก “ปวดมากเลย...”
“งั้นกินข้าวนะจะได้กินยา” ผมยู่หน้า ต่อรอง
“อาบน้ำก่อนได้มั้ย”
“...”
“อยากอาบน้ำ แปรงฟัน ล้างหน้ามันรู้สึกเหนียวตัวแปลกๆ...สกปรกด้วย” ท้ายประโยคว่าเสียงสั่น เมื่อนึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้นร่างกายผมก็เสียววูบด้วยความหวาดกลัวและรังเกียจ
“ก็ได้” ใหญ่ช่วยเลิกผ้าห่มขึ้นและประคองผมลุกนั่ง “เดินไหวมั้ย”
ผมช้อนตาขึ้นมองพลางส่ายหัว “ไม่ไหว...”
สายตาคมกริบหรี่มอง ชั่ววินาทีเหมือนมีประกายตารู้ทันแต่สุดท้ายก็เลือนหายเหลือเพียงแววตาเอื้อเอ็นดู ก่อนที่วงแขนแกร่งจะช้อนอุ้มร่างเข้าสู่อ้อมแขนให้ผมยกมือกอดหมับเข้าที่ลำคออีกฝ่าย
ใหญ่อุ้มผมเข้ามาในห้องน้ำแทรกผ่านกระจกฝ้าที่กั้นโซนอาบน้ำเอาไว้ก่อนค่อยๆวางผมลงให้ยืนด้วยสองขาตัวเอง
“อาบเสร็จแล้วเรียกผมนะ” ใหญ่เดินไปหยิบเสื้อคลุมและผ้าขนหนูสีขาวมาวางไว้ให้แล้วทำท่าจะเดินออกไป
หมับ
ผมรั้งแขนเขาไว้
“อาบให้หน่อยสิ”
“...!!” ดวงตาคมเบิกกว้างผมจึงคว้าจับเข้าที่ชายเสื้อแล้วโขลกศีรษะลงบนแผงอกเปลือย ท่าประจำเวลาอ้อน
“นะๆ ฉันปวดหัว ร่างกายก็ไม่ค่อยมีแรง อาบเองลื่นหัวฟาดพื้นจะทำไง” อ้อนๆ ผมอ้อนไม่หยุด ใหญ่ยกมือจับเอวผมสีหน้าครุ่นคิด แต่สุดท้ายก็พยักหน้าตกลงให้ผมยิ้มกว้าง
มือหนาค่อยๆช่วยผมถอดเสื้อผ้าจนเหลือเพียงชั้นในสีขาว ก่อนจับไปยืนใต้ฝักบัวหมุนเปิดให้น้ำไหลผ่านร่างกาย สบู่เหลวถูกบีบลงบนฝ่ามือหนาแล้วนำมาลูบไล้ทั่วร่างกายส่วนบนจนเกิดฟอง ตุ่มไตหนาจากการทำงานหนักบนฝ่ามือหยาบกร้านที่ปะป่ายไปทั่วร่างกายให้ความรู้สึกจักจี้อย่างประหลาด ให้ตายเถอะ!! ถึงผมจะใจกล้าขอให้เขาอาบน้ำให้แต่ใช่ว่าจะไม่รู้สึกอายนะ งือไม่กล้ามองหน้าใหญ่เลยอ่ะก้มหน้าต่ำอย่างเดียว
ในขณะที่คิดว่าใหญ่จะเคอะเขินอย่างผมบ้างหรือเปล่าจึงเหลือบตาขึ้นดู แต่ก็ไม่เลย...เขามีสีหน้าท่าทางปกติมากเหมือนกับพ่อแม่จับลูกอาบน้ำยังไงยังงั้น หรือว่าเขาจะเคยอาบน้ำให้คนอื่นอย่างที่ทำให้ผมไม่นะ T^T
“เอาล่ะ เสร็จแล้ว เดี๋ยวผมจะสระผมให้ คุณก็ล้างตรงนั้นนะ” เมื่อเขาลงนั่งถูกสบู่ที่ช่วงขาและเท้าให้เสร็จก็จับผมหมุนหันหลังแล้วชโลมยาสระลงบนศีรษะก่อนนวดให้อย่างเบามือ ส่วนผมก็บีบสบู่เหลวถูกับฝ่ามือให้เกิดฟองแล้วล้วงเข้าไปในกางเกงในเพื่อล้างส่วนสำคัญ
แอบเห็นว่าใหญ่ชำเลืองมองไปบนฝ้าเพดานสุภาพบุรุษจริงเชียวพ่อคนเนี้ย
เมื่อล้างฟองสบู่ออกหมดเขาก็เอาผ้าขนหนูมาพันตัวผมไว้เป็นมัมมี่ก่อนอุ้มท่าเหมือนอุ้มเด็กเดินเอาผมไปวางบนแท่นอ่างล้างหน้า เช็ดตัวผลัดเปลี่ยนเป็นใส่เสื้อคลุมอาบน้ำและบีบยาสีฟันให้ผมแปรงฟันส่วนเขาก็ใช้ผ้าขนหนูผืนเล็กเช็ดผมให้
“อิ๋วแอ๊ว(หิวแล้ว)” ผมบอกขณะกำลังถูแปรงที่ฟันหน้าใหญ่ใช้ผ้าเช็ดใบหูให้เบาๆชำเลืองมามองก่อนหยิบแก้วน้ำเปล่ายื่นให้บ้วนปาก
“เดี๋ยวก็ได้กินแล้วรีบเร็ว” ใช้เสียงเหมือนหลอกล่อเด็กแบบนี้คิดว่าผมเป็นเด็กน้อยจริงๆใช่มั้ยเนี่ย!!
