พี่ยักษ์ที่รัก [7] ตอนพิเศษ + พูดคุยท้ายเรื่อง
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย Vitamin25 เมื่อ 2022-2-26 17:25“พี่ยักษ์... เช้าแล้วฮะ ตื่นนนน” เรารีบลุกขึ้นตื่น และปลุกพี่เขาทันทีที่แสงแดดอ่อนๆ ตอนเช้าส่องเข้ามาแยงตากลิ่นดิน กลิ่นหญ้าที่เปียกฝนเมื่อคืน ทำให้เรารู้สึกสดชื่น และกระปรี้กระเปร่ามากพร้อมจะไปเที่ยวแล้ว!
“อื้อ...อ...อือ...” พี่ยักษ์ตอบ แล้วก็พลิกตัวไปนอนหงายแต่ก็ยังไม่ลืมตาตื่นขึ้นมาอยู่ดี
“...” เราเขย่าตัวพี่เขาเบาๆแต่พี่ยักษ์ยังคงนอนนิ่งอยู่
ตอนนั้นเราเห็นตรงหัวนมพี่เขามันตั้งแข็งอยู่ ก็เลยนึกสนุกเอานิ้วไปเขี่ยๆเล่นตรงหัวนมไปมาก็คิดแค่ว่าจะแกล้งทำให้พี่เขาจั้กจี้เล่นเฉยๆ นั่นแหละจะได้ตื่นขึ้นมาสักที
“อ่ะ... โอ๊ะ... ซี๊ดดด อย่าเล่นแบบนี้สิไอ้ตัวแสบ” พี่ยักษ์สะดุ้งตัวตื่นขึ้นมาทันทีแล้วหันมายิ้มให้ตอนนั้นเราหัวเราะชอบใจมากที่ทำให้พี่เขาตื่นได้
“อยากโดนทำโทษเหรอ? หืออออ” เขาพลิกตัวเรานอนหงายแล้วขึ้นมาทำคร่อมตัวเราไว้
“มึงจะ...ทำโทษอะไรกัน...แต่เช้าเลยวะ...” ตอนนั้นพี่ยักษ์กำลังจะก้มตัวลงมาจูบเราแต่พอได้ยินเสียงพี่เมฆ เราสองคนต่างก็สะดุ้งตัวแล้วผละออกจากกันทันที พี่เมฆค่อยๆ งัวเงีย เอามือขยี้ตาเบาๆ แล้วลุกขึ้นนั่งสะบัดคอดังกร๊อบแกร๊บไปมา
“ตื่นมาเล่นอะไรกันแต่เช้าวะ.... ห้าวววววว” พี่เมฆทำตาสะลึมสะลือมองมาที่พวกเราพร้อมกับบิดขี้เกียจ
“งั้นก็ไปอาบน้ำแปรงฟันป่ะ จะได้มาแต่งตัว” พี่ยักษ์หันมาบอกกับเรา โดยที่ไม่ได้สนใจฟังที่พี่เมฆพูดแม้แต่น้อย
“จะไปไหนกันวะ...” พี่เมฆยังคงถามต่อ
“กูว่าจะเข้าไปในเมืองหน่อย”
“เออดีเลย! งั้นกูไปด้วย” พี่เมฆรีบลุกยืนพร้อมกับสะบัดแข้งสะบัดขาเหมือนกับว่าพร้อมจะไปด้วยแล้วแต่ว่าเอ่อ...พี่ยังไม่ได้อาบน้ำตั้งแต่เมื่อคืนเลยนะนั่น!
