nuttsoy โพสต์ 2021-9-8 01:24:46

ไฟรักริษยา EP 1 เริ่มวันใหม่

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย nuttsoy เมื่อ 2022-7-23 11:58

ไฟรักริษยา EP 4ไฟรักริษยา

ตอนที่ 1 เริ่มวันใหม่




ทุกวันที่ตื่นมา ได้แต่ถามตัวเองอะไรคือความรัก ใครกันที่รักเรา เรารักใคร สุดท้ายเราจะเลือกใคร ระหว่างคนที่เรารัก หรือคนที่รักเรา ใครกันคือศัตรู และใครกันคือมิตรแท้ ทุกสิ่งล้วนจอมปลอม หรือ จริงใจ ไม่อาจรู้ได้ ทุกวันนี้ ผมได้แต่ตั้งคำถามกับตัวเองเหล่านี้คนที่เข้ามาแต่ละคนล้วนยิ้มให้กัน จนบางครั้ง ผมเองแยกไม่ออกว่า ยิ้มไหนคือจริงใจ ยิ้มไหน คืออาบยาพิษ

"เพชรเพชร ตื่นได้แล้วนะลูก วันนี้หนูต้องไปฝึกงานที่บริษัทนะ" เสียงผู้เป็นแม่ลอดเข้ามาในห้องนอนผม






"ครับ แม่ ผมตื่นแล้ว แป๊บนึงนะครับ" ผมพูดกับแม่ในขณะที่ส่องกระจกอยู่ ภูมิใจกับหุ่น และใบหน้าของตัวเอง คิดในใจว่าก็ไม่เลวแฮะ แถมยังเป็นนักศึกษาจบใหม่จากอเมริกา ผมโชคดีตรงที่มีกิจการ มีบริษัทเป็นของตนเอง จากทรัพย์สมบัติ ที่พ่อแม่ทิ้งไว้ให้ ทั้งธุรกิจ ห้างสรรพสินค้า คอนโดและเห็นแว่ว ๆ ว่า ครอบครัวจะมีโครงการ โรงแรม กับ รีสอร์ท เพิ่มขึ้นด้วย ผมรีบแต่งตัว และเดินออกไปเปิดประตูยิ้มให้แม่ด้วยสีหน้าสดใส


"ไป ลงไปลูก คุณลุงรออยู่" ผู้เป็นแม่พูดด้วยสีหน้าเร่งรีบพร้อมจูงมือผม ผมเลยรีบลงไปข้างล่าง เพราะรู้ว่าลุง เป็นคนตรงต่อเวลา ผมกุลีกุจอลงไปข้างล่างเพื่อทานข้าวเช้า ทั้งคุณลุงและพ่อผมรอที่โต๊ะอาหารด้วยสีหน้าเคร่งเครียด ท่านทั้งสองต้องโกรธแน่แน่เลยที่ผมลงมาช้า

"วันแรกก็สายเลยนะ เพชร" ผู้เป็นลุงพูดจริงจัง แกหันมามองผมด้วยหางตา สร้างบรรยากาศตึงเครียดแต่เช้าเลย

"ขอโทษครับคุณลุง" ผมรีบขอโทษคุณลุงที่มาสายด้วยท่าทีสลด


"ฉันไม่ต้องการคำแก้ตัว แต่ฉันต้องการการเปลี่ยนแปลง" ผู้เป็นลุงพูดโดยที่ไม่มองหน้าผมแม่งอะไรวะ แค่มาสาย 10 นาที ทำเป็นจริงจัง แต่ผมก็ได้แต่ก้มหน้า แม่ผมเป็นสะใภ้ก็ก้มหน้าไปด้วยเหมือนกัน และก็ไม่ได้ชักสีหน้า ผมควรจะเคารพคุณลุง น้องเฟมนั่งมองผมอย่างห่วงใยที่ผมโดนคุณลุงว่า