หลังจากขั้นตอนชำระคราบไคลเสร็จสิ้นเขาก็อุ้มผมวางลงบนเตียง นำเสื้อผ้ามาให้เปลี่ยนส่วนตัวเองก็ออกไปเปลี่ยนกางเกงที่เปียกชื้น แล้วก็เช้ามาเฝ้าผมทานข้าวต่อ
“นี่อะไรเหรอ” ผมมองไปยังน้ำสีชาในแก้วที่เขาให้ผมดื่มแทนน้ำเปล่ารสชาติมันแปลกๆจะว่าขมก็ไม่ขมจะว่าหวานก็ไม่หวาน รสชาติก้ำกึ่งๆ
“ชาสมุนไพรจะช่วยขับของเสียในร่างกายและช่วยให้สดชื่นขึ้นด้วย”
“ง่วงด้วย” ผมสวน ซึ่งใหญ่ก็ยิ้มมุมปากส่งมือมาลูบศีรษะเบาๆ
“เชื่อสิตื่นมาอีกทีคราวนี้คุณจะหายเป็นปลิดทิ้งเลยล่ะ” ผมมองเขาอย่างเคืองๆแน่สิให้นอนทั้งวันทั้งคืนแบบนี้ไม่หายจะว่ายังไงไหว
“นายต้องนอนกับฉันนะ” ไหนๆวันนี้เขาก็ลงทุนปิดร้านเพื่ออยู่เป็นเพื่อนผมแล้วก็ต้องอ้อนให้คุ้ม
“เป็นหมอนข้างให้เลย” ผมยิ้มกว้างกับคำตอบก่อนรับยาที่ส่งมาให้อย่างว่าง่ายและกลั้นใจดื่มน้ำสีชาจนหมดแก้ว
เมื่อมื้อเช้าผ่านไปเขาก็จับผมลงนอนก่อนล้มตัวลงกอดผมไว้ แขนข้างหนึ่งสอดรองใต้คออีกข้างพาดผ่านเอวแล้วใช้ฝ่ามือลูบหลังผมแผ่วเบา
“ใหญ่...” ผมซุกหน้าลงกับอกอุ่น
“หืม...นอนได้แล้ว”
“เมื่อวานนายรู้ได้ยังไงเหรอว่าฉันอยู่ที่ไหน”
ผมข้องใจแต่เพิ่งมีโอกาสได้ถาม
“รุ่นพี่คุณมาบอกน่ะ” ผมค่อยๆหรี่ตาปรือจากสัมผัสบางเบาที่แผ่นหลังคล้ายขับกล่อม
“หืม...ใครเหรอ” หรือว่าจะเป็นพี่มิ่งเพราะรุ่นพี่ผมที่อยู่จังหวัดนี้ก็มีพี่มิ่งคนเดียวที่รู้จักกับใหญ่
“คนที่มากินก๋วยเตี๋ยวเมื่อวันก่อน ที่คุณบอกว่าเป็นนักมวยเขาบอกเจอคุณโดนหิ้วเข้าลิฟท์ในโรงแรม ท่าทางดูแปลกๆแต่เขาไปช่วยไม่ได้เลยรีบมาบอกผมให้ไปช่วยคุณ ผมเลยทิ้งร้านไว้กับคุณพิณแล้วรีบไป”
หืม พี่เจมส์น่ะเหรอ...ไหนว่ากลับกรุงเทพฯไปแล้วเอาเถอะ คงต้องขอบคุณพี่เขา ถ้าไม่ได้พี่เจมส์ผมคงไม่รอดจากเหตุการณ์เลวร้ายผมติดหนี้บุญคุณ ถ้าได้เจอกันอีกครั้งก็คงดี...
.
.
.
ออด~ ออด~
เสียงออดดังขึ้นปลุกให้ผมตื่นอย่างสะลึมสะลือยังรู้สึกหนักหัวอยู่ แต่มีอีกคนที่เร็วกว่าเดินออกไปเปิดประตูแล้ว
เสียงพูดคุยดังแว่วเข้ามาในห้องก่อนเงียบหายไปผมมุดหน้าลงกับหมอนนุ่มก่อนที่นาทีถัดมาจะโดนปลุกโดยนายหมาตูบ
“คุณเล็กคุณเล็ก”
“หืม”
“ญาติของหัวหน้าคุณมาหา”
กึก
ตาสว่างขึ้นมาทันทีเลย
ผมนอนนิ่งชั่วอึดใจ ก่อนจะค่อยๆยันตัวขึ้นค่อยๆเปลี่ยนเสื้อผ้าให้ดูสุภาพ ค่อยๆเดินออกไปนอกห้องแวะห้องครัวดื่มน้ำก่อนไปห้องนั่งเล่น
ให้พวกเขารอกันบ้างเถอะ
“สวัสดีครับ” ผู้ชายดูภูมิฐานนั่งอยู่บนโซฟายาวทักขึ้นข้างกันมีหญิงสาววัยเดียวกันนั่งเชิดหน้าวางท่าอยู่
ผมทิ้งตัวนั่งลงบนโซฟาเดี่ยวดึงใหญ่ให้นั่งลงบนที่พนักแขนข้างกันก่อนมองอีกฝ่ายเงียบๆ
“ผมมีเรื่องจะมาเจรจาครับ”
แล้วเรื่องที่เจรจาก็ไม่ใช่อะไรอื่นเลย นอกจากขอไม่ให้ผมแจ้งความเอาเรื่องกับนายพชรที่ตอนนี้นอนเจ็บโอดโอยอยู่ที่โรงพยาบาล เขาให้เหตุผลว่าไม่อยากให้มีเรื่องเสื่อมเสียแก่ตระกูล โดยมีข้อต่อรองว่าถ้าทางเราไม่แจ้งความทางเขาก็จะไม่แจ้งความข้อหาพยายามฆ่าเช่นกัน
อะไรนะ!! พยายามฆ่า!!
