มะปราง
เมื่อเกือบยี่สิบปีที่แล้วผมเคยทำงานเป็นผู้จัดการไซท์งานวางเสาไฟฟ้าริมทางหลวงแถบจังหวัดทางภาคกลางตอนบน มีคนงานสามีภรรยาชาวเมียนมาร์คู่หนึ่งชื่อนายหักกับนางเยาว์มีลูกสาววัยกระเตาะชื่อน้องมะปราง นายหักเป็นคนชอบดื่ม ดื่มจนเมามายโหวกเหวกโวยวายด่าลูกด่าเมียเป็นประจำทุกวันจนเป็นที่ระอาใจของคนงานอื่นๆในแคมป์ค่ำวันหนึ่งทุกคนได้ยินเสียงนายหักโวยวายใส่ลูกสาวลงมือลงไม้เหมือนจะเอาเป็นเอาตายให้ได้จนคนงานอื่นๆทนสงสารเด็กไม่ไหวบอกจะโทรแจ้งตำรวจ ในฐานะผู้จัดการผมจึงต้องเข้าห้ามปรามเสียก่อนจะเป็นเรื่องราวใหญ่โต นายหักอยู่ในสภาพเมามายร้องไห้สะอึกสะอื้นเล่าให้ฟังว่าลูกสาววัยกระเตาะตั้งครรภ์ได้เกือบห้าเดือนแล้ว ซักถามเท่าไหร่ก็ยังไม่ได้ความว่าใครเป็นพ่อเด็ก นายหักยืนยันว่าจะพาลูกสาวไปทำแท้งที่คลีนิคเถื่อนในตัวจังหวัด
นอนก่ายหน้าผากคิดอยู่หนึ่งคืนเห็นโอกาสที่จะได้ทำบุญใหญ่ไถ่ชีวิตให้ไม่ต้องถูกพิฆาตอาสัญ ในวันรุ่งขึ้นผมเสนอเงินจำนวนสองแสนเจ็ดหมื่นบาทเพื่อจะขอแลกสิทธิในการเป็นรับเป็นผู้อุปการะลูกสาวของนายหักโดยมีเจ้าหน้าที่ตำรวจลงบันทึกประจำวันเป็นสักขีพยานในใบสัญญารับเป็นผู้อุปการะ โดยมีข้อบังคับสำคัญคือ ห้ามผมแตะต้องล่วงเกินน้องมะปรางจนกว่าจะบรรลุนิติภาวะ
ผมลาออกจากโรงงานพามะปรางกับลูกในท้องเข้ากรุงเทพเช่าบ้านอยู่ย่านถนนเทพารักษ์ พาเธอไปฝากท้องเตรียมตัวคลอดที่โรงพยาบาล ทุกอย่างลุล่วงผ่านไปปลอดภัยดีทั้งแม่และลูก ทารกน้อยอันงดงามที่เกือบจะไม่มีวันได้ลืมตามาดูโลกทำเอาผมจุกแน่นในอกด้วยความปลื้มปิติ
ราวสามเดือนหลังคลอด นายหักกับนางเยาว์เดินทางมาขอเยี่ยมลูกสาวกับหลาน ค่ำวันนั้นหลังจากขับแท็กซี่ผมเดินหิ้วถุงของกินของใช้กลับเข้าบ้านได้พบกับภาพทารกน้อยวัยสามเดือนนอนคราบน้ำมูกน้ำตาเกรอะหน้าอยู่บนฟูกเพียงลำพังข้างตัวมีขวดนมขวดน้ำเย็นชืด เสื้อผ้าข้าวของเครื่องใช้ของมะปรางถูกเก็บจนหมดเกลี้ยง ผมเดาว่านายหักกับนางเยาว์คงตั้งใจมาพาตัวลูกสาวไปโดยทิ้งมารหัวขนเลือดเนื้อเชื้อไขแท้ๆไว้ให้เป็นการทดแทน
ผมตั้งชื่อเธอว่า ปรางค์ เพื่อระลึกถึงความวู่วามใจเร็วทำชีวิตตัวเองให้พลิกผันจากผู้จัดการไซท์งานมาเป็นคนขับแท็กซี่ แม่ผมเคยเสนอว่าจะรับยัยปรางค์ไปเลี้ยงดูให้เพื่อที่ผมจะได้เริ่มต้นชีวิตใหม่แต่ผมก็ปฏิเสธ เพราะตั้งใจประชดชีวิตแล้วว่ายังไงก็จะดูแลเด็กคนนี้ให้ดีให้ได้
………………..