“ไม่ต้องเลยมึง กลับบ้านบ้างไอ้ห่าพ่อกับแม่มึงจำหน้าลูกไม่ได้แล้วมั้ง” พอจบประโยคนี้ของพี่ยักษ์ ทำเอาเราหัวเราะชอบใจสุด55555
“โห อะไรวะ... เออ! ไอ้ตัวเล็กให้พี่ไปด้วยคนน้า”พี่เมฆรีบเปลี่ยนเป้าหมายมาทางเราทันทีที่ถูกพี่ยักษ์ปฏิเสธ
เราเลยหันไปมองหน้าพี่ยักษ์ก่อนที่พี่เขาจะยิ้มให้เหมือนจะบอกเป็นนัยๆ ว่า แล้วแต่หนูเลย
“พี่เมฆกลับบ้านไปนอนพักผ่อนดีกว่าฮะเมื่อคืนก็นอนกับพื้นแข็งๆ ทั้งคืนน่าจะเมื่อยตัวมากไปเที่ยวอาจจะทำให้ไม่สนุกก็ได้นะ” เราพยายามคิดหาคำพูดตอบปฏิเสธแบบรักษาน้ำใจพี่เมฆเขาให้มากที่สุดเท่าที่เด็กตอนนั้นพอจะคิดคำพูดได้
“โหยยยย มึงดู! ไอ้ยักษ์มึงดู!! ดูมันตอบกู” พี่เมฆถึงกับอ้าปากหวอเพราะไม่คิดว่าเราจะตอบปฏิเสธไปแบบนั้นพี่ยักษ์ก้มมามองส่งยิ้มให้แล้วลูบหัวเราเบาๆ
“เออก็ได้วะ กูกลับบ้านก็ได้!พวกมึงนี่นะ ใจดำชิบหาย ชิ!!” พี่เมฆยกมือขึ้นมาเกาหัวพร้อมกับทำสีหน้าที่บ่งบอกถึงอาการเซ็งสุดๆ
“งั้นกูกลับบ้านละ อย่าลืมซื้อของมาฝากกูด้วย ไปล่ะ” หลังจากนั้นพี่เมฆก็เดินหันหลังแล้วเดินออกจากประตูไปสักพักก็ได้ยินเสียงมอเตอร์ไซค์พี่เขาขับออกไป
“แสนรู้นักนะเรา ไอ้หมาน้อย” พี่ยักษ์นั่งลงพร้อมกับขยี้หัวเราเบาๆ แล้วยิ้มให้ เราได้แต่ส่งยิ้มแป้นแล้นกลับไป
“แต่เมื่อกี้พี่ยังไม่ได้ทำโทษเลยนะ”
“ทำโทษเรื่องอะไรฮะ?”
“ก็...ข้อหามาปลุกให้พี่ตื่นแต่เช้าอ่ะสิ” พี่ยักษ์กดตัวเราลงกับที่นอนอีกครั้ง พร้อมกับซุกไซร้ และจูบลงบริเวณซอกคอเราเบาๆโดนทำแบบนี้ตอนเช้าๆก็รู้สึกขนลุกเหมือนกันแหะ....
“หืมมมม ทำไมตัวยังอุ่นๆ อยู่ ไม่เป็นไรแล้วเหรอ?” พี่ยักษ์เงยหน้าขึ้นมาถาม
“ไม่ฮะ สบายมาก”
“ถ้ากลับมาแล้วไข้ขึ้นนะ... โดนแน่” พอพี่เขาพูดจบก็เหมือนจะคลายตัวออกจากเรา เราเลยจะดันตัวลุกขึ้นแล้วไปอาบน้ำ
“เดี๋ยวก่อน...” พี่ยักษ์ยื่นหน้ามาใกล้ พร้อมกับทำแก้มป่องข้างหนึ่งเรายิ้มให้เขาก่อนจะหอมเข้าไปฟอดใหญ่แต่พี่เขากลับจับหัวเราไว้แล้วหอมคืนทั้งสองข้างไปมา
“อ่า ชื่นใจ…มีกำลังใจพาเด็กแถวนี่ขี่รถเที่ยวแล้ว” จากนั้นพี่ยักษ์ก็จูงมือพาเราไปอาบน้ำ
-----------