น้องเฟมเป็นเด็กอายุ 12 เป็นลูกของ น้องพ่อ ซึ่งผมเรียกว่าอาณัฐ หรืออาณัฐพงษ์นั่นเอง อาณัฐเป็นคนหล่อ ขาว หุ่นดี อายุ 40 ทำงานเก่ง เป็นที่หมายปองของสาว ๆ ไม่ต้องแปลกใจว่าทำไมถึงยังเป็นที่ต้องการของสาว ๆ เพราะอาณัฐ เลิกกับภรรยาไปแล้ว

ด้วยเหตุผลนี้เอง ทำให้น้องเฟมต้องเป็นเด็กที่รับผิดชอบ ไม่ค่อยชอบเล่นซนเหมือนเด็กทั่วไป ออกจะเป็นแนวผู้ใหญ่ซะมากกว่าผมนั่งตรงข้ามน้องเฟม ไม่รู้จะมองใครดี มองไปทางไหนก็ดูอึดอัด จึงได้แต่นั่งมองน้องเฟม น้องเฟมมันก็มองผม คงเป็นเพราะไม่รู้จะมองใครเหมือนกัน เราสองคนเลยค่อนข้างสนิทกัน เพราะแม่ผมใจดี แบ่งขนม ให้กิน น้องเฟมชอบกินคุกกี้ และก็ชอบถามการบ้านผมอยู่เรื่อย ผมก็เต็มใจสอน บอกเลยว่าเวลาอยู่กับน้องเฟม ผมผ่อนคลายที่สุด ไม่รู้สึกเกร็งหรือเครียดเลย



ถัดขึ้นไปทางฝั่งน้องเฟม เป็นพี่ไผ่ คนที่คุณลุงชุบเลี้ยงตั้งแต่เด็ก ๆ เดิม พี่ไผ่เป็นลูกคนใช้ แต่พอแม่ตาย คุณลุงก็เลยชุบเลี้ยง ถ้าไล่ไป ก็ไม่รู้จะให้ไปอยู่ที่ไหน ตอนนั้นพี่ไผ่ยังเด็กอยู่ คุณลุงสงสารเลยส่งเสียให้เรียน และให้ทำงานที่บริษัท พี่ไผ่ รักคุณลุงมาก ยอมตายแทนได้ เพราะคุณลุงเป็นเหมือนผู้ให้ชีวิตใหม่กับตนเอง ผมค่อนข้างสนิทกับพี่ไผ่พอสมควร เพราะเป็นคนที่อยู่เคียงข้างผมมาตลอด
ด้านหลังพี่ไผ่ มีเลขาพ่อเลี้ยงนั่งอยู่ด้วยชื่อพรณภัส หรือพี่ภัสสาววัยทำงานผิวสองสี เธอดูคร่องแคล่ว ปราดเปรียว แต่งตัวจัดแบบสาวออฟฟิศ สายตาคมกริบ สวย แต่ดูน่าเกรงขาม วันนี้คุณเลขาต้องติดตามมาด้วย เพราะมีออกนอกสถานที่กับคุณลุง



ส่วนทางฝั่งคุณแม่ คือพี่เชอรี่ พี่สาวของผมเองครับ พี่เชอรี่เป็นคนสวยหวาน เรียนเก่ง ส่วนพี่พลอยก็สวยครับ แต่จะเป็นแบบเปรี้ยวเปรี้ยว สรุปมีแต่คนสวย ๆ ทั้งพี่ภัส พี่เชอรี่ พี่พลอย สวยทุกคน แต่สวยกันคนละแบบ พ่อกับแม่ผมนี่เก่งจริง ๆ มีแต่ลูกหน้าตาดีดี แต่ผมไม่กล้าจะชมตัวเองนะครับ มันดูเขิน ๆคราวนี้ก็ครบแล้ว ทั้งคุณลุง คุณพ่อ คุณแม่ อาณัฐ น้องเฟม พี่เชอรี่ พี่พลอย และผม ในเมื่อนั่งกันพร้อมหน้าพร้อมตากันแล้ว ก็รับประทานอาหารเช้ากันซักที ผมก็เหลือบไปมองพี่ภัสโดยที่ไม่กล้าสบตา ไม่รู้เป็นอะไร เหมือนมีพลังบางอย่าง หรืออาจจะเป็นเพราะยังไม่สนิท


