รักเร่ร่อน...ของคนจรจัด 16 bymod-cup
เร่ร่อน16“อื้อเข้าหมดหรือยะ...ยัง” ผมกลั้นใจถามออกไปพลางกัดริมฝีปากแน่นเพิ่มแรงกดหมอนที่ใช้ปิดบังใบหน้า ท่วงท่าน่าอายเกินกว่าที่จะมองความรู้สึกทั้งหมดพุ่งไปยังช่องทางด้านหลัง ฮือ เจ็บจัง เหมือนมันจะฉีกเลย
นี่ยังดีนะที่ผมนึกได้ว่าไอ้ปอนด์มันฝากซื้อถุงยางซึ่งผมซื้อไว้แต่ยังไม่ได้เอาไปให้ เลยให้ใหญ่ไปหยิบมาจากในกระเป๋าไม่อย่างนั้นผมต้องร้องจนทำต่อไม่ได้แน่
และต้องให้เครดิตกับการเบิกช่องทางอย่างมืออาชีพของอีกฝ่ายที่ทำให้ก่อนหน้านี้
เสียงตอบรับมีเพียงเสียงครางต่ำในลำคอก่อนที่ผมจะได้รับสัมผัสร้อนที่ซุกไซ้ซอกคอ บดจูบดูดดึงเรียกความสนใจผมจากความเจ็บปวดความคับแน่นก่อนละเล็มไปตามแผงอก ความเสียวซ่านสุขสมเรียกให้ผมแอ่นตัวเข้าหาสัมผัสอย่างเรียกร้อง นั่นเอง...จึงเป็นจังหวะให้อีกฝ่ายค่อยๆขยับเอวอย่างเนิบนาบ
“อ๊ะ อ๊า” ผมร้องครางให้กับความรู้สึกแปลกใหม่ที่ได้รับ ริมฝีปากร้อนพรมจูบทั่วกายพร้อมกับแรงกระทั้นเข้าออกเป็นจังหวะ มันทำให้ความรู้สึกเจ็บมากก่อนหน้านี้คงเหลือแต่ความเจ็บเสียดซึ่งเทียบไม่ได้เลยกับความเสียวซ่านที่อีกฝ่ายปรนเปรอให้
“อ๊ะ ใหญ่ ฉะ ฉัน ฮื่อ อ๊า” ผมเริ่มหายใจหอบหนักตามแรงกระแทกที่เริ่มถี่แรงมากขึ้น เหมือนขาดอากาศจนต้องเอาหมอนที่ปิดใบหน้าออกและเพียงเสี้ยววินาทีที่ใบหน้าผมเป็นอิสระริมฝีปากร้อนก็ประกบลงมาบดจูบอย่างเร่งเร้าเอาใจ
ผมเผยอปากรับลิ้นร้อนให้เข้ามาควงควานไปทั่วโพรงปากสลับเลาะเล็มไปตามซีกฟันที่เรียงตัว ก่อนผมจะสนองตอบด้วยการส่งลิ้นไปพันเกลียวโรมรันส่งผลให้กลืนน้ำลายไม่ทันจนไหลเลอะมุมปากซึ่งนายหมาตูบก็ตวัดลิ้นแลบเลียเก็บกลืนให้ก่อนวกเข้ามาแลกลิ้นกับผมดังเดิมจนเกิดเสียงจูบคลอเคล้าไปกับเสียงผิวเนื้อกระทบกันไปทั่วบริเวณห้องนอน
ผมผวาร่างตามสัมผัสที่ละออกไปอย่างไม่บอกกล่าว ก่อนจะต้องทิ้งตัวลงดังเดิมจิกผ้าปูที่นอนแน่นเมื่ออีกฝ่ายช้อนต้นขาให้อ้ากว้างกว่าเดิม ยกขึ้นสูงและเพิ่มแรงกระแทกกระทั้นจนร่างกายผมโยกคลอนตามจังหวะเข้าออก
ป้าบ ป้าบ ป้าบๆๆๆ
“อ๊ะ อ๊ะ อ๊ะ อื้ออ อิ๊” เสียงน่าอายไม่เป็นผลกับผมอีกต่อไปเมื่อความรู้สึกบางอย่างพุ่งขึ้นสูงเห่อลามไปทั่วร่างกาย ผมปล่อยเสียง ปล่อยตัวและปลดปล่อยอารมณ์ไปตามสัญชาตญาณ และมันก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้นเมื่อฝ่ามือใหญ่กำรอบแก่นกายของผมรูดรั้งไปตามจังหวะเดียวกันกับสัมผัสทางช่องทางด้านหลัง
“ใหญ่...เบา...บะเบาหน่อย...” ผมร้องทักเสียงกระเส่าเมื่อนายหมาตูบเพิ่มแรงจนรู้สึกว่าสะโพกผมจะรับไม่ไหว เขาเป็นคนแรงเยอะมากจนน่ากลัว เช่นเดียวกับเซ็กส์ของเขาที่ดูชำนาญจนน่าหมั่นไส้
“ขอโทษ...แบบนี้พอได้ไหม...” เขาเบาแรงลงตามคำขอถึงผมจะรู้สึกว่ามันยังแรงอยู่ดีแต่ก็อยู่ในระดับที่เรามีความสุขกันได้ทั้งคู่จึงพยักหน้าตอบกลับไป แต่วินาทีต่อมาก็ต้องร้องปนครางเสียงหลงเมื่อเขาจับขาผมข้างหนึ่งยกขึ้นสูงก่อนจับพลิก
กลับหลังให้ผมคว่ำหน้าลงทั้งที่ร่างกายเรายังเชื่อมกันอยู่ ท่าทางหมุนควงที่ผมต้องนิ่วหน้าด้วยความเสียวสุดยอด แล้วเขาก็ใช้แขนข้างหนึ่งโอบช้อนสะโพกผมให้ยกสูง ฝ่ามืออีกข้างวางยันบนเตียงขณะที่ร่างกายกำยำชื้นเหงื่อก็ทาบทับแผ่นหลังก่อนเริ่มขยับโยกอีกครั้งอย่างรัวแรง...และถี่ยิบ