วันนี้เรารู้สึกว่าพี่ยักษ์แต่งตัวหล่อมากเป็นพิเศษ ถึงดูเผินๆ มันเหมือนจะเป็นแค่เสื้อยืดแขนสั้นสีดำล้วนกับกางเกงยีนส์ขายาวและรองเท้าผ้าใบ แต่เพราะปกติเราไม่เคยเห็นพี่เขาแต่งตัวในชุดแบบนี้มาก่อน
แล้วเหมือนกับพี่เขาจะฉีดน้ำหอมด้วย เป็นน้ำหอมที่มีกลิ่นอ่อนๆ ไม่ฉุนเลยเป็นความรู้สึกที่พออยู่ใกล้แล้วได้กลิ่น มันเป็นกลิ่นที่ทำให้รู้สึกสบาย และสดชื่นมาก
พี่ยักษ์เอาหมวกกันน็อคมาสวม แล้วเรียกเราไปนั่งซ้อนท้าย บอกตามตรงว่า ตอนนั้นเรากำลังเดินลงจากบ้านแล้วเห็นพี่เขาจากมุมมองระยะไกล ทั้งส่วนสูงสัดส่วนของร่างกายที่ดูกำยำแน่นหนาและแผ่นหลังที่ดูกว้างใหญ่นั่นเรารู้สึกว่าวันนี้พี่เขาดูหล่อและเท่มากเลยแหละ
แต่ก่อนที่เราจะออกไปเที่ยวกัน พี่ยักษ์ก็พาเราขี่แวะไปทางบ้านพ่อกับแม่ของเขาก่อน
“โอ้ โห ไปได้เด็กกรุงเทพฯ มาจากไหนด้วยละเนี่ย” ป้าปูแม่ของพี่ยักษ์ทักแซวทันทีที่เห็นเราเดินเข้าไปเรายกมือไหว้พร้อมกับยิ้มกว้างให้
“แต่งตัวหล่อจังเลยครับ จะไปไหนกันเอ่ย?” ป้าปูวางสายยางรดน้ำ ก่อนจะเดินไปปิดก็อกน้ำ แล้วเดินมานั่งลงจับตัวเราลูบไปมาเบาๆ
“พี่ยักษ์จะพาไปเที่ยวในเมืองฮะ”
เรากับป้าปูค่อนข้างจะสนิทกันประมาณหนึ่ง เพราะปกติป้าปูชอบเอาลูกหว้า และลูกตะขบที่ต้นมันขึ้นอยู่ในที่นาของแก เก็บเอาไปฝากเราเสมอแล้วนั่งคุยเล่นด้วยกันประจำแกบอกว่าเห็นเด็กกรุงเทพฯ รู้จักกินอะไรแบบนี้มันดูน่ารักดี
ส่วนตัวลุงสินพ่อของพี่ยักษ์เองก็เป็นคุณลุงที่น่ารัก ชอบเรียกเราว่าเด็กกรุงเทพฯเหมือนกันกับป้าปู แต่ว่าวันนี้ไม่เห็นแกเลย คิดว่าน่าจะออกไปที่นาตั้งแต่เช้า
“แล้วหนูไปเรียกเขาพี่ยักษ์ ไม่กลัวเขาหรอลูก?” ป้าปูหัวเราะแล้วลูบหัวเราไปมา
“ไม่กลัวฮะ พี่ยักษ์ใจดี” เราหันไปมองหน้าพี่เขา ก่อนจะหันมาตอบป้าปู
“เอ้อแม่ พอดีดินจะเข้าไปทำธุระในเมืองหน่อยแม่อยากได้อะไรหรือเปล่า?” พี่ยักษ์ถามแทรกขึ้นมาขณะที่เรากำลังคุยเล่นกับป้าปู
พี่เขาใช้คำพูดแทนตัวเองว่า “ดิน” ด้วยแหะ เกือบลืมไปแล้วนะเนี่ยว่าพี่เขาชื่อเล่นว่าดินนี่หน่าแต่ว่าการที่เขาแทนตัวเองว่าดินกับป้าปูมันทำให้เรารู้สึกว่าเขาดูตัวเล็กมาก เหมือนอย่างกับว่าตัวพี่เขาเท่ากันกับเราอย่างไงอย่างงั้นแหละ 55555
“ไม่เป็นไรลูก ว่าแต่...นี่จะพาน้องไปด้วยหรอ?” ป้าปูถามเพราะคงสังเกตเห็นการแต่งตัวของเราที่ใส่ชุดหล่อกว่าปกติ