ผมนั่งทานข้าวจนหมดจาน กินแอปเปิลได้หนึ่งชิ้น หันไปหน้าบ้าน คนขับรถส่วนตัวของผมขับมาแล้ว แสดงว่าไม่ทันแล้วสิ แต่ผมก็อยากกินแอปเปิลอีกชิ้นหนึ่ง เอาไงดี อยากกินก็อยากกิน รีบก็รีบ ผมรีบยัดแอปเปิลใส่ปาก ยัดเข้าไปทั้งชิ้นเลยครับ ลุงผมหันมามองตาเขียวปัด แม่ผมรีบสะกิด ประมาณว่าอย่ามูมมาม

พอเสร็จสรรพ ป้าแน่งน้อยคนรับใช้ เดินมาเก็บจาน เราทุกคนต่างแยกย้ายกันออกไปหน้าบ้านเพื่อขึ้นรถ ส่วนรถทุกคันที่คนขับรถมาจอดนะหรอ เบ้นซเท่านั้น สีดำหนึ่งคัน สีบรอนซ์สองคัน และสีขาวหนึ่งคัน ส่วนรถของคุณลุงจอดอยู่หน้าบ้านอยู่แล้ว เป็นเบ้นซสีดำ นี่ยังไม่รวมรถที่ยังจอดอยู่ในโรงรถ ทั้งหมดน่าจะประมาณ 7 – 8 คันได้ ผมละไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมต้องเบ้นซ คุณลุงกับเลขานั่งสีดำ พี่ไผ่ขับ






ส่วนผม พ่อ แม่ นั่งสีบรอนส



พี่พลอย นั่งสีบรอนซ


พี่เชอรรี่ นั่งสีขาว



ส่วนอาณัฐกับน้องเฟมนั่งสีดำ ประเด็นหลังผมไม่เข้าใจหนัก ทำไมอาณัฐ นั่งกับคุณลุงก็ได้





ทำไมต้องซื้อรถเยอะขนาดนี้ นี่ก็ล่อไป 5 คันแล้วนะเนี่ย คนขับรถก็มีอีกตั้ง 4 คน ไม่รวมพี่ไผ่ ผมคิดในใจ เยอะไปปะและไม่รวมคนขับรถที่บริษัท ขับกันเองไม่ได้เลยหรอและคนขับรถที่บ้านผมนะหน้าตาดีหุ่นดีทุกคน เริ่มมาตั้งแต่

พี่วุธ คนขับรถคุณแม่ผม






พี่เอ็ม คนขับรถอาณัฐ




พี่ติ คนขับรถพี่เชอร์รี่




พี่ต๊ะคนขับรถ พี่พลอย




จะว่าไป เกิดเป็นลูกคนรวยก็แบบนี้ ทุกอย่างประเคนให้ถึงที่ พอก้าวออกจากรถเท่านั้นแหละ ทุกคนต่างยกมือกันไหว้ ตั้งแต่ยามจนถึงพนักงานระดับสูง ผู้เป็นลุงเดินเชิด เหมือนไม่แยแสคนเหล่านั้น สองมือล้วงกระเป๋า ยิ้มให้คนเหล่านั้นตามมารยาท ผมรีบยกมือไหว้ตอบคนเหล่านั้นเพราะเห็นว่าอาวุธโสกว่า ผู้เป็นแม่รีบดึงมือผมลง และกระซิบ