“อ่ะ อาห์”
“อ๊ะ อ๊ะ...” ผมบี้หน้าเห่อร้อนลงกับหมอนนุ่มจนใบหน้าจมหาย เสียงครางต่ำข้างหูสลับสัมผัสชื้นที่แลบเลีย ช่องทางด้านหลังที่ถูกเติมเต็มกับแท่งเอ็นด้านหน้าที่ผมเอื้อมมือไปรูดรั้งอย่างไม่สามารถต้านมานความต้องการของตัวเองได้ ทั้งหมดรวมกันเป็นความเสียวซ่านเร่าร้อนที่ทำให้ผมแทบคลั่งจนต้องระบายด้วยการร้องครางออกมาสุดเสียงก่อนจะถูกรั้งใบหน้าไปรับจูบร้อน
ฟึ่บๆๆๆๆๆๆๆ
“อ๊ะ ไม่ไหวแล้ว...อื้ออออออออ” ผมละปากบี้หน้าลงไปกับหมอนอีกครั้งก่อนปลดปล่อยออกมา มันเสียววูบวาบเหมือนการโดดร่มสมัยเรียน นศท. แต่มันก็ชั่งสุขสมเหลือเกินจนต้องร้องครางระงม
หลังจากปลดปล่อยความต้องการออกมาหมดแล้วร่างกายก็เปลี้ย แข้งขาอ่อนแรงไปหมดจนจะฟุบลงกับเตียงเสียให้ได้แต่ติดที่เจ้าของแรงกระแทกด้านหลังไม่ยอมความ รั้งสะโพกไว้แล้วกระแทกกายเข้าออกไม่หยุด เกือบสิบนาทีผ่านไปก็ยังไม่มีทีท่าว่าเขาจะเข้าฝั่งฝันเหมือนผมสักทีซ้ำยังปลุกเร้าให้ผมเริ่มรู้สึกไปกับเขาอีกครั้งด้วย
นายหมาตูบเอ๊ยยยยนายมันพวกสุนัขตำรวจหรือเปล่าถึงได้ถึกอึดทนและแรงดีขนาดนี้
“อ๊า!!!!!”
“อืมมมมม อา!!”
จนสุดท้ายผมก็ต้องเสียน้ำไปสองรอบกว่าที่นายหมาตูบจะเสร็จสิ้นภารกิจสรวงสรรค์เฮ้อ เล่นเอาผมอ่อนแรงไปหมด
ฟุบ
“ผมพาไปล้างตัวไหม” นายหมาตูบที่ผละไปถอดถุงยางทิ้งถังขยะนั่งลงข้างเตียงพลางเอ่ยถามผมที่นอนคอพับคออ่อนอยู่
“ไม่เอา...เล็กอยากนอน...” ผมตอบเสียงเบาหวิวขณะที่หนังตาเริ่มปรือลง อยากนอนหลับมากมันไม่ใช่แค่ความเพลียเพราะตอนนี้ความปวดตัวปวดสะโพกเจ็บก้นเริ่มเข้าเล่นงานแล้ว
“งั้นกินยาแก้ปวดกับแก้อักเสบก่อนนะเดี๋ยวค่อยนอน ผมจะเช็ดตัวให้”
“ไม่เอา ไม่ใช่‘ผม’ ต้องแทนตัวว่า‘ใหญ่’สิ”
ใหญ่ไม่ได้ตอบรับหรือทวนประโยคเป็นชื่อตัวเองซ้ำ เพียงแค่ยิ้มมุมปากโน้มใบหน้าลงมาจูบหน้าผากแล้วผละลุกเดินออกไปด้านนอก คงไปเอายามาให้
สักพักก็เดินเข้ามาพร้อมกับยาและแก้วน้ำอย่างที่ผมคาดไว้ ซึ่งผมก็ไม่โอ้เอ้รับมาทานอย่างว่าง่าย ก่อนที่สามีหมาดๆจะวางแก้วน้ำไว้บนโต๊ะข้างเตียงและขึ้นมานอนเคียงข้างพร้อมกับรั้งผมเข้าสู่อ้อมกอดอบอุ่น
เช้ามาผมก็ต้องลุกไปทำงานตามปกติทั้งที่ร่างกายไม่พร้อมเอาเสียเลย ต้องให้ใหญ่อุ้มเข้าไปอาบน้ำซึ่งคราวนี้ไม่มีสำออยไม่มีอ่อย จะนั่งเก้าอี้ก็เจ็บก้นจนใหญ่ต้องนั่งชันขาขึ้นข้างหนึ่งเพื่อเป็นเก้าอี้ให้ผมได้นั่ง จะลางานก็ไม่ได้เพราะมีงานด่วนเข้ามา ถ้าลาต้องผลักภาระไปให้คนอื่นที่แต่ละคนก็มีงานท่วมตัวอยู่แล้ว ยิ่งหัวหน้าลาไม่มีกำหนดแบบนี้ก็ยิ่งวุ่น
เพราะฉะนั้นผมจำต้องแบกร่างกายที่ชำรุดไปทำงานอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
เอาเถอะถึงจะปวดตัวเจ็บก้นไปบ้างแต่ก็มีความสุขก็มีคนดูแลดีขนาดนี้นี่เนอะ ^^
“เดี๋ยวตอนเย็นผมมารับนะ”
“ขายของไปเถอะเย็นๆลูกค้าเยอะ เดี๋ยวเล็กให้ไอ้ปอนด์มาส่ง”
“ผมมารับได้”
“’งั้นก็ได้ ไปนะ” ผมชะโงกหน้าไปหอมแก้มสากก่อนเปิดประตูลงจากรถ ตลอดทางเดินมีคนทักว่าผมไม่สบายเหรอขาไปโดนอะไรมา ซึ่งสภาพร่างกายช่างขัดกับใบหน้าซีดเซียวที่ยิ้มกว้างมาตลอดทาง ส่วนผมก็ตอบไปว่าตกบันไดมาแล้วมีไข้ร่วมด้วยก็แถๆกันไป แต่ก็ไม่สามารถตบตาสองคู่ที่มองมาอย่างรู้ทันปนหมั่นไส้ได้...
...ไอ้ปอนด์กับพี่มิ่ง...
“ทำไมวันนี้ต้องให้มันมาส่ง ทุกทีก็เห็นขับมาเอง” ไอ้ปอนด์เปิดคนแรก ผมก็ปั้นหน้ามึนเดินไปนั่งบนเก้าอี้ ซี๊ดดดเจ็บ...ดีนะเก้าอี้เป็นเบาะนุ่ม ไม่งั้นผมร้องไห้แน่
“ท่าเดินก็แปลกๆหน้าก็ซีด” พี่มิ่งเปิดคนที่สองก่อนยื่นหลังมือข้ามโต๊ะมาแตะหน้าผาก “ไหนว่าเป็นไข้ตัวก็ไม่ร้อน อุ่นๆรุมๆยังไม่มี แล้วไอ้ที่ตกบันไดเจ็บขาต้องเดินถ่างขาด้วยเหรอวะ มันต้องขากะเผลกไม่ใช่เหรอ”
ผมก็ทำเนียนหยิบแฟ้มเอกสารมาเปิดอ่าน ตอบโดยไม่มองหน้า “ก็กินยาไข้ลดแล้วตัวก็ไม่ร้อนสิ” แล้วก็ทำเป็นหยิบดินสอมาขีดเขียนแก้งานทำเมินคำถามเรื่องเดินขาถ่าง มันก็ไม่ได้ถ่างจนน่าเกลียดขนาดนั้นซะหน่อยพูดจาน่าเกลียดจังอีกอย่างไม่รู้จะตอบคำถามคนที่รู้ทันไปทำไมแต่ก็อายเกินกว่าจะตอบตรงๆ
คือผมว่าไม่ได้สงสัยกันหรอก ปากน่ะถามเหมือนอยากรู้แต่จากสายตาดูก็รู้ว่าต้อนให้จนมุมซะมากกว่า แต่จะให้สารภาพก็ฝันไปเถอะผมไม่ใช่พวกกินที่ลับขับที่แจ้ง แล้วผมทำหน้ามึนเก่งนะจะบอกให้ฮ่าๆ
“ถุงยางที่กูฝากซื้ออ่ะเอามาดิ” ยัง...ยังไม่จบนะไอ้ปอนด์
“กูลืมซื้อ”
“เมื่อวันก่อนมึงบอกว่าซื้อแล้ว”
“กูจำผิด”
แล้วผมก็เงียบทำเป็นยุ่งกับงานสองคนยืนจ้องผมสักพักก่อนจะเดินแยกกลับโต๊ะอย่างเซ็งๆคงเห็นว่าต้อนยังไงผมก็ไม่มีทางหลุดปาก
พอสองคนนั้นคล้อยหลังผมก็วางดินสอลงพลางทิ้งตัวพิงพนักเก้าอี้แล้วถอนหายใจเฮือกอย่างโล่งอก รอดจากสองคนนี้ไปได้ชีวิตการทำงานในวันนี้ทั้งวันก็ทางสะดวก ว่าแล้วก็ทำงานเถอะยุ่งไปหมด เอ...เอกสารที่ไปพบลูกค้ามาเมื่อวันศุกร์อยู่ไหนนะ
ฟุบ
เอ๊ะ
ผมหยุดมือที่ค้นเอกสารในกระเป๋าเมื่อกระดาษบางอย่างตกลงบนพื้นเลื่อนเก้าอี้ถอยหลังก่อนก้มลงเก็บ
นี่มัน...นามบัตรคุณเฟยเฟิ่งนี่
ผมจ้องนามบัตรสีขาวตัวอักษรสีทองในมือกวาดตาอ่านอักษรที่เป็นภาษาอังกฤษทั้งหมด
รองประธานกรรมการบริษัทเฟยกรุ๊ป...อื้อหือตำแหน่งใหญ่ซะด้วย
เห็นแล้วก็อดนึกถึงที่ถามใหญ่เมื่อเช้าไม่ได้
‘ตกลงใหญ่รู้จักกับคุณเฟยเฟิ่งเหรอ’
‘ก็เขาเป็นลูกค้า’ ใหญ่ตอบด้วยสีหน้านิ่งเรียบไม่มีพิรุจใดๆทั้งสิ้น
‘แต่เขารู้ได้ยังไงว่าใหญ่แพ้เหล้าชนิดนั้น’
‘แพ้ที่ไหนคุณก็เห็นว่าผมดื่มไปตั้งเยอะไม่เห็นจะเป็นอะไร เขาคงแค่แหย่เล่น’
‘ไม่ได้สนิทกันซะหน่อย’
‘เอาน่าอย่าทำหน้าตูมสิ ผมไม่เคยมีอะไรกับเขาและไม่ได้รู้จักเป็นการส่วนตัวแค่ลูกค้าเท่านั้น’
‘แต่ใหญ่ก็จ้องเขาตลอด’
‘...’
