แค้นวิปริตจิตสั่งกาม ตอนที่ 8 ปัญหาครอบครัว กันย์ CP
ผมจะลงจนครบทุกตอนเลยนะครับ แต่อาจจะลงช้าหน่อยเพราะว่าช่วงนี้ใกล้มิดเทอมแล้ว ก็ต้องขยันอ่านนิดนึง อ่านนิยายนี่แหละครับ“ทั้งหมดห้าร้อยสิบห้าบาทครับ”
พนักงาน คิดเงินยื่นถุงใส่หนังสือและชีทสรุปเรียนส่งให้ผม เพียงเห็นปริมาณก็น่าถอนหายใจ ผมอาจต้องใช้เวลากับมันพอสมควรถ้าต้องการรักษาเกรดเฉลี่ยไว้
วันนี้ ทั้งวันผมต้องแบ่งสมองจากเรื่องล่าเหยื่อเอามาใช้กับการเข้าฟังบรรยายวิชา สำคัญในช่วงปลายภาค แวะซื้อตำราสำคัญและชีทสรุปที่วางขายหน้ามหาวิทยาลัยบำรุงราษฎร์ มหาวิทยาลัยเปิดที่ไม่มีการบังคับให้นักศึกษาเข้าเรียนตามเวลา เป็นประโยชน์อย่างยิ่งสำหรับคนที่เรียนและทำงานไปพร้อมกัน ข้อดีอีกประการหนึ่งคือ นักศึกษามหาวิทยาลัยบำรุงราษฎร์มีจำนวนมหาศาลทั้งกลุ่มที่เข้าเรียนประจำและ ปรากฏตัวเฉพาะช่วงใกล้สอบ หากฝากชีวิตวัยนักศึกษาไว้กับสถาบันนี้ แฝงตัวปะปนไปกับฝูงชนมากหน้าหลายตาเดินเข้าออกวันละเป็นร้อยเป็นพันคน ย่อมปลอดภัยกว่าเลือกศึกษาในมหาวิทยาลัยระบบปิดที่มีวงสังคมแคบกว่า เพราะผมไม่ต้องการให้ใครทราบว่ามีตัวตนอยู่ในสถานที่อันสะดวกต่อการสืบค้น เพื่อให้เข้าถึงตัวได้
บริเวณ ป้ายรถเมล์คลาคล่ำด้วยผู้คนและนักศึกษาเหมือนเคย ควันจากท่อไอเสียรถยนต์ ทัศนนียภาพเบื้องไกลบิดเบี้ยวด้วยไอร้อนระเหยราวกับอยู่ในทะเลทราย แถมพ่วงด้วยมลพิษทางเสียง ทำให้ผมนึกอยากหายตัวหนีไปจากที่นี่ดื้อ ๆ แต่ถึงอย่างไรก็คงต้องกัดฟันทนแล้วรีบเดินทางกลับน่าจะดีกว่ามัวคิดเพ้อเจ้อ เพราะเกียจคร้าน ผมตั้งท่าจะข้ามถนนย้อนกลับเข้าไปในมหาวิทยาลัยเพื่อไปยังลานจอดรถ
ระหว่างกำลังจะก้าวขาข้ามถนน ผมก็ถูกขัดจังหวะด้วยฝ่ามือใครสักคนที่ตรงมาจับไหล่ไม่ให้ซุ่มเสียง
“เต๋อ!! เต๋อ!! มาทำอะไรแถวนี้” ชายคนหนึ่งทักขึ้น แต่พอผมหันกลับไปมองก็เหมือนว่าเขาจะลังเลไปทันที
“เอ่อ. . . ขอโทษครับ ทักคนผิดครับ นึกว่าเพื่อน แหะ ๆ” เขายิ้มแหยโค้งหัวประหลก ๆ อย่างกับว่าการทักผิดถือเป็นโทษมหันต์ ส่วนผมกำลังคิดต่อว่าจะเอายังไงกับหมอนี่ดี เขาทักไม่ผิดคนหรอก แต่ผมนี่สิจะอยากสานต่อหรือเปล่า
ชาย คนดังกล่าวโค้งแทนคำขอโทษอีกครั้งแล้วรีบหันกลับแทรกตัวไปในฝูงชนอย่างเขิน อาย เอายังไงดี บ้าชิบ ไม่ได้เตรียมใจมาก่อนว่าจะมาเจอหมอนี่ในที่แบบนี้ จะเข้าไปแสดงตัวหรือปล่อยไปอย่างนี้ดี ผมต้องรีบตัดสินใจแม้จะมีเวลาไตร่ตรองน้อยก็ตาม
และแล้วในที่สุดก็ไม่ทราบว่าสิ่งใดดลใจให้ผมวิ่งเข้าไปคว้าแขนเขาไว้
“ภูมิ! ใช่นายจริง ๆ ด้วย!!” หวังว่าการที่ผมแสร้งทำหน้าดีใจสุดขีดนี้คงช่วยให้เขาหายจากความประหม่าที่คิดว่าตนหน้าแตก
.
.
.
.
หนุ่ม ตาตี่ ลักยิ้มหวาน ผิวขาวเหลือง ท่าทางหน้าเป็นตลอดเวลาคนนี้คือ ภูมิรักษ์ หรือ “ภูมิ” เพื่อนเก่าร่วมชั้นรุ่นเดียวกันอีกคนหนึ่ง เขาค่อนข้างพิเศษกว่าคนอื่น คือเป็นหนึ่งในสองเพื่อนร่วมรุ่นที่ไม่เข้าข่ายลูกหนี้แค้น หรือพูดอีกอย่างก็คือคนที่ไม่เคยมีปัญหากับผมนั่นเอง กระนั้นก็ไม่ได้หมายความว่าผมต้องการเจอเขาเวลานี้ สิ่งที่ทำให้ผมตัดสินใจแสดงตัวคงเป็นเพราะสิ่งที่อาจเรียกนับว่าเป็นบุญคุณ ซึ่งเขาเคยมอบให้ผมเมื่อวันวาน.
.
.
ด้วย บุคลิกยิ้มง่ายและหน้าตาชวนโกรธไม่ลง ทำให้สมัยเรียนภูมิเป็นคนที่ไม่มีศัตรูเลยแม้แต่คนเดียว หลายครั้งที่ผมถูกรุมกลั่นแกล้ง เขาจะออกตัวปกป้องผมในแบบฉบับเขาเอง คำพูด “อย่าทำเต๋อเลย อย่าทำเต๋อเลย” เป็นสไตล์การขอร้องแข็งทื่อที่เขายกมาใช้เป็นประจำเมื่อต้องช่วยผม บางครั้งถูกลูกหลงไปด้วยจนถึงกับหัวร้างข้างแตกก็มี แล้วพวกเพื่อน ๆ ก็จะกรูกันล้อมหน้าล้อมหลังพยาบาลพร้อมคว่ำบาตรคนที่ทำให้เขาเจ็บตัว ภูมิอาจเปรียบได้กับตุ๊กตาสัตว์มาสคอตของห้องสาม ใครจะมาทำให้เลือดตกยางออกไม่ได้ แม้แต่ผู้ชายด้วยกันยังเอ็นดู ราวกับทั่วกายลงสาริกาให้คุณด้านเมตตามหานิยม ช่างตรงกันข้ามกับผมอย่างสิ้นเชิง นอกจากนี้เขายังอุดหนุนรถเข็นขายเครื่องดื่มของแม่ผมเป็นประจำ ภูมิเป็นเพื่อนคนเดียวในห้องที่ไหว้แม่ผมแม้จะรู้ว่าเป็นแม่ค้าขายของหน้า โรงเรียน
.
.
.