"เพชร ไม่ต้อง เดี๋ยวเสียปกครอง" พ่อผม แม่ผม พี่เชอรรี่ พี่พลอย อาณัฐ รวมทั้งเลขาคุณลุงผมต่างปฏิบัติเหมือนกัน คือยิ้มตอบ แต่ไม่ยิ้มตอบ และพูดคำว่า สวัสดีคะ สวัสดีครับด้วยสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส ยกเว้นลุงผม ที่ดูเหมือนฝืนยิ้ม เดินนำหน้าสุด ขนาดเดิน ยังต้องเรียงลำดับตำแหน่งงานหน้าที่ ก็มีคุณลุงเดินนำ ด้านขวามีอาณัฐ น้องเฟม และพี่เลขาภัส ด้านซ้ายมีพ่อกับแม่ผม เดินประกบคุณลุงอยู่ฝั่งซ้ายอย่างกับบอดี้การ์ด มีผมอยู่ตรงกลางข้างหลังคุณลุง และก็พี่พลอยอยู่ขวา และ พี่เชอรี่อยู่ซ้ายผมละสุดแสนจะอึดอัด

พวกผมเดินไปจนถึงลิฟท์ ยามกดให้ ตะเบ๊ะซะอย่างกะทหาร แต่ไม่ใช่ แหะ แหะ พวกผมทั้งหมดขึ้นลิฟท์ ด้านหน้ามีเขียนไว้ว่าลิฟท์สำหรับผู้บริหาร สุดยอด ขนาดลิฟท์ยังแบ่ง ตอนที่ประตูลิฟท์ปิดผมเห็นอีกกลุ่มเดินมา ไม่ต้องบอกว่าเป็นกลุ่มผู้บริหารเหมือนกัน เพราะพนักงานทำแบบเดียวกับเราเป๊ะ ผมคิดในใจ ต้องขนาดนี้เลยหรอ เมื่อขึ้นไปชั้นบน ผมได้เจอกับ ผู้ชายรูปหล่อคนหนึ่ง








"สวัสดีครับ ท่านประธาน" ชายหนุ่มคนนั้นไหว้คุณลุง ก้มอย่างนอบน้อม

"เฮ้ย ไม่เอาน่า คนกันเอง ไม่ต้องก้มขนาดนั้นก็ได้" ผู้เป็นลุงบอกหนุ่มคนนั้น ผมละงง เมื่อกี้เป็นอีกคน แต่พอขึ้นมากลายเป็นอีกคนซะงั้น การเป็นผู้บริหารนี่ต้องสวมหน้ากากจริง ๆแฮะ

"นี่อธิชาติ ไหว้พี่เค้าซะสิ นี่เพชร หลานชั้นเอง" ผมเลยไหว้พี่เค้า


"สวัสดีครับ พี่อธิชาติ"

"เรียกมันว่าพี่ไนท์กี้ ไอ้นี่มันบ้าไนท์กี้" ผู้เป็นลุงขำ คุณลุงผมนี่อารมณ์แปรปรวนจริง ๆ เมื่อกี้ยังดูขึงขังอยู่เลย แต่ตอนนี้ ดูสบาย ๆ เล่น ๆ ผม เลยต้องยิ้มไปด้วย แต่เป็นการยิ้มที่ฝืน บอกเลยครับว่าปรับอารมณ์ตามไม่ทัน

"และนี่ เจ้ากฤษกับเจ้าชายมารึยังละ"

"กำลังเดินทางมาครับ บังเอิญคุณแม่เป็นลม" พี่อธิชาติบอกกับคุณลุง

"อ้าว หรอ แหม ที่จริงไม่ต้องมาก็ได้" ลุงผมบอกด้วยสีหน้าที่ตกใจไม่น้อย

"ไม่ได้หรอกครับ วันนี้มีประชุม"