ใหญ่เข้ามาช่วยผมไว้แต่กลับต้องมาโดนยัดเยียดข้อหาอุบาทว์เช่นนี้เหรอ
ผมเงยหน้าสบตานายหมาตูบเมื่อเห็นแววตานิ่งเฉยไม่เกรงกลัวต่อข้อหาที่ถูกกล่าวอ้าง ผมจึงต้องนิ่งและตั้งสติ
“ผมว่าคุณมาเพื่อข่มขู่มากกว่าเจรจานะ ว่ามั้ย??” ผมทำตัวให้นิ่งที่สุดก่อนว่ากลับไปเสียงเรียบ มั่นใจว่าถ้าผมจะเอาเรื่องขึ้นมาจริงๆใหญ่ต้องหลุดจากข้อหาดังกล่าวแน่ ผมมีพยานเป็นคุณหน้าสวยนะว่าใหญ่มาช่วยผมไว้ ส่วนนายพชรทั้งกล้องวงจรปิดทั้งพยานบุคคลผมรับรองดิ้นไม่หลุดแน่
อีกอย่างผมมันก็แค่คนธรรมดา ถึงครอบครัวจะเป็นโรงงานน้ำปลาที่ใหญ่ที่สุดในจังหวัดและส่งออกไปทั่วประเทศ แต่ก็ไม่ได้มีชื่อเสียงเป็นเซเลปหรือเป็นต้นตระกูลเก่าแก่ขนาดจะมีเรื่องฟ้องร้องเกิดขึ้นสักคดีไม่ได้
เพราะฉะนั้นอย่าได้มาขู่
“ไม่...ผมไม่ได้ต้องการอย่างนั้นผมแค่ไม่อยากให้เรื่องถึงศาล ถ้าคุณจะเรียกร้องค่าเสียหาย...”
“สิบล้านก็คงชดใช้สิ่งเลวร้ายที่ผมเจอเมื่อคืนไม่ได้” ผมสวนกลับไป จ้องหน้าเสียๆของทั้งคู่อย่างเฉยชา แต่สิ่งที่ผมพูดคือความจริงและมั่นใจว่าครอบครัวผมก็เห็นด้วย
แต่คงไม่ใช่ผู้หญิงที่นั่งเชิดหน้าเม้มปากมาตลอด
“แล้วยังไงความจริงนายก็ไม่ได้มีแม้แต่รอยขีดข่วน เป็นน้องชายฉันซะอีกที่กระดูกแตกจนจะต้องตัดมือทิ้งหรือเปล่ายังไม่รู้เลย”
“นั่นคือผลของสิ่งที่น้องชายคุณทำ”
“แค่ร่างกายของเกย์อย่างนายเอามาเทียบกับอนาคตของน้องชายฉันได้เหรอ!” เธอขึ้นเสียง แต่ผมตัวสั่นเทิ้ม เกย์แล้วยังไง!!
“คุณ!” เสียงผู้ชายปรามหล่อนก่อนหันใบหน้าเซียวๆกลับมาทางผม
“ผมขอร้อง ความจริงแล้ว นายพัชมีความผิดปกติทางด้านจิตไม่ปกติต้องเข้าพบจิตแพทย์เป็นประจำ เราเลยไม่ค่อยขัดใจเขาจน...เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น...บ่อยๆ เราพยายามป้องกันแล้วผมว่าบางทีน้องชายผมแค่ต้องการคนรักมาเคียงข้าง เพียงแค่เลือกผิดวิธีไปหน่อย”
“ผมต้องเห็นใจเขาใช่ไหม” ถึงจะยังปากดีแต่ในใจผมก็อ่อนยวบแล้วจริงๆ
บางทีโรคที่เขาเป็นอยู่ทำให้เขาทำอะไรแบบนี้ลงไปหรือเปล่า
แต่ที่ว่าบ่อยๆแสดงว่าผมไม่ใช่คนแรกที่โดนแบบนี้...แล้วคนโชคร้ายก่อนหน้านั้นจะรอดอย่างผมหรือเปล่า
“คุณกลับไปก่อนเถอะครับ”
“คุณปุญมนัส...”
“เดี๋ยวผมจะติดต่อกลับไป”
ว่าแล้วลุกขึ้นเป็นเชิงจบบทสนทนา ผมแค่ต้องการเวลาคิดเท่านั้น คิดไตร่ตรองด้วยตัวเองให้รอบคอบและดีต่อทุกฝ่ายมากที่สุด ไม่ใช่ใจอ่อนเพราะคำร้องขอของคนอื่น
“ผมหวังว่าทางเราจะได้รับข่าวดีจากคุณ”
“กลับไปกันหมดแล้วเหรอ”
ใหญ่พยักหน้าพลางนั่งลงข้างๆผมขยับตัวพิงศีรษะลงบนบ่าแกร่ง
“คุณจะเอาเรื่องเขามั้ย??”
“ไม่รู้สิ”
ใหญ่มองผมอย่างเห็นใจ แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมาเพียงแค่ประคองให้ผมนอนหนุนตักเขาเพียงเท่านั้น ก่อนจะโน้มตัวลงมาจูบหน้าผากแผ่วเบาให้ผมหลับตารับสัมผัส
“พักผ่อนเถอะ”
“นายว่าฉันควรทำยังไง” ผมจับฝ่ามือใหญ่มากุมไว้ตรงหน้าอก
“ทางไหนที่คุณสบายใจที่สุด”
“อื้ม”
แล้วผมก็หลับตาลงสงสัยฤทธิ์ยากับน้ำสีชายังไม่หมด ขอพักอีกสักหน่อยแล้วกันนะติ๊ดๆ
เสียงโทรศัพท์มือถือที่ตั้งปลุกไว้ร้องดังขึ้น ฝืนลืมตาขึ้นมาก็เห็นภาพเมาขี้ตาเป็นนายหมาตูบกำลังถือโทรศัพท์เพ่งมองหน้าจอคิ้วทั้งสองข้างขมวดเป็นปม
“อะไรเหรอ”
“คุณแจ้งเตือนไว้” ใหญ่เดินเอาโทรศัพท์มายื่นให้ผมรับไว้พลางเพ่งอ่านตัวอักษรบนหน้าจอ
‘งานแต่งพี่สา’
ตายห่าล่ะ!! ผมลืมซะสนิทเลย ไม่ใช่เสียงนาฬิกาปลุกแต่เป็นเสียงแจ้งเตือน ดีนะที่ผมตั้งเตือนเผื่อไว้ล่วงหน้าสามชั่วโมงไม่อย่างนั้นเตรียมตัวไม่ทันแน่ๆ
“คุณจะไปเหรอ” ใหญ่ถามด้วยสีหน้าเป็นห่วง
“อืมเป็นพี่ที่ทำงานน่ะ ไม่ไปก็ดูจะน่าเกลียด”
“คุณไหวนะ??” ผมลุกขึ้นนั่งพลางเอื้อมมือไปจับสองมือของใหญ่แกว่งไกวไปมาเหมือนเด็กอ้อน
“ใหญ่ไปเป็นเพื่อนฉันนะ”
“ผมว่า...”