“ครับแม่ ดินเห็นน้องมันอยู่คนเดียวเลยว่าจะพาไปเที่ยวนั่งรถเล่นเปิดหูเปิดตาสักหน่อย”
“งั้นก็ดูแลน้องดีๆ นะลูก จับมือน้องไว้ให้ตลอดนาอย่าปล่อยให้ไปเดินเล่นคนเดียว ถ้าเกิดตรงไหนคนเยอะก็อุ้มไว้เลย เดี๋ยวหายแล้วจะหากันเจอยาก” ป้าปูลุกขึ้นพร้อมกับจูงมือเราเดินมาส่งที่รถมอเตอร์ไซค์
“ไปเที่ยวกับพ่อดินให้สนุกนะครับ เที่ยวเผื่อป้าด้วยมานี่สิป้าขอหอมแก้มหน่อย” เราเดินเข้าไปหาป้าปูก่อนที่เขาจะดึงตัวเราไปหอมแก้มเบาๆ
พี่ยักษ์อุ้มตัวเราขึ้นรถมอเตอร์ไซค์ แต่ว่าคราวนี้พี่เขาให้เรานั่งข้างหน้าแทน
“อย่าขี่รถเร็วนะลูก ค่อยๆ ขี่ไปเรื่อยๆอย่าลืมพาน้องไปหาข้าวหาปลากินด้วยนะ”
“ดูแลน้องดีๆ นะดิน” ป้าปูเดินมาใกล้พร้อมกับพูดกำชับอีกครั้ง
“ครับแม่”พี่ยักษ์พูดจบก็เอาฝาครอบกันลมหมวกกันน็อคลง เรายิ้มกว้างแล้วโบกมือบายบายให้ป้าปูก่อนที่รถจะเคลื่อนตัวออกไป
-----------
พี่ยักษ์พาเราแวะเข้าไปที่ตลาดเช้าของตัวอำเภอก่อนเพราะว่าพวกเราทั้งสองคนยังไม่ได้กินอะไรกันตั้งแต่เช้า
ตอนแรกเราก็งอแงจะไม่ยอมกินอะไร อยากจะไปต่อ ไม่รู้มีใครเป็นเหมือนเราบ้างมั้ย? ตอนเด็กถ้าเกิดว่าได้ไปเที่ยวละก็ เหมือนกับว่ามันจะไม่หิวอะไรเลยอยากเที่ยวอย่างเดียว 5555
สุดท้ายก็จบที่ร้านกาแฟยามเช้าในตลาด เพราะเรายังไม่อยากกินอะไรจริงๆเลยได้แต่สั่งโอวัลตินร้อนมาหนึ่งแก้วกับปาท่องโก๋สองตัวกินไปแบบนั้นแหละไม่ให้โดนบ่น
“พี่ยักษ์ เดี๋ยวผมเลี้ยงเองฮะ” เราพูดพร้อมกับก้มควักเงินในกระเป๋ากางเกงเป็นแบงค์ร้อยที่ยับยู่ยี่นิดหน่อยออกมา
“หืมมม ไปเอาเงินมาจากไหน?” พี่ยักษ์ถามพร้อมกับทำสีหน้าประหลาดใจ
“ก็เงินที่พี่ให้เมื่อวานไง ผมยังไม่ได้ใช้เลย”
“ไม่เป็นไร หนูเก็บเอาไว้เถอะ พี่มีอีกเยอะ” พอพูดจบเขาก็ตบลงที่กระเป๋าเงินที่อยู่ในกางเกง เหมือนให้ดูว่าวันนี้กระเป๋าเงินเขาหนามาก
หลังจากกินกันเสร็จเรียบร้อยจาก นั้นพี่ยักษ์ก็จูงมือเราแล้วเดินเล่นดูของในตลาด
“เอ่อ ขอโทษนะครับ เสื้อนี่ถ้าเอาแค่สองตัวได้มั้ย?” พี่ยักษ์หยุดที่ร้านขายเสื้อผ้าร้านหนึ่งพี่เขาชี้ไปที่เสื้อลายสก็อตสีแดงที่หุ่นกำลังใส่อยู่ เป็นเสื้อของเด็กและผู้ใหญ่แต่เหมือนจะเป็นเสื้อครอบครัวเพราะมีหุ่นผู้หญิงสวมเสื้อตัวนี้ใส่อยู่ด้วย