มะปรางปรากฏตัวขึ้นอีกครั้งในเช้าวันหนึ่ง เธอคร่ำครวญเล่าให้ผมฟังว่าตลอดห้าปีมานี้เธอทนนอนร้องไห้คิดถึงลูกทุกคืน เป็นเพราะนายหักกับนางเยาว์บังคับขู่เข็นให้เธอต้องทิ้งลูกไว้ ผมหยุดขับรถสองวันเพื่อพาสองแม่ลูกออกไปเที่ยวช้อปปิ้งเดินห้างดูหนังซื้อของโน่นนี่ ฟังเรื่องราวที่มะปรางเล่าถึงยังไม่ปักใจเชื่อในหลายจุดแต่ก็ยอมรับว่าผมอินกับบรรยากาศความเป็นครอบครัวพร้อมหน้าอยู่ไม่น้อย ปรางค์เองก็ดูร่าเริงมีความสุขกว่าที่เคย
ผ่านไปห้าปี ลูกสาวของนายหักกับนางเยาว์ในวัยเกือบจะเต็มสาวเชื้อสายพม่าตอนบนผมดำขลับเหยียดตรงเรือนร่างสูงโปร่งส่วนเว้าส่วนโค้งชวนมอง พลันนึกถึงถ้อยคำในหนังสือสัญญาที่เขียนบังคับว่าผมจะไม่แตะต้องเธอจะกว่าจะบรรลุนิติภาวะ ในกลางดึกของคืนที่สองมะปรางเปิดประตูเข้าหาถึงในห้องนอน ผมหรี่ตามองภาพในแสงสลัวรู้ได้ตามสัญชาติญาณว่ากำลังจะเกิดอะไรขึ้น เธอนั่งลงที่ปลายเตียง ถามว่าขอกลับมาอยู่ที่บ้านนี้อีกจะได้ไหม ผมตอบว่าได้
มะปรางไม่พูดพร่ำสอดมือเข้าไปในเสื้อปลดตะขอยกทรงล้มตัวลงพลิกลงนอนหงายสบตา ผมจูบดูดดื่มสอดมือเข้าเคล้นสองเต้าคลึงบีบหัวนมพรมจูบสูดกลิ่นสาปสาวซุกไซร์ไปตามซอกคอ มะปรางหลับตากัดริมฝีปากแน่นผ่อนลมหายใจแรง เธอปลดเปลื้อเสื้อผ้าของตัวเองจนเปลือยเปล่าเลื้อยไล่ลงถอดกางเกงนอนของผมออกประคองท่อนเนื้อแข็งปั๋งแทบจะระเบิดเข้าปากดูดกินอย่างโหยกระหาย เรามีอะไรกันตลอดทั้งคืนเหมือนแม่เหล็กต่างขั้วที่ไม่สามารถแยกออกห่างจากกันได้
………………..