“นะๆๆ”
“เฮ้อ ก็ได้”
ฟอด!!
“ขอบคุณนะ ^^”
“ไอ้เล็กบางทีมึงก็ออกตัวแรงไปนะ”
“กูเห็นด้วยเคืองตรงกูหมองไปเลยนี่แหละ”
“แม่งเกรงใจเจ้าบ่าวบ้างอะไรบ้าง”
ผมยิ้มรับเสียงบ่นกระปอดกระแปดของทั้งไอ้ปอนด์และพี่มิ่ง สาเหตุไม่ได้มาจากใครที่ไหนนายหมาตูบสุดหล่อที่ยิ่งเพิ่มดีกรีความหล่อมากยิ่งขึ้นกับเสื้อเชิ๊ตสีขาวผูกไทด์สีชมพูสวมทับด้วยสูทสีเทากับกางเกงขายาวสีเดียวกัน ผมที่ยาวประบ่าถูกเซตเสยไปด้านหลังทั้งหมดอย่างเข้าทรง แบบทันทีที่ก้าวเข้ามาในงานทุกคนต้องหันมองเชียวล่ะ
ทุกคนต่างให้ความสนใจว่าหนุ่มรูปหล่อหน้านิ่งที่มากับผมเป็นใครกัน หัวหน้างานหรือผู้บริหารฯกันแน่ คันปากอยากจะป่าวประกาศเหลือเกินว่านี่แหละผู้บริหารตัวจริงเสียงจริง
CEOหนุ่มเจ้าของร้านบะหมี่กินเส้นอันเลื่องชื่อฮ่าๆ
ยิ่งสาวๆในงานไม่น้อยต่างชม้ายชายตาแลให้ผมต้องยืนประกบติดไม่ห่างอย่างแสดงว่ามีเจ้าของแล้ว
“พี่สายินดีด้วยนะครับ” ผมขี้เกียจอยู่ฟังสองคนเหน็บแนมจึงลากนายหมาตูบๆมาแสดงความยินดีกับบ่าวสาวที่ยืนต้อนรับแขกอยู่หน้างาน
“ขอบใจจ้ะแล้วหนุ่มหล่อที่พามาด้วยใครเอ่ย” พี่สาส่งเสียงแซวให้ผมยิ้มเขินๆแต่ไม่ตอบอะไร
ส่วนนายหมาตูบรายนั้นยืนหน้านิ่งเป็นรูปปั้นสายตามองตรงอย่างเดียวไม่สนใจใครห่ะๆ ประหม่าอีกล่ะสิ
“เอาล่ะๆเข้าข้างในดีกว่าเนอะขอบใจอีกครั้งนะจ๊ะ”
“ด้วยความยินดีครับ”
หลังจากนั้นผมก็พาใหญ่เข้ามาในงาน ภายในเป็นห้องโถงกว้างตกแต่งด้วยซุ้มดอกไม้สีขาวแซมสีชมพูวางอยู่มุมต่างๆทั่วงาน ด้านหน้ามีเวทีขนาดกลางผูกด้วยผ้าประดับกับชื่ออักษรของบ่าวสาว ตรงกลางโถงเต็มไปด้วยโต๊ะกลมปูทับด้วยผ้าสีขาวเข้าชุดกับเก้าอี้คลุมผ้าขาวผูกโบว์สีทองแลดูสวยงาม
แขกเริ่มทยอยเข้ามาในงานจนโต๊ะทุกโต๊ะเต็มไปด้วยผู้คนนั่งพูดคุยพบปะสังสรรค์กันอยู่ ซึ่งผมก็ตรงไปยังโต๊ะหนึ่งที่ตั้งอยู่กลางๆห้องโถง บนโต๊ะมีเพื่อนร่วมงานสองสามคนในแผนกเดียวกันนั่งอยู่ โดยผมกับใหญ่นั่งลงบนเก้าอี้ว่างพลางทักทายเพื่อนร่วมโต๊ะ ห้านาทีถัดมาพี่มิ่ง ไอ้ปอนด์ และพิณก็ตามมาสมทบ
คราวนี้แหละน้ำลายฟุ้งกระจายโดยมีไอ้ปอนด์กับพี่มิ่งเป็นหัวขบวน เรื่องที่คุยส่วนมากก็ไม่พ้นเรื่องงาน ลูกค้าและการนินทาเจ้านาย เฮ้อ เอากับมันสิ
พูดถึงเจ้านาย วันนี้หัวหน้าที่เคารพของทุกคนคงมาไม่ไหว เห็นแจ้งทางเลขามาว่าประสบอุบัติเหตุทำให้ไม่สามารถมาร่วมงานได้ ซ้ำยังแจ้งลาป่วยอย่างไม่มีกำหนด
เฮ้อ พลังทำลายร้างของนายหมาตูบช่างน่ากลัวจริงๆ
ผมยังอดสยองกับวิธีจัดการของเขาไม่ได้แววตาตอนนั้นมันน่ากลัวมาก
“เล็กจะไม่แนะนำคนข้างตัวให้รู้จักหน่อยเหรอ” พี่กานต์พี่สาวในแผนกสาวโสดวัยสามสิบมองไปทางคนหน้านิ่งด้วยแววตาพราวระยับ