"เพชร แกดูพี่เค้าไว้นะ ขอบใจมาก ขอบใจมาก" ลุงผมหันไปบอกกับพี่อธิชาติ

"ครับ คุณลุง" ผมรีบบอกคุณลุง ผมดูสายตาพี่อธิชาติ หรือพี่ไนท์กี้อะไรนั่น ดูโคตรจริงจังหนักแน่นมากเลยครับ แววตาเป็นประกาย ดูมุ่งมั่นเป็นมืออาชีพ

"มีอะไร ก็ปรึกษาพี่เค้าได้นะ เค้าเป็นผู้จัดการทางด้านการตลาด ปี ๆ นึง เค้าทำรายได้มาให้บริษัทเราเป็น 100 ล้าน 1000 ล้าน"ผมได้ยินแล้วก็ตาโตเป็นไข่ห่านออกนอกหน้าจนพี่อธิชาติอดขำออกมาไม่ได้

"เป็นอะไรครับคุณเพชร" พี่ไนท์กี้พูดไป ขำไป

"พี่ ไม่ต้องเรียกคุณเพชรก็ได้ครับ เรียกผม เพชรเฉย ๆ ก็ได้" ลุงผมก้มหน้ายิ้ม

"เออ เพชร แกพูดตรงนี้ก็ดีและ ในห้องผู้บริหารแกจะเรียกพี่เค้ายังไงก็ได้ แกจะเรียก พี่ไนท์ พี่ชาติ หรืออะไรก็แล้วแต่ แต่ลงไปชั้นล่าง เวลาประชุม หรือที่อื่น ๆ ที่ไม่ใช่ในนี้ แกต้องเรียกพี่เค้าว่าคุณอธิชาตินะ อย่าไปเรียกเค้าว่าพี่เด็ดขาดนะ เดี๋ยวเค้าเสียปกครองคน" ผู้เป็นลุงผมเตือน

"8 โมงนะเพชร แกอย่าสายอีกละ"

"ครับ คุณลุง" ผมพูด คุณลุงนี่ กลัวผมสายตลอด

.......................................................................................................................................................................................................
ในห้องประชุม ทุกคนเข้าประชุมกันพร้อมหน้า ทั้งผม พ่อ แม่ คุณลุง พี่ไนท์กี้ พี่เชอรรี่ พี่พลอย และพี่ไผ่ แต่มีที่ว่าง ซึ่งมีป้ายชื่อชื่อเขียนว่า กฤษฎา อีกคนเขียนว่า ธนา และต้องเป็นคนสำคัญ คุณลุงถึงจัดให้นั่งใกล้คุณลุงด้านขวาคน ซ้ายคน โดยให้พี่กฤษฎาอยู่ทางซ้าย พี่ธนาอยู่ทางขวาส่วนคุณลุงนั่งหัวโต๊ะ ดำรงตำแหน่งเป็นท่านประธาน มีพ่อกับแม่ผมนั่งประกบข้างละคน ส่วนพี่ภัสและเลขาคนอื่น ๆ นั่งอยู่ด้านหลัง

เริ่มจากทางด้านขวาถัดจากคุณลุง มี คุณพ่อ พี่ธนา พี่อธิชาติ พี่พลอย และพี่ไผ่ ส่วนทางด้านซ้าย มีคุณแม่ พี่กฤษฎา พี่เชอรี่ และก็ผม มีป้ายชื่อเรียบร้อยว่า เพชรวุธ สรุป ผมนั่งตรงข้ามพี่ไผ่ คุณลุงนี่ เป๊ะเว่อร์จริง ๆ ขนาดที่นั่งยังจัดให้เลย จะเลือกตามอำเภอใจไม่ได้ คงจะเรียงตามความสำคัญของตำแหน่งหน้าที่