มาถึงตรงนี้คุณอาจจะมองว่าเขาเป็นพวกเอ๋อเร๋อ แต่แท้จริงแล้วสติปัญญาจัดอยู่ในขั้นเฉียบคม เขาสนใจอ่านหนังสือทุกประเภท ยึดถือปรัชญาการเรียนรู้ตลอดชีวิต วิสัยทัศน์แซงหน้าครูฝ่ายวิชาการบางท่านเสียอีก ความจริงน่าจะได้อยู่ห้องหนึ่งด้วยซ้ำ แต่ดูเหมือนช่วงนั้นภูมิมัวแต่สนใจการค้นคว้าส่วนตัวนอกห้องเรียนจึงทำให้ เกรดตกลงมาอยู่ห้องสาม วีรกรรมครั้งแรกที่เขาแจ้งเกิดก็คือไปพูดท่าไหนไม่รู้ทำให้อาจารย์ทรงเดชที่ กำลังโกรธจัดเลิกล้มความคิดที่จะลงหวายเด็กทั้งห้องลงได้ราวปาฏิหารย์ ภูมิจึงเอาชนะใจพวกหัวโจกได้ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา คุณสมบัติที่เป็นที่รักของทุกคนและหัวดีนี้เองทำให้ภูมิเคยได้รับการเสนอ ชื่อให้ดำรงตำแหน่ง “โพดำ” ของรุ่น ด้วยคะแนนสนับสนุนล้นหลาม แต่เขาปฏิเสธด้วยเหตุผลว่าตนไม่เหมาะกับการเป็นผู้นำ โดยเฉพาะจตุรเทพอีกสามคนจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหนหากผู้นำสูงสุดเป็นคนช่างประนี ประนอมและไม่สู้คน
.
.
.
“เกรงใจจังที่ให้ติดรถด้วย” เขายิ้มจนตาตี่ ลักยิ้มหวานชวนให้นึกถึงเด็กวัยใสไร้เดียงสาแม้จะอายุเจ้าตัวเริ่มขึ้นต้น เลขสองเท่าผมก็ตาม
“ไม่เป็นไรน่า เพื่อนกัน” ผมยิ้มให้ตามมารยาท
“เต๋อ ไปทำอะไรมา หล่อขึ้นเป็นกองเลย แล้วยังรถบีเอ็มอีก ได้มาไง” เขายิงคำถามรัว หันขวับซ้ายขวายังกับเด็กเล็กที่สนใจของรอบตัว หมอนี่จัดว่าเป็นคนหน้าตาดีคนหนึ่งเลยทีเดียว ติดตรงท่าทางลุกลี้ลุกลนอยู่ไม่สุขนี่แหละที่ทำให้เสียบุคลิกเอามาก ๆ ใครไม่รู้จักจะพาลเข้าใจว่าสติไม่เต็มเต็ง
“เรื่องมันยาวน่ะ จะว่าไงดี...ผมมีรายได้จากธุรกิจขายตรงพอสมควรน่ะ ก็เลยใช้เพื่อตัวเองไปบ้าง”
“คาด เข็มขัดด้วยนะภูมิ ผมไม่อยากใช้พลัง...เอ่อ...มีปัญหากับตำรวจ” บ้าชะมัด เสียสมาธิจนเผลอพูดอะไรรั่ว ๆ ออกไปแล้ว นี่ผมตัดสินใจผิดหรือเปล่า ไม่น่าไปเอาเจ้านี่ติดรถมาด้วยเลย ในหัวผมมัวแต่กังวลว่าเขาจะเอาเรื่องที่ผมเรียนอยู่ ม.บำรุงราษฎร์ไปเล่าให้คนอื่นฟัง
“ไม่ คิดเลยว่าเราจะเรียนอยู่ที่เดียวกัน ภูมิเรียนเทคโนฯศึกษา แล้วเต๋อเรียนเอกอะไรเหรอ” โชคดีที่ภูมิไม่ติดใจที่ผมหลุดปากเมื่อครู่ เขาคาดเข็มขัดอย่างว่าง่าย
“จิตฯสังคม โทปรัชญา”
“โห . . .” เขาเบิกตาอ้าปากค้างอย่างกับทั่วโลกมีคนเลือกเรียนสองสาขานี้ไม่เกินสิบคน
“แปลกเรอะ”
“น่า สนใจมากเลย แบบนี้เต๋อก็เป็นพวกนีโอฟรอยด์เดียนใช่เปล่า? งั้นชอบใครเป็นพิเศษ คาร์ลจุง? อีริคสัน? เดี๋ยวนะ ๆ เมื่อกี้บอกว่าเรียนโทปรัชญานี่นา คิดว่าจะประยุกต์ใช้กับสาขาจิตวิทยาสังคมยังไง? ในแง่ญาณวิทยารึเปล่า? เมต้าฟิสิกส์ล่ะชอบไหม?” ภูมิจ้อขึ้นเรื่อย ๆ
ผมรู้ว่าหมอนี่ไม่ได้ถามเพื่อลองภูมิแต่เป็นนิสัยของเขาอยู่แล้ว จึงชวนเขาคุยพลางคิดไปด้วยว่าจะทำอย่างไรต่อ จริงอยู่เจ้านี่เคยมีบุญคุณกับผมแต่มันเร็วเกินไปที่จะมานั่งคุยฝอยเจื้อย แจ้วขณะที่ชนักติดหลังอีกด้านของผมคือผู้สะกดจิตตามล้างแค้นเพื่อนร่วมรุ่น ไปทั่วอย่างนี้ มันกระอักกระอ่วนเหมือนผมฆ่าแมวไว้หลายสิบตัวแล้วจู่ ๆ ต้องมาร่วมโต๊ะอาหารกับประธานชมรมคนรักแมวอย่างไรอย่างนั้น ทำไงดี จับลบความทรงจำแล้วถีบลงจากรถตอนนี้เลยดีไหม
“น้าทิพย์เป็นยังไงบ้าง” คำถามนี้ทำให้ผมชะงักเรื่องลบความจำไว้ชั่วคราว ส่วนเรื่องถีบลงรถแค่คิดเล่น ๆ นะ
“เสียแล้ว แม่เป็นมะเร็ง” ผมตอบหน้าตาย มันผ่านไปนานพอที่จะทำใจเก็บซ่อนความอ่อนไหวไว้ได้เมื่อต้องตอบคำถามประเภทนี้
“ภูมิขอโทษนะ. . .” เขายิ้มแห้ง ๆ มือไม้งกเงิ่นเหมือนจะเข้ามาตบไหล่ปลอบแต่ก็ลังเลจนทำอะไรไม่ถูก
“ช่างเถอะ แล้วนายล่ะ ทำไมเรียนที่นี่ อย่างนายน่าจะสอบติดมหา’ลัยที่แข่งขันกันสูง ๆ นะ”
“เรื่อง มันยาวเหมือนกัน. . . แหะ ๆ ภูมิต้องเลี้ยงลูกน่ะ ถ้าเรียนเต็มเวลาก็จะไม่มีเวลาทำงานหาเงินให้ลูก” สิ่งที่ได้ยินทำเอาผมเกือบเหยียบเบรค คนอย่างภูมินี่นะมีลูกแล้ว ถ้าบอกว่ามีลูกศิษย์ก็ว่าไปอย่าง
“ถึงท่ารถแล้ว ผมลงตรงนี้แหละ ขอบคุณนะที่มาส่ง” ภูมิจัดแจงสะพายเป้เตรียมเปิดประตูรถ
“เดี๋ยว ก่อน!” งี่เง่าที่สุด เจ้านี่กำลังจะไปอยู่แล้ว แถมยังซื่อบื้อ เบอร์โทรอีเมล์ก็ลืมขอไว้ทุกอย่างซึ่งมันก็ดีกับผมแล้วนี่ จะรั้งตัวไว้ทำไมกัน สงสัยต่อมสอดรู้ของผมเริ่มทำงานได้ที่
“ผมจะไปส่งนายถึงบ้าน อยากคุยต่อน่ะ ติดลมซะแล้ว”
“ไม่ต้องหรอก ภูมิอยู่ไกลนะ นิคมอุตสาหกรรมต่างจังหวัดนู่นแน่ะ ลำบากเต๋อเปล่า ๆ”
“เอาน่า อย่าเกรงใจเลย” ผมคะยั้นคะยออยู่ไม่นาน ภูมิก็ใจอ่อนยอมเดินทางไปด้วยกัน
จากการสนทนาระหว่าง ทางบวกกับการวิเคราะห์เพิ่มด้วยตัวผมเองทำให้ทราบว่า ชีวิตของภูมิหลังจบมัธยมต้นก็ไม่ต่างจากบทละครโทรทัศน์เรื่องหนึ่งดี ๆ นี่เอง ละครเรื่องนี้มีมูลเหตุจากคนสามคนคือ ภูมิ กันย์ และ พลอย
ภูมิ เด็กกำพร้าที่หญิงชราผู้หนึ่งรับอุปการะเป็นลูกบุญธรรมจากสถานสงเคราะห์ เนื่องจากลูกหลานแท้ ๆ ของเธอทอดทิ้งให้อยู่โดดเดี่ยว เนื่องจากหญิงชรามีฐานะมั่นคง ภูมิจึงได้รับการเลี้ยงดูอย่างดีตามพัฒนาการช่วงวัย
กันย์ ทายาทผู้ดีเก่าสกุลโบราณ คือหนึ่งในลูกหนี้ที่ผมยังไม่ได้ชำระความ ซึ่งจะกล่าวเพิ่มเติมต่อไป