“ใหญ่แนะนำตัวสิ” ผมใช้ไหล่สะกิดคนตัวโตข้างตัวผมแนะนำให้ก็ได้นะแต่อยากให้เขามีปฏิสัมพันธ์กับคนอื่นด้วย
ใหญ่มองผมด้วยสายตาไม่แน่ใจแต่ผมก็พยักหน้าชูสองนิ้วใต้โต๊ะให้เราเห็นกันสองคน
เขาหันหน้าไปกวาดตามองทุกคนรอบโต๊ะ ได้รอยยิ้มให้กำลังใจจากพิณมาอีกคน คราวนี้เขาเลยค่อยๆแนะนำตัวออกมาด้วยเสียงไม่เบามากและไม่ดังเกินไป
“ผม...ตี๋ใหญ่...เรียกใหญ่เฉยๆก็ได้”
“ชื่อเหมือนมาเฟียเลย”
“คุณรู้ตัวหรือเปล่าว่าหล่อที่สุดในงานเลยนะ”
“เสียงยังนุ่มมากๆ”
คราวนี้สาวใหญ่ทุกคนในโต๊ะรุมส่งเสียงแย่งกันพูดกับใหญ่กันให้เซ็งแซ่ เขาหน้าเหวอไปเมื่อเจอพายุเสียงแต่สุดท้ายก็พยายามคุยตอบกลับไป ซึ่งผมก็ยิ้มด้วยความพอใจ
ส่วนหนุ่มๆบนโต๊ะทำหน้าเซ็งๆที่เหมือนคืนนี้จะมีคนแย่งซีนแต่พอเหล้ากับอาหารมาเสิร์ฟความหฤหรรษ์ก็กลับเข้าร่างอีกครั้ง
“หน้าบานเลยนะ” ไอ้ปอนด์ปาเม็ดมะม่วงหิมพานต์ใส่ผมที่นั่งยิ้มน้อยยิ้มใหญ่แต่ไอดอนท์แคร์ว่ะ
“แน่ล่ะ ว่าที่แฟนเข้ากับเพื่อนร่วมงานได้ดีนี่หว่า” พี่มิ่งจีบปากจีบคอได้หน้าหมั่นไส้มาก แต่เอาเถอะพูดจาถูกใจ ฮ่าๆ แต่ขอแก้คำผิดหน่อยนะ
“ไม่ใช่ว่าที่แฟนซะหน่อย”
“อะไรมึงหมายความว่าไงก็วันนั้นมึงบอกเองว่า...”
“เขาเลื่อนสถานะเป็นแฟนกันแล้วค่ะ” พิณแทรกตอบแทนให้ซึ่งผมก็ยิ้มแฉ่งประสานมือกับฝ่ามือหนายกให้ทุกคนดู
“ขี้อวดแม่ง”
“กรี๊ดดดดดจริงเหรอคะ งั้นป้าๆก็หมดสิทธิ์สิ T^T”
“น้องเล็กก็ไม่บอกให้พี่จีบซะตั้งนาน”
“ฮ่าๆ”
แล้วในบรรดาเสียงทั้งหมดก็มีเสียงทุ้มต่ำที่ก้มลงมากระซิบข้างหู
“เป็นแฟนกันเมื่อไหร่ไม่เห็นบอกผมเลยนะ” คิ้วผมกระตุก กระซิบตอบกลับไป
“หรือนายจะบอกว่าไม่ใช่” ถ้าบอกว่าไม่นี่ผมร้องเลยนะ
“ใครจะกล้าค้านคุณล่ะ”
“น่ารักมากกก ^^”
ถ้าไม่ติดว่าคนเยอะนะจะหอมแก้มให้รางวัลสักที
ฮือฮา ฮือฮา
สักพักเสียงฮืออาอึกทึกก็ดังขึ้น เหมือนทุกคนในงานจงใจพูดขึ้นพร้อมๆกัน แล้วในวินาทีต่อมาก็เงียบกริบเหมือนไม่เคยมีเสียงใดๆเกิดขึ้น ผมละจากการสนทนาตรงหน้ามองไปตามสายตาที่ทุกคนจ้องอยู่
แทบจะยกมือป้องสายตา
บุคคลที่เข้ามาในงานทำให้ผมอยากจะแบบนั้นจริงๆถ้าผมไม่เคยเจอเขามาก่อนคงคิดว่านางฟ้าหรือเทวดาลงมาจากสวรรค์แน่ๆ
ลูกค้าหน้าสวยคนนั้น...
ปกติที่ว่าน่ามองอยู่แล้ว ในคืนนี้ช่างดูดีกว่าเดิมเป็นร้อยเท่าในชุดสูทสีขาวทั้งชุด ผมสีน้ำตาลอ่อนขับให้ใบหน้าหวานดูงดงามขึ้น ดวงตากลมโตสุกใสกับรอยยิ้มจุดมุมปากช่างอ่อนโยน
ผมละสายตามามองคนตัวโตข้างๆ
ความอิจฉาจุดขึ้นภายในใจ...
...ไม่ใช่เพราะรัศมีเปล่งประกายที่เรียกสายตาคนทั้งงานได้
...แต่เพราะเมื่อเขาปรากฏตัวมักเรียกความสนใจจากคนข้างตัวผมไปได้เสมอ...นั่นต่างหาก...