“ได้ครับๆ เอาแค่ไซส์ของผู้ชาย กับของเด็กนะครับ” พ่อค้ารีบลุกแล้วไปหาเสื้อในถุงด้านหลังให้ทันที
“งั้นเดี๋ยวพี่ลองใส่ดูนะครับ ผมไม่มั่นใจว่าต้องไซส์อะไรพี่ถึงจะใส่พอดีตัวฮ่า” พ่อค้ายื่นเสื้อที่มีขนาดแตกต่างกันส่งให้พี่ยักษ์สองสามตัว
พี่ยักษ์ถอดเสื้อออก แล้วลองใส่ดูตรงนั้นเลย เรายืนดูแล้วได้แต่คิดในใจ ...โชว์อีกแล้ว…เพราะจังหวะที่พี่เขาถอดเสื้อเราสังเกตุเห็นพวกบรรดาผู้หญิงที่ไปเดินตลาดหรือแม่ค้าแถวนั้นแอบหันมามองเป็นระยะๆ ด้วย
พี่เขาลองถอดเข้าถอดออกอยู่สักพัก จนได้ขนาดเสื้อที่พอดีกับตัว
“มองอะไร? ไอ้ดื้อ” พี่ยักษ์หันมามองเราแล้วยิ้มก่อนจะโยนเสื้อยืดสีดำของพี่เขาครอบใส่หัวเรา กลิ่นน้ำหอมที่ติดเสื้อผสมกลิ่นกายของพี่เขานิดๆ นี่มันหอมสุดๆ ไปเลย
“แต่ว่าไซส์ของเด็ก จะมีไซส์เดียวนะครับ ลูกพี่น่าจะใส่ได้แหละแต่มันก็น่าจะหลวมๆ หน่อย” พ่อค้าบอกพร้อมกับยื่นเสื้อลายเดียวกันที่มีขนาดเล็กกว่ามาให้พี่ยักษ์
“ไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวใส่ทับไปก็ได้” พี่ยักษ์นั่งลงแล้วสวมเสื้อใส่ให้เรา
“โห หล่อมากเลยเจ้าตัวเล็ก...ว่าแต่พี่จะเอาเสื้อไซส์ผู้หญิงไปด้วยมั้ยครับ เดี๋ยวผมคิดราคาพิเศษเลย” พ่อค้าขายเสื้อรีบพูดเสริม
“ไม่เป็นไรครับ ผมเอาแค่สองตัวนี่แหละ”
หลังจากที่ซื้อเสื้อเสร็จเรียบร้อย พวกเราก็เดินที่ตลาดอีกสักแปปนึงแล้วพี่ยักษ์ก็พาเราขี่รถมอเตอร์ไซค์เดินทางต่อไปที่ตัวเมือง
-----------
ตอนนั้นพี่ยักษ์พาเราไปไหว้พระในวัดประจำจังหวัดแล้วก็พากันไปให้อาหารปลาที่อยู่บริเวณคลองด้านหลังวัด
“ทำไมถึงเดินไปเดินมาละ ไม่ยืนให้อาหารอยู่ที่เดียวเนี่ยเราอ่ะ แกล้งให้ปลามันว่ายตาม มันบาปนะ” พี่ยักษ์พูดแซวเพราะเห็นเราวิ่งไปจุดนู้นทีจุดนี้ที
“ผมไม่ได้แกล้งมันนะ แค่อยากให้ปลาได้กินกันทุกตัวต่างหากถ้าโยนไปกระจุกเดียว มันก็มาแย่งกันสิ ตัวข้างหลังเข้ามาไม่ถึง ก็อดกินแน่ๆ”
“โห... พ่อนักบุญตัวน้อย ทำดีแบบนี้...ต้องให้รางวัลหน่อยแล้ว” พี่ยักษ์เดินมาใกล้ๆ แล้วนั่งลงกอดตัวเราไว้แล้วหอมแก้มฟอดใหญ่ท่ามกลางสายตาของผู้คนแถวนั้นที่ก็มาให้อาหารปลาเหมือนกัน