และ พลอย ลูกสาวคนเดียวของนักธุรกิจนำเข้าสินค้าต่างประเทศรายใหญ่ เป็นอีกคนหนึ่งนอกจากภูมิที่ไม่เข้าข่ายลูกหนี้ ซึ่งทั้งห้องมีเพียงสองคนนี้เท่านั้น
เหตุ ที่พลอยไม่เคยรังแกผม ไม่ใช่มาจากใจจริงเสียทีเดียว แต่เพราะเธอเข้าใจดีว่าภูมิเป็นคนไม่ชอบความรุนแรง จึงอ่อนโยนต่อผมเพื่อเอาใจภูมิ เพราะอะไรน่ะหรือ ก็เพื่อว่าภูมิจะได้ช่วยเธอทำการบ้านและรายงานไง ด้วยเหตุนี้ภูมิจึงเข้าใจว่าพลอยคือแม่พระท่ามกลางหมู่มาร เขาหลงรักพลอยโดยบริสุทธิ์ใจ ขณะที่เบื้องหลังแล้วพลอยแอบคบหากับกันย์ ทุกคนมองออกว่าภูมิถูกหลอกใช้ บางครั้งพลอยยังถือดีเอางานส่วนของกันย์มาให้ภูมิทำด้วยซ้ำไป แต่ดูเหมือนจะไม่มีใครกล้าเตือนเพราะมันเป็นเรื่องพูดลำบาก เธอบอกให้ภูมิเลิกยุ่งกับเธอช่วงใกล้จบการศึกษาเพราะภูมิใกล้หมดประโยชน์ เข้าทุกที
ต่อ มาพลอยท้องกับกันย์หลังจบการศึกษาไม่นาน กันย์บังคับให้พลอยทำแท้งแต่เธอปฏิเสธเพราะเธอรักกันย์สุดหัวใจและมองว่า เด็กในท้องสมควรได้เกิดมาเป็นพยานรัก เธอวาดหวังว่าจะได้แต่งงานกัน
ทว่า โชคไม่ดีที่เธอคิดไปเองฝ่ายเดียว กันย์ปฏิเสธทุกอย่างและหนีหายออกจากชีวิตเธอไป แต่ถึงอย่างนั้นพลอยก็ยังเลือกที่จะเก็บเด็กเอาไว้ ด้วยหวังว่าหากเด็กเติบโตสักหน่อยแล้วพาไปพบกันย์อาจทำให้ใจอ่อนลง แต่ไม่ทันถึงเวลานั้น พ่อและแม่พลอยก็รับไม่ได้ พลอยถูกพ่อตบตีโทษฐานทำให้เสื่อมเสียถึงวงศ์ตระกูล พลอยซึ่งอยู่ในภาวะถูกกดดันจากรอบข้างรู้สึกไม่เหลือใคร จึงตัดสินใจหนีออกจากบ้านบากหน้าไปหาภูมิ ซึ่งขณะนั้นภูมิเองก็กำลังลำบาก หลังหญิงชราล้มป่วยและเสียชีวิตลง เหล่าลูกหลานแท้ ๆ ก็ต่างกลับมาแย่งชิงสมบัติและยึดบ้านที่ภูมิอาศัย ทั้งภูมิและพลอยจึงกลายเป็นเทวดาตกสวรรค์ในเวลาไล่เลี่ยกัน
แต่ ภูมิก็พิสูจน์รักแท้ด้วยการยอมเป็นที่พึ่งทางกายและทางใจให้พลอย เขานำเงินก้อนสุดท้ายที่ติดตัวให้พลอยเป็นค่าทำคลอด ทำงานอาบเหงื่อต่างน้ำ ทั้งเป็นเด็กเสิร์ฟ ทำงานร้านสะดวกซื้อเพื่อหาเลี้ยงพลอยและเต็มใจเลี้ยงลูกที่เกิดจากกันย์โดย ไม่รังเกียจเดียดฉันท์ ภูมิเรียน กศน. จนจบและเข้าศึกษาต่อที่ม.บำรุงราษฎร์ เพื่อเรียนและทำงานพร้อมกันเช่นเดียวกับผม ปัจจุบันเขาเป็นหนุ่มโรงงานย่านนิคมอุตสาหกรรมแห่งหนึ่งในภาคตะวันออก วันนี้เขาลางานมาเพื่อทำธุระทะเบียนนักศึกษา เราจึงบังเอิญได้พบกันนั่นเอง
.
.
.
ใน ที่สุดผมก็เดินทางมาถึงที่พักของภูมิ ซึ่งเป็นห้องเช่าตึกแถวสามชั้นโทรม ๆ ไม่มีระบบรักษาความปลอดภัย สะท้อนถึงรายได้โดยประมาณและความเป็นอยู่ของเขา ดูเหมือนการที่ผมเอารถยนต์ราคาแพงมาจอดแถวนี้จะทำให้กลายเป็นจุดรวมสายตาของ ผู้พบเห็นจนผมรู้สึกประดักประเดิด
ระหว่างขึ้นตึกมีสาวโรงงานวัยราวยี่สิบปลาย ๆ คนหนึ่งเดินสวนกับเรา ผมได้ยินคำพูดในหัวเธอที่แสดงถึงความร่านเงียบ เธอจ้องจะหาโอกาสงาบภูมิอยู่เหมือนกัน ติดแต่ตรงที่มีเมียมีลูกแล้ว แม้ภูมิจะดูไม่เต็มบาทอยู่บ้าง แต่โดยรวมแล้วรูปร่างหน้าตาและความหนุ่มก็ถือว่าทำให้เป็นขวัญใจสาวโรงงาน ย่านนี้ได้ไม่ยากนัก อย่างไรก็ตามเป้าหมายของเธอคงเป็นได้เพียงฝันกลางวันเพราะภูมิไม่ใช่คนเจ้า ชู้
“พลอย เปิดประตูหน่อย” ภูมิเคาะประตู
ผม ได้ยินเสียงลูกบิดหมุนดังแกร๊ก เป็นการสื่อว่าจัดการให้เรียบร้อยแล้วแต่ต้องเปิดเข้ามาเอง ภูมิถอดรองเท้าและผลักประตูเข้าไปเบา ๆ ส่วนผมยืนรอเชิงด้านนอก ยังไม่กล้าเข้าไปจนกว่าเจ้าของห้องจะเอ่ยปากเชิญ
“มี เพื่อนมาเยี่ยมแน่ะ จำได้ไหมว่าใคร” ภูมิยิ้ม ขณะที่พลอยกำลังนั่งสอนให้ลูกน้อยวาดรูปด้วยสีเทียนอยู่เพลิน ๆ เธอหันมาทางผมด้วยสีหน้าไม่แน่ใจ เพราะผมเปลี่ยนไปเยอะทีเดียว
“เต๋อรึเปล่าน่ะ” เธอเผยอปากด้วยความแปลกใจเล็กน้อย
“ถูก ต้องแล้ว คุณวิหค อรุณทอแสง หล่อจนจำแทบไม่ได้ใช่ป่ะล่ะ” ภูมิพูดเฉลยยังไม่ทันจบประโยคดี พลอยก็ลุกพรวดวิ่งกรี๊ดกร๊าดเข้ามาจับมือผมด้วยความดีใจออกนอกหน้า
“ไป ไงมาไงเนี่ย! เจอกันที่ไหน!” พลอยจูงมือให้ผมเข้ามาในห้อง เธอถามถึงที่มาอย่างสนอกสนใจ ขณะที่ผมให้ความสนใจกับตัวเธอและข้าวของภายในห้องมากกว่า พลอยแต่งตัวสวยเกินความจำเป็นในย่านที่พักแถบนี้ และถึงแม้สภาพห้องเช่าจะคับแคบ เครื่องใช้ไฟฟ้าก็มีเพียงโทรทัศน์เครื่องเล็กกับพัดลมเก่า ๆ แต่เครื่องสำอางบนโต๊ะเครื่องแป้งกลับตรงกันข้ามกับภาพรวมของห้อง มันล้วนแต่เป็นสินค้าราคาแพงเกินไปสำหรับหนุ่มสาวโรงงาน
“นี่น้องเก่ง ไหว้คุณอาสองคนรึยัง คุณอาอีกคนชื่ออาเต๋อนะ” พลอยหันไปหาลูกชาย
“สะ หวัดดีคับ อาภูมิ อาเต๋อ” เด็กชายวัยห้าขวบก้มหัวไหว้อย่างอ่อนน้อม แสดงว่าผู้ปกครองปลูกฝังมารยาทและอบรมบ่มนิสัยมาเป็นอย่างดี อย่างไรก็ตาม มันน่าแปลกตรงคำว่า “อาภูมิ” ผมหันไปสบตากับภูมิ แต่ดูเหมือนเขาจะเซ่อจนตีความไม่ออกว่าผมต้องการสื่ออะไร น้องเก่งเอารูปวาดสีเทียนโชว์ให้ภูมิดูตามประสาเด็ก
“วาดเก่งนะ” ผมชมเพื่อเสริมบรรยากาศอันดี แต่ดูเหมือนจะคิดผิด
“เหมือนพ่อเขาแหละ” คำตอบจากพลอยทำให้ภูมิเงียบไปชั่วขณะ ผมสังเกตได้ว่าภูมิกำลังปิดซ่อนอารมณ์บางอย่าง
ชักได้กลิ่นบางอย่างที่ไม่สู้ดีนัก บางทีอาจมีเรื่องทำให้ผมต้องเข้าไปก้าวก่ายเข้าจนได้
.