"ก่อนอื่น ฉันจะขอแนะนำให้ทุกคนรู้จัก คุณเพชร หรือ คุณเพชรวุธ จะมาเป็น ผู้จัดการการตลาดของบริษัทอีกคน" ผมตกใจกับตำแหน่ง หน้าตาเหลอหลาทำอะไรไม่ถูก ก็ตำแหน่งนี้มันตำแหน่งพี่อธิชาติไม่ใช่หรอ ทำไมมาให้ผม และอีกอย่างมันดูสูงส่งเกินไป ผมยังไม่มีประสบการณ์จะทำได้อย่างไร จริงอยู่จบการตลาดมาก็จริง แต่สำหรับเด็กจบใหม่มันไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ก็ยืนขึ้นยกมือไหว้ทุกคนอย่างงงงง

"เพชร จะมาช่วยเราในการจัดการตลาด ของโครงการหน้า" ผมละมึนตึบ โครงการอะไรวะ โครงการหน้า ทำไมมันฉุกละหุกอย่างนี้วะ คุณลุงไม่เห็นบอกอะไรเลย กูจะเรียนงานทันมั้ยเนี่ย ผมถามตัวเอง

"ตามที่ทุกคนทราบกันดีอยู่แล้ว ในต้นปีหน้า ทางเรา จะมีการสร้างคอนโดภายใต้แบรน The Ada Perfect ฉันจึงแต่งตั้งให้คุณเพชรเป็นผู้จัดการฝ่ายการตลาด ในโครงการนี้จะให้ทำคู่กันไปกับคุณอธิชาติ"โห งานใหญ่อย่างนี้จะทำได้มั้ยเนี่ยผมนะ อึ้งกิมกี่ ที่ผมเข้าใจเมื่อกี้มันยังงัยกัน

"ส่วนเจ้าของโครงการนี้ฉันแต่งตั้งให้คุณกฤษฎาเป็น ผู้จัดการโครงการ” ไม่น่าหละ คุณลุงถึงเอาป้ายชื่อไปวางไว้ซะใกล้เชียว ว่าแต่พี่กฤษฎาจะรู้รึเปล่านะว่าตัวเองเป็นผู้จัดการโครงการ

“ผู้จัดการฝ่ายจัดเลี้ยงและสถานที่ คุณทิพย์ธารา " พี่เชอรรี่ผมนี่เอง

"ไม่ทราบว่ามีใครคัดค้านหรือไม่" ใครกันจะกล้าคัดค้าน ผมคิดในใจ ผลเป็นไปตามคาด ไม่เห็นมีใครคัดค้าน ซึ่งผมลุ้นให้มีคนคัดค้าน แต่ก็ไม่มีซักคน ผมจะไหวมั้ยเนี่ย พี่อธิชาติเค้าเก่งจะตาย ผมไม่ไหวแน่แน่เลย

"ในเมื่อไม่มีใครคัดค้าน เอาตามนี้ เรื่องโครงการ The Ada Perfect จบแค่นี้”

"เรื่องต่อไป ฉันต้องการปรึกษา ว่าต้นเดือนหน้า เราจะเพิ่มขายสินค้า หรือ ลดสินค้าอะไรเป็นพิเศษ เนื่องจากสภาวะเศรษฐกิจไม่เอื้ออำนวยแบบนี้ ใครคิดว่ายังไง" ไอ้เราก็นึกว่าจบแล้ว คุยกันเรื่องห้างสรรพสินค้าอีก

"ท่านประธานครับ" พี่ไผ่ผมยกมือ





"ว่าไงพงศ์เดช" พี่ไผ่ผมนะแหละครับ

"ผมคิดว่าเราควรจะลดเฟอร์นิเจอร์ราคาแพงนะครับ เพราะว่าช่วงนี้ มีการบุกตลาดจากงานแฟร์เยอะ ทำให้เราขาดรายได้เยอะครับ จะเห็นว่าไตรมาศแรก ยอดขายเราตก ผมคิดว่าเราเปลี่ยนไปขายเฟอร์นิเจอร์ที่ราคาย่อมกว่านี้ น่าจะดีกว่าครับ" พี่ไผ่ผมอธิบาย ในฐานะคนทำบัญชี ผมก็เห็นด้วยนะ พวกเฟอร์นิเจอร์หรู ๆ ถ้าคนไม่รวยจริง ไม่มีทางซื้อเด็ดขาด