“สวัสดีครับคุณปุญมนัส” ผมไม่รู้ว่าเขารู้ชื่อผมได้ยังไงแต่ผมก็ปั้นยิ้มทักกลับไป คราวนี้สายตาคนทั้งงานจับจ้องมาทางนี้เป็นตาเดียว
“สวัสดีครับคุณ...” ผมยังไม่รู้จักชื่อเขาเลย
“ ‘เฟยเฟิ่ง’ ครับ” อ้าวไม่ใช่คนไทยเหรอ แล้วเหมือนความสงสัยจะแสดงออกทางสีหน้ามากไปหน่อย“ผมเป็นคนฮ่องกง มีธุรกิจในไทยจึงพูดไทยได้ครับ”
เขาเอ่ยก่อนยื่นนามบัตรสีทองมาให้
“อ่อครับ...แล้ว...” ผมมองไปทางด้านหลังที่มีผู้ชายตัวสูงใหญ่ในชุดสูทสีขาว ที่ผมเคยคิดว่าเป็นคนรักของเขายืนหน้านิ่งอยู่ คุณเฟยเฟิ่งหันไปมองก่อนแนะนำ
“จิ่นตั้ง--คนสนิทของผมครับ”
คนสนิทเหรอ??
ผมมองไปทางคนตัวใหญ่ด้านหลังอย่างสนใจ คนสนิทที่เขาว่าหมายถึงอะไรกันล่ะ คนรัก??ลูกน้อง?? หรือเพื่อน?? ซึ่งผมก็มีมารยาทที่ค้ำคออยู่ทำให้ไม่ได้ถามออกไปทั้งที่ในใจเต้นร่ำด้วยความอยากรู้
ผมเคยเห็นคนสนิทของเขาแค่ในระยะไกล พอได้มาเห็นใกล้ๆอย่างนี้ถึงรู้ว่าเขาเหมือนใหญ่มากเหลือเกิน โดยเฉพาะดวงตาคมกริบไร้แววและใบหน้าเรียบนิ่งเย็นชา
“สวัสดีครับคุณจิ่นตั้ง” ผมทักออกไปเขาแค่พยักหน้าน้อยๆกลับมา...เหมือนกันอีกแล้ว...
“จิ่นตั้งเขาเป็นคนนิ่งๆแบบนี้แหละครับ คุณเล็กเป็นยังไงบ้างเรื่องเมื่อคืน...” คุณเฟยเฟิ่งหันมายิ้มหวานให้พลางตัดเข้าเหตุการณ์เมื่อคืนที่ทำให้ผมรีบพูดแทรกขึ้น
ก็แน่ล่ะเรื่องเมื่อคืนไม่มีใครรู้นอกจากใหญ่ ผม และพิณ ไม่นับรวมพี่เจมส์กับฝ่ายจำเลยล่ะก็นะ ส่วนไอ้ปอนด์ไปออกงานกับพี่มิ่ง แล้วผมก็ขอพิณเอาไว้แล้วว่าไม่ให้บอก
เชื่อสิ ปอนด์รู้ ครอบครัวผมรู้
“ต้องขอบคุณมากนะครับถ้าไม่ได้คุณผมคงแย่ ตอนนี้ผมสบายมาก พอดีมีคนดูแลดีครับ” ผมยิ้มกว้างพลางเอื้อมไปจับมือคนดูแลตัวโตที่กล่าวถึง ใหญ่ละสายตาจากใบหน้าสวยหวานหันกลับมายิ้มบางให้
ผมมองสายตาและรอยยิ้มนั้นกลับอย่างหวงแหน...มองฉันคนเดียวได้หรือเปล่า...อย่าสนใจคนอื่นเลยนะ
“งั้นผมขอตัวไปนั่งโต๊ะก่อนนะ”
“อ่อ เชิญครับ”
ผมยิ้มกว้าง คุณเฟยเฟิ่งไปพยักหน้าให้ชายร่างใหญ่ด้านหลังก่อนเดินไปยังโต๊ะด้านหน้า ในขณะที่ผ่านใบหน้าสวยก็โน้มตัวลงแล้วเอ่ยกระซิบข้างใบหูของใหญ่
“อย่าดื่มมากนักล่ะนายแพ้เหล้ายี่ห้อนี้นะ”
“...!!!”
ผมไม่รู้ว่าประโยคที่ได้ยินมันหมายความว่าอย่างไร
ถึงมันจะแผ่วเบาแต่ก็ทำให้ร่างกายผมแข็งค้างขึ้นมาได้
รู้สึกเหมือนสมองตัวเองทำงานบกพร่อง
ทำไมกันนะ...ทำไมประโยคเมื่อกี้ถึงทำให้ผมนึกย้อนไปคืนนั้นได้...
...คืนที่ใหญ่มีสัมพันธ์สวาทกับผู้หญิงคนนั้นหลังร้าน...ทำไมกัน
แกร๊ก
หมับ
“คุณ...”
ผมสะดุ้งเมื่อรู้สึกว่าถูกสวมกอดจากด้านหลังทันทีที่ประตูห้องปิดลง ก่อนที่ใบหน้าของเจ้าของอ้อมกอดจะเกยบนบ่าและยื่นหน้ามาหอมแก้มเบาๆ ผมหันไปสบตาที่ฉายถึงความเป็นห่วงอย่างชัดเจน
“เป็นอะไรไปคุณเงียบตั้งแต่ในงานแล้ว ดูเหม่อๆ”
ผมเงียบ ส่ายหัวอย่างเดียวจะบอกได้ยังไงว่าตัวเองฟุ้งซ่านงี่เง่าอีกแล้ว
“คุณไม่ชอบคุณเฟิ่งเหรอ”
“หืมทำไมต้องไม่ชอบด้วยล่ะ”
“ก็ตั้งแต่เขาเข้ามาทักคุณก็เงียบไป”
ไม่ใช่ไม่ชอบ...แค่อิจฉา...