.
.
พลอย อาจไม่ใช่คนที่จริงใจกับใครเต็มร้อยตั้งแต่ไหนแต่ไรทั้งกับผมและภูมิ แต่อย่างน้อยความจริงใจก็น่าจะเกินร้อยละเจ็ดสิบ เห็นได้จากที่เธอสั่งอาหารอีสานชุดใหญ่มาเลี้ยงและต้อนรับขับสู้ผมเป็นอย่าง ดี ซึ่งเป็นการให้เกียรติแฟนทางอ้อม นับว่าน่ายกย่องทีเดียว เราสามคนต่างพูดคุยถึงวันวานอันหวานชื่นสมัยเป็นนักเรียนนุ่งขาสั้นอย่างออก รสชาติ ภูมิเป็นคนฉลาดที่เลือกยกแต่หัวข้อที่พอจะคุยกันได้เพราะเข้าใจว่าผมมี ประสบการณ์ในรั้วโรงเรียนที่น่าจดจำน้อยกว่าใครเพื่อน ส่วนพลอยพอติดลมบนก็ขุดขึ้นมาเล่าได้ร้อยแปด ตั้งแต่นินทาครูบาอาจารย์ยันถึงเรื่องตำนานผีสางภายในโรงเรียน ประเด็นสนทนาลุกลามไปเรื่อยและไม่มีทีท่าจะสิ้นสุดลงง่าย ๆ เรียกได้ว่าเพลินจนลืมเวลา
“สามทุ่มแล้วนะ น้องเก่งต้องนอนแล้ว พรุ่งนี้ต้องไปโรงเรียน” พลอยหันไปมองนาฬิกา
“ผมควรจะกลับแล้วละ ขอโทษนะที่รบกวนนานไปหน่อย” ผมชิงพูดขึ้นมาเองเป็นการแสดงถึงความรู้จักกาลเทศะ
“ไม่เห็นเป็นไรเลย ค้างที่นี่สักคืนก็ได้” พลอยพูดขึ้นอย่างอารมณ์ดี อาจเป็นเพราะรสเสวนาที่ผ่านมาทำให้หัวใจอิ่มเอม
“แต่. . .” แน่ละ ผมไม่รู้จะพูดอะไรต่อ
“นั่ง ดื่มกับภูมิสักหน่อยสิ แหม. . . นาน ๆ ทีเพื่อนผู้ชายคุยกัน เอาอย่างนี้ เดี๋ยวเรากับน้องเก่งจะไปขอนอนห้องเพื่อนข้าง ๆ สักคืน จะได้คุยกันตามประสาผู้ชาย”
“ไม่ดีกว่า แค่นี้ก็รบกวนมากแล้ว” ผมแบ่งรับแบ่งสู้
“ค้าง ที่นี่เถอะเต๋อ นานทีปีหนนะ พรุ่งนี้ภูมิเข้าสายได้ ถ้าพลาดก็ไม่รู้จะได้เจอกันอย่างนี้อีกเมื่อไหร่” ภูมิตอกย้ำอีกเสียงหวังให้ผมสบายใจยิ่งขึ้น
ใน ที่สุดผมก็ตอบรับด้วยความเกรงใจ แต่อีกใจหนึ่งก็อยากหาโอกาสอยู่กับภูมิตามลำพัง เผื่อจะได้ความคืบหน้าเกี่ยวกับพวกจตุรเทพ รวมถึงมีเรื่องที่ผมอยากถามภูมิ ซึ่งคงไม่สะดวกใจหากพลอยยังอยู่ในห้องเดียวกัน แต่ไม่น่าเชื่อว่าพลอยจะเป็นฝ่ายเชื้อเชิญผมเอง ใจกว้างกับแฟนเพื่อนอย่างคาดไม่ถึง ซึ่งนับว่าหาได้ยากในผู้หญิงทั่วไป นิสัยนี้เป็นข้อดีที่ชูจุดขายของพลอยได้อย่างโดดเด่นกว่าใคร
“เดี๋ยวเราลงไปซื้อเบียร์ให้นะ” พลอยตั้งท่าหยิบกระเป๋าเงิน
“ไม่ต้องหรอก พลอยเลี้ยงผมตั้งเยอะ เดี๋ยวผมลงไปซื้อเอง จะได้ซื้อโฟมล้างหน้ากับครีมอาบน้ำด้วย ไม่ได้เตรียมมาเลย”
“งั้นก็แล้วแต่เต๋อแล้วกัน. . .ตามสบายนะสองคน น้องเก่งคะไปนอนกันดีกว่าค่ะ” เธออุ้มลูกออกจากห้องไปพร้อมส่งยิ้มให้ผมกับภูมิ
.
.
.
.
.