"ท่านประธานครับ" พี่อธิชาติยกมือ

“ว่าไง อธิชาติ” พี่ไนท์ยกมือขึ้น

"ผมเห็นว่า เราเป็นห้างระดับสูง ไม่สมควรที่ลดสินค้าเหล่านั้น เพราะถือเป็นหน้าตาของห้าง เฟอร์นิเจอร์บางชิ้นไม่มีขายในประเทศไทย แต่มีขายที่ห้างเรา ผมว่า ตรงนี้ เป็นจุดเด่น ลูกค้า ไม่จำเป็นต้องบินไปถึงเมืองนอกเพื่อซื้อ ผมคิดว่า เราควรเพิ่มของแถมให้ลูกค้า อย่างเช่น รถยนต์ หรือของที่ลูกค้านำไปแล้วจดจำได้ว่า ซื้อมาจากเรา อาจจะเป็นการจับฉลาก และผมคิดว่า น่าจะช่วยเพิ่มยอดขายให้กับเราครับท่านประธาน"



"เข้าท่านี่ อธิชาติ ของยังไงมันก็ใช้ต้นทุนน้อยกว่ากำไรที่ได้มาอยู่แล้ว แถมยังดึงดูดใจให้คนซื้ออีกด้วย งั้นฉันให้เธอดำเนินการเลย" พี่อธิชาติพูดจาได้หลักแหลมเฉียบคมมากเลยครับ จนผมสงสารพี่ไผ่ของผมเลยครับ นั่งมองตาปริบ ๆ น่าสงสารมากเลยครับ ก็อย่างว่า คนเรียนบัญชีมา จะคิดไม่เหมือนคนที่จบทางการตลาดมา และอีกอย่างพี่อธิชาติ เป็นคนเก่งมากด้วย คุณลุงก็ชมพี่อธิชาติอยู่บ่อย ๆว่าเก่ง ส่วนพี่ไผ่ เป็นคนที่คุณลุงไว้ใจมาก เหมือนลูกแท้ ๆ ของตน ไม่งั้นคงไม่ให้ทำบัญชีหรอก

"เรื่องต่อไป ช่วงนี้ใกล้หน้าฝน รถค่อนข้างติด คนอาจเข้ามาหลบฝนในห้าง และรถเข้ามาจอดเยอะ ทำให้ลูกค้าอาจไม่มีที่จอดรถ ใครจะเสนออะไรมั้ย สำหรับที่จอดรถ ซึ่งฉันไม่อยากซื้อที่ดินเพิ่ม"

"ดิฉันคิดว่า ลานด้านหลังอาคารที่เราเคยจัดเป็นสถานที่จัดคอนเสิร์ต ทำเป็นที่จอดรถชั่วคราวไปก่อนได้ ช่วงนี้ฝนตก คิดว่า สภาพอากาศช่วงนี้ไม่เอื้อต่อการจัดคอนเสิร์ต ถ้าเราดัดแปลงมาเป็นที่จอดรถ คิดว่ารองรับได้หลายคันอยู่คะ ท่านประธาน" พี่พลอยผมเป็นคนเสนอ เออ ผมก็เห็นด้วยนะ หน้าฝน ใครจะมาจัดคอนเสิร์ตกลางแจ้ง



"อืม ๆ ๆ ดี ฉันเห็นด้วย พรณภัส จัดการเรื่องนี้เลยนะ” คุณลุงหันไปมองพี่เลขาภัสให้จัดการ คงเห็นว่าเป็นเรื่องเล็กน้อยมั้งครับ พี่พลอยไม่ต้องลงมือทำเอง

