หมอหนุ่มกับเด็กช่าง ตอนที่ 1
กลางดึกเงียบสงัด ผมกำลังนั่งดูชาร์ตคนป่วยคนหนึ่งเพื่อวินิจฉัยอาการของโรคให้ละเอียดอีกครั้ง ก่อนจะทำการผ่าตัดใหญ่พรุ่งนี้เช้า แต่ขณะที่กำลังใช้ความคิดอยู่นั้น ก็มีคนมาเคาะเรียก
“คุณหมอค่ะ...คุณหมอ...”
เสียงพยาบาลสาวกะดึกเรียกจากด้านนอกห้องพัก
“มีไรว่ามา”
“มีผู้ป่วยฉุกเฉินเข้ามาค่ะ หมอเวรแกออกไปทำธุระข้างนอก กว่าจะกลับก็เกือบชั่วโมง”
พอได้ยินคำว่า “ผู้ป่วยฉุกเฉิน” สัญชาตญาณความเป็นหมอทำให้ผมหยิบอุปกรณ์ประจำตัวเดินไปเปิดประตูห้อง แล้วเดินตามพยาบาลสาวออกไปทันที กระทั่งไปเจอคนเจ็บซึ่งนอนร้องโอดโอยอยู่ สอบถามจากเพื่อนๆ ที่นำพามาส่งโรงพยาบาล ทราบความว่าเพิ่งไปแสดงความรักสถาบันมา ประกาศเกียรติคุณสถาบันให้ชาวบ้านชาวเมืองได้รับรู้ด้วยการยกพวกเข้าตีกัน ซึ่งเด็กหนุ่มคนที่นอนอยู่ถูกตีด้วยไม้ทีจนเลือดอาบ หันหน้าไปมองวัยรุ่นซึ่งยังอยู่ในชุดนักศึกษาอาชีวะ ได้แต่ส่ายหน้าด้วยความระอา เพราะนี่ไม่ใช่รายแรกที่ผมเพิ่งประสบ รับเอกสารประวัติคนไข้จากพยาบาลสาว ก่อนจะหันไปบอกนักการ
“น้าช่วยเข็นเตียงไปห้อง ER ได้เลย เดี๋ยวผมตามไปดูแผลและทำแผล”
สั่งนักการเสร็จ ผมก็หันไปสั่งผู้ช่วยพยาบาล
“ช่วยเตรียมยาและอุปกรณ์ต่างๆ สำหรับทำแผลให้ผมด้วย ดูท่าน่าจะต้องเย็บหลายเข็มทีเดียว”
เมื่อเข้ามาภายในห้องER คนป่วยยังคงส่งเสียงครวญครางด้วยความเจ็บปวดอยู่ เห็นแล้วรู้สึกหมั่นไส้ ก่อนทำกลับไม่คิด พอเกิดปัญหาขึ้นมาร้องโอดร้องโอย เห็นเลือดตนเองแล้ว ใจเสาะยิ่งกว่าปลาซิวเสียอีก
ถึงจะรู้สึกอย่างไร แต่เมื่อมันคือหน้าที่ ผมจำเป็นต้องทำหน้าที่ของตนให้ดีที่สุด ดังนั้นจึงพูดคุยทักทายกับคนเจ็บด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน เพื่อเบี่ยงเบนความใจของคนเจ็บจากความเจ็บปวดที่ตนได้รับมา ขณะที่สายตาก็สังเกตอาการคนป่วยไปในตัวด้วย ช่วยเย็บแผลให้คนเจ็บจนเสร็จสรรพเรียบร้อย พร้อมพยักหน้าให้ผู้ช่วยพยาบาลสาวออกไปด้านนอก เพราะสังเกตเห็นว่าคนเจ็บจะอายๆ พยาบาลสาวอยู่ในที
“มีอะไรก็ไปทำต่อเถอะ ต่อจากนี้เดี๋ยวผมจัดการเอง”
ขณะที่พยาบาลสาวกำลังจะเดินออกไป ผมหันไปสั่งอีกครั้ง
“ช่วยรูดม่านปิดกั้นเตียงคนไข้ให้ผมด้วย”
จากการที่เคยมีประสบกามทางเพศระหว่างผู้ชายกับผู้ชายกับคนป่วยคนหนึ่งมาก่อน มโนภาพเก่า ๆ ซึ่งผ่านมานานแล้ว หวนย้อนผุดขึ้นในสมองของผมอย่างไม่ทันตั้งตัว มองหน้าคนเจ็บครู่หนึ่งก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