ขณะ ผมกำลังหยิบเบียร์และเลือกอุปกรณ์สำหรับอาบน้ำในร้านของชำหน้าห้องเช่า ก็ต้องสะดุดหูเมื่อได้ยินเสียงคุยกระซิบกระซาบตรงโต๊ะม้าหินหน้าร้าน คลับคล้ายคลับคลาว่ามีชื่อภูมิอยู่ในประโยค ผมจึงใช้โทรจิตขยายกำลังเสียงให้รับรู้ได้สะดวกขึ้น
“เนี่ย วัน ๆ เมียก็ไม่ทำอะไร เกาะผัวแดก” ป้าเพิ้งวัยราวหกสิบนุ่งผ้าถุงท่าทางเป็นเจ้าของร้านพูดพลางหยิบถั่วลิสงทอด เคี้ยวอย่างเพลินปาก
“อี ตาภูมิอะไรเนี่ยก็โง๊โง่เนอะป้า เอาลูกเขามาเลี้ยง เมี่ยงเขามาอมแท้ ๆ อายุยังน้อยหน้าตาก็ดี ทำไมมาเอาแม่ม่ายเด็กใจแตกลูกติด” คู่สนทนาสาวโรงงานวัยกลางคนเสริม ช่างเข้ากับกับขาเม้าธ์ผู้พี่ได้เป็นปี่เป็นขลุ่ย
“แหมเอ็ง ผู้ชายโง่จะเพราะอะไรซะอีกละ ถ้าไม่ใช่ติดหอย” ป้าเพิ้งสรุป ทั้งสองหัวเราะคิกคัก ๆ
“โอย เม้าธ์มากคอแห้ง หาอะไรเย็น ๆ ดื่มกันหน่อย โค้กสักขวดไหม ป้าเลี้ยงเอง” เธอลุกขึ้นเดินไปยังตู้แช่เครื่องดื่ม
“ป้าคะ ตักบาตรอย่าถามพระสิ เร็ว ๆ นะป้าเดี๋ยวหนูลืม กำลังมันส์” สาวโรงงานสนองอย่างไม่เกรงใจ
“เอ้านี่ คนละขวด” ป้าเพิ้งวางขวดเครื่องดื่มสองขวดลงบนโต๊ะ
“เดี๋ยวสิป้า ป้าเอาน้ำส้มสายชูมาทำไม”
“. . .ป้าก็ไม่รู้เหมือนกันว่ะเอ็ง” ป้าเพิ้งงงกับตัวเองแต่มือก็เปิดขวดไปแล้ว
“แล้ว ทำไมหนูต้องหยิบขึ้นมาด้วย อะไรกันเนี่ย!!” ทั้งสาวโรงงานและป้าเพิ้งซดน้ำส้มสายชูไปครึ่งขวดก็เกิดอาการสำลัก แสบคอจนทนไม่ไหว จากนั้นก็อาเจียนพุ่งพรวดออกมาใส่หน้ากันและกัน
.
.“หวังว่าได้กลั้วคอแล้วลมปากคงจะสะอาดขึ้นนะครับ” ผมวางเงินค่าของทิ้งไว้แล้วเดินออกจากร้าน
ผมกลับเข้ามาในห้อง อีกครั้ง จัดการอาบน้ำเรียกความสดชื่นสบายตัวกลับคืนมา ภูมิเปิดโทรทัศน์ให้ผมดูฆ่าเวลาขณะให้รอเขาอาบน้ำต่อ แต่ผมไม่อยากดูรายการช่วงดึกเท่าไหร่ สิ่งที่น่าสนใจยิ่งกว่าคืออนุสรณ์รุ่นฝุ่นจับที่วางไว้ชั้นล่างสุดของชั้น วางของ ผมหยิบมันขึ้นมาปัดฝุ่นและพลิกไปยังหน้าของม.3/3 รุ่น 40 ตั้งใจจะเปิดผ่านลวก ๆ เพราะคิดว่าก็คงไม่ต่างกับเล่มที่ได้มาด้วยการสะกดจิตนายทะเบียนและเล่มของ คนอื่น ๆ แต่เล่มที่ภูมิมีอยู่นั้นผมเชื่อว่าไม่เหมือนของเพื่อนคนอื่นแน่นอน...ภูมิแปะรูปผมเพิ่มเข้าไป เขาเขียนข้อความเพิ่มไว้ว่า“รุ่น 40 มี 36 คน นับเต๋อ วิหค อรุณทอแสง เข้าไปด้วย”...ผม ไม่สามารถบรรยายความรู้สึกในตอนนี้ได้ มันเป็นสิ่งที่ผมไม่เคยรู้สึกมานานจนจำไม่ได้แล้ว ละอายใจที่บ่ายนี้มัวแต่คิดถึงตัวเองจนเกือบละเลยเจตนาดีของภูมิ...“หนาว จังเต๋อ” ภูมิออกมาจากห้องน้ำ ผมรีบปิดหนังสือรุ่นเก็บเพราะเพิ่งรู้สึกได้ว่าไม่เป็นการสมควรถือวิสาสะแม้ มันจะไม่ใช่ไดอารี่ก็ตาม
“อยากดูก็ดูไปสิ ฮะ ๆ รอภูมิใส่เสื้อก่อนนะ เดี๋ยวนั่งดื่มกัน”
ภูมิ นุ่งผ้าขนหนูผืนเดียว ทำให้ผมเพิ่งสังเกตว่าเขาเป็นคนซ่อนรูป หุ่นเรียบแบนแต่กล้ามเนื้อแข็งแรงต่างจากสมัยเรียนด้วยกัน นั่นคงสะท้อนให้เห็นว่าห้าปีที่ไม่เจอกันเขาต้องอาบเหงื่อต่างน้ำทำงานหนัก แค่ไหน เขายอมทิ้งอนาคตที่จะเอาดีสายวิชาการซึ่งพรั่งพร้อมด้วยเกียรติยศทางสังคม ทรัพย์สินที่ผมบันดาลขึ้นได้ด้วยอาศัยพลังพิเศษไม่สามารถเทียบได้กับความ อุตสาหะเสียสละอันเปี่ยมล้นที่ภูมิมอบให้สองแม่ลูก เราคงมีอะไรต้องคุยกันเยอะทีเดียว
.
.
.
“ดูน้ำหวานสิ เปลี่ยนชื่อเป็นไอช่าแล้ว สวยเช้งเลยเต๋อว่าไหม” ภูมิพูดชวนให้ผมมองไปยังรายการโทรทัศน์ที่ไอช่าเป็นพิธีกร
“อ๊ะ. . . ขอโทษนะเต๋อ ภูมิลืมนึกไป เปลี่ยนช่อง ๆ” ดูเหมือนเขาจะเพิ่งนึกขึ้นมาได้ว่าแม่โพแดงจอมแสบนี้ผูกพันกับผมด้านติดลบ แต่ผมไม่ติดใจอะไร
“ช่างเถอะภูมิ ว่าแต่นายจำกลอนจตุรเทพได้ไหม”
“คุ้น ๆ อยู่นะ แต่นึกไม่ออกอ่ะ” เขาเกาศีรษะ
“โพ ดำฤทธิ์ร้อนแรง...ต่อซิ” ผมขึ้นต้นให้ พลางขอชนแก้วเพื่อเร่งเร้าให้เขาคิดว่าเรื่องที่พูดคุยต่อไปนี้เป็นเพียง เรื่องสนุก ๆ ปิดบังวัตถุประสงค์ที่ซ่อนไว้
“อีกโพแดงแฝงคมหนาม...ท่อนนี้ของน้ำหวานใช่ไหม!” เขายิ้มร่าเหมือนได้เล่นเกมปัญญานิ่ม
“ข้าวหลามตัดสัตว์สงคราม ดอกจิกนามมารคราบคน” เราต่อกลอนพร้อมกันจนจบและระเบิดหัวเราะออกมา
“ไม่ น่าเชื่อเลยเนอะว่าตอนนั้นเราจะทำเท่กันไร้สาระแต่เป็นตุเป็นตะได้ขนาดนี้” ผมสรุปเกมอารัมภบทสั้น ๆ ก่อนเข้าสู่ประเด็นคำถามที่แท้จริง
“ว่าแต่. . .นายพอจะรู้ไหมว่าจตุรเทพของเราทำอะไรกันอยู่ นอกจากไอช่า”
“ไม่รู้หรอกนะ เต๋ออยากเจอพวกเขาเหรอ” ภูมิถาม
“ก็ทำขายตรงนี่ เลยอยากตามหาเพื่อนเก่า ๆ เผื่อใครรวยจะได้ให้ช่วยซื้อของเพิ่มยอดขายซะหน่อย”
“และ ตอนนี้ทุกคนน่าจะเรียนมหา’ลัยกันแล้ว แต่ผมลองเสิร์ชตามอินเตอร์เน็ตแล้ว ไม่พบข้อมูลของพวกผู้ชายในมหา’ลัยไหนเลย” ผมนำร่องให้อีกนิด อยากฟังความเห็นจากผู้รอบรู้อย่างภูมิ
“ภูมิว่าเต๋อคิดอย่างนั้นมันแคบไปนะ” เขาทำหน้าจริงจัง
“การ ศึกษามันมีตั้งหลายแบบ จบม.ปลาย ก็ต่อปวส.สายอาชีพเป็นอนุปริญญาได้ หรือไม่ก็อาจเรียนในระดับวิทยาลัยเน้นหนักวิชาชีพ เรียนแผนพิเศษอะไรทำนองนี้ มันมีตั้งหลายแบบนะ”
“แต่ ก็อย่าลืมว่า สุดท้ายแล้วเขาอาจจะไม่ได้สังกัดสถาบันใดเลยก็ได้ บางคนอาจเลือกเส้นทางชีวิตฝ่ากระแสหลักที่ทุกคนต้องทำตาม” เขาสรุปทิ้งท้าย
ช่าง สมกับเป็นผู้มีวิสัยทัศน์ทางการศึกษากว้างไกลจริง ๆ จริงสินะ ผมอยู่ในกรอบคำว่ามหาวิทยาลัยมากเกินไปจนลืมนึกถึงตรงนี้ การได้พูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับภูมิช่วยลับคมความคิดผมให้เฉียบขึ้น มากทีเดียว อย่างไรก็ตามนาทีทองย่อมมีจำกัด เพราะผมเพิ่งรู้วันนี้ว่าภูมิเป็นค่อนข้างคออ่อนกว่าที่คิด พอเมามากเข้า คำพูดกับความคิดเริ่มไม่ปะติดปะต่อกัน เข้าเริ่มวิพากษ์จุดอ่อนของระบบการศึกษาไทย โยงไปถึงระดับนานาชาติ แถมยังลากเข้าหัวข้ออภิปรัชญาและความจริงแท้ของจักรวาลได้เป็นต่อยหอย ขั้นสุดท้ายเขาพูดกับผมเป็นภาษาอังกฤษล้วน พฤติกรรมดังกล่าวชี้ให้เห็นว่าผมควรจะเก็บขวดที่เหลือและหยุดการดื่มเพียง เท่านี้ก่อนที่เขาอาจจะคิดสมการล้างโลกขึ้นมา
.