“นายสังเกตด้วยเหรอ”
“ผมสนใจคุณตลอด”
คำที่เหมือนน้ำเย็นชโลมจิตใจผมแกะมือที่โอบเอวออกก่อนพลิกตัวเข้าไปกอดคอเขาไว้พลางลงแรงให้ใบหน้าคมโน้มลงมาใกล้
“จริงๆนะ”
เขาพยักหน้าก่อนจะนิ่งไปเหมือนคิดอะไรได้แล้วหรี่ตามองผมอย่างจับผิด
“คุณเล็ก...”
“หืม”
“ผมพอจะเข้าใจแล้วว่าคุณเป็นอะไร ไม่ว่าคุณจะคิดอะไร ณตอนนี้คุณคือหนึ่งเดียวในใจผม” จบคำริมฝีปากร้อนก็ทาบลงมาซึ่งผมก็โอบคออีกฝ่ายแน่นให้ร่างเราแนบชิดเบียดเสียดกันมากขึ้น หลับตาลงขณะจูบตอบเจ้าของลิ้นร้อนที่เริ่มแลบเลียทั่วริมฝีปากผมแล้วสอดเข้ามาตามรอยแยกที่ผมเผยอให้อย่างเต็มใจ
“อ่ะ อืม” ผมครางออกมาเมื่อความเร่าร้อนที่ดูดดึงทำให้เริ่มหายใจลำบาก เสียงน้ำลายเฉาะแฉะของรสจูบที่เพิ่มอุณหภูมิร่างกายให้ร้อนขึ้น ความรู้สึกแปลกๆเริ่มแผ่ซ่านทั่วร่างกาย
ไม่รู้ว่าเพราะฤทธิ์แอลกอฮอล์เจือจางในร่างกายของเราทั้งสองคนหรือเปล่าที่ทำให้ค่ำคืนนี้มันร้อนแรงกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา
ใหญ่ถอนริมฝีปากออกแต่ยังคลอเคลียกันไม่ห่างเนื่องจากอ้อมแขนผมที่โอบรัดไว้แน่นจนไม่สามารถผละห่างไปมากกว่านี้ได้
“คะคุณ...ปล่อยผมก่อน...” เสียงพูดปนเสียงหายใจหอบถี่ไม่ได้ทำให้ผมทำตามสั่งได้
“ก่อนอะไรเหรอ...” ผมเล่นลิ้น ไม่รู้สิ แค่รู้สึกว่าต้องการเขา และดูจากท่าทางพยายามข่มกลั้นของอีกฝ่ายแล้ว ถ้าไม่ได้เข้าข้างตัวเองเกินไปผมก็คิดว่า...ใหญ่ก็ต้องการผมเช่นกัน
“รู้สึกมั้ยว่าหลายวันมานี้คุณยั่วผมตลอด” เขาว่าเสียงพร่า
ผมกระตุกยิ้มมุมปากก่อนไล้นิ้วไปตามโครงหน้าคมสัน “นึกว่านายไม่รู้ตัวซะอีก” โอบรัดให้ใบหน้าของเราสองแนบชิดจนริมฝีปากแตะกัน เอ่ยเสียงเบาหวิวจิกตาเจ้าเล่ห์ใส่คนที่กัดกรามจนขึ้นสันนูน “ฉันก็ยั่วนายตลอดแหละ”
“คุณเล็ก...”
“ครับคุณตี๋ใหญ่”
“ความอดทนผมเหลือน้อยเต็มทีแล้ว”
“ทนไม่ได้ก็ไม่ต้องทนสิ” ผมเอ่ยอย่างท้าทายและนั่นก็เหมือนจะทำให้ความอดทนของใหญ่ที่เหลือเพียงน้อยนิดพังทลายลงเช่นกัน ริมฝีปากร้อนของอีกฝ่ายแนบโรมรันลงมาอีกครั้ง พร้อมกับฝ่ามือใหญ่ที่ลูบไล้บีบเคล้นไปทั่วตัวผมอย่างขาดสติ
ตุบ
“อ่ะ อืม...”
แผ่นหลังผมสัมผัสเตียงพอดีกับเสื้อที่ถูกถอดออก ตามด้วยคนตัวโตตามลงมาทาบทับและเข้าครอบครองริมฝีปากผมอีกครั้ง เนื้อตัวที่บดเบียดผ่านเนื้อผ้าของอีกฝ่ายทำให้ผมรู้สึกขัดใจจนต้องยื่นมือไปช่วยแกะกระดุมทึ้งเสื้อเชิ๊ตสีขาวที่ไปเช่าร้านมาให้หลุดจากกายหนาก่อนโยนลงไปข้างเตียงอย่างไม่ใส่ใจ
ผิวเนื้อเสียดสีกันทำให้รู้สึกร้อนขึ้นจนต้องหอบหายใจโยนทั้งที่ไม่ได้ออกแรงมากสักนิด สติพร่าเลือนกับสัมผัสร้อนที่ระไต่ไปตามผิวเนื้อจากลำคอลาดไล่ หน้าอก ไล่ลงไปเรื่อยๆจนช่องท้องรู้สึกวูบโหวง เหมือนมีก้อนมวลขนาดใหญ่หมุนวนอยู่ภายใน
“ใหญ่อื้ม...เสียว” ผมหวีดร้องเสียงหลงเมื่อเขาครอบครองเข้าที่ตุ่มไตบนหน้าอกดูดดุน ละเลงลิ้นส่วนอีกข้างก็บดขยี้ด้วยปลายนิ้ว รู้สึกเสียววูบวาบจนต้องป่ายมือไปตามหน้าอกแกร่งก่อนบี้นิ้วลงไปที่จุกนมสีน้ำตาลของอีกฝ่ายบ้าง...จะได้รู้สึกเสียวเท่าๆกัน
“อื้มมม”