"เอาละ มีใครเสนออะไรอีกมั้ย" ทุกคนเงียบ

"ในเมื่อไม่มี ฉันขอปิดประชุมเท่านี้" ผมฟังแต่ละคนพูดจาฉะฉานกัน ทุกคนดูเป็นมืออาชีพเชียวครับ มีผมคนเดียวที่ไม่ได้พูดอะไร คิดแล้วก็รู้สึกเศร้า จนทุกคนออกจากห้องประชุม เหลือผม กับพี่ไผ่ที่นั่งอยู่ พี่ไผ่ก็คงเศร้าไม่แพ้กันที่ไม่มีใครยอมรับ ผมเดินออกไปอย่างห่อเหี่ยวใจ ทิ้งให้พี่ไผ่นั่งอยู่ แต่แล้วก็อดห่วงไม่ได้เลยหันไป

"พี่ไผ่ครับ" ผมอดห่วงพี่ไผ่ไม่ได้

"อะไรครับ คุณเพชร" พี่ไผ่หันมา

"เมื่อกี้ พี่ไผ่เป็นไงบ้าง"

"เป็นไง อะไรครับ" พี่ไผ่ทำหน้างง ๆ

"ก็พี่อธิชาติ เค้าชนะ.." พี่ไผ่รอให้ผมพูด

"อุ้ย คุณเพชรไม่ต้องคิดมาก พี่ไม่เป็นไร การทำธุรกิจก็แบบนี้แหละครับ มีทั้งเห็นด้วย ไม่เห็นด้วย จะให้ทุกคนเห็นด้วยกับเราในทุก ๆ เรื่องมันเป็นไปไม่ได้หรอกครับ" ผมได้ยินอย่างนี้ ก็ใจชื้น พี่ไผ่เอามือมาตบบ่าผม และกำลังจะหันไป เอ๊ะ และพี่ไผ่จะนั่งอยู่ทำไม ไม่ลุกไปซักที ไอ้เราก็นึกว่าเศร้า ผมหันไปอีกรอบ

"พี่ไผ่" พี่ไผ่หันมา ผมเสียงไม่มั่นใจ

"อะไรครับ คุณเพชร"

"ผมกลัวว่าผมจะทำไม่ได้ ตำแหน่งมันสูงส่งเกินไป"ผมไม่มั่นใจ

"โห่ คุณเพชร เรื่องแค่นี้เองคุณเพชรทำได้อยู่แล้ว พี่เชื่อ" พี่ไผ่ยืนขึ้นให้กำลังใจผมอีกครั้ง ผมทำหน้าโคตรเซ็ง

"สู้ ๆ ไม่เอาน่า ไม่ทำหน้าเซ็งแบบนี้สิ ต้องดีใจสิ คุณเพชรที่ได้โอกาสนี้ แสดงว่าคุณลุงท่านเห็นความสามารถคุณเพชรนะ ถึงให้ตำแหน่งนี้ ไหน ยิ้มสิ" ผมฝืนยิ้ม

"ต้องอย่างนี้สิ คุณเพชร" พี่ไผ่ให้กำลังใจผม ผมเดินออกจากห้องประชุม พยายามจะมั่นใจ นี่แค่ช่วงเช้านะ คุณเพชร ผมบอกกับตัวเอง บ่ายจะเจออะไรวะเนี่ย ว่าแล้วผมก็ เดินเข้าห้องทำงานไปอย่างห่อเหี่ยวใจ
…………………………………………………………………………………………………………………………………………...............................…………

ไฟรักริษยา EP2

ไฟรักริษยา EP 3

ไฟรักริษยา EP 4


ไฟรักริษยา EP 5


ไฟรักริษยา EP 6

หน้า: [1] 2
ดูในรูปแบบกติ: ไฟรักริษยา EP 1 เริ่มวันใหม่