.
.ผม จัดการพาเขาไปอาเจียนลงคอห่านเพื่อให้รู้สึกดีขึ้น เห็นผลทันตาเพราะเมื่อถึงเตียงเขาก็กลับมาสื่อสารด้วยภาษาไทยได้เสียที ปัญหาของผมกระจ่างไปแล้ว คราวนี้ก็ได้เวลาไขปัญหาของเจ้าตัว
ท่ามกลางความมืดมิดหลังจากปิดไฟ ผมตัดสินใจเปิดประเด็นคำถามแรกขึ้นมา
“ภูมิ ถามอะไรหน่อยสิ”
“. . . . . . . .” ภูมิไม่ตอบสนอง ไม่ใช่เพราะหลับแต่น่าจะเพราะฤทธิ์น้ำเมาทำให้เลอะเลือนมากกว่า
“ตอนนี้พลอยทำงานอะไรเหรอ”
“. . . . . . . . . . .”
“นายเลี้ยงพลอยกับเก่งด้วยตัวคนเดียวใช่รึเปล่า”
“. . . . . . .พลอย เขาต้องเลี้ยงลูก ไม่งั้นใครจะเลี้ยง” ภูมิตอบด้วยเสียงแผ่วเบา
“ถ้างั้น เครื่องสำอางแพง ๆ นั่นหมายความว่ายังไง” ผมถามต่อ
“. . . .ผู้หญิง. . .ก็รักสวยรักงาม. . . .เรื่องธรรมชาติ”
“เฮ้ย! ตอบให้สมเหตุสมผลเหมือนตอนถามเรื่องจตุรเทพสิ! นายกำลังหลงทางหรือเปล่า” ผมลุกขึ้นมาครึ่งตัวและเขย่าตัวภูมิเพื่อให้รู้สึกว่านี่เป็นคำถามที่ไม่ ต้องการคำตอบขอไปที
“. . . .หลงทาง. . . ยังไง”
“เหมือน สมัยเรียนไง พลอยใช้นายเป็นเครื่องมือ อย่าหลอกตัวเองอีกเลยภูมิ นายเอาตัวเองมาผูกพันกับผู้หญิงคนนี้นานเกินไปจนอนาคตมืดมัวแล้วรู้ไหม ทำไมคนอย่างนายต้องมาเป็นหนุ่มโรงงานในวัยเรียนอย่างนี้ด้วย ใช้ศักยภาพตัวเองให้คุ้มค่ากับที่มีอยู่หน่อยสิ”
“เต๋อ...อย่าพูดแบบนี้ ภูมิไม่ชอบ” ภูมิตอบเชื่องช้าแต่น้ำเสียงหนักแน่นขึ้น
“งั้นขอถามอีกอย่างเดียว”
“. . . . . . . . . . . . . .” ภูมิเงียบเหมือนกับตั้งใจรอฟัง
.
.
.
“ทำไมพลอยให้น้องเก่งเรียกนายว่าอาภูมิ ทั้งที่เลี้ยงมาตั้งแต่เกิด”
.
.
.
ดูเหมือนคำถามนี้จะจี้ใจดำเขาจนได้ ในที่สุดภูมิก็ลุกขึ้นจากที่นอนเล่าให้ผมฟังหมดเปลือก
พลอย ยังลืมกันย์ไม่ได้ ยังเฝ้ารอวันที่จะได้พบกับกันย์อย่างสมศักดิ์ศรี ถึงได้ซื้อเสื้อผ้าเครื่องสำอางแต่งตัวสวย ๆ หลอกตัวเองหลายปีว่ายังคงมีความหวัง ขณะเดียวกันก็ทำใจไม่ได้ที่เคยอยู่ในครอบครัวเศรษฐีกินดีอยู่ดี แต่ต้องมาตกระกำลำบากเช่นนี้ อายที่จะต้องประกอบอาชีพชนชั้นแรงงานทุกชนิด เธอจึงอ้างว่าไม่อยากทำงานเพราะต้องการดูแลลูกอย่างใกล้ชิด ตั้งแต่คบกันมาเกือบห้าปี ภูมิไม่เคยมีอะไรกับพลอยแม้แต่ครั้งเดียว ในสายตาพลอยนั้น ภูมิคงเป็นได้แค่เพียงหลักตั้งมั่นชั่วคราว หากวันใดโอกาสเป็นใจ เธอคงพร้อมตีจากภูมิได้ทุกเมื่อเพื่อไปอยู่กับกันย์ ซึ่งเธอคิดว่าคู่ควรกับคำว่าพ่อมากกว่าภูมิ เธอจึงสอนให้ลูกเรียกว่า “อาภูมิ” นั่นเอง
“ตอบให้หมดแล้วนะ คราวนี้. . .ภูมิจะถามเต๋อบ้าง” ภูมิมองหน้าผมด้วยสติเลอะเลือน
“ได้สิ ว่ามา” ผมผายมือเชิญให้พูดออกมา
“ทุกวันนี้ภูมิยังดีไม่พอใช่ไหม”
“นายต้องถามพลอย ไม่ใช่ผม”
คำ ตอบของผมคงแทงลึกตัดขั้วหัวใจเจ้าตัว ภูมิระเบิดน้ำตาออกมาราวกับภูเขาไฟปะทุ แย่จริง ผมที่เป็นฝ่ายมีสติมากกว่าไม่น่าจะใช้คำพูดแบบนี้กับคนเมาเลย รู้ ๆ อยู่ว่ามันเป็นสภาพต่างจากตอนมีสติ
ไม่ รู้จะปลอบใจภูมิอย่างไรนอกจากสวมกอดโดยปราศจากคำพูด ผมอยากให้เขาร้องไห้สุดพลัง ปลดปล่อยความเครียดพรั่งพรูออกมาให้หมด หลังจากต้องสวมบทบาทพ่อพระยิ้มสู้ทุกปัญหาผิดมนุษย์มนาเป็นเวลานาน
.
.
.
ผมปล่อยตัวอยู่อย่างนั้นสักพัก ก็เกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้น
.
.
.
ผมสัมผัสได้ถึงบางอย่างที่เข้าจู่โจมอย่างไม่ทันตั้งตัว
.
.
.
.
ภูมิจูบผม!
.
.
.
.
“เฮ้ย! ทำอะไร!” ผมดิ้นขัดขืน แต่อีกฝ่ายไม่พูดอะไรเลย ภูมิจับผมกดคร่อมกับที่นอนและยังคงไม่ยอมปล่อยริมปากที่ประกบแน่นด้วยกัน แรงจากคนที่ทำงานหนักอย่างเขาเยอะกว่าผมจนยากเกินรับมือไหว
ระดับ แอลกอฮอล์ในเลือดข้างในตัวผมทำให้การโอนถ่ายจิตเข้ายึดครองสติไม่ใช่เรื่อง ง่ายในเวลานี้ ก็ใครจะไปรู้ว่าต้องเจอเหตุการณ์เช่นนี้ ผมจึงดื่มเข้าไปซะเยอะ“ตั้งสติหน่อยภูมิ!” ปากที่ประคบกันอยู่ทำให้ผมส่งเสียงได้แค่อู้อี้ ๆ ขณะที่ภูมิยังไม่ลดละ พยายามสอดลิ้นเข้ามาให้ได้ ผมรวบรวมพลังสุดลมหายใจ ผลักหน้าเขาออกไปเพื่อให้ปากผมสามารถเปล่งเสียงได้...“ภูมิ! นายทำกับผมไม่ต่างจากคนอื่นเลยนะ!!”...ภูมิชะงักลงเมื่อได้ยิน ปล่อยตัวผมให้คลายจากการกดรัด..เขาเอ่ยคำว่า “ขอโทษ” เบา ๆ และล้มตัวลงนอน...คืนนั้นเรานอนหันหลังให้กัน เป็นความรู้สึกที่อึดอัดทรมานจนอยากให้มันผ่านไปโดยไว....ผมคงต้องรีบทำอะไรสักอย่างเพื่อภูมิ อยากให้เขาหลุดพ้นจากวงจรอันแสนกล้ำกลืนฝืนทนที่เป็นอยู่นี้
รุ่งเช้า ผมตื่นก่อนภูมิและตัดสินใจออกเดินทาง โดยทิ้งโน้ตบอกเขาไว้ว่าจะกลับมาอีกครั้งตอนเย็น ผมลัดคิวล้างแค้นโดยหมายหัวกันย์ขึ้นก่อนรายอื่นเพื่อจัดการปัญหาระหว่างสาม คนนี้ให้เสร็จสิ้น ข้อมูลที่ได้จากเฟสบุ๊คของวีช่วยให้ผมรู้ว่าตอนนี้มันเรียนที่ไหนอยู่คณะ อะไร ใช้เวลาเพียงสามชั่วโมงผมก็ถึงที่หมาย...“พี่กันย์ อยู่นี่ครับ” เด็กที่ถูกผมสะกดจิตให้พามาถึงตัวกันย์เปิดประตูให้และโค้งขอตัวลา ที่นี่คือห้องวาดรูปห้องหนึ่งในคณะศิลปกรรมศาสตร์ที่เต็มไปด้วยฉากขึงผ้าใบ กระป๋องสี และรูปปั้นประติมากรรมเรียงรายทั่วห้อง กลิ่นสีและสารเคมีฉุนเตะจมูก...“ใครเข้ามาน่ะ ฉันต้องการความเป็นส่วนตัว” กันย์หันหลังพูด เรียวนิ้วจับพู่กันบรรเลงลายเส้นพริ้วไหวไปมาบนผืนผ้าใบอย่างไม่ยี่หระ
“ผมมาเยี่ยมนายน่ะกันย์ ได้ข่าวว่าฝีมือวาดรูปแนวแอบสแทรคโดดเด่นจนคว้ารางวัลระดับประเทศเลยนี่”
“นาย เป็นใคร” กันย์หันมาทางผม เขาเปลี่ยนไปเยอะทีเดียว ทว่าไฝใต้ตาก็ยังคงเป็นเอกลักษณ์ โครงหน้าหวานละมุนคล้ายผู้หญิง โครงร่างสูงโปร่ง ผิวขาวเกลี้ยงเกลาตามแบบฉบับผู้ดีมีสกุลรุ่นชาติ เขาไว้ผมยาวและรวบไว้ด้านหลังสะท้อนถึงบุคลิกตามสาขาที่ร่ำเรียน
“ลืมเพื่อนเก่าแล้วรึ” ผมกระตุ้นให้เขานึกออกด้วยตัวเอง
“ฉัน ไม่นิยมจำชื่อคนนอกวรรณะ” เขาหันไปวาดรูปสีน้ำมันต่อ แต่ผมเดินเข้าไปขวางระหว่างผืนผ้าใบ เป็นการบังคับกลาย ๆ ว่าเขาต้องฟังผมเท่านั้น
“นาย คงไม่ลืมสิ่งที่ทำกับผมไว้หรอกนะ?” ผมหมายถึงหลายครั้งหลายคราวที่เขานั่งสเก็ตซ์รูปภาพตอนที่ผมถูกเพื่อนรุม บังคับให้เปลือยกายล่อนจ้อน บางครั้งก็เป็นคนบงการให้เพื่อนคนอื่นเหยียบย่ำผม โดยอ้างว่าทำเพื่อศิลปะ แต่อย่างไรก็ตามต้องยอมรับว่ากันย์คืออัจฉริยะด้านศิลปะชนิดหาตัวจับยาก กวาดรางวัลทั้งระดับจังหวัดและประเทศจนประกาศนียบัตรและโล่เกียรติคุณสะสม ไว้เต็มบ้าน
“ลาโง่เอ๋ย มันคือศิลปะ นายควรแซ่ซ้องสรรเสริญมากกว่าก่นประณามด้วยความขลาดเขลา”
“ศิลปะบ้านแกสิ!?” ผมเริ่มของขึ้น ผลักฉากขึงผ้าใบล้มตึง ความโกรธปะทุเสียยิ่งกว่าตอนได้รับจดหมายแบล็คเมล์
“ไม่แปลกที่นายจะไม่เข้าใจ เพราะศิลปะคือสุนทรียรสที่มีไว้สนองอุดมการณ์ของคนชั้นสูงเท่านั้น” เขาพูดต่ออย่างหน้าตาย
“ความ คิดผูกขาดวัฒนธรรมสงวนไว้เฉพาะแวดวงชนชั้นสูง มันพังพินาศไปนานแล้วตั้งแต่มีเทคโนโลยีเข้ามา ฉันหรือใครก็มีสิทธิ์ซื้อซีดีโมสาร์ทมาฟัง หรือจะพอใจชื่นชมภาพโมนาลิซ่าในกุ๊กเกิ้ลเอาก็ได้ ดูท่าแกจะยึดติดกรอบความคิดคร่ำครึว่าวิชาจำพวกศิลปะ วรรณคดี ประวัติศาสตร์ มีแต่คนชั้นสูงที่เรียนด้วยรสนิยมเพราะไม่ขัดสนเรื่องปากท้อง แกลำพองเกินไป! ลืมตาดูโลกซะมั่งว่าตอนนี้มันเปลี่ยนแปลงมากไปเท่าไหร่ เลิกอ้างนามสกุลกินบุญเก่าหลอกให้ชาวบ้านยกย่องไปวัน ๆ ซะที! ยุคสมัยที่แกฝันมันจบไปนานแล้ว!! หัดอ่านหนังสือหลากหลายบ้างนะจะโลกทัศน์จะได้กว้างเกินกะลาครอบ!” ผมร่ายยาว ดึงดันเอาชนะความดื้นด้านไม่เข้าท่าของไอ้ผู้ดีแปดสาแหรกที่นั่งเต๊ะไม่รู้ ร้อนรู้หนาวตรงหน้า
“อย่า คิดว่าการศึกษาหรือการยกทฤษฎีสวยหรูขึ้นมาอ้างจะสร้างความชอบธรรมให้กับตน เองได้ สายโลหิตยังคงเป็นเครื่องยืนยันถึงฐานะในสังคม ต่อให้นายจบปริญญาเอกและรวยล้นฟ้าก็ไม่ต่างจากสามล้อถูกหวยในมุมมองของพวก เราหรอก” นับว่ากันย์เป็นลูกหนี้คนแรกที่ได้ต่อปากต่อคำกับผมได้อย่างมีชั้นเชิง
“ถ้า จะพูดให้เข้าใจง่าย ๆ เทพก็คือเทพ มารก็คือมาร แม้จะแตกต่างกันในรายละเอียดแค่ไหน แต่โอปปาติกะเหล่านี้ก็ไม่มีทางย้ายจากภพภูมิที่เป็นกำพืดเดิมของตนได้” กันย์เริ่มโยงไปถึงปรัชญาเชิงศาสนา
“งั้น เทพอย่างพวกแกมีค่านิยมทำผู้หญิงท้องแล้วทิ้งรึไง รู้ไหมว่าลูกโตจนเข้าอนุบาลแล้ว!! ภูมิกับพลอยต้องมาแบกรับปัญหาที่แกไม่เคยแม้แต่จะเหลียวแล เคยคิดจะส่งเสียเลี้ยงดูลูกในไส้บ้างรึเปล่า!!” ผมหยิบรูปน้องเก่งที่ได้มาจากห้องภูมิ ออกมาจากกระเป๋าเสื้อร่อนไปยังกันย์ เขาใช้สองนิ้วคีบสู่ฝ่ามืออย่างลงจังหวะ
.