ซึ่งเสียงครางต่ำก็ทำให้ผมเพิ่มแรงที่ปลายนิ้ว และใจกล้าใช้มืออีกข้างที่จิกผ้าปูที่นอนเปลี่ยนเป็นโอบรอบแผ่นหลังกว้างก่อนค่อยๆลูบไล้ไปทั่ว
“ผมขอจับนะ” สิ้นเสียงทุ้มพร่ามือหนาก็วางนาบลงบนส่วนที่เริ่มโป่งนูนผ่านเนื้อผ้า ผมเชิดหน้าอ้าปากหอบระบายความอึดอัดเสียดเสียวที่ประทุขึ้น ก่อนจะครางอือออกมาเมื่อมือร้อนเพิ่มแรงกดพลางเคล้นคลึงจนส่วนคับพองเริ่มขยับขยายเพิ่มขึ้น
“ใหญ่...เขยิบมาสิฮื่อ ฉันจะทำ หะให้บ้าง” ผมพยายามจะเอื้อมมือจับ แต่ก็ไม่ถึง
“มะไม่...เดี๋ยวคุณได้ช่วยผมแน่”
ว่าจบอีกฝ่ายก็ปลดกระดุมรูดซิปและรั้งกางเกงพร้อมชั้นในผมออก รู้สึกว่าความร้อนวิ่งพล่านทั่วร่างก่อนจะพุ่งขึ้นสู่ใบหน้าจนเห่อร้อนไปหมด
ถึงผมจะเป็นคนช่างยั่วแต่ก็ใช่ว่าจะไม่อายนะที่มานอนแก้ผ้าทอดกายให้ผู้ชายมอง
“คุณแดงไปทั้งตัวเลย” เขาว่าแล้วกดจูบที่รูสะดือจนเกิดเสียงจ๊วบขึ้น “เดี๋ยวผมถอดเป็นเพื่อนนะ” เขาว่าแล้วผละตัวไปถอดเสื้อผ้าออก ผมเบนหน้าหนี ทั้งที่คิดมาตลอดว่าจับใหญ่แก้ผ้าได้วันไหนจะจ้องสำรวจให้ทั่วตัว แต่เอาเข้าจริงยางอายก็ทำให้ผมไม่กล้า
ฟุบ
แล้วนายหมาตูบก็ทิ้งร่างร้อนๆลงมาทาบทับ ซุกใบหน้าเข้ากับซอกคอบดเบียดช่วงกลางลำตัวเข้าหากัน ก่อนเสียงทุ้มแหบกระเส่าจะเอ่ยกระซิบริมหู
“คุณแน่ใจนะ??”
“มาถึงขนาดนี้แล้วเปลี่ยนใจทันเหรอ”
“สำหรับคุณผมหยุดให้เสมอ” บอกจะหยุดให้ก็อย่ามาหอบกระเส่าข้างหูสิ!
“นายรักฉันใช่มั้ย”
“คุณคือทุกอย่างในชีวิตผม”
ผมหลับตาลงพลางโอบแผ่นหลังเขาไว้แน่น
“อืม ทำต่อเถอะ”
“เจ็บนะ?”
“นายก็ทำเบาๆสิ”
“คุณมีถุงยางมั้ย??”
คำถามนี้ทำเอาลืมตาพรึบจ้องมองอีกฝ่ายที่มีสีหน้าลำบากใจ “จะได้เจ็บน้อยลงตรงนั้นของคุณรับของผมไม่ไหวแน่ถ้าเข้าสดๆ”
ฉ่า!!
บางทีก็ไม่ต้องตรงไปทุกอย่างก็ได้
“ฉะฉันจะไปมีได้ไงเล่านายสิน่าจะมีพกตลอดก็เห็น...” อย่าให้พูดเลยมันแทงใจดำ
“ผมจะเอาเงินที่ไหนไปซื้อ ช่วงหลังมานี้ถึงจะพอมีเงินแต่ก็ไม่คิดว่าจะเอาไปใช้กับใครเลยไม่ได้ซื้อติดตัวไว้” ใหญ่ดูดเข้าที่ซอกคอจนผิวหนังผมติดปากเขาขึ้นมาเกิดเสียงดังจ๊วบ
“แล้วกับฉันล่ะ”
“ผมไม่กล้าคิด”
“ชิ ไม่ต้องมาปากหวานแล้วทุกทีทำยังไง”
ผมใช้สองมือประคองแก้มของอีกฝ่ายมาจูบกันขณะที่เรียวขาทั้งสองก็ยกขึ้นรัดรอบเอวสอบข้อเท้าทั้งสองข้างไขว้ทับกันไว้
“ก็ถ้าใครอยากก็ต้องพกมาด้วย” เป็นวิธีที่ไม่จนจริงทำไม่ได้นะเนี่ย
“ฮะๆงั้นฉันไม่มีก็อดน่ะสิ” ว่าแล้วก็กดจูบเข้าที่คางสากไล้ไปตามผิวแก้ม
“คุณจะเจ็บ” ใหญ่พูดเพ้อๆ
ผมสีท่อนขาเข้ากับแก้มก้นอีกฝ่ายพร้อมกับแลบเลียปลายจมูกโด่ง“กลัวที่ไหนล่ะ”
จบ
ทุกอย่างจบแล้ว
ผมยั่วอีกฝ่ายจนสติแตกยับเยินเชียวล่ะ
สนุกมากครับ {:5_146:} กลัวที่ไหน ไม่เจ็บนะ 555 {:5_120:} สนุกมากเลยครับ ขอบคุณมากนะครับ{:5_130:} ขอบคุณครับ ขอบคุณครับ โอ้ยยยย!มาต่อเร็วๆครับ{:5_119:}
ขอบคุณครับ รอติดตามครับ {:5_146:} โรแมนติกจัง
ขอบคุณครับ เดินไม่ได้แน่ๆเล็เอ๋ย อย่าพึ่งตัดจบแบบนี้ดิ 5555 ขอบคุณครับ ขอบคุณครับ ขอบคุณครับ ชอบมาก สนุกมากครับ ขอบคุณครับ ขอบคุณครับ ขอบคุณครับ