ผมกลับจากขับแท็กซี่ถือถุงข้าวของเครื่องใช้ของกินพะรุงพะรังเดินผ่านเข้าซุ้มประตูรั้วบ้าน เหมือนฉายหนังซ้ำ เด็กหญิงวัยห้าขวบนั่งร้องไห้สะอึกสะอื้นอยู่ที่มุมห้อง ข้าวของถูกรื้อค้นกระจัดกระจายทรัพย์สินมีค่าเงินสดและแม้แต่สร้อยพระเลี่ยมทองที่แม่ให้มาเก็บไว้ก็หายไปด้วยทั้งหมด ปรางค์สะอึกสะอื้นเล่าให้ฟังว่าเมื่อตอนบ่ายแม่พาเพื่อนผู้ชายเข้ามารื้อค้นทรัพย์สินในบ้าน คิดว่ามะปรางคงวางแผนเตรียมมายกเค้าบ้านผมตั้งแต่ต้น เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนคงเป็นส่วนหนึ่งในแผนหลอกล่อให้ตายใจ
“หนูขอโทษ..” ปรางค์นั่งพนมมือร้องไห้หนักขึ้นอีก
“จะขอโทษทำไม ทำอะไรผิดเหรอถึงต้องขอโทษ” ผมข่มอารมณ์พูดเสียงเรียบ
“พ่ออย่าไล่หนูออกจากบ้านนะ..” เธอก้มลงกราบที่พื้น
“นี่ก็แทบไม่มีอะไรเหลือแล้ว ถ้าคิดว่าอยู่ได้ก็อยู่ไปละกัน” ผมโยนแบงค์ยี่สิบแบงค์ร้อยจากกระเป๋าเสื้อลงบนโต้ะกินข้าว เดินเข้าห้องนอนไปตรวจดูว่ามีอะไรหายเพิ่มเติมอีกบ้าง
หลังจากนั้นอีกเกือบสามเดือนตำรวจโทรมาแจ้งให้ไปชี้ตัวผู้ต้องหา มะปรางโดนจับข้อหาลักทรัพย์และยาเสพติดพร้อมแฟนหนุ่มที่เพิ่งคบหากันได้เพียงไม่ถึงอาทิตย์ ผมไม่ได้กล่าวโทษอะไรเธอเพิ่มเติมเพียงแต่ขอสร้อยพระของแม่คืนเท่านั้นซึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจรับปากว่าจะสืบหาให้
………………..
ตัดสินใจย้ายบ้านเผื่อว่าอะไรๆมันจะดีขึ้นบ้าง ถึงแม้จะอยู่ในชุมชนแออัดแต่ยัยปรางค์ก็ดูแลปัดกวาดเช็ดถูบ้านให้ดูสะอาดตาอยู่เสมอหรือตอนที่ผมกลับจากขับแท็กซี่ก็จะมีกับข้าวกับปลาตั้งสำรับรอไม่เคยต้องถามถึง
ลูกสาววัยมัธยมปลายครึ่งไทยพม่านัยตาแขกคมกริบสวยโดดเด่นผิดเพื่อนผิดฝูง แม้กระทั่งครูที่โรงเรียนยังสนับสนุนให้ผมพาไปขึ้นเวทีประกวดโน่นนี่เผื่อจะได้มีโอกาสเป็นดาราอย่างเขาบ้าง ผมแอบสังเกตุเงียบๆว่าปรางค์ไม่ค่อยมีเพื่อน ไม่ค่อยออกไปเที่ยวที่ไหน บอนไซไม้ดัดที่ตั้งเรียงรายอยู่หน้าบ้านนั่นก็ฝีมือของเธอคิดทำพอได้ขายเดือนละสองสามกระถางช่วยค่าน้ำค่าไฟค่าโทรศัพท์ ผลการเรียนของปรางค์อยู่ในระดับใช้ได้ผมจึงปล่อยเลยตามเลยเพราะตัวเองก็มีเพื่อนน้อยไม่ชอบคบค้าวุ่นวายมากความกับใคร
ผ่านเวลาไปนานหลายปีจนเกือบจะลืม ไม่น่าเชื่อว่าเมื่อครบกำหนดรับโทษมะปรางจะยังสืบหาเจอที่อยู่ตามมาหาผมอีกจนได้ แต่คราวนี้มาแปลก เธอพาตำรวจมาด้วยพร้อมโวยวายเสียงดังจนเพื่อนบ้านในละแวกนั้นออกมามอง เธอชี้หน้ากล่าวหาว่าผมเป็นฝ่ายทำผิดสัญญาที่ใช้กำลังข่มขืนล่วงละเมิดในวันนี้เธอมาจะมาทวงลูกสาวคืน เจ้าหน้าที่ตำรวจพาตัวมะปรางกลับไปสงบสติอารมณ์ที่โรงพักโดยที่ผมจะต้องไปให้ปากคำเรื่องที่เคยล่วงละเมิดข่มขืนใจเธอและทำผิดข้อสัญญาอุปการะในวันรุ่งขึ้น