‘เงียบทำไม’
‘ขอโทษที่ทำให้คุณไม่สบายใจผมจะไม่ทำอีก’
ประโยคนั้นทำให้ผมวางใจและสรุปกับตัวเองว่าที่ใหญ่มองคุณเฟยเฟิ่งก็เพราะความหน้าตาดีมีเสน่ห์เท่านั้น ขนาดผมเจอคนหน้าตาดีๆยังอดมองไม่ได้เลย แค่เขาสองคนไม่ได้มีอะไรพิเศษกันก็พอแล้ว
และผมก็เลิกสนใจนามบัตรในมือยัดเก็บลงในกระเป๋าเสื้อและกลับมาตั้งใจทำงานตอนเย็นใหญ่มารับผมตามที่บอกไว้ บนตัวยังมีผ้ากันเปื้อนสีน้ำตาลที่สวมทับเสื้อกล้ามสีขาวกับกางเกงยีนตัดขาอยู่เลย สงสัยคงรีบมากจริงๆ ผมสอดตัวเข้าไปในรถก่อนจะชะโงกหน้าเข้าไปหอมแก้มสากแล้วส่งยิ้มกว้างให้ ซึ่งใหญ่ก็หันมายิ้มบางตอบพร้อมส่งปลายนิ้วมาหยิกแก้มเบาๆ
หลังจากนั้นเราก็ไปร้านเช่าชุดเอาสูทที่ใหญ่เช่ามาเมื่อวานไปคืน ตอนแรกกะจะซื้อแต่นายหมาตูบไม่ยอม เขาให้เหตุผลว่าคงไม่มีโอกาสได้ใส่บ่อยนักไม่คุ้มกับเงินที่เสียไปเช่าเอาดีกว่า ช่างเป็นคนที่คิดทุกเม็ดทุกหน่วยจริงๆ
“ใหญ่จอดรถข้างหน้าหน่อยสิ” ผมบอกใหญ่กะทันหันเมื่อเหลือบไปเห็นบางอย่างข้างทาง
ใหญ่จอดรถเทียบฟุตบาทเลยที่เกิดเหตุไปประมาณสองเมตร ผมเปิดประตูลงมาจากรถก่อนหยุดยืนมองหนึ่งชายแก่และหนึ่งเด็กน้อยที่นั่งกอดกันอยู่ตรงมุมตึก
“น่าสงสารจัง” ภาพตรงหน้าทำเอาผมสะเทือนใจไม่น้อย ผมไม่รู้สาเหตุว่าเพราะอะไรถึงทำให้ชายมีอายุคราวปู่กับเด็กผู้หญิงตัวน้อยไม่น่าจะเกินห้าขวบในชุดมอซอทั้งคู่มาอยู่ตรงนี้ได้ สิ่งที่สะดุดตาผมและไม่สามารถมองผ่านไปได้คือดวงตาเศร้าหม่นแสงของทั้งคู่
ผมหันไปมองคนตัวโตที่ยืนข้างๆเขาพยักหน้าให้อย่างเข้าใจว่าตอนนี้ผมรู้สึกยังไงและอยากจะทำอะไร
ผมเม้มปากก่อนค่อยๆก้าวเดินเข้าไปหาเป้าหมายทรุดตัวนั่งยองลงตรงหน้าขณะที่สายตาหม่นสองคู่จะเงยขึ้นมอง
“คุณตาครับมีอะไรให้ผมช่วยไหม”
จบประโยคคนต่างอายุทั้งคู่ก็มองผมด้วยสายตามึนงงก่อนจะหันกลับไปมองหน้ากันอย่างไม่เข้าใจและเริ่มหวาดระแวง เอาล่ะผมควรจะต้องค่อยเป็นค่อยไปให้พวกเขาค่อยๆวางใจ
ผมจึงยิ้มกว้างอย่างเป็นมิตร “กินอะไรกันหรือยังครับ”
เหมือนผมจะมาถูกทางเพราะจากท่าทางกระตือรือร้นไหนจะดวงตาเป็นประกายของเด็กหญิงตัวน้อย
“หิว หนูหิว” ผมยิ้มกว้างส่งมือไปลูบศีรษะเล็กทุยพลางเอ่ยอย่างผู้ใหญ่ใจดี
“หนูหิวหรือคะงั้นไปหาของกินอร่อยๆกับพี่ไหม”
“ไปๆ หนูหิว” เด็กน้อยร้องพลางขย่มตัวบนตักคุณตาอย่างตื่นเต้นก่อนหันไปพูดกับคนอุ้มเจ้าตัว “ตาจ๋าๆ หนูหิว ไปนะๆ” แววตาประกายมีหวังทำให้คุณตาทำหน้าปั้นยาก เหมือนใจหนึ่งก็อยากไปแต่อีกใจก็ยังหวาดระแวง
“ไปเถอะ คงไม่มีทางเลือกที่ดีไปกว่านี้หรอก” เสียงทุ้มของนายหมาตูบที่ยืนอยู่ด้านหลังเอ่ยเสียงเรียบเอ๊ะ ทำไมนายพูดจาใจร้ายจัง ไปตอกย้ำเขาทำไมกัน แต่เหมือนประโยคจี้ใจดำข้างต้นจะทำให้คุณตาตัดสินใจได้และยิ่งหันไปมองหน้าหลานสาวก็ยิ่งแน่ใจ และการพยักหน้าน้อยๆก็เรียกให้ผมยิ้มกว้างอย่างดีใจ
แล้วผมก็ไม่ได้พาสองตาหลานไปฝากท้องที่ไหนไกล ร้านกินเส้นที่มีเจ้าของร้านหล่อที่สุดในโลกหล้านั่นเอง เชฟสุดหล่อของผมลงมือทำบะหมี่ชามพิเศษ เพิ่มเส้นเพิ่มหมูเพิ่มลูกชิ้นแถมหัวไชเท้าชิ้นโต เรียกได้ว่าจัดหนักจัดเต็มให้ถ้าไม่อิ่มเบิ้ลได้ไม่จำกัดอีกด้วย
“ค่อยๆกินลูกเดี๋ยวติดคอ” เสียงอาทรของคุณตาที่มีต่อหลานสาวทำให้ผมอิ่มเอมในหัวใจ ผมส่งมือไปลูบแผ่นหลังเล็กๆที่เจ้าของยังไม่เงยหน้าจากการดูดเส้นเข้าปาก แก้มกลมทั้งสองข้างพองออก ประกายตาความสุขของคุณตาที่มองมากับการพนมมือไหว้ขอบคุณทำให้ผมรีบยกมือไหว้กลับแทบไม่ทัน
“ขอบคุณ...ขอบคุณมากจริงๆ”
“อย่าไหว้ผมอีกนี้สิครับโ เดี๋ยวผมอายุสั้นหมด”
หลังจากนั้นผมก็ให้เก๋า(เด็กขายน้ำขวดที่ใหญ่จ้างมาเฝ้าร้านให้ชั่วคราว)จูงพาเด็กหญิงตัวน้อยที่ผมมารู้ชื่อทีหลังว่า ‘น้องดาว’ ไปทานน้ำแข็งไสร้านพี่จั่นที่อยู่ถัดจากร้านของใหญ่ไปอีกสามบล็อก
ส่วนคุณตาที่นั่งอยู่กับผมก็เล่าให้ฟังว่า...สองตาหลานความจริงแล้วอาศัยอยู่ที่จังหวัดเชียงใหม่ในกระท่อมหลังเล็กๆ มีอาชีพปลูกผักสวนครัวประทังชีวิตไปวันๆ สิ้นเดือนลูกสาวซึ่งก็คือแม่ของน้องดาวที่ทำงานอยู่กรุงเทพฯจะส่งเงินมาให้เป็นค่าเลี้ยงดูและค่าใช้จ่ายในการเรียนของหลาน แต่อยู่ๆก็หายไปไม่ติดต่อมาสามเดือนแล้ว ทางโรงเรียนก็ทวงค่าเทอมมาตลอดจนเมื่อสี่วันก่อนได้ยื่นคำขาดมาว่าถ้าไม่จ่ายค่าเทอมก็ต้องให้น้องดาวออกจากโรงเรียน คุณตาจึงตัดสินใจหอบหลานสาวมากรุงเทพฯเพื่อไปหาลูกสาวตามที่ทิ้งที่อยู่ไว้ให้
แต่เกิดเรื่องซะก่อนเมื่อรถกระบะที่อาศัยมาด้วยซึ่งคิดราคาต่ำกว่ารถทัวร์เกือบครึ่งปล่อยสองตาหลานทิ้งไว้ที่นี่เนื่องจากพอมาถึงกลางทางเจ้าของรถเรียกเก็บเงินเพิ่มแต่คุณตาไม่มีจ่าย
“ตาก็ไม่คิดว่าจะเป็นแบบนี้ เขาบอกตาว่าจะไปส่งของที่กรุงเทพฯพอดีเลยให้ติดรถไปด้วยกัน ขอให้ช่วยค่าน้ำมันรถเขานิดหน่อยตาเห็นว่ามันถูกเลยมากับเขา ไม่คิดว่าจะโดนทิ้งเงินก็ไม่มีติดตัวเพราะเขาเอาไปหมด ตาไม่รู้ว่าจะพาหลานกลับบ้านยังไงถ้าไม่ได้พ่อหนุ่มล่ะแย่เลย ขอบคุณพ่อหนุ่มมากนะ”
ถึงตรงนี้น้ำตาผมก็คลอหน่วงรอบดวงตา สิ่งที่ได้ยินผ่านการเล่าของคุณตาทำให้ผมปวดใจอย่างบอกไม่ถูก คนๆนั้นทำกับตาแก่ๆกับเด็กตัวน้อยน่ารักได้ยังไงนะใจร้ายจริงๆ
“แล้วคุณตาไม่อยากไปหาลูกสาวแล้วเหรอครับ”
“ตาคงไม่ไปแล้ว นี่ยังเจอขนาดนี้ถ้าไปถึงนู่นยังไม่รู้ว่าจะต้องเจออะไรอีก คนสมัยนี้รู้หน้าไม่รู้ใจ ตาขอกลับบ้านดีกว่า ส่วนหนูดาวคงให้ย้ายมาเรียนโรงเรียนวัดแถวบ้าน”
ผมอยากจะช่วยเหลือคุณตาให้มากกว่านี้แต่ก็ไม่รู้จะช่วยยังไง ที่ตัวเองสามารถทำได้ก็คงเป็นแค่ช่วยให้คุณตาได้กลับบ้าน
“คุณตาไม่ต้องห่วงนะครับเดี๋ยวคืนนี้พักกับผมก่อน พรุ่งนี้ผมจะพาคุณตากับน้องดาวไปส่งขึ้นรถกลับบ้าน”
“แต่ตาไม่มีเงิน...”
“ไม่ต้องเป็นห่วงครับเดี๋ยวผมจัดการเอง”
ถึงตรงนี้ดวงตาหม่นเศร้าที่ผมเห็นแปรเปลี่ยนเป็นดวงตารื้นน้ำตาที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความตื้นตันดีใจ และขอบคุณ
ผมพาคุณตาและน้องดาวมาพักค้างคืนที่คอนโด ทันทีที่เปิดประตูเข้าไปเจ้าตี๋น้อยก็วิ่งกระโจนมารับ(วันนี้ใหญ่ไม่ได้พาไปร้านด้วย) พอเห็นว่ามีคนแปลกหน้าเข้ามาด้วยก็ตั้งท่าแยกเขี้ยวขู่คำรามในลำคอ จนใหญ่ส่งเสียงดุให้นั่งลงมันถึงรู้ว่าสองตาหลานเป็นแขกไม่ใช่โจร
“เดี๋ยวคุณตาพาน้องดาวไปอาบน้ำก่อนก็ได้ครับ เดี๋ยวผมเตรียมที่นอนให้ห้องน้ำอยู่ในห้องนอนนะครับ” คุณตารับคำก่อนจูงมือหลานเข้าห้องน้ำไป เสียงน้องดาวเจื้อยแจ้วออกมาเป็นระยะขณะที่ผมกับใหญ่ช่วยกันปูผ้านวมเพื่อใช้เป็นพื้นที่หลับนอนในคืนนี้ จะให้นอนบนโซฟาก็ดูจะคับแคบไปสำหรับสองตาหลาน
ตาจ๋าห้องน้ำกว้างจัง
โหสบู่มีฟองเยอะมาก
ตาจ๋าๆที่อึอึ๊ไม่เป็นแบบนั่งยองๆเหมือนบ้านเราเลย
น้ำอุ่นๆหนูชอบ
เสียงสดใสมีความสุขที่ยิ่งฟังยิ่งทำให้ผมยิ้มกว้างอย่างมีความสุขไปด้วย
“ไม่เมื่อยแก้มบ้างหรือไง” ผมเงยหน้าขึ้นมองนายหมาตูบที่เอ่ยแซวด้วยน้ำเสียงนิ่งๆตามสไตล์
คำที่ยิ่งทำให้ผมยิ้มยิงฟันกว้างขึ้นก่อนจะเดินไปสวมกอดคนตัวใหญ่
“ก็เล็กดีใจที่ได้ช่วยเขาสองคนนี่”
ใหญ่วาดวงแขนมากอดเอวไว้หลวมๆอีกข้างยกขึ้นลูบศีรษะผมเบาๆ
“อีกหน่อยห้องคุณคงเป็นมูลนิธิแน่ๆ”
ป๊าบ
“ใหญ่ก็” ผมฟาดฝ่ามือไปบนแผงอกเขาอย่างหมั่นไส้คนขี้แหย่ เรายืนกอดยืนหยอกล้อกันสักพักผมก็แยกเข้ามาเตรียมเสื้อผ้าสำหรับอาบน้ำต่อในห้อง ส่วนใหญ่ขอตัวไปทำนมอุ่นๆให้ผมและสองตาหลาน
เมื่อสองตาหลานอาบน้ำเสร็จนมอุ่นๆจากนายหมาตูบก็มาเสิร์ฟพอดี น้องดาวดูชอบใจกับนมอุ่นรสแคนตาลูปของเธอมากและดวงตาก็ประกายวาววับมากขึ้นกับช่องการ์ตูนเน็ตเวิร์คในจอสี่เหลี่ยมตรงหน้า
ผมเข้ามาอาบน้ำต่อจากคุณตา วางเสื้อผ้าชุดใหม่ไว้ที่แท่นอ่างล้างหน้าก่อนเดินเข้ามาในส่วนกระจกฝ้าถอดเสื้อผ้าแขวนไว้บนราวแล้วเปิดน้ำอุ่นให้ไหลรินรดกาย
ฮ้า สบายจัง วันนี้นั่งทำงานทั้งวันเมื่อยไปหมดแถมสะโพกก็ยังขัดๆไม่หาย
กว่าจะอาบน้ำเสร็จก็เกือบครึ่งชั่วโมงเมื่อผมมัวแต่เพลินอยู่กับสายน้ำอุ่นๆและฟองสบู่หอมๆ กำลังหันมาคว้าผ้าเช็ดตัวก็ต้องร้องอุทานออกมาเมื่อเสื้อผ้าที่แขวนไว้บนราวร่วงตกลงมาบนพื้นจนเปียกไปหมด
ดีนะที่เป็นเสื้อผ้าเก่าที่ใส่แล้วบิดน้ำออกและเอาไปตากไว้ที่ระเบียงก่อนแล้วกัน
คิดได้ดังนั้นผมก็หยิบเสื้อและกางเกงขึ้นมาบิดน้ำออก
เอ๊ะ อะไรอยู่ในกระเป๋าเสื้อน่ะ
ผมคลี่เสื้อกางออกมาพลางล้วงเข้าไปในกระเป๋าเสื้อเชิ้ตของตัวเอง ดึงออกมาถึงรู้ว่าเป็นนามบัตรของคุณเฟยเฟิ่งที่เขาให้ไว้ในงานแต่งงาน ดีนะที่หมึกไม่เลือนจนตัวหนังสือหายไป บัตรก็ยังคงสภาพดูดีเหมือนไม่ได้เปียกน้ำด้วยซ้ำ
หืม?? ไม่เปียกงั้นเหรอ
ผมเบิ่งตาโตขึ้น รีบเดินออกไปวางนามบัตรบนแท่นอ่างอาบน้ำก่อนใช้ผ้าขนหนูเช็ดมือตัวเองให้แห้งสนิทแล้วหยิบนามบัตรขึ้นมาดูใหม่ ไม่รู้สึกถึงความเปียกชื้นเลยสักนิด ลองเปิดน้ำก๊อกเบาๆแล้วยื่นนามบัตรไปรองรับน้ำ...เหมือนน้ำที่ไหลหยดบนใบบัว...
หัวใจผมเต้นแรงระรัวขึ้น เหมือนเดจาวู ผมเคยเจอเหตุการณ์แบบนี้มาแล้วเมื่อเกือบห้าเดือนก่อนกับหนังสือหน้าปกสีแดง...คัมภีร์อาหารยอดยุทธ์ของใหญ่...
ผมรีบผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าอย่างรวดเร็วแล้วซอยเท้าตรงไปที่โต๊ะทำงานที่มีโน๊ตบุ๊ควางตั้งอยู่ จัดการเปิดเครื่องขณะรอ...หัวใจผมเต้นแรงจนเจ็บช่วงอก
เมื่อหน้าเดสท็อปปรากฏขึ้นผมก็รีบคลิกไปที่ตัวอีสีฟ้าเพื่อเข้าสู่โลกออนไลน์ เข้าเว็บกูเกิ้ลที่เสิร์ชหาทุกอย่างได้ทั่วทุกมุมโลกและพิมพ์ชื่อในนามบัตรพร้อมชื่อบริษัทลงไป
ข้อมูลการค้นหาขึ้นมามากมายผมเลือกกดเข้าไปดูรูป มีรูปคุณเฟยเฟิ่งตามงานต่างๆอย่างที่ผมคาดไว้จริงๆด้วย ทุกรูปจะมีคุณจิ่นตั้งในชุดสูทสีดำยืนเยื้องอยู่ด้านหลังเสมอและมีผู้ชายอีกประมาณห้าหกคนยืนคุมเชิงอยู่เหมือนคุ้มครอง ซึ่งก็ทำให้ผมเข้าใจแล้วว่าคนสนิทที่ว่าคงหมายถึงลูกน้องหรือบอดี้การ์ดเป็นแน่
ผมเลื่อนรูปลงดูเรื่อยๆจนถึงหน้าสอง ก็เป็นรูปซ้ำแบบเดิมๆแตกต่างก็คงเป็นโลเคชั่นกับชุดที่สวมใส่เท่านั้น แต่หลักๆแล้วคุณเฟยเฟิ่งนิยมใส่ชุดสูทสีขาวซะส่วนใหญ่ส่วนคุณจิ่นตั้ง...
เฮือก!
ผมสะดุ้งสุดตัวปล่อยเม้าท์และผละตัวออกราวกับเจอของร้อน จ้องมองรูปด้วยความหวาดหวั่น แววตาสั่นระริก เนื้อในอกเต้นแรงจนได้ยินเสียงตึกตักดังก้องในหู ค่อยๆยื่นมือที่สั่นระริกไปจับเม้าท์อีกครั้งก่อนกดขยายรูปด้วยมืออันสั่นเทา
มะไม่ใช่...คุณจิ่นตั้ง...ตะแต่เป็น...ใหญ่ต่างหาก
...นายหมาตูบของผม...
ใช่แน่ๆ ผมจำแววตาว่างเปล่าไร้ความรู้สึกดังที่เจอกันครั้งแรกได้...แววตาที่ผมคิดว่าเป็นเพราะเขาจำอะไรไม่ได้ แต่ไม่ใช่...นั่นคือแววตาจากตัวตนเขาจริงๆ
ผมใช้มืออีกข้างขยุ้มอกข้างซ้ายเอาไว้กดแรงๆอย่างหวังว่าให้มันสงบลง ก่อนที่มืออีกข้างจะใช้เลื่อนภาพลงดูเรื่อยๆ...ทุกภาพลงมามีแต่ภาพของใหญ่ทั้งนั้น ตำแหน่งยืนเช่นเดียวกับคุณจิ่นตั้งแตกต่างเพียงชุดสูทที่สวมใส่จะเป็นสีเทา...งานแต่งวันนั้นเขาก็เลือกชุดสีเทา...มองดูวันที่ลงรูปเป็นก่อนที่ใหญ่จะหายตัวไปทั้งนั้น
เขาดูหล่อและน่าเกรงขามมาก...ที่สำคัญดูตัวใหญ่มั่นคงพร้อมจะปกป้องคนชุดขาวตลอดเวลา และดูจากตำแหน่งการยืนแล้วคงไม่พ้นหัวหน้าลูกน้องชุดดำด้านหลังเป็นแน่
ผมเลื่อนดูทุกภาพแต่ก็ไม่มีชื่อจริงๆของใหญ่แสดงอยู่เลย จนเสียงเปิดประตูห้องดังขึ้นจึงรีบปิดหน้าต่างนั้นลงเป็นหน้าเดสท็อป วินาทีต่อมาก็รู้สึกถึงฝ่ามืออุ่นที่จับลงบนบ่าทั้งสองข้าง
“ทำงานเหรอ”
“อื้มแต่เสร็จแล้วล่ะ”
ผมปิดเครื่องก่อนลุกขึ้นมากอดเอวหนาแล้วซบหน้าลงกับอกอุ่นอย่างโหยหาสัมผัส...ผมลืมไปได้ยังไงกันว่าตัวตนของใหญ่คือใคร
ไม่ใช่...ผมไม่ได้ลืม...แต่ทำเป็นลืมต่างหาก ความเห็นแก่ตัวที่อยากจะเก็บเขาไว้ข้างกายจนลืมที่จะสืบหาความจริง ละเลยจนมองข้ามความรู้สึกใหญ่ไปว่าการอยู่อย่างไร้ตัวตนในสังคมแม้กระทั่งไร้ความทรงจำมันรู้สึกแย่แค่ไหน...ก็แค่อยากจะให้เขาอยู่กับผมอย่างนี้ตลอดไป
“งานหนักเหรอ...” เขากอดรัดผมแนบอกพลางเอ่ยถามอย่างห่วงใย ผมเงยหน้าชันคางไว้บนอกที่เต็มไปด้วยมัดกล้ามพลางช้อนตาขึ้นสบตา...ผมชอบแววตาที่อบอุ่นคู่นี้มากกว่าแววตาว่างเปล่าคู่นั้น...
ผมส่ายหัวแทนคำตอบก่อนเลื่อนสายตาลงมามองริมฝีปากบางเหยียดตรงและใหญ่ก็เข้าใจ...ก้มหน้าประกบจูบลงมามอบสัมผัสอ่อนโยนให้
ปลายลิ้นร้อนผ่าวแตะกันให้ความรู้สึกวาบหวานและหัวใจเต้นคับพองไปด้วยความรู้สึกอุ่นในอก เกลียวลิ้นค่อยๆเกี่ยวพันแลกเปลี่ยนรสชาติของน้ำเหลวใสให้แก่กันและกันลิ้มลอง
ฝ่ามือที่โอบรัดร่างผมอยู่ค่อยๆลูบไล้ ผมยกมือโอบกอดลำคออีกฝ่ายก่อนบดเบียดเนื้อตัวเข้าหาและปรับเอียงใบหน้าให้ได้มุมเพื่อเพิ่มรสจูบให้ร้อนแรงขึ้น
ฝ่ามือใหญ่ไล้ไปตามแผ่นหลังก่อนไล้ต่ำลงมาเคล้นคลึงที่สะโพก มืออีกข้างก็สอดเข้ามาลูบแผ่นท้องให้เสียววูบก่อนไต่ระดับขึ้นบดนิ้วโป้งเข้ากับตุ่มไตสีน้ำตาลอ่อนจนผมส่งเสียงครางออกมาเมื่อความเสียวปลาบแล่นจากจุดโดนสัมผัสลามไปทั่วร่างกาย
“ยะ...ใหญ่ อื้อ ไม่ทำได้มั้ย ยังเจ็บอยู่เลย...” หลังจากถอนจูบผมก็ส่งเสียงอ้อน สัมผัสทุกอย่างหยุดชะงัก ใหญ่จ้องมองอย่างชั่งใจก่อนจะถอนหายใจเฮือก ลูบใบหน้าตัวเองอย่างระงับอารมณ์
“ไปนอนกันเถอะ” ใหญ่ใช้มือข้างเดียวกอดเอวไว้ก่อนพาเดินมาล้มลงนอนด้วยกันบนเตียงก่อนที่อีกฝ่ายจะรั้งผมเข้ามากอด “คืนนี้ขอนอนด้วยนะ ข้างนอกมีคนแย่งที่ซะแล้ว”
“อื้ม มานอนด้วยกันทุกคืนเลยนะ” ผมว่าแล้วซุกตัวเข้าหามากยิ่งขึ้น รู้สึกถึงริมฝีปากที่แตะลงบนศีรษะ และก่อนที่เราทั้งคู่จะหลับไปผมก็เอ่ยถามเสียงแผ่ว
“ใหญ่...นายอยากรู้มั้ยว่าตัวเองเป็นใคร” มีแต่ความเงียบแต่ผมรู้ว่าเขาได้ยิน “ไม่อยากรู้เหรอ...”
“อยากสิ”
“เหรอ...”
“ผมมักฝันเห็นอะไรแปลกๆบ่อยๆ น่าจะเป็นผมเมื่อก่อนนั้น” ผมเงยหน้าพรวดมองเขาอย่างตกใจ ใหญ่กดศีรษะผมให้ซบลงดังเดิมก่อนว่าต่อ “ผมมักเห็นตัวเองในชุดสูทสีเทา...ในเหตุการณ์ต่างๆ แต่มันกระท่อนกระแท่นจับเป็นเรื่องราวไม่ได้เลย”
“นะนานแค่ไหนแล้ว...”
“ตั้งแต่ผมแยกจากคุณเมื่อสามเดือนก่อน”
ถ้าอย่างนั้นเขาก็ฝันมาร่วมสามเดือนแล้วสิมีสิ่งหนึ่งที่ผมอยากรู้และก็เอ่ยถามออกไป
“ในฝันของนายมีคุณเฟยเฟิ่งด้วยมั้ย” เสียงผมสั่นไหวจนรู้สึกได้ใหญ่เงียบไปอึดใจก่อนตอบ
“ผมไม่แน่ใจว่าใช่เขามั้ย มันเลือนๆผมเห็นหน้าไม่ชัดแต่ผมมักเห็นผู้ชายในสูทสีขาว...” แค่ตรงนี้ผมก็กอดรัดเขามากขึ้นอย่างรู้ดีว่าเขาเห็นอะไร ในใจมันวูบโหวงไปหมด
“ใหญ่...ถ้าใหญ่อยากจะสืบหาตัวตนของตัวเอง...ฉันจะช่วยนะ” เสียงผมสั่นมากช่างไม่มีความมั่นคงในน้ำเสียงเอาซะเลย ผมจะเห็นแก่ตัวไม่ได้ ครอบครัวของใหญ่อาจจะรอเขาอยู่...พ่อแม่...พี่น้อง...หน้าที่การงานของเขา...ตะแต่ผม...
เหมือนใหญ่จะจับความรู้สึกได้เขากอดรัดผมไว้และลูบแผ่นหลังเบาๆอย่างปลอบโยน
“นอนเถอะไม่ต้องคิดมากนะ ตอนนี้ผมมีความสุขดี”
“อืมเล็กก็มีความสุข”
ติ๊ดๆ
‘คุณเฟยเฟิ่ง ขอโทษที่ผมไม่ได้โทรไปด้วยตัวเอง ผมเห็นว่าในยามวิกาลเช่นนี้ควรจะส่งข้อความมากกว่า...ถ้าไม่รบกวนจนเกินไปพรุ่งนี้ผมขอนัดเจอคุณได้ไหมครับ’
ติ๊ดๆ
‘ด้วยความยินดีครับพรุ่งนี้ผมว่างตอนสิบโมง ส่วนสถานที่คุณนัดมาได้เลย
............คุณติดต่อมาเร็วกว่าที่ผมคิดไว้นะครับ’
ขอบคุณมากนะครับ{:5_130:} ขอบคุณครับ {:5_146:} ;P;P;P เขาคือใคร อยากรู้จริง ๆ เลย ว่า องค์กรลับ หรือ อะไรแน่ ขอบคุณมากเลยครับ สนุกมากเลยครับ ขอบคุณมากครับ ขอบคุณครับ{:5_119:} ขอบคุณครับ {:5_119:}ขอบคุณครับ{:5_119:} ว่าแล้วเชียวต้องเป็นแบบนี้ มาแล้ว พล็อตหนังใหม่ รักสุดใจ นายบอดี้การ์ดข้ามแดน .. สนุกมากครับ ขอบคุณครับ ตามต่อ ขอบคุณครับ ขอบคุณครับ ขอบคุณครับ