เพื่อน เสียวเรื่องยาว5
เวลาเอากับผู้หญิงเนี่ย มันไม่โลดโผนเอาเป็นเอาตายหรอก ยิ่งถ้าเป็นผู้หญิงดีๆ เนี่ย โอกาสที่เพื่อนๆ จะเอ่ยปากเวลากำลังขย่มอยู่บนตัวเธอว่า นี่เธอ เรามาเปลี่ยนท่ากันเถอะ เธอหันหน้าไปทางโน้นสิ เธอหันหัวมาทางนี้สิ มันยากนะ ไม่เชื่อลองถามเพื่อนๆ ที่เป็นผู้หญิงดูสิ พอไอ้ดุ้นนั้นมันเข้าไปในตัวผู้หญิงแล้ว โอกาสที่มันจะออกมาหายใจอีกครั้งนึงเนี่ย ส่วนใหญ่ก็ตอนที่น้ำออกแล้วล่ะ แต่ละครั้งที่ผมเอากับผู้หญิง ถ้ากำลังโยกอยู่แล้วทำท่าว่าจะดึงไอ้นั่นออก ไอ้คนที่นอนอยู่ข้างล่างจะร้องว่าเอาออกทำไม พอผมบอกว่าจะเปลี่ยนท่า เธอจะบอกทันทีเลยว่าไม่ต้อง อย่างนี้ดีอยู่แล้ว เป็นเพื่อนๆ พวกคุณจะดึงออกให้โง่เหรอในเมื่อผู้หญิงเค้าโอเคกับท่าเดิมอยู่แล้ว บางคนเอาขาหนีบเอวผมไว้เลยด้วยซ้ำ กันผมดึงออกโดยไม่บอกล่วงหน้า แต่ผมไม่ค่อยชอบให้ผู้หญิงหนีบขาที่เอวหรอกนะ เพราะเวลาเธอหนีบขา ก็ต้องยกก้นขึ้นมา แล้วเธอมักจะทิ้งน้ำหนักลงมาที่ก้นซึ่งมันทำให้ขาเธอหนักมาก และผมต้องเสียพลังงานในการยกเอวมากเกินไป เพราะฉะนั้น ส่วนใหญ่แล้ว เวลาผมเอากับผู้หญิง ก็มักจะเลือกท่ากันตั้งแต่แรกเลย เข้าข้างหน้าก็ข้างหน้าอย่างเดียว อาจมีเปลี่ยนบ้างก็แค่พลิกตัวผู้หญิง ว่าจะให้เธอแยกขาออกหรือหุบขาเข้า หรือดันเข่าเธอขึ้นไปติดหน้าอกเท่านั้นถ้าจะเข้าข้างหลัง ก็จับเธอนอนคว่ำ เอาข้อศอกยันตัวหรือจะเหยียดแขนยันพื้นไว้ก็ได้ ยกเข่าชันขึ้นมา แยกขาเธอออก จากนั้นก็ดันไอ้นั่นเข้าไป มันก็แค่นั้นจริงๆ ไม่โลดโผนไปกว่านั้นหรอก จะมีออพชั่นให้เลือกก็แค่ว่าจะเปลี่ยนท่าของเธอบ้าง เช่น นอนให้ใบหน้ากับหน้าอกแนบกับที่นอนไปเลย หรือเอาหมอนรองไอ้เนินตรงนั้นของเธอไว้ ไม่ต้องคุกเข่าอีก เพราะเพื่อนๆ คงนึกภาพออกนะ ว่าเวลานั่งเอานานๆ นี่มันก็เมื่อยเหมือนกัน ในชีวิตผม สารภาพว่าผู้หญิงที่เอามันที่สุด ตั้งแต่วันที่ผมรู้ว่าไอ้จู๋ไม่ได้มีไว้ฉี่อย่างเดียวก็คือริน รินสอนประสบการณ์บนเตียงให้ผมอย่างที่ผมไม่เคยรู้เคยเห็นมาก่อน ตัวเธอเล็กนิดเดียว แต่ฝีมือระดับชั้นครูเลยล่ะ แล้วเป็นคนที่สรรหาเรื่องแปลก เรื่องตื่นเต้นมาเล่นกับผมอยู่เรื่อยๆ ผมเล่าให้ฟังแล้วนี่ เรื่องที่เธอบรรเลงให้ผมบนปอ. จนผ้าเช็ดหน้าเธอเลอะเทอะไปหมด หรือก้มลงไปหาน้ำกินตรงเป้ากางเกงผมในโรงหนังจนเจมส์บอนด์อายไปเลย ก็ไม่ใช่เจมส์บอนด์คนเดียวนะ เธอชวนผมไปเล่นปั่นไอติมกินในโรงหนังไม่รู้กี่เรื่องต่อกี่เรื่อง อีกอย่างนึงที่จะเล่าคือ เวลาเรานอนกันอยู่บนเตียง ถ้าจู่ๆ รินมากระซิบที่หูผมว่าพี่อยู่เฉยๆ นะ เพื่อนๆ เชื่อมั๊ย ผมโคตรลุ้นเลย เพราะเวลารินบอกผมว่าให้อยู่เฉยๆ เนี่ย ซักพักมันจะตามมาด้วยลีลาสุดยอดที่ผมต้องยอมหลั่งน้ำให้เธอทุกครั้ง แล้วถ้าเธอลงมือเมื่อไหร่ ยากมากที่ผมจะทำเป็นกลั้นไม่ยอมให้ออก เพราะเธอรู้จังหวะว่าตอนไหนควรจะช้า ตอนไหนควรจะเร็ว และตอนไหนควรจะเร่ง
และจะบอกว่ารินเป็นข้อยกเว้นของผมคนเดียวที่ได้เปลี่ยนท่าสลับไปสลับมา หน้าบ้าง หลังบ้าง เพราะดูเธอไม่ได้รีบร้อนที่จะต้องไปถึงจุดสุดยอด แต่สุดยอดที่ผมชอบที่สุดก็คือเวลาที่เธอนั่งอยู่บนตัวผม ผมอยากแนะนำเพื่อนๆ จังเลย ว่าลองให้ผู้หญิงอยู่ข้างบนดูสิ ก่อนอื่นจัดท่าเธอให้ดีก่อน ให้เธอกดตัวให้ดุ้นของคุณเข้าไปในร่องของเธอจนหมดแล้วนั่งทับไว้เลย โย้ตัวมาข้างหน้านิดนึง เอามือวางบนหน้าอกคุณ จะทิ้งน้ำหนักมาที่แขนก็ได้นะถ้าคุณไม่หนัก แต่ถ้าหนักก็ให้เธอจับต้นขาของตัวเองไว้ก็ได้ จากนั้นอย่าพึ่งให้เธอรีบขย่มนะ ให้เธอนั่งทับจนก้นแนบกับท้องน้อยคุณ แล้วค่อยๆ บดเนินของเธอกับดุ้นของคุณช้าๆ ไปเรื่อยๆ ก่อน หมุนไปทางซ้ายบ้าง ขวาบ้าง สลับไปสลับมานุ่มๆ ช้าๆ อย่าให้เธอยกก้นขึ้นนะ ซักพักก็ให้เธอเปลี่ยนเป็นรูดขึ้นลงช้าๆ แล้วเปลี่ยนกลับมาบดเนินซ้ำอีกครั้ง วนเวียนสลับอย่างนี้ไปเรื่อยๆ ก่อน จากนั้นคุณก็บอกให้เธอค่อยๆ เร่งความเร็วขึ้น ตามแต่ที่คุณอยากได้ ที่ผมเน้นก็คืออย่าเร่งนะ ให้ไปเรื่อยๆ แล้วคุณจะรู้ว่านรกมีจริง เพราะแม่งโคตรทรมานเลย แต่ที่อยากจะบอกก็คือ หาผู้หญิงที่จะให้ความร่วมมือเล่นอย่างนี้ด้วยค่อนข้างยาก จริงๆ นะ เพราะผมลองเอาไปใช้กับผู้หญิงคนอื่นดู ปรากฏว่าพอเธอบดเอวบนตัวผมได้แป๊บเดียว ก็เปลี่ยนมาเป็นขย่มสุดชีวิตเลย
พอเสร็จกันแล้วลองถามดู เธอบอกว่าไม่ไหว เพราะมันเสียวมาก สรุปก็คือผมได้เล่นอย่างนี้กับรินแค่คนเดียวเท่านั้น แต่ถ้าเพื่อนๆ เจอผู้หญิงที่ทำได้อย่างที่ผมบอกก็ลองดูสิ กลัวแต่ว่าคุณจะทนไม่ไหวเองต่างหาก ที่ย้อนเล่าเรื่องรินให้ฟังเพราะอยากให้รู้เหตุผลว่า ทำไมผมถึงยังยิกๆ อยากกลับไปหาเธออีก ช่วงที่ผมอยู่กับริน สารภาพว่าผมหลงเธอมากๆ ไม่ได้นึกถึงน้ำแม้แต่นิดเดียวเลย น้ำเป็นอะไรที่ตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิง ตอนที่เรายังอยู่ด้วยกัน เวลาน้ำไปบ้านผม พอเราสองคนถอดเสื้อผ้าเสร็จ ผมโดดขึ้นไปบนเตียง แทนที่เธอจะขึ้นเตียงเลย เปล่านะ เธอกลับไปหยิบไม้แขวนเสื้อมาบรรจงแขวนเสื้อ วางกระโปรงพาดกับราว พับยกทรง พับกางเกงใน พับถุงน่อง นานมากๆ จนบางทีผมอยากจะบอกเธอด้วยซ้ำ ว่าน่าจะสวดมนต์ก่อน แล้วเวลาขึ้นเตียงกัน อืม จะพูดยังไงดีล่ะ น้ำเป็นคนสุภาพ เวลาเอากันก็ยังเรียบร้อยเลย เธอไม่ค่อยยอมเปลี่ยนท่าเท่าไหร่นัก จะจับเธอเอาข้างหลังนี่แทบจะต้องกราบเลยนะ เธอบอกว่าท่ามันน่าเกลียด ผมอยากจะถามเธอว่ามันน่าเกลียดตรงไหนวะ เค้าเอาท่านี้กันทั้งโลก แต่ก็ไม่อยากขัดใจเธอ ก็เลยกลายเป็นว่า ส่วนใหญ่แล้วเราจะนอนเอากันท่าธรรมดา บางครั้งผมก็ขอให้เธออยู่ข้างบนนะ แต่เธออิดออดนานมาก บอกว่าทำไม่เป็นบ้างล่ะ ไม่กล้าทำบ้างล่ะ กลัวผมรู้สึกไม่ดีบ้างล่ะ บางทีผมต้องแกล้งทำเป็นโมโห ว่าแค่นี้ก็ไม่ยอมทำ เธอถึงได้ยอม แต่เวลาน้ำอยู่ข้างบน ผมรู้สึกเหมือนมีก้อนหินทับตัวอยู่ เพราะเธอไม่ค่อยยอมขยับตัวเลย ต้องให้ผมเป็นคนเด้งเอวขึ้นใส่เธอเอง แม่งโคตรเมื่อยเลย
เพราะฉะนั้น จึงไม่น่าแปลกใจเลยว่าทำไมพอผมได้เอากับรินแล้ว ผมจึงไม่ได้นึกถึงน้ำแม้แต่นิดเดียว น้ำมีดีกว่ารินแค่ว่าสองเต้าเธอยังแน่นเต็มไม้เต็มมือ และร่องของเธอแน่นกระชับเนื่องจากความใหม่เท่านั้น ที่เหลือเธอแพ้รุ่นน้องหลุดลุ่ยขาดกระจุยเลย ตายล่ะ ตั้งใจจะเล่าเรื่องสมัยเรียน กลายเป็นเรื่องอะไรก็ไม่รู้ แค่อยากจะบอกว่าผมบรรยายแบบหนังโป๊ไม่เป็น เพราะหนังโป๊มักจะบรรยายแบบค่อนข้างดุเดือด เล่นกันน้ำกระจายทั้งห้อง ผมไม่เคยเอาผู้หญิงแบบดุเดือด แล้วก็ไม่เคยเอาจนน้ำกระจายทั้งห้อง เพราะฉะนั้น ถ้าเขียนโดยไม่เคยทำ แล้วมันจะเอาข้อมูลจากที่ไหนมาเขียน เช่น ไม่เคยเอาทางก้นแล้วให้ผมเขียน ผมจะไปรู้ได้ยังไงว่าเอาทางนี้แล้วมันดีตรงไหน อ้อ! ออกตัวก่อนว่าผมไม่เคยเอาผู้หญิงทางก้นนะ เพราะผมว่าสำหรับผมแล้ว แค่ปากกับร่องข้างล่างก็เหลือเฟือแล้ว ไม่อยากดิ้นรน และกลัวว่าผู้หญิงจะเจ็บด้วย เอาไว้ให้คนที่เค้ามีประสบการณ์มาเล่าให้ฟังเองดีกว่า เข้าเรื่องก็แล้วกัน เปิดเทอมปีสาม ผมมีเรื่องต้องทำเยอะแยะ ไหนจะเรื่องเรียน ไหนจะเรื่องวุ่นวายนัดเพื่อนกินเหล้า เพราะช่วงปิดเทอมไม่ได้เจอเพื่อนเลย ช่วงแรกๆ นี่ไม่มีเรื่องบนเตียงเลยนะ น้ำก็ยังนั่งอ่านหนังสืออยู่ใต้ต้นไม้คนเดียวอย่างนั้น ไม่มีแฟนใหม่ซักที สารภาพกับเพื่อนๆ ว่า บางครั้งผมก็สงสารเธอที่สุดเลย เพราะรู้ว่าเธอไม่มีใคร แต่พอคิดๆ แล้วผมสงสารตัวเองมากกว่า ถ้าจะต้องไปเป็นลูกเธอ
ส่วนรินก็ยังผูกติดกับนังจุ๋มเหมือนเดิม เมื่อไหร่มันจะทะเลาะกันซะทีวะ ผมจะได้แทรกเข้าไปอยู่ตรงกลาง แล้วเล่นแมงมุมกับรินต่อ เพื่อนคนอื่นๆ ก็ยังเหมือนเดิม อ้อ! ลืมบอกไป ไอ้หนุ่มมีแฟนแล้ว มันมีตั้งแต่ตอนปีสองแล้วล่ะ แต่ตอนที่พวกผมเห็นแฟนมันแล้วก็ต้องส่ายหน้า นี่สวยที่สุดเท่าที่มันหาได้แล้วหรือวะเนี่ย สูงๆ ผอมๆ ไม่ได้ครึ่งของแตเลย เป็นผม ผมไม่พากลับไปโรงเรียนเก่าแน่ๆ อายเพื่อนตายเลย พวกเราได้แต่อวยพรให้แฟนมันว่าขอให้ถึงจุดสุดยอดเวลาไอ้หนุ่มเอา ไม่รู้ป่านนี้เป็นยังไงบ้าง ส่วนผม ผมยุ่งเรื่องเรียนจริงๆ รายงานแม่งเป็นตั้งเลย เอ๊ะ! ผมบอกไปหรือยังว่าผมก็ยังต้องนั่งทำรายงานกับน้ำอยู่นะ เราอาจจะเลิกเป็นแฟนกันแล้ว แต่ตามหน้าที่และความรับผิดชอบ เรายังเป็นบัดดี้กันอยู่ ก็เหมือนกับเวลาทำกิจกรรม ซึ่งน้ำก็ยังเป็นน้ำ ทำอะไรไม่เป็นเหมือนเดิม ยังไงๆ ผมก็ต้องช่วยเธอ นั่นคือหน้าที่ เราไม่ได้บอกใครนี่หว่าว่าเราเอากันแล้ว แล้วเราก็ไม่ได้บอกใครเหมือนกันว่าเราเลิกเอากันแล้ว ตอนแรกที่เลิกกันใหม่ๆ ผมนึกว่าน้ำจะขอเปลี่ยนบัดดี้ แต่เธอก็ไม่ได้ทำอย่างที่ผมคิด เราเปลี่ยนที่ทำรายงานจากในห้องเรียนมานั่งทำใต้ต้นไม้ ตลอดเวลาที่นั่งด้วยกัน น้ำไม่พูดเรื่องอื่นเลย ก้มหน้าก้มตาทำงาน จะคุยกับผมก็เฉพาะเรื่องงานเท่านั้น
เพื่อนๆ ลองดูสิ เลิกกับผู้หญิงซักคนแล้วต้องมานั่งอยู่ด้วยกัน มันไม่รู้จะวางตัวยังไงจริงๆ อีกอย่างนึง เวลาน้ำก้มหน้าเขียนหนังสือ บางทีมันมองลอดอกเสื้อเธอเข้าไปได้ ไม่ได้ตั้งใจมองนะ แต่เห็นแวบๆ ว่าเธอกลับมาใส่เสื้อทับเหมือนเดิมแล้ว เฮ้อ! ใครจะไปมีสมาธิทำงานวะ แค่เห็นเนินอกมันก็นึกภาพได้ทั้งตัว จำได้ว่าอะไรอยู่ตรงไหนบ้าง ก็ผมเห็นมาหมดแล้วนี่ ถึงน้ำจะมีลีลาห่วยกว่าริน แต่อะไรต่อมิอะไรของเธอก็ยังแน่นกระชับ ชวนให้คิดถึงอยู่เหมือนกัน บางทีเธอเงยหน้ามอง ผมก็รีบหันควับไปมองโต๊ะอื่นทันที ไม่อยากให้เธอจับได้หรอกว่าผมแอบมองหน้าอกเธออยู่ เสียฟอร์มตายเลย เรามานั่งทำงานอย่างนี้อาทิตย์ละสองวัน แล้วทุกครั้งผมก็อาศัยร่องอกของน้ำเป็นที่พักสายตาเสมอๆ เวลานั่งเขียนรายงานจนเบื่อ บ่อยครั้งที่มองข้ามโต๊ะไป แล้วเห็นพวกไอ้บิ๊ก ไอ้หนุ่ม ไอ้วี และเพื่อนคนอื่นๆ นั่งคุยกันอยู่อีกโต๊ะนึง อยากเข้าไปคุยกับพวกมัน แต่งานยังไม่เสร็จ ขืนไป เดี๋ยวน้ำไม่ช่วยทำ ผมก็ตายห่าเท่านั้น และบางครั้งจุ๋มกับรินมานั่งคุยกันอยู่โต๊ะข้างๆ ผมมองตามตาละห้อยเลยล่ะ เพราะเวลานั่งคุยกับริน มันเป็นอะไรที่ทำให้ผมมีพลังขึ้นมาอย่างประหลาด แต่ส่วนใหญ่จะเป็นพลังตรงแถวๆ เป้ากางเกงนะ บางครั้งเธอนั่งหันข้างให้ ผมแอบมองตรงต้นขาของเธอ แล้วได้แต่ถอนหายใจ ภาพของพื้นที่เหนือต้นขาเธอแจ่มชัดอยู่ในหัวผม แต่บ่นอะไรให้เพื่อนๆ ฟังหน่อยสิ เด็กอะไรวะ ตัวนิดเดียว แต่ขนข้างล่างรกทึบดำสนิทเลย ถ้าอยู่ด้วยกันจนถึงทุกวันนี้ ผมคงไล่ให้เธอไปเล็มออกบ้างเพราะมันบังทางเข้าหมดเลย
เวลารินนั่งคุยแล้วหันมาเห็นว่าผมกำลังมองอยู่ เธอยิ้มให้ ผมจะขาดใจตาย ไอ้ที่ผมเคยเล่าให้เพื่อนๆ ฟังทั้งหลายแหล่มันวิ่งพล่านอยู่ในหัว จนไม่มีกะใจจะทำงานเลย น้ำไม่สนใจใคร เวลาเธอทำงานเธอมีความตั้งใจสูงมาก อย่างมากก็แค่ใช้หางตามองโต๊ะอื่นๆ เท่านั้น โดยเฉพาะโต๊ะของจุ๋ม ผมว่าเธอคงไม่ชอบสองคนนั้นมากๆ เลยล่ะ โดยเฉพาะนังจุ๋ม ซึ่งถือได้ว่าเรามีศัตรูคนเดียวกัน แต่อย่างที่บอก เราไม่พูดกันเรื่องนี้ อ้อ! ต้องบอกให้เข้าใจอย่างนึงก่อนว่า เรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นตั้งแต่ปีหนึ่งจนถึงปัจจุบัน ไม่มีคนอื่นรับรู้เรื่องลึกๆ ด้วยเลย อาจจะมีบ้างที่เห็นว่าผมอยู่กับน้ำด้วยกันบ่อยๆ แต่เขาก็คิดว่าอยู่ในระดับเป็นแฟนกัน คนเป็นแฟนกันมันก็ต้องอยากอยู่ด้วยกันแค่สองคน อะไรทำนองเนี้ย เรื่องที่น้ำมีอะไรกับผมในห้องเรียน ไม่มีคนรู้เรื่อง เพราะทุกครั้งเราจะรอจนแน่ใจว่าไม่มีใครอื่นอยู่ในบริเวณนั้นอีกแล้ว ก็มีแค่นักการอยู่ในคณะ แต่เรารู้เวลาว่าเขาจะเดินมาตรวจห้องในสาขาเราตอนกี่โมง พอรู้อย่างนั้นแล้ว ครั้งหลังๆ ก็เลยมีเวลาเหลือเฟือ ส่วนเรื่องที่น้ำไปบ้านผมไม่มีคนรู้เลย เพราะน้ำจะหายไปดื้อๆ แต่ก็ไม่แปลกอะไร เพราะบางครั้งเวลาว่าง เธอก็ไปนั่งที่หอสมุด เป็นเรื่องปกติของเด็กเรียนอยู่แล้ว ส่วนผมเนี่ยประกาศได้เต็มตัวเลยว่ากูกลับบ้านนอน ก็อย่างที่บอกว่าเราเข้ามาเอากันในบ้าน จนเกือบๆ สี่โมงก็กลับคณะ จนกระทั่งคนอื่นๆ คิดว่าเราเลิกเป็นแฟนกันแล้ว
ส่วนรินนี่ไม่มีใครรู้เลยนอกจากนังจุ๋ม เพราะใครๆ ก็คิดว่าผมมีแฟนใหม่คือริน รินนี่ผมไม่เคยมีอะไรด้วยในคณะนะ เพราะมันไม่มีเหตุผลว่าเธออยู่เย็นกับผมทำไม เรากลับไปนอนกันที่บ้านของเธอเกือบทุกครั้ง ถึงจะไกล แต่สำหรับผมแล้วโคตรคุ้มเลย วันเวลาผ่านไปอย่างน่าเบื่อหน่าย เรื่องอย่างว่าของผมหมดไปกับสาวๆ ที่เจอในผับซะเป็นส่วนใหญ่ ไม่ใช่ว่าไม่ดีนะ แต่ว่า อืม เพื่อนๆ เคยเอาสาวๆ ในผับหรือเปล่า แบบที่ว่าคุยกันที่โต๊ะอยู่ดีๆ แล้วมาจบในโรงแรมน่ะ พวกนี้ผมต้องใส่ถุงยางทุกครั้ง สมัยนั้นเอดส์ยังไม่มีก็จริง แต่โรคอย่างอื่นก็น่ากลัวไม่แพ้กันหรอก เพื่อนที่ไปกับผมบ่อยที่สุดคือไอ้บิ๊ก เรามักจะเปิดโรงแรมนอนเพราะไม่ค่อยชอบเข้าม่านรูด โรงแรมที่ผมใช้ประจำสมัยนั้นคือริเวอร์ไซด์พลาซ่า ตรงสะพานกรุงธน เพื่อนๆ รู้จักหรือเปล่า เรามักจะเช็คอินกันตอนเที่ยงคืน แล้วเช็คเอาท์ตีห้า เพราะต้องไปส่งสาวๆ แล้วรีบกลับบ้านไปเปลี่ยนชุดมาเรียน ผมกับไอ้บิ๊กออกค่าโรงแรมห้องใครห้องมัน ช่วงนั้นไปบ่อยจนพนักงานตรงเคาน์เตอร์เช็คอินจำเราสองคนได้ อีนังพวกนั้นก็โคตรสาระแนเลย ผมยืนเช็คอิน มันลงทะเบียนให้แต่เสือกชะโงกหน้ามาดูสาวๆ ที่ผมพาไปฟัน
โรงแรมนี้ใช้ได้เลยนะ เห็นวิวแม่น้ำด้วย ยิ่งถ้าพาสาวๆ ออกมายืนเอาตรงระเบียงนะ แม่งสุดยอดจริงๆ เพราะจะเห็นวิวสะพานกรุงธนสวยงามมาก อ้าว อย่าคิดว่าทำไม่ได้นะ ระเบียงโรงแรมมันเป็นซี่ลูกกรงเหล็กสูงประมาณเอว เวลาพาออกมาเอาก็ให้ผู้หญิงใส่เสื้อ ส่วนข้างล่างให้พันผ้าขนหนูไว้ มองไกลๆไม่รู้หรอกว่าผ้าขนหนูหรือกระโปรง ไม่ต้องใส่กางเกงในนะ พอออกมายืนริมระเบียง ก็ให้ผู้หญิงยืนเอาศอกท้าวระเบียงแล้วโก้งโค้งนิดนึง พอเพื่อนๆ จะเอาก็ยกผ้าขนหนูด้านหลังขึ้นไปไว้ตรงเอว แล้วใส่เข้าไปได้เลย แล้วก็ยืนกอดเธอไว้จากด้านหลัง มองไกลๆ ก็เหมือนคนยืนกอดกันอยู่ แค่นี้ก็เอาได้แล้ว แต่อย่ากระแทกเร็วหรือหนักไปล่ะ คนที่อยู่ตึกอื่นเค้าจะรู้หมด เอาแบบเนิบๆ ดีกว่า โรแมนติคดีออก แต่ส่วนใหญ่แล้ว การพาออกมาเอาที่ริมระเบียงมักจะเป็นทีที่สองแล้ว เพราะทีแรกมันไม่อยากได้อะไรที่มันโรแมนติคหรอก ขอเอาน้ำออกก่อน เรื่องโรแมนติคไว้ทีหลัง อ้าว ไปถึงริเวอร์ไซด์ได้ยังไงเนี่ย กลับมาที่คณะเหมือนเดิมดีกว่า โอ๊ะ โอ๊ะ โอ๊ะ ลืมบอกไปอีกเรื่องนึง ไหนๆ ก็พาเพื่อนๆ ไปเที่ยวริเวอร์ไซด์แล้ว เอ๊ะ มันพูดที่นี่ได้หรือเปล่าวะ เพื่อนๆ ทั้งหลายเอ๋ย ว่างๆ ให้ไปนั่งกินข้าวที่ริเวอร์ไซด์นะ ที่ร้านตรงระเบียงน้ำ พนักงานเสริฟที่นั่นส่วนใหญ่เป็นนักเรียน นักศึกษามาทำพาร์ทไทม์ ที่สำคัญพวกเธอค่อนข้างใจบุญนะ ลองไปคุยดู เธอขอค่าเสียเวลาเป็นเพื่อนคุยประมาณ 1000-1500 บาท แล้วแต่ตกลงกัน แต่อย่าทะลึ่งเปิดโรงแรมที่นั่นล่ะ เดี๋ยวเด็กเค้าจะเดือดร้อน ไปหาที่อื่น บอกแค่นี้แหล่ะ
กลับมาที่คณะจริงๆ ล่ะ แหะ แหะ ต้องออกตัวก่อนว่าผมไม่ใช่เด็กเที่ยวนะ เพียงแต่ตอนนั้นมันไม่รู้จะทำอะไรจริงๆ เอ้า กลับมาคณะได้แล้ว อย่างที่บอกว่าชีวิตช่วงนั้นมันน่าเบื่อจริงๆ ผมเริ่มเดินออกมาสังสรรค์กับเพื่อนสาขาอื่นๆ ก็ได้รู้จักกับคนมากขึ้น อย่างน้อยก็เป็นการเปลี่ยนอารมณ์ เพราะเวลาอยู่ใกล้น้ำกับรินมันเป็นอารมณ์เดิมๆ ก็คืออารมณ์อยากเอา แต่มันเอาไม่ได้ ก็เลยลองออกไปหาเพื่อนใหม่ๆ ดูบ้าง จะได้ไม่เบื่อ และผมก็ได้นั่งคุยกับรุ่นพี่คนนึง เพื่อนๆ จำได้หรือเปล่าที่ผมเคยเล่าว่าพี่เค้าเคยเป็นหนึ่งในสมาชิกคนรับแตงโม ตอนนั้นยังไม่รู้หรอกนะว่าพี่เค้าเป็นสมาชิกอยู่ ไม่เห็นไอ้บิ๊กมันเล่าให้ฟังเลย ก็นั่งคุยกับพี่เค้า แม่งเรียนห่วยกว่าผมอีก ที่จริงแกต้องจบไปเมื่อปีที่แล้ว แต่ไม่รู้รักคณะอะไรนักหนา ปีนี้ก็เลยยังอยู่เรียนปีห้าต่อ พี่เอกแอบเอาเหล้าใต้โต๊ะมาเติมในแก้วโค้กให้ผม ผมเหลียวหน้าเหลียวหลังเลิ่กลั่ก เพราะกินเหล้าในคณะโทษหนักพอๆ กับแอบเอากันในคณะเลยล่ะ แต่พี่เอกดูจะไม่สนใจ ผมก็เลยต้องเลยตามเลย กินก็กินวะ พี่เอกเล่าเรื่องโน้นเรื่องนี้ให้ฟังเยอะแยะไปหมด เพราะแกเข้าคณะก่อนผมตั้งสองปี แล้วไอ้สองปีมหาวิทยาลัยเนี่ยมันเปลี่ยนแปลงอะไรไปได้ตั้งเยอะ อย่างเช่นตัวผมเองเป็นแฟนกับน้ำปีหนึ่ง พอปีสองเลิก เป็นแฟนกับรินปีสอง พอปีสองกว่าๆ ก็เลิก พอขึ้นปีสาม แม่งไม่เหลืออะไรเลย
หรือบางคนเข้ามาปีหนึ่ง แม่คงจะกลัวว่าลูกสาวจะมีแฟน เลยทำหน้าตาลูกสาวให้มันน่าเกลียดเข้าไว้ ให้ลูกสาวเอานมเอาก้นเก็บไว้ที่บ้าน ไม่ต้องเอามาเรียนด้วย แต่พอปีสามเธอเดินผ่านหน้าไป พวกเราต้องกลืนน้ำลายเลย ว่าไอ้ที่ว่าหน้ามือเป็นหลังตีนมันเป็นอย่างนี้นี่เอง เพราะคุณลูกสาวคงรู้แล้วว่า วิธีทำให้หน้าตาเป็นผู้เป็นคนเหมือนผู้หญิงคนอื่นๆ เค้าทำกันยังไง และก็คงแอบเอานมเอาก้นที่เก็บไว้ที่บ้านมาใส่เหมือนเดิม อย่างนี้เป็นต้น แล้วเรื่องที่ผู้ชายคุยกันได้ถูกคอที่สุดก็ไม่พ้นเรื่องผู้หญิง พี่เอกเล่าเรื่องสาวๆ ในสาขาแกให้ฟัง รวมทั้งสาวๆ คณะอื่นที่แกได้ไปเยี่ยมเยียนมา ที่จริงมีเรื่องราวเยอะมาก สนุกๆ ทั้งนั้นเลย แต่ผมขี้เกียจลากเรื่องพวกนั้นเข้ามาเกี่ยวด้วยแล้ว เดี๋ยวเขียนไม่จบซะที แต่มีเรื่องนึงที่ผมฟังแล้วโคตรอิจฉาเลย ยังจำได้ถึงทุกวันนี้เลยล่ะ พี่เอกเล่าว่า แหม ที่จริงถ้าจะให้ถูกแล้ว เพื่อนๆ ต้องรู้จักสภาพมหาวิทยาลัยผมซะก่อน ถึงจะบรรยายให้เพื่อนๆ เห็นภาพได้ แต่ขืนบอกก็รู้สิว่าอยู่ที่ไหน เอาเป็นว่าผมเล่าคร่าวๆ ก็แล้วกันนะ พี่เอกเล่าว่าแกเคยไปเยี่ยมเพื่อนที่คณะที่อยู่ห่างไปสองช่วงถนนมหาวิทยาลัย คณะนั้นลูกผู้ดีทั้งนั้นเลย ไอ้คณะเราเนี่ยมันชนชั้นกลาง สาวๆ คณะนั้นไม่สนใจคนของเราหรอก คราวนี้พี่แกก็ทะลึ่งไปปิ๊งสาวคนนึง ก็เลยให้เพื่อนช่วยพยายามแนะนำให้หน่อย เพื่อนก็ดีเหลือเกิน ไปเช็คแล้วเช็คอีกจนรู้กิจวัตรประจำวันของเธอ
พอพี่เอกรู้ก็ขับรถไปเยี่ยมทันที อ้อ! ลืมบอกไป พี่เอกขับรถมาเรียนด้วย สมัยก่อนใครขับรถมาเรียนนี่ถือว่าไม่ธรรมดานะ พอไปถึงก็อาศัยเพื่อนแกเป็นคนกลางเข้าไปนั่งคุยด้วย เธอชื่อนก นกดูสุภาพ เรียบร้อย พูดจาดี พี่เอกชวนคุย เธอก็ไม่ได้หักหน้าแก ก็นั่งคุยด้วยอย่างดี พี่เอกบอกว่าตอนนั้นแกมีความหวังมากๆ เพราะถ้าได้นกเป็นแฟนและพามาที่คณะ มีหวังแกเดินเบ่งเสื้อขาดแน่ๆ เพราะรู้ๆ กันอยู่ว่า ผู้หญิงคณะนั้นแม่งโคตรหยิ่งเลย ตั้งแต่วันนั้นมา แกขับรถไปคณะนั้นเกือบทุกวันเพื่อไปหานก จนเริ่มสนิทกันมากขึ้น พี่เอกเล่าถึงตอนนี้แล้วก็หยุดไปตั้งนาน ผมนึกว่าแกไม่อยากเล่าแล้ว แต่ซักพักแกก็ส่ายหน้าแล้วเล่าต่อ แกบอกว่าตอนนั้นแกหายใจเป็นนกเลยล่ะ เลิกเรียนปุ๊บต้องรีบไปคณะนั้นทันที แบบว่าไม่เห็นหัวสาวๆ ในคณะตัวเองเลย จนต่อมาก็เริ่มออกไปเที่ยวห้างด้วยกัน แกก็ซื้อของโน่นของนี่ให้นกเพราะอยากให้เธอดีใจ หรือบางทีนกอยากได้อะไรแกก็จะซื้อให้ ทีนี้พอไปเรื่อยๆ นกชักจะขอมากขึ้นเรื่อยๆ ตอนแรกๆ แกก็สู้นะ อยากได้อะไรก็ให้ แต่นานๆ ไปชักรู้สึกแปลกๆ เพราะนกดูจะขอมากเกินความจำเป็นไปหน่อย จนท้ายๆ แกเริ่มไม่ไหว พี่เอกเล่าว่า แกไปคุยกับเพื่อนคนเดิมว่าทำไมค่าใช้จ่ายมันสูงนักวะ เพื่อนแกหายไปสองสามวันแล้วเดินหน้าเหี่ยวกลับมาบอกแกว่า ที่คณะนั้นเค้าพูดถึงแกกันทั่วเลย ว่าไอ้หนุ่มคณะนี้มันหน้าโง่ คงคิดว่านกจะชอบพี่เอกจริงๆ เดี๋ยวหมดตัวแล้วก็คงหายหัวไปเอง
พี่เอกเล่าถึงตรงนี้แล้วแกก็ยิ้ม ผมมองงงๆ เพราะที่จริงแล้วแกต้องทำหน้าโกรธมากกว่า แกบอกว่าตอนนั้นแกโกรธมากจริงๆ แหล่ะ หมดเงินไปเกือบห้าหมื่นบาท สมัยนั้นเงินห้าหมื่นไม่น้อยนะ ถ้าจำไม่ผิด น้ำมันลิตรละหกบาทเอง ทองบาทละสองพันนิดๆ แกบอกว่าไม่ได้เสียดายเงินหรอก แต่เสียฟอร์มมากกว่า พอตั้งหลักได้แกก็บอกเพื่อนว่า แกจะเข้าไปพานกไปเที่ยวห้างเหมือนเดิม เพื่อนแกก็งงว่ายังไม่เข็ดอีกเหรอวะ เพื่อนๆ รู้จักคลอโรฟอร์มหรือเปล่า มันเป็นสารเคมีในห้องทดลองชนิดหนึ่ง เอาไว้ใช้สำหรับดองศพ แต่คุณสมบัติของมันอีกอย่างหนึ่งคือ เมื่อเอาไปผสมกับสารอีกตัวนึง มันใช้ทำยาสลบฉุกเฉิน อย่างเช่นถ้าใครซักคนอาละวาดมากๆ เอาไม่อยู่ ก็จะใช้ไอ้ตัวนี้เพื่อน็อค ของเล่นอย่างนี้พวกผมรู้จักกันมาตั้งนานแล้ว แต่ที่ผ่านมายังไม่จำเป็นต้องใช้บริการมัน แล้วคนที่ผสมเก่งๆ นะ เค้าสามารถกำหนดได้เลยว่าจะให้น็อคได้นานแค่ไหน แต่เพื่อนๆ อย่าไปลองล่ะ เพราะไม่งั้นเดี๋ยวแทนที่ผู้หญิงจะน็อค เสือกจะกลายเป็นไปดองเธอทั้งเป็น ซวยตายห่าเลย ผมเกริ่นแค่นี้เพื่อนๆ คงพอจะนึกออกแล้วใช่หรือเปล่า ว่าพี่เอกจะเล่นห่าๆ อะไร แกเล่าว่า พอแกทำไม่รู้ไม่ชี้ไปรับนกเหมือนเดิม นกก็ไปด้วยนะ แกก็ขับรถไปห้าง เรื่องของเรื่องคือนกไม่ได้เข้าไปในห้างหรอก เพราะพี่เอกแกจัดการนกที่ลานจอดรถชั้นใต้ดินของห้างนั่นแหล่ะ
ตอนแรกผมฟังก็นึกว่าแกโม้ เพราะมันทำได้ยาก เท่าที่ผมรู้จัก ไอ้ยาตัวนี้มันแรงมาก ถ้าแกนั่งอยู่ในรถกับนก นกน็อคแกก็ต้องน็อคด้วย เพราะมันเป็นพื้นที่อับ พี่เอกหัวเราะใหญ่เลย แกบอกว่าแกทำเป็นไอ เอาผ้าเช็ดหน้าปิดจมูกตัวเอง แล้วก็เอาอีกผืนที่ผสมยาแล้วไปใกล้ๆ จมูกเธอ ไอ้ยาตัวนี้มันไม่เหมือนในหนังนะ ที่ผู้ร้ายต้องอุดจมูกนางเอกซะจนผมกลัวว่านางเอกจะขาดใจตายซะก่อนกว่าจะน็อค อย่างที่ผมบอกไงว่าถ้าผสมให้ดี แค่จ่อตรงจมูกก็ไปแล้ว เพราะมันจะไปเบรกการทำงานของระบบประสาทส่วนกลาง ไม่อธิบายล่ะเพราะมันยาว ผมไม่ได้เขียนวิชาวิทยาศาสตร์ให้เพื่อนๆ อ่านนะ พี่เอกถามผมว่าอยากฟังแบบลงลึกหรือเปล่า ผมอยากจะบอกแกว่าโคตรอยากฟังเลย แต่เดี๋ยวเสียฟอร์ม ก็เลยบอกว่าแล้วแต่แก แกเล่าแค่ไหนผมก็ฟังแค่นั้น แกก็เล่าต่อว่า พอนกไปซะแล้วแกก็ขับรถออกจากห้างไปเรื่อยๆ สบายๆ เพราะมีเวลาเหลือเฟือ ไม่ต้องรีบร้อนอะไร แกขับรถไปม่านรูดแถวๆ ปากเกร็ดแล้วก็เลี้ยวเข้าไป พอเด็กปิดม่านก็พยุงนกเข้าไปในห้องแล้วเอาไปวางบนเตียง ผมนึกแล้วโคตรขำเลย พี่เอกบอกว่าตอนนั้นแกแค้นมากจริงๆ แกหมดเงินไปห้าหมื่นกว่าบาท เพราะฉะนั้น ระหว่างขับรถ แกตีราคาทุกอย่างในตัวของนกเป็นเงินหมดเลย จูบปากกี่บาท จับนมกี่บาท ไซ้ทั้งตัวกี่บาท และเอากี่บาท แกบอกว่าคำนวณดูแล้ว แกต้องเอาอย่างน้อยสองทีถึงจะไม่ขาดทุน
พี่เอกบอกว่า พอแกถอดเสื้อผ้าของนกออกจนหมด แกรู้สึกว่าได้เอาแค่ทีเดียวก็ไม่ขาดทุนแล้วเพราะนกขาวไปหมดทั้งตัวเลย อ้อ! ไม่หมดหรอก ไอ้ข้างล่างมันมีสีดำอยู่บ้าง แต่ตอนนั้นแกคงไม่มีเวลามานั่งคิดเรื่องพวกนี้หรอก รีบถอนทุนดีกว่า พี่เอกไม่ได้เล่าว่ากระบวนการถอนทุนของแกทำยังไง แต่แกสรุปว่า จะว่าคุ้มก็คุ้ม จะว่าไม่คุ้มก็ไม่คุ้ม ที่ว่าคุ้มเพราะไอ้ข้างล่างของนกเอามันมากและนมก็ใหญ่เต็มไม้เต็มมือดี ผมอยากจะถามแกเหมือนกันว่าที่ว่าเอามัน มันเป็นยังไง แต่ก็ไม่ได้ถาม ส่วนที่ว่าไม่คุ้มเพราะอีนี่มันไม่ซิง แกใส่ดุ้นของแกเข้าไปก็รู้แล้ว และพอเห็นว่าเป็นของมือสอง แกก็ต้องเบิ้ลเพื่อไม่ให้ขาดทุน ผมว่าถ้าสมัยนั้นมีกล้องวีดีโอหรือโทรศัพท์ที่ถ่ายรูปได้เหมือนสมัยนี้ แกคงถ่ายรูปเก็บไว้เป็นที่ระลึกแน่ๆ เอาเสร็จแกก็นั่งรอนะ จนนกหายน็อคฟื้นขึ้นมา แต่ยังแฮงค์อยู่ แกก็นั่งสูบบุหรี่รออย่างใจเย็น พอนกหายจากอาการแฮงค์แล้วเห็นสภาพของเธอ เท่านั้นแหล่ะ เธอโวยวายใหญ่เลย บอกว่าจะแจ้งตำรวจ พี่เอกบอกว่าแกนั่งสูบบุหรี่ยิ้มๆ บอกนกว่าทำขนาดนี้ แกไม่กลัวตำรวจหรอก อย่างมากก็ถูกจับ แต่แกจะแฉนิสัยของเธอให้รู้หมดทั้งมหาวิทยาลัยเลยว่าเป็นพวกหลอกแดก แล้วจะเปิดโปงว่าเธอน่ะไม่ซิงมาตั้งนานแล้ว แล้วมาดูกันว่านกจะยังอยู่ในไอ้คณะผู้ดีนั้นได้หรือเปล่า ที่แกบอกอย่างนี้เพราะรู้ว่าอีเด็กคณะนี้น่ะรักหน้าจะตาย แต่ถ้าเลิกรากันแค่นี้ ก็จบแค่นี้ ต่อไปแกก็จะไม่มายุ่งกับเธออีก และเธอก็ไม่ได้เสียหายอะไรมากไปกว่าที่เป็นอยู่อยู่แล้ว แกไม่เอาคนอื่นก็เอา คิดซะว่าได้ห้าหมื่นบาทแล้วเสียแค่นี้ ไม่ขาดทุนหรอก เออแฮะ นกเป็นคนที่เข้าใจสถานการณ์ได้อย่างรวดเร็วจริงๆ
พี่เอกบอกว่าเธอนั่งคิดอยู่ซักพักแล้วก็คาดคั้นแกว่าจะไม่เอาเรื่องนี้ไปบอกใครจริงๆ แกบอกว่าสัญญาก็คือสัญญา เลิกแล้วต่อกัน แกก็ไม่ได้อยากยุ่งกับพวกหลอกแดกเท่าไหร่นักหรอก ที่ทำนี่ก็เพราะไม่อยากให้ตัวเองขาดทุนมากเกินไปนัก นกนั่งซักพักก็ตกลงกันตามนี้ แกก็พานกกลับมาส่งคณะเวรนั่นเหมือนเดิม แต่พี่เอกก็ไม่ได้เก็บเรื่องนี้เป็นความลับหรอกนะ แกกลับมาเล่าให้เพื่อนสนิทแกฟัง ไม่ใช่ว่าอยากอวดหรืออะไรหรอก แต่เป็นการป้องกันว่าถ้านกหักหลังไปแจ้งความ แกจะให้เพื่อนๆ แกไปช่วยกันกระจายเรื่องนี้ให้ทั่ว บอกวัน เวลา เบอร์ห้องที่โรงแรมเบ็ดเสร็จ แต่จนถึงทุกวันนี้ ก็ไม่มีข่าวตื่นเต้นอะไรสำหรับแก แล้วแกก็ไม่เคยกลับไปเหยียบคณะนั้นอีกเลย ผมต้องขอโทษเพื่อนๆ จริงๆ ที่มันไม่ค่อยสนุก เพราะผมไม่ได้ทำเอง มันบรรยายยาก ถ้าเขียนไปก็เหมือนกับผมยกเมฆ รู้เห็นยังไงก็เล่าให้เพื่อนๆ ฟังอย่างนั้นแหล่ะ แต่ที่จริงถ้าเพื่อนๆ ได้มานั่งฟังพี่เอกเล่าอย่างผม ก็จะบอกว่ามันสนุกจริงๆ อ้อ กระซิบนิดนึงสิ นกที่พี่เอกพูดถึงเนี่ย เคยออกเทปด้วยนะ ผมก็ยังเคยซื้อเทปเธอเลย เวลาดูหน้าปกแล้วนึกถึงที่พี่เอกเล่า แม่งโคตรขำเลย เรื่องที่พี่เอกกลัวขาดทุน พี่เอกเล่าให้ผมฟังอีกหลายเรื่อง ตอนนี้ผมหยิบเหล้าที่ซ่อนอยู่ใต้โต๊ะมารินใส่แก้วตัวเองแล้ว เพราะบางเรื่องฟังแล้วตื่นเต้น แต่บางเรื่องฟังแล้วก็หัวเราะไม่ออก
จู่ๆ พี่เอกก็ถามผมว่ามีแฟนแล้วหรือยัง ผมก็ตอบว่ายังไม่มี ไม่ได้โกหกนี่เพราะเลิกไปหมดแล้ว พี่เอกยิ้มๆ แล้วเปรยว่าน่าจะมีแฟนนะ เพราะน้องในสาขาผมหลายๆ คนก็น่ารัก ผมมองหน้าแกแล้วถามว่าแกคิดว่าคนไหนน่ารักบ้าง แกย้อนถามผมว่าสนิทกับแตงโมหรือเปล่า ผมส่ายหน้าบอกแกว่าไม่สนิท เพราะเรียนคนละวิชาเอกกัน แกยิ้มๆ บอกว่านั่นแหล่ะ ไปสนิทสนมให้มากๆ เข้าไว้ ไม่อย่างนั้นจะเสียดาย คือผู้ชายเนี่ย บางครั้งไม่ต้องพูดหรอกนะ แค่อ้าปากก็เห็นลิ้นไก่แล้ว ผมเชื่อว่าแกเปิดเรื่องอย่างนี้มา ต้องมีอะไรดีๆ แน่ๆ ก็นั่งรอฟังแกด้วยความหวัง แกก็เล่นตัวอยู่นั่นแหล่ะไม่ยอมพูดซักที ผมเลยต้องถามแกว่าทำไมต้องเป็นแตงโม สาวๆ คนอื่นมีตั้งเยอะ แกบอกว่าไม่อยากพูดเพราะแตงโมเรียนสาขาเดียวกันกับผม เดี๋ยวจะหาว่าแกเอาสาขาผมมาว่า ผมรีบบอกเลยว่าไม่เป็นไร คิดซะว่าผมไม่ได้อยู่สาขานั้นก็ได้ แกนิ่งไปซักพักแล้วก็บอกว่า ตอนแกอยู่ปีสาม แกเคยไปเที่ยวผับตรงอโศกแล้วคุ้นๆ หน้าว่านักร้องที่กำลังร้องเพลงอยู่เป็นรุ่นน้องที่คณะ แต่การแต่งตัวบนเวทีมันล่อแหลมสุดๆ หรือพูดให้ตรงก็คือมันน่าเอานั่นแหล่ะ พอวันรุ่งขึ้นเข้าคณะมา แกก็มาทำเป็นเดินป้วนเปี้ยนหานักร้องคนนั้น แล้วก็รู้ว่าเป็นน้องในสาขาที่ผมเรียนอยู่ สืบดูก็รู้ว่าชื่อแตงโม คราวนี้แกก็ไปผับที่นั่นบ่อยมาก สิ่งที่แกรู้มันตรงกับที่อีพวกแผนกตรวจสอบมันบอกก็คือ มีหนุ่มๆ มารับมาส่งแตงโมเกือบทุกคืน แกบอกว่าคิดๆ ดูแล้ว ถ้าน้องเป็นคนดี แกก็ไม่อยากยุ่งด้วย แต่ภาพที่เห็น ถ้าเพิ่มแกเข้าไปอีกซักคนก็คงไม่ทำให้น้องเค้าสึกหรอไปมากกว่านี้อีก
พอความคิดอันประเสริฐแวบเข้ามา วันต่อมาแกก็ทำมาเป็นเดินที่สาขาผม แล้วรอจนเห็นแตงโมเดินอยู่ แกรีบเข้าไปประกบแล้วบอกว่าแกไปเที่ยวผับที่แตงโมร้องเพลงบ่อยๆ ถ้าไม่ว่าอะไร แกจะไปส่งแตงโมที่ผับนั้นเองได้หรือเปล่า แกบอกว่าลุ้นเหมือนกัน เพราะถ้าแตงโมส่ายหน้าแกจะเสียหน้ามาก เพราะเป็นรุ่นพี่ด้วย แต่พี่เอกก็ไม่เสียหน้าเพราะแตงโมตอบตกลง คราวนี้ก็เข้าทางแกสิ ตกเย็นแกเอารถมาแอบไว้ด้านหลังแล้วรอแตงโม ซักพักเธอก็เดินมาขึ้นรถ แกก็พาไปส่ง แต่ยังไม่ได้ไปผับนั้นนะ
ขอบคุณครับ
ขอบคุณครับ ขอบคุณครับ. ขอบคุณครับ ขอบคุณครับ ขอบคุณครับ เยี่ยม
ขอบคุณครับ ขอบคุณมากครับ
หน้า:
[1]