ถึงแม้ข้อหาข่มขืนจะตกไปเพราะเรื่องเกิดขึ้นนานเป็นสิบปีไม่สามารถหาข้อพิสูจน์ได้ ก่อนที่จะไปถึงโรงพักตอนแรกผมตั้งใจว่าจะพยามประนีประนอมกับมะปราง หรือแม้ในที่สุดแล้วขอแค่ให้ยัยปรางค์อยู่กับผมจนเรียนจนจบม.หกก็ยังดี แต่เมื่อพบเจ้าหน้าที่จึงทราบเรื่องที่มะปรางกล่าวหาสงสัยว่าผมอาจกระทำการล่วงละเมิดต่อลูกสาวของเธอด้วย ชิ้บหายงานเข้าคดีพลิก นอกจากที่ผมจะต้องอยู่ให้ปากคำเกือบทั้งวันยังเดือดร้อนยันครูที่โรงเรียนที่ต้องตามยัยปรางค์ไปตรวจร่างกายที่โรงพยาบาลอีกด้วย สองสามวันที่รอผลตรวจบอกตามตรงว่าใจตุ๊มๆต่อมๆทั้งที่ไม่เคยทำอะไรผิด ชักเริ่มรู้สึกเคลือบแคลงไม่ไว้วางใจลูกสาวขึ้นมาตะหงิดๆ ถ้าเกิดสองแม่ลูกร่วมมือกันหักหลังผมอย่างในหนังทริลเลอร์ซับซ้อนซ่อนเงื่อนที่เคยดูงานนี้คงบรรลัยจักรดูไม่จืด
รอจนกระทั่งเจ้าหน้าที่ตำรวจแจ้งผลการตรวจร่างกายว่ายัยปรางค์ยังบริสุทธิ์ผุดผ่องปราศจากแม้ริ้วรอยที่จะทำให้เชื่อได้ว่าเคยผ่านการมีเพศสัมพันธ์มาก่อน อีกทั้งเธอเองก็ยืนยันกับตำรวจว่าผมไม่เคยมีทีท่าในเชิงชู้สาวแต่อย่างใด ถึงแม้จะพ้นมลทินในข้อหาร้ายแรงแต่เรื่องผิดข้อสัญญาอุปการะนั้นผมไม่อาจปฏิเสธได้ ถ้าเรื่องจะต้องถึงโรงถึงศาลฟ้องร้องกันผมก็จะใช้เรื่องความสามารถในการอุปการะเป็นประเด็นหลักในการสู้คดี
“พ่อว่าใครฆ่า..” ลูกสาวถามขึ้นมาในค่ำวันหนึ่งตอนกำลังนั่งดูข่าวทีวีด้วยกัน
“อะไรนะ..”
“ข่าวน้องชมพู่เนี่ย .. ใครเป็นคนฆ่า”
“จะใครฆ่าก็แล้วแต่เถอะลองคิดว่าถ้าเป็นลูกเป็นหลานเราสิจะหัวใจสลายขนาดไหน ยุคสมัยนี้คนมันบ้าๆบอๆไว้ใจใครไม่ได้แกเองก็ต้องระวังตัวให้มากๆ ขึ้นชื่อว่ามนุษย์ผู้ชายสันดานดิบมันคิดแต่จะเอาเปรียบเหมือนกันหมด”
“โหย.. ถ้าไม่มีผู้ชายดีๆซักคนแล้วนี้ชาตินี้หนูจะได้มีแฟนมั้ยเนี่ย”
“ไม่มีก็ไม่เห็นตาย ดูอย่างพ่อสิยังอยู่ได้ไม่เห็นต้องมีใครเลย”
“ก็พ่อมี น้าหยิก..” ยัยปรางค์เถียงเสียงเบา
“ฮะ.. อีหยิกอ่ะนะ!! 55 อีหยิกไม่นับสิ”
“ไม่นับได้ยังไงร้องซะลั่นบ้านเสียวไปยันปากตรอกเลยมั้งนั่น ครางซะไม่ต้องหลับต้องนอนกันเลยทีเดียวทำอะไรกันหัดเกรงใจเด็กซะมั่งสิ” ลูกสาวบ่น
“อีหยิกนั่นมัน .. เฮ้อ ยังไงดีวะ .. เออน่ะยังไงมันไม่ใช่แฟนพ่อก็แล้วกัน” ผมเถียง
“ไม่ใช่แฟนงั้นก็เป็น.. คู่ขา ”
“ผู้ชายมันก็ต้องมีเรื่องแบบนี้กันบ้าง หรือแกอยากจะให้พ่อออกไปเที่ยวเสี่ยงโรคเสียเงินเสียทองนอกบ้านล่ะ” ผมเถียงข้างๆคูๆ
“พ่อเลิกกับน้าหยิกเถอะ ปรางค์ขอร้อง นะ เลิกเหอะ”
“เลิกทำไมวะ ..”
“น้าหยิกสวยก็ไม่สวยแก่ก็แก่ หัวหยิกแถมยังนมยานอีกต่างหาก”
“เออ คำก็แก่สองคำก็แก่ .. แกไม่แก่มั่งให้มันรู้ไป”
“ว่าแต่รู้ได้ไงว่าอีหยิกมันนมยาน” ผมขมวดคิ้วถาม
“ก็หนูแอบดูอยู่ทุกคืนอ่ะ”
“ฮึ!! .. นี่แกแอ..บดูพ่ อ..” ผมตกใจ
“แหม.. ใส่กันจนบ้านสั่นครางซะขนลุกซู่ขนาดนั้นใครจะทนไหว” ยัยปรางค์ละสายตาจากโทรศัพท์มือถือ “ว่าแต่ไอ้เครื่องนั้นมันเสียวขนาดนั้นเลยเหรอ หนูเห็นน้าหยิกเค้าสั่นเป็นเจ้าเข้าครางเสียวใจจะขาด”
“เครื่องอะไรไม่รู้ว่ะ หยิกเค้าเอามาให้ใช้ก็ใช้ๆไป”
“แสดงว่าลีลาไม่ถึงใจน้าหยิกเค้าถึงต้องหาเครื่องช่วย” ยัยปรางค์แซว
“นี่คุยเรื่องอื่นได้มั้ยเนี่ย นี่พ่อนะไม่ใช่เพื่อนไอ้เรื่องแบบนี้แกเก็บไว้คุยกับเพื่อนเถอะ มันกระดากปากว่ะ”
“อ้าว.. ก็ครูที่โรงเรียนเค้ายังบอกว่าผู้ปกครองที่ดีควรเปิดใจรับฟังพูดคุยเป็นที่ปรึกษาได้ทุกเรื่อง”
“รับฟังน่ะได้ แต่เรื่องแบบนี้ปรึกษาไม่ได้ไม่เคยมีเมียโว้ย!!”
“แล้ว.. ยังอยู่ป่ะ”
“อะไร..”
“ไอ้เครื่องนั้นอ่ะยังอยู่รึเปล่าน้าหยิกเค้าเอากลับไปรึยัง ขอยืมเล่นหน่อยดิ”
“พอเลย เพ้อเจ้อไปกันใหญ่แล้ว สมงสมองน่ะเก็บไว้เรียนหนังสือเถอะอย่าฟุ้งซ่านให้มันมาก”
ผมบ่นพลางกดรีโมตปิดทีวีเตรียมลุกชิ่งหนีเข้าห้องนอน คุยเรื่องสองแง่สองง่ามเจ้าท่อนเนื้อน้องชายชักเริ่มแข็งตุงกางเกงนอนขาสั้นขืนยัยปรางค์เห็นเข้าจะเสียการปกครอง
“นี่หนูต้องไปอยู่กับแม่จริงๆเหรอ” ลูกสาวคว้าข้อมือไว้
“ถ้าศาลสั่งก็ต้องตามนั้น ย่าเค้าให้ถามว่าแม่แกจะเรียกเท่าไหร่เดี๋ยวย่าจ่ายให้เองไม่ต้องห่วง”
“แม่อาจพาหนูไปเร่ขายตัวก็ได้ .. ไม่แน่นะ” ยัยปรางค์เปรย
“เออน่ะ พ่อเชื่อว่ายังไงก็น่าจะไกล่เกลี่ยกันได้ยิ่งย่าแกออกตัวแรงขนาดนี้ด้วย ย่าแกรวยนะ ตังค์เพียบ”
“ที่พ่อต้องทนลำบากไม่ไม่กลับไปอยู่กับย่าเพราะห่วงเรื่องที่หนูเป็นลูกคนอื่นใช่มั้ย..” ยัยปรางค์ถามเสียงสลด
“ถ้าย่าเค้าคิดว่าแกเป็นคนอื่นแล้วเค้าจะช่วยออกตังค์เหรอ คิดมาก..” ผมยิ้ม
“แต่อยู่กันสองคนแบบนี้แหละดีแล้ว บ้านคุณย่าใหญ่ขนาดนั้นปรางค์กวาดถูไม่ไหวหรอก ใหญ่เกิ๊น”
“บ้า.. ใครเค้าจะให้แกไปเป็นคนใช้ล่ะ ลูกพ่อก็ต้องเป็นคุณหนูหลานคุณย่าสิ” ผมลูบเรือนผมนิ่มสลวยอย่างเอ็นดู
“จริงๆปรางค์กับพ่อนี่จะว่าไปก็ไม่ได้เกี่ยวกันเลยนะ” ลูกสาวเปรย
“โอเค ได้.. ถ้าไม่เกี่ยวกันเลยพ่อจะได้ไม่ต้องให้ตังค์ไปโรงเรียน”
“ไม่ใช่อย่างงั้นสิ” ยัยปรางค์ส่ายหัว “แบบว่าไม่เกี่ยวกันทางสายเลือดไง ความจริงแล้วที่อยู่ในบ้านนี้ตอนนี้ก็คือ ผู้ชายหนึ่งคนกับผู้หญิงอีกหนึ่งคน” ลูกสาวส่งสายตาวิบวับ
“ผู้ชายหนึ่งคนกับเด็กผู้หญิงหนึ่งคนถึงจะถูก” ผมเถียง
“แหม.. สมัยก่อนอายุสิบห้าสิบหกนี่เค้าแต่งงานครองบ้านครองเมืองออกล่าอาณานิคมกันแล้วนะ”
“จะอาณานิคมไหนก็ชั่งมันแต่ที่นี่ประเทศไทยถ้าแกยังเรียนไม่จบมหาลัยก็อย่าหวังว่าพ่อจะยอมให้มีแฟน โอเค๊..” ผมยักคิ้วข้างเดียว
“หนูมีไอเดียที่จะทำให้พ่อเป็นฝ่ายชนะในการฟ้องร้องครั้งนี้ได้”
“ไอเดียอะไร .. ถ้าเรื่องจะให้พ่อเอาแกทำเมียนี่ไม่ต้องพูดเลยนะ”
“อ้าว.. แต่ลองคิดดีๆสิ ถ้าพ่อเอาหนูทำเมียสัญญาอุปการะนั้นก็ไม่มีผลอีกต่อไป เพราะถ้าหนูกลายเป็นเมียพ่อความเป็นสามีภรรยาศักดิ์ทางกฏหมายมันสูงกว่าพ่อแม่ลูก แบบนี้ฝ่ายโน้นก็จะพ่ายแพ้หมดข้อโต้แย้งไปเองโดยปริยาย” ยัยปรางค์ยักคิ้วข้างเดียวล้อเลียน
“เข้าซังเตโดยปริยายน่ะสิไม่ว่า นี่กรูเพิ่งพ้นข้อกล่าวหาพรากผู้เยาว์ทั้งแม่ทั้งลูกไปหยกๆจะเอาเข้าคุกอีกแล้วเหรอ”
“เข้าคุกได้ไงก็หนูสมยอม..”
“สมยอมบ้าอะไรแกเพิ่งอายุสิบหกคุกไม่ได้มีไว้ขังหมานะเว่ย”
“ขืนเอาลูกทำเมียจริงๆมีหวังแม่กูด่าเปิงแน่” ผมบ่น
“แต่ยังไงพ่อก็เลิกกับน้าหยิกก่อนได้มั้ยอ่ะ”
“เอาอีกแล้ว..วนกลับมาเรื่องอีหยิกอีกแล้ว มันไปทำอะไรให้แกนักหนาฮึไหนบอกซิ” ผมส่ายหน้าถอนหายใจ “แกก็รู้ว่าหยิกมันเป็นเพื่อนพ่อตั้งแต่สมัยประถม ผัวมันตายหลายปีแล้วมันก็เหงาพ่อก็สงสารมันอยากทำให้มันมีความสุขบ้างก็แค่นั้น”
“ก็เดี๋ยวพอวันที่ปรางค์เรียนจบมหาลัยแต่พ่อยังไม่เลิกกับน้าหยิกให้เด็ดขาดปรางค์ก็ต้องกลายเป็นเมียน้อยพ่อสิ”
“เมียน้อยอะไรวะก็บอกแล้วว่าพ่อไม่นับอีหยิกเป็นเมีย!! แกนี่พูดไม่รู้ฟัง”
“ไม่รู้ล่ะ บอกก่อนว่ายังไงหนูก็ไม่ยอมเป็นสองรองน้าหยิกแน่ๆ”
“โธ่.. เด็กหนอเด็ก ไว้รอไปเรียนมหาลัยจริงๆก่อนเถอะขี้คร้านจะเจอผู้ชายหล่อๆจนลืมพ่อน่ะสิไม่ว่า” ผมดักคอ
“อ้าว ก็ไหนว่าไม่มีผู้ชายคนไหนใครน่าไว้ใจไง งั้นหนูก็ไว้ใจพ่อคนเดียว”
“เออ.. คุยกันแล้วแม่งเหมือนพายเรือในอ่างว่ะวนไปวนมา แต่ยังไงก็ขอห้ามไม่ให้แกแอบดูพ่อกับน้าหยิกอีกเด็ดขาด เรื่องของผู้ใหญ่ไม่ต้องไปรู้ไปเห็นของแบบนี้เดี๋ยวถึงเวลาก็รู้เองแหละ”
“แต่หนูอยากมีความสุขแบบน้าหยิกบ้าง .. หนูก็คนนะพ่อ มีเลือดเนื้อมีอารมณ์มีความรู้สึก”
“แกต้องสัญญากับพ่อนะว่าการเรียนห้ามตกเกรดเฉลี่ยห้ามต่ำกว่าสามจุดห้า ไม่งั้นพ่อจะสั่งห้ามเด็ดขาด” ผมถอนหายใจเห็นด้วย
“ได้เร้ยย..” ยัยปรางค์ทำหน้าทะเล้น
กระเป๋าเดินทางขนาดย่อมถูกเอาออกจากห้องนอนมาวางบนโต้ะกินข้าว ผมรูดเปิดซิปเผยสัมภาระข้างในอย่างเสียไม่ได้ เซ็กส์ทอยส์สารพัดรูปแบบหลากสีสันมีตั้งแต่กระจู๋ปลอมอันเขื่องกดปุ่มแล้วสั่นส่ายได้โซ่แส้กุญแจมือไล่เรื่อยไปจนไข่สั่นจิ๋วแต่แจ๋วขนาดพกพา
“โหย!! นี่น้าหยิกเค้าซื้อมาใช้หรือซื้อมาขายกันแน่เนี่ย!! ทำไมมันเยอะอย่างนี้อ่ะ!!”
“..อีหยิกมันสะสม”
“อืม..” ยัยปรางค์กวาดตามองไปทั่ว “ที่หนูเห็นน้าหยิกเค้าโดนแล้วชักดิ้นชักงอกระแด่วๆเลยอ่ะ อันไหน”
“อันนั้นมันแรงเกินไปเดี๋ยวจิตใจมันจะเตลิด เป็นเด็กเป็นเล็กเอาอันนี้ไปใช้ก็พอ”
“ไข่สั่น..” ยัยปรางค์รับเจ้าไข่สั่นสายระโยงระยางไปพินิจอย่างสนใจ “เลเวลหนึ่งสำหรับเด็กเหรอ”
“พ่อทำให้หนูหน่อยสิ เหมือนอย่างที่ทำให้น้าหยิกอ่ะ”
“แกเข้าห้องไปทำของแกคนเดียวเลยไป แล้วก็เก็บไว้เลยไม่ต้องเอามาคืนอันนี้อีหยิกมันไม่ใช้แล้ว”
“ทำไมไม่ใช้แล้วอ่ะ น้าหยิกเค้าชอบใช้แต่อันใหญ่ๆล่ะสิ” ยัยปรางค์ลดสายตามองที่เป้ากางเกงบูลลี่ผมเรื่องขนาด ผมหมั่นเขี้ยวมะเหงกเขกหัวไปหนึ่งโป๊ก
“ไสหัวไปเลยไปจะไปทำอะไรก็ไป แล้วก็อย่าทำบ่อยนักรู้มั้ย สมองมันจะเสื่อม”
“เจ้าค่าา.. บ่นจรี๊งงง บ่นมากแก่เร็วนะพ่อ”
ยัยปรางค์รีบเข้าห้องเห่อของเหมือนเด็กได้ของเล่นใหม่ ผมเก็บกระเป๋าของเล่นแอบในตู้เสื้อผ้าสวดมนต์ไหว้พระนอนสงบใจพลางคิดเล่นๆว่าพ่อเลี้ยงเดี่ยวที่มีลูกสาวคนอื่นจะต้องทำโน่นนี่ให้ลูกสาวอย่างที่ผมทำหรือเปล่า เดินไปซื้อผ้าอนามัยที่ร้านสะดวกซื้อพร้อมสอนวิธีใช้ เลือกซื้อเสื้อผ้ารองเท้าไปจนถึงชุดชั้นใน พวกเขาจะมีปัญหากระอักกระอ่วนใจในความแตกต่างระหว่างเพศอย่างผมไหม
เสียงเล็กๆกระเส่าแผ่วเบาลอดผ่านฝาผนัง ยัยปรางค์คงกำลังปลดเปลื้องปรนเปรออารมณ์ตัวเองด้วยเจ้าไข่สั่นจิ๋วแต่แจ๋วสีชมพูสด นึกถึงเรื่องที่ลูกสาวสารภาพว่าแอบดูรีบทะลึ่งตัวลองมองค้นหารูที่ว่า ผมแนบสายตากับฝาผนังอย่างตื่นเต้น ภาพลูกสาวที่เลี้ยงเองกับมือตั้งแต่แบเบาะอยู่ในสภาพเปลือยเปล่า หน้าตาของเธอเหยเกกำลังสาละวนง่วนอยู่กับจิ๊มิ๊ของตัวเอง ผมละสายตาถอดกางเกงหยิบกระดาษทิชชู่นั่งลงบนเตียงสาวท่อนเนื้อชักว่าวตาม สักพักก็ได้ยินเสียงเคาะผนังห้อง
“พ่อ.. พ่อ”
“ท.. ท ทำไ ม.. ” ผมตอบเสียงสากน้ำลาย
“หนูทำให้เอามั้ย..”
“ท ทำ อ ะ.. ไ ร”
เสียงปรางค์เปิดประตูห้องผมรีบดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมมองว่ากดล็อคลูกบิดประตูดีหรือเปล่า แต่ปรางค์ก็ไม่เปิดประตูอย่างที่คิด ได้ยินเพียงเสียงฝีเท้าเธอเดินไปเดินมาอยู่หน้าห้อง
“ทำไรอ่ะ..” ผมเปิดประตูห้อง ยัยปรางค์ยืนนุ่งผ้าขนหนู
“อาบน้ำด้วยกันมั้ยพ่อ”
“ประสาทเหรอชั้นอาบแล้วเว่ย แกจะอาบก็อาบไปคนเดียวเถอะ”
“น้าาา นะ..” ลูกสาววัยสิบหกเกาะแขนออดอ้อน “ก็ปรางค์อยากให้พ่ออาบน้ำให้อีกเหมือนตอนเด็กๆอ่าา..”
“เออ เรื่องมากจริงเว้ย.. แต่ถ้าจะให้พ่ออาบให้แกต้องไปใส่ยกทรงกางเกงในมาให้เรียบร้อยก่อน”
“จะให้ใส่ยกทรงเกงในอาบน้ำเนี่ยนะ”
“จะได้เอาไว้อ้างเผื่อขึ้นโรงขึ้นศาล ศาลท่านอาจจะเห็นใจปราณีลงโทษกรูสถานเบาลงบ้างไง”
ขอบคุณครับ
ขอบคุณครับ. น่าสนุกมาต่อนะ ขอบคุณมากครับผม ขอบคุณ สนุกดี มาต่ออีกนะคับ ขอบคุณมาก มาต่ออีกนะ มีต่อมั้ย ขอบคุณครับ ขอบคุนครับ
ขอบคุณครับ ขอบคุณ ชอบๆมากๆ ฮ่าๆ เนื้อเรื่องสนุกดีครับ ขอบคุณมากๆครับ ขอบคุณครับ น่าจะมีต่อนะครับ {:5_136:}{:5_136:}
หน้า:
[1]
2