เราตกใจนิดหน่อย แต่พอมองดูเหมือนกับว่าพวกเขาจะยิ้มๆ ไม่ได้ทำหน้าแปลกใจอะไรกันก็เลยเข้าใจว่าพวกเขาคิดว่าพี่ยักษ์กับเราเป็นพ่อลูกกันละมั้งเลยไม่ได้ใส่ใจอะไร
เสร็จแล้วก็พาเราไปไหว้ศาลเจ้าพ่อหลักเมืองต่อ วิวทิวทัศน์แถวนั้นดูตึกรามบ้านช่องดูเจริญและแปลกตาไม่เหมือนกับที่เราอาศัยอยู่
มันเลยทำให้เรานึกถึงสมัยตอนที่เราอยู่กรุงเทพฯ ตอนที่อยู่ด้วยกันกับพ่อและแม่เพราะค่าใช้จ่ายในการเรียนหนังสือที่กรุงเทพฯมันค่อนข้างสูง ค่ากินในแต่ละวัน ไหนจะค่าเดินทางอีกถึงจะแค่เด็กประถม แต่ครอบครัวที่ฐานะยากจนเงินทุกบาททุกสตางค์นั้นมีค่ามากอีกทั้งพวกเขาก็ต้องทำงานกันแทบทั้งวัน หรือบางวันก็มีโอทีจนต้องกลับมืดค่ำทำให้ไม่มีใครดูแลเราได้เต็มที่ ปล่อยให้อยู่คนเดียวที่นั่นมันอาจจะอันตรายกว่าเพราะไม่มีญาติหรือคนรู้จักที่ไว้ใจฝากดูแลได้เลย พ่อกับแม่เลยต้องจำใจเอาเราย้ายมาเรียนที่นี้เพื่อลดค่าใช้จ่ายและอย่างน้อยก็มีญาติๆ และคนในหมู่บ้านก็ยังรู้จักแม่เขารู้สึกว่ามันก็ปลอดภัยกว่าปล่อยให้เราบ้านอยู่คนเดียวที่กรุงเทพฯ
พอนึกถึงพ่อกับแม่ ตอนนั้นก็ทำเอาน้ำตาซึมไปเหมือนกัน แต่เราก็พยายามไม่อยากร้องไห้เพราะพี่ยักษ์อุตส่าห์พามาเที่ยว
พวกเราขี่รถเที่ยวไปเรื่อยๆ จนมาถึงบริเวณที่เป็นอ่างเก็บน้ำของจังหวัดมันกว้างใหญ่มาก จนไม่เห็นอีกฝั่งเลยก็พอจะจินตนาการว่ามาเที่ยวทะเลได้อยู่เหมือนกันนะ
แล้ววันนั้นโชคดีที่ตอนกลางวันไม่มีเค้าของเมฆฝนเลย ทำให้แสงอาทิตย์ที่ตกกระทบลงมากับพื้นน้ำมันดูระยิบระยับไปหมดเป็นวิวทิวทัศน์ที่สวยงามๆ
“สวยจังเลยฮะ” เราเงยหน้าขึ้นไปบอกพี่ยักษ์
“ชอบเหรอ? อยากลงไปเล่นน้ำมั้ย?” พี่ยักษ์ถามมาแบบนี้มีหรอเราจะปฏิเสธ เรารีบพยักหน้ารับอย่างไวทันที
“ไอ้ลูกหมาเอ้ย” พี่ยักษ์ก้มลงเอาคางถูตรงหัวเราไปมา ก่อนจะพาขี่รถไปบริเวณที่เขาให้เล่นน้ำได้ตรงนั้นจะมีคนอยู่ประมาณหนึ่ง แต่ก็ไม่เยอะมาก มีร้านขายของกินอยู่สามสี่ร้านแล้วก็พวกร้านขายเสื้อผ้า ห่วงยาง อุปกรณ์สำหรับใช้เล่นน้ำต่างๆ
“ใส่เสื้อเล่นน้ำได้มั้ยฮะ?” พอลงจากรถเรียบร้อยเราก็ถามพี่เขาทันที เหมือนกลัวไม่ได้เล่น
“ทำไมล่ะ อายนมเหรอ?”