.
กันย์ใช้เวลาเพ่ง พินิจรูปน้องเก่งอยู่สักพัก ราวกับครุ่นคิดอะไรบางอย่าง ในที่สุดเขาก็ลุกจากเก้าอี้ ขึ้นมาอยู่แนวสายตาในระดับเดียวกัน
.
.
.
กันย์ฉีกรูปน้องเก่งแยกเป็นสองส่วนแล้วส่งคืนให้ผม
.
.
.
“หญิง อ่อนต่อโลกนางนั้นเลือกที่จะเก็บเด็กคนนี้ไว้เอง ฉันไม่สามารถรับผิดชอบได้ แม้ฐานะทางบ้านเธอจะร่ำรวย แต่ก็อย่างที่บอกไปว่า ในมุมมองของพวกฉัน ครอบครัวหล่อนก็ไม่ต่างจากเศรษฐีใหม่ที่ตั้งตัวได้จากการถูกหวยรวยหุ้น เราไม่เหมาะสมกันด้วยชาติตระกูล”
“ไม่ เหมาะแล้วแกไปทำเค้าท้องทำไม!! เลิกแถข้าง ๆ คู ๆ ได้แล้วไอ้ผู้ดีสติแตก!!” ผมเริ่มจับจิตของกันย์ได้คร่าว ๆ มันต่างจากกระแสจิตของคนทั่วไป และจากประสบการณ์ที่สะกดจิตคนมาหลายร้อยราย ทำให้ผมรู้ว่านี่เป็นลักษณะคุณภาพจิตของผู้เสพย์ยาเสพติด นั่นคงเป็นเหตุผลที่ทำให้มันพูดละเมอเพ้อพกด้วยสำนวนเพี้ยน ๆ
“เจ้า หล่อนก็มีคู่ครองปัจจุบันแล้วนี่ ฐานะก็เหมาะสมกันดี คงมีความสุขตามอัตภาพ แล้วนายจะเดือดร้อนไปทำไมกัน” กันย์ลอยหน้าลอยตายียวนด้วยมาดสงบนิ่ง
“ภูมิ กับแกอาจจะพูดไม่รู้เรื่องทั้งคู่ แต่ความเป็นคนของแก มันเทียบกับภูมิไม่ได้แม้ปลายเท้า เขาเป็นลูกผู้ชายมากกว่าแกอีก จำไว้ด้วย!” ผมชักเหลืออดกับเจ้านี่ทุกที ยิ่งเห็นมันวางตัวได้นิ่งเฉยไม่ไหลไปตามเกมยิ่งนึกหมั่นไส้ แต่มันกำลังจะจบลงแล้ว จากที่โต้ตอบเฉือนวาทะกันไปมาทำให้ผมเริ่มจับทางวิเคราะห์บุคลิกของมันได้ และผมจะกำลังจะเล่นกับวิธีพูดที่ใช้โจมตีจุดอ่อนของคนบุคลิกแบบมัน
.
.
.“จะ บอกอะไรให้อย่างนึงนะ พลอยเล่าให้ฉันฟังว่าเครื่องเคราของภูมิขนาดเร้าใจมาก เทียบกับแกแล้วเหมือนไม้แคะหูแคะฟัน แถมภูมิมีกล้าม มีกล้ามหน้าท้องหกลอน จับพลอยเอากันท่าอุ้มแตงจนถึงสวรรค์ ลีลาเด็ด ๆ แบบนี้ผู้ชายระหงบอบบางอย่างแกทำไม่ไหวหรอก พลอยฝากทิ้งท้ายมาบอกว่าสงสัยลูกชายตระกูลคงนี้มีแต่พวกขี้โรคบ่มิไก๊ ข้างในไร้น้ำยา” ผมมั่นใจว่ามันต้องสะอึกเมื่อได้ยิน
.
.
.“บังอาจนัก! พวกไพร่!” ได้ผลเกินคาด กันย์หน้าแดงก่ำ พุ่งตรงเข้ามาบีบคอผม
“คน สกุล “จิรวรกาล” ล้วนสูงส่งด้วยเกียรติภูมิที่สืบทอดมาหลายชั่วคน!! จะมาถูกไพร่อย่างแกลบหลู่ไม่ได้!!” ผมหายใจติดขัดเล็กน้อยจากแรงบีบ แต่มันก็คุ้มเมื่อเทียบกับความสะใจที่ได้กระชากหน้ากากเจ้าผู้ดีจอมปลอมออก มาได้ ในที่สุดมันก็ลดตัวลงมาเป็นทาสแห่งโทสะระดับเดียวกับผม
“ถอน คำพูดบัดเดี๋ยวนี้ไอ้ไพร่เลว!!” เขาเริ่มหนักมือขึ้น แต่ก็ถือว่าไม่เกินขอบเขตที่ผมจะออกแรงต้าน พลกำลังของพวกขี้ยาร่างบางจะมาสู้กับคนปกติได้อย่างไร ไม่งั้นพวกนี้มันไม่เล่นปืนผาหน้าไม้กันหรอก
ผม ผลักอกกันย์จนเซถลาไปชนชั้นวางของ ถังบรรจุสีเขียวที่วางไว้หมิ่นเหม่หตกลงมาราดตัวเขาจนท่อนบนเขียวปี๋เหมือน เนื้อตัวเปื้อนเลือดมนุษย์ต่างดาว เขานั่งกองอยู่กับพื้น มึนงงศีรษะจากแรงกระแทกถังสีที่ทำด้วยโลหะ
“แกเปรียบเปรยว่าตัวเองเป็นฝ่ายเทพ และฉันเป็นฝ่ายมารใช่ไหมกันย์?” ผมย่างเท้าเข้าใกล้เขาทีละน้อย
ส่วน กันย์ยังคงไม่มีสติเข้มแข็งพอที่จะโต้ตอบ ม่านตาผมขยายกว้างขึ้นเมื่อได้สบตากับเหยื่อรายนี้ โทษทัณฑ์ที่มันได้รับคือต้องจัดนิทรรศการศิลปะประจานด้านมืดของตนสู่สาธารณะ.....“ฟังไว้ให้ดีไอ้เทพชั้นต่ำ พญามารตนนี้จะดึงแกลงมาสู่ภพภูมินรกเอง”....
ขอบคุณ ขอบคุณครับ สนุกมากครับ ขอบคุณครับผม ขอบคุณครับ ขอบคุณครับ ขอบคุณครับ ขอบคุณครับ ขอบคุณครับ ขอบคุนครับ ขอบคุณครับ ขอบคุณครับ ขอบคุณครับ ขอบคุณครับ ขอบคุณครับ ขอบคุณครับ ขอบคุณครับ ขอบคุณมากนะครับ ขอบคุณครับ
หน้า:
[1]