“ลุกขึ้นนั่งได้เปล่า”
“ได้ครับ”
“งั้นลุกขึ้นถอดเสื้อออกก่อน หมอจะได้ทำแผลได้สะดวกหน่อย อีกอย่างเสื้อมันเปื้อนเลือดเต็มไปหมด เดี๋ยวจะติดเชื้อได้ง่าย”
ชายหนุ่มวัยย่าง ๒๐ พยุงตัวลุกขึ้นอย่างทุลักทุเล โดยมีหมอยื่นมือมาช่วยปลดกระดุมเสื้อออกให้ ไม่นานร่างกายท่อนบนก็เปลือยเปล่า นอนกัดฟันเพื่อสะกดกลั้นอาการเจ็บปวดหลับตานิ่ง
พลันได้เห็นเรือนร่างคนเจ็บหนุ่ม หมอนเรศก็ตกอยู่อาการตะลึงไปชั่วขณะ ทุกสิ่งทุกอย่างภายในห้องER หยุดนิ่งไปชั่วขณะ แม้จะเป็นช่วงเวลาสั้น แต่ช่างเป็นเวลาที่นานแสนนานเหลือเกินในความรู้สึกของผม ก่อนจะเรียกสติกลับคืนมาหยิบผ้าปิดจมูกขึ้นมาจากถาดที่วางอุปกรณ์ แล้วเอาห่วงด้านหนึ่งคล้องที่ใบหูซ้าย ส่วนอีกด้านหนึ่งปล่อยไว้เพราะว่าเวลาพูดกับคนไข้ จะได้ยินชัด และไม่ลืมเอาผ้าปิดปากขณะทำแผล แต่ด้วยอารมณ์และความต้องการส่วนลึกมันพาไป ผมจึงสวมถุงมือเพียงด้านซ้าย ขณะที่ด้านขวาซึ่งเป็นฝ่ามือเปล่าๆ ลูบไล้ไปตามท่อนบนของชายหนุ่ม
แต่เพื่อไม่ให้เป็นที่ผิดสังเกต ตลอดเวลาที่ผมจับมือหรือลูบไล้ฝ่ามือของอีกฝ่ายอยู่นั้น สายตายังคงจับจ้องมองหน้า ส่งสายตาแสดงความเป็นห่วงเป็นใยตามหน้าที่ ทำให้สามารถรับรู้ถึงปฏิกิริยาของชายหนุ่มที่แสดงออกมาทางแววตาได้เป็นอย่างดี
ขณะที่คนเจ็บก็นอนเฉยๆ ปล่อยให้หมอหนุ่มลูบไล้ไปเรื่อย เพราะคิดว่าหมอคงทำการสำรวจว่ามีบาดแผลที่อื่นบ้างหรือเปล่า จึงไม่ได้แสดงอาการขัดขืน มีเพียงเสียงร้องโอดครวญเบาๆ จากพิษของบาดแผลที่ได้รับ
นั่นยิ่งทำให้หมอหนุ่มได้ใจ ยังคงลูบไล้เบาๆ ไปทั่วเรือนร่างเปลือยเปล่าของคนเจ็บหนุ่ม เริ่มจากแผงอกที่ขาวเนียนไร้เส้นขนขึ้นปกคลุม บางครั้งก็ใช้ปลายนิ้วเวียนวนที่หัวนมซึ่งเพิ่งแตกพานได้ไม่กีปี จากหลอดไฟกำลังสูงสำหรับตรวจร่างกายคนป่วยที่ห้อยแขนติดกับเพดาน ทำให้สามารถมองเห็นใบหน้าคนเจ็บบิดเบี้ยว เพราะเกิดจากความเสียวซ่าน
อยากจะลองทดสอบปฏิกิริยาชายหนุ่มดู จึงลูบไล้ลงมาต่ำเรื่อยๆ ที่หน้าท้องวนเวียนขึ้นบนลงล่าง คราวนี้ได้ผล เสียงร้องโอดครวญอย่างทรมานจากพิษบาดแผลเริ่มจางหายไป เหลือเพียงเสียงลมหายใจถี่หอบเบา ๆ ดังมาเป็นระยะ สังเกตได้ชัดจากจังหวะการเต้นชองชีพจร
“ยังเจ็บแผลเหมือนเดิมหรือเปล่าครับ”
ถามถึงอาการบาดเจ็บที่แผล เพื่อดึงความสนใจคืนมา และเพื่อไม่ให้คนเจ็บคิดว่าผมกำลังลวนลามแกอยู่
เด็กช่างซึ่งกำลังอยู่ในภาวะมึนๆ สลึมสะลือ เคลิ้มๆ ด้วยอารมณ์หลากหลายเกินกว่าจะเข้าใจได้ ลืมตาขึ้นมองหมอหนุ่มซึ่งจ้องมองตนเองอยู่ก่อนแล้ว ตอบด้วยน้ำเสียงแหบห้าวตามวัย
“มันมึนๆ ยังไงไม่รู้ครับหมอ”
หมอหนุ่มแกล้งทำหน้าพยักเหมือนเข้าใจความรู้สึกคนป่วยเป็นอย่างดี ถามมาด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนอีกครั้ง
“หมอไม่รู้ว่านอกจากศีรษะแล้ว ยังมีส่วนไหนได้รับความกระทบกระเทือนอีกหรือเปล่า ขอหมอตรวจดูหน่อยนะ ถ้าเจ็บตรงไหนให้บอกทันที”
ใช้หูฟังตรวจอาการทั่วไปเห็นว่าทุกอย่างปกติดี แต่ที่ไม่ปกติคืออารมณ์เปลี่ยวของตนในขณะนี้ ทำให้ผมภายหลังเก็บอุปกรณ์ลงถาดแล้ว ใช้ฝ่ามือลูบไล้บริเวณแผงอกเหนือหัวนมเล็กน้อยอีกครั้ง
“ตรงนี้เจ็บไหม?”
คนเจ็บส่ายหน้า
“หมอกดตรงไหน ถ้าเจ็บให้บอกทันทีนะ เพราะอาการบาดเจ็บภายนอกคิดว่าไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง แต่หมอไม่รู้ว่าข้างในมีอาการบาดเจ็บอะไรบ้างหรือเปล่า เพราะไม่สามาตรวจด้วยสายตาได้ อย่างเช่นอาการช้ำใน เลือดคลั่ง ผมแกล้งอธิบายหลักการแพทย์เพื่อให้คนเจ็บคล้อยตาม
“ครับคุณหมอ”
เด็กช่างตอบพร้อมพยักหน้าอย่างเข้าใจในความหมาย
ขณะที่มืออีกข้างลูบไล้ไปตามเรือนร่างคนเจ็บเหมือนตรวจดูอาการทั่วไป ขณะที่มือข้างหนึ่งยื่นไปกุมมือชายหนุ่มไว้เหมือนจะให้กำลังใจ โดยได้ซอนนิ้วชี้กับหัวแม่มือของตนจับด้านข้อนิ้วตรงส่วนที่เป็นเล็บซึ่งตัดไว้อย่างเรียบร้อย ลูบไล้เบาๆ ไปมา ส่วนปากก็ยังสอบถามอาการคนป่วยไปเรื่อย มือก็สัมผัสเบาๆ ด้วยการลูบไล้ไปตามลำนิ้ว ก่อนค่อยพลิกฝ่ามือเด็กกช่างหงายขึ้น ลูบที่ฝ่ามือด้วยสัมผัสแผ่วเบา โดยเฉพาะปลายนิ้วนางกับนิ้วกลางที่เป็นนิ้วซึ่งวัยต่อความรู้สึกอยู่แล้ว ลูบวน ๆ อยู่ตรงนั้นเป็นเวลานาน แล้วค่อยสลับกลับมาลูบที่ฝ่ามือ กำไว้แน่น บรรจงใช้ปลายนิ้วชี้เกาเบาๆ ที่ตรงกลางฝ่ามือ จนสัมผัสได้ถึงอาการเสียวสยิวของอีกฝ่าย โดยเฉพาะเมื่อโดนมือขวาของผมสัมผัสตรงผิวอ่อนบริเวณก้านคอและกกหู แทบไม่แตกต่างอะไรกับกรงเล็บของเหยี่ยวที่ได้สยายออกพร้อมสำหรับตะปบเหยื่อของมัน
เพื่อไม่ผิดสังเกตมากเกินไป ก็เลยถือโอกาสถามประวัติไปในตัวด้วย
“ไปมีเรื่องกับใครมาล่ะ ช่วยเล่าวีรกรรมก่อนมาโรงพยาบาลให้ฟังบ้างสิ”
ผมรับฟังวีรกรรมเด็กช่างยิ้ม ๆ ไม่แสดงความคิดเห็นอะไร ก่อนจะสรุปด้วยตนเอง
“ที่แท้ก็เรื่องผู้หญิงนี่เอง”
ชำเลืองมองคนเจ็บนิดหนึ่ง
“แต่จะว่าไป เราก็รูปร่างหน้าตาดีมาก ๆ คนหนึ่งเลยนะนี่”
เด็กช่างเจอหมอหนุ่มชมซึ่งๆ หน้า ใบหน้าแดงก่ำ เขินอาย แต่ก็ไม่ได้กล่าวอะไรต่อ นอนหลับตานิ่งสะกดกลั้นอารมณ์บางอย่างซึ่งกำลังปั่นป่วนอยู่ข้างใน
นเรศต้องการหยั่งเชิงดูอีกครั้ง จึงลูบต่ำลงมาถึงท้องน้อย ลอดใต้กางเกงแสล็คประจำสถาบันเข้าไป จนสัมผัสได้ถึงขนหยาบๆ ที่ปกคลุมอยู่ด้านใน จนกระทั่งฝ่ามือไปสัมผัสกับท่อนเนื้ออุ่นเข้าอย่างจัง
เด็กช่างตกใจสะดุ้งนิดหนึ่ง พร้อมกับขยับสองขาหนีบไขว้กันไว้ ผมเองก็ตกใจเหมือนกัน รีบหดมือคืนมากดบริเวณท้องน้อย ถามกลบเกลื่อนด้วยน้ำเสียงราบเรียบเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“ตรงท้องน้อยปวดบ้างหรือเปล่า”
“เปล่าครับหมอ แต่ผมรู้สึกปวดฉี่ ผมขอไปปล่อยก่อนได้เปล่า?
ผมพยักหน้าให้ แต่พอคนเจ็บลุกจากเตียง ด้วยความที่เสียเลือดมากด้วย และนอนทำแผลเป็นเวลานานด้วย ทำให้ร่างเซ ผมจึงต้องรีบคว้าไว้ก่อนแกจะล้มลงกับพื้น
“รู้สึกมึนๆ ยังไงชอบกลครับหมอ”
“ให้หมอพยุงไปเข้าห้องน้ำดีกว่า เดี๋ยวเกิดหกล้มขึ้นมา จากเจ็บเบาจะกลายเป็นเจ็บหนักโดยใช่เหตุ”
“ครับ”
พอไปถึงหน้าประตูห้องน้ำ ผมเปิดประตูให้ หันหน้ามาทางคนเจ็บ
“ไหวเปล่า? ให้พี่ช่วยพยุงไปยืนตรงโถมั้ย?”
ผมกล่าวด้วยน้ำเสียงแสดงความห่วงใย แต่ในใจกลับคิดอีกด้านหนึ่ง
เด็กช่างที่ท่อนบนเปลือยเปล่าหันหน้ามาทางผมอาย ๆ ก่อนจะตอบ
“ไหวครับพี่”
แม้จะรู้สึกเสียดายนิดๆ ที่ไม่ได้เห็นไม้ทีเด็กช่าง ผมจึงค่อยปล่อยมือที่คล้องแขนคนเจ็บ ถอยหลังออกมายืนคอยด้านนอก ทั้งที่ใจอยากจะไปยืนใกล้ ๆ แต่ก็เหมือนบุญบันดานสวรรค์บันดล พอชายหนุ่มถ่างขาออกเพื่อยืนเยี่ยวให้ตรงโถ ร่างกายที่ยังไม่แข็งแรงพอ ก็ถลาไปพิงติดอยู่กับผนังห้องน้ำ ทำให้ผมต้องรีบผลักประตูเข้าไปประคองร่างนั้นไว้ก่อนจะล้มลงน็อกพื้น ค่อยๆ ประคองมายืนตรงโถ
เด็กช่างมองผมยิ้มอาย ๆ
“ไม่ต้องอายพี่หรอก เห็นมาเยอะแล้ว ขนาดช่วยจับยื่นตรงโถก็เคยมาแล้ว”
จากนั้นผมใช้มือขวาถลกขากางเกงขึ้น พร้อมกับล้วงเข้าไปจับไม้ทีซึ่งอยู่ด้านในออกมายื่นให้ตรงกับโถฉี่ ด้วยความที่กำบังลมกระเพาะปัสสาวะกำลังบีบตัว ทำให้มันค่อยๆ ตื่นขึ้นเรื่อยๆ
“โอ้พ่อเจ้าแม่เจ้า!”
ทันทีที่ได้เห็นขนาดของมันที่ยังไม่แข็งตัวดี ผมได้แต่กลืนน้ำลายเหนียวๆ ลงคออย่างยากลำบาก แต่สายตายังคงจับจ้องอยู่ที่ท่อนเอ็นซึ่งปล่อยน้ำสีเหลืองอำพัน เบื้องต้นพุ่งเป็นแนวโค้งลงไปยังโถอย่างแม่นยำ แต่เมื่อมีการบีบตัวแรงขึ้นด้วยความที่รูมันใหญ่ด้วย ทำให้น้ำสีเหลืองอำพันพุ่งเฉออกนอกโถกระทบกำแพงห้อง กระเด็นย้อนมาโดนผมซึ่งยืนอยู่ใกล้ๆ
“ขอโทษครับหมอ ผมปวดตั้งแต่มาถึงโรงพยาบาลแล้ว มันก็เลยพุ่งแรงกระเด็นถูกหมอเลย”
น้ำเสียงแผ่วเบา หน้าแดงก่ำด้วยความขวนอาย
ผมไม่ได้ยินด้วยซ้ำว่าชายหนุ่มกล่าวว่าอย่างไร เพราะสายตาของผมมันกำลังจดจ้องอยู่ที่ลำท่อนคล้ายดอกเห็ดฟางที่กำลังจะบาน บริเวณปลายสีแดงอมชมพู แสดงให้เห็นว่าคงผ่านการใช้ไม่มากนัก เห็นแล้วมันน่าละเลงลิ้นเสียเหลือเกิน ตรงลำท่อนลำเขื่องจะบอกว่าขาวเสียทีเดียวก็ไม่ใช่ จะบอกว่าดำทะมึนก็ไม่ใช่ กำลังแข็งตัวอย่างเต็มที่ มีเส้นเลือดปูดโปนจนสังเกตเห็นได้ชัด ความยาวของมันแม้จะโผล่ออกมาเพียงเล็กน้อย แต่ที่เหลืออยู่ข้างในก็คงยาวพอสมควร
“หมอครับ ”
วรชัยหรือเบิร์ดส่งเสียงเรียก เมื่อเห็นหมอหนุ่มจ้องลำท่อนตนเองอย่างตกตะลึง ด้วยสายตาที่หยาดเยิ้ม
เสียงเรียกของคนเจ็บช่วยปลุกผมให้ตื่นจากภวังค์ ผมไม่รู้ตัวเลยว่าตนเองเผลอตัวเผลอใจมองท่อนเอ็นคนเจ็บเป็นเวลานานเท่าไหร่
“เลอะหมดเลย ต้องขอโทษจริง ๆ”
ขณะกล่าวใบหน้าแดงก่ำ
“ไม่เป็นไร พรุ่งนี้เช้าแม่บ้านก็มาทำความสะอาดเป็นประจำอยู่แล้ว”
ภายหลังปัสสาวะเสร็จ คนเจ็บล้วงท่อนเอ็นขนาดเขื่องออกมาสะบัดสลัดน้ำที่ปลายออก ๔ – ๕ ครั้ง ดึงกางเกงที่ถลกพ้นแก้มก้นมาหน่อยหนึ่งขึ้นมาสวมไว้เหมือนเดิม ทั้งที่ท่อนเอ็นยังแข็งโด่อยู่อย่างนั้น ยื่นมือเข้าไปคล้องคอผมเพื่อให้ช่วยพยุงเดินกลับไปที่เตียงเหมือนเดิม
“ขอบคุณมากครับคุณหมอ หากไม่มีคุณหมออยู่ด้วย ผมคงได้อีกแผลเป็นแน่”
ชอบมากครับ ขอบคุณครับ
ขอบคุณครับ {:5_120:}
ตอนแรกก้แซ่บเลย ขอบคุณคับ น่าติดตามมากๆ ขอบคุณครับ ขอบคุณครับ ขอบคุณครับ ใจจ้า ขอบคุณครับ
ขอบคุณคับ ขอบคุณครับ ขอบคุณครับ เรื่องน่าติดตามมากคครับ ขอบคุณครับ ขอบใจ น่าสนุกดี ใจหวิวตามหมอเลยว่ะ เจ็บอย่างนี้ดี ขัดขืนไม่ได้ เนียนมากเลยครับคุรหมอ สนุกมากครับ