“ก็มัน…ยังเป็นรอยช้ำอยู่เลยนี่ฮะ…”
พี่ยักษ์ทำหน้าเหมือนกับนึกขึ้นมาได้แล้วก็ยิ้มให้
เขาดึงตัวเราเข้าไปข้างต้นไม้ใหญ่ เพราะดูแล้วตรงนี้จะห่างไกลจากคนอื่นที่สุดแล้วไม่น่าจะมีคนอยู่ตรงนี้
เขาถอดเสื้อผ้าของเราออก แล้วเอาเสื้อยืดสีดำของเขามาสวมให้ด้วยความที่เสื้อมันตัวใหญ่มากพี่เขาถึงกับต้องเดินไปขอหนังยางจากร้านค้าแถวนั้นมาสองสามเส้นแล้วมัดเป็นกระจุกๆให้มันตึงๆ ไม่ดูรุ่มร่าม
“เรียบร้อย แค่นี้ก็ไม่มีใครเห็นแล้วนะ” พี่ยักษ์จัดแจงมัดให้จนมันดูทะมัดทะแมงพอที่จะได้เล่นน้ำได้สะดวก
เรายิ้มให้ ก่อนจะหันหลังแล้ววิ่งออกไปทันที
“เดี๋ยวววววววว ไอ้แสบ รอพี่ก่อน เฮ้ยยยยย” เราถึงกับชะงักแล้วรีบวิ่งกลับมา ก็ใครจะรู้นึกว่าพี่จะไม่เล่นด้วยนี่ 55555
พี่ยักษ์เดินไปซื้อกางเกงขาสั้นตัวใหญ่มาตัวหนึ่งแล้วก็ถอดเสื้อผ้าออกเช่นกัน ยังดีที่พี่เขาไม่ได้ถอดกางเกงในออก...แล้วเขาก็รีบสวมกางเกงขาสั้นที่พึ่งซื้อมาทันที จริงๆ ห้องน้ำมันก็อยู่ไม่ไกลเท่าไหร่นะแต่เขาน่าจะขี้เกียจเดินไปมั้ง
ก่อนลงเล่นน้ำพี่เขาเอากระเป๋าตังค์ไปใส่ไว้ใต้เบาะรถแล้วเอากุญแจรถมอเตอร์ไซค์ซ่อนไว้ในรองเท้าผ้าใบ ตอนนั้นเรารู้สึกว้าวกับเทคนิคนี้มากเพราะยังคิดอยู่ว่าถ้าลงเล่นน้ำทั้งสองคนแล้วใครจะเฝ้าของให้ล่ะ
พวกเราลงไปเล่นน้ำกันอย่างสนุกสนาน มันสนุกกว่าตอนที่เราเล่นที่คลองด้วยสภาพอากาศที่กำลังร้อนได้ที่ และสีน้ำมันดูใสและเย็นสบายกว่าที่คลองด้วยมั้งเลยทำให้เล่นสนุกมาก
จังหวะนั้นเรารู้สึกได้ยินเหมือนมีเสียงกลุ่มคนเข้ามาเล่นใกล้พวกเราเป็นกลุ่มผู้หญิงวัยรุ่นห้าหกคน เหมือนค่อยๆ ทำทีเป็นว่ายน้ำ แล้วลอยเข้ามาใกล้ๆ กับบริเวณที่พวกเรากำลังเล่นน้ำอยู่
เราหันไปเห็นพวกนั้นมองมาทางพี่ยักษ์ที่กำลังอุ้มเราเล่นน้ำอยู่ แล้วก็ส่งยิ้มให้บางคนก็ยิ้มหวานหยดย้อยซะ...
ตอนนั้นเราก็เลยเงยไปมองหน้าพี่ยักษ์ เหมือนพี่ยักษ์เองก็ยิ้มๆ ตอบกลับไปให้พวกนั้นด้วยเช่นกันตอนนั้นรู้สึกใจเต้นแรงมาก เหมือนหน้าเริ่มร้อนผ่าวๆ และมันเป็นความรู้สึกที่ไม่ชอบใจเอามากๆ
“พ่อดินฮะ ผมอยากไปเล่นตรงนู้น” เราแกล้งเรียกเขาว่าพ่อดิน ตามที่ป้าปูบอกเมื่อเช้า
“หะ...อะไรนะ?” พี่ยักษ์รีบหันกลับมามองเราทันที
“อยากไปเล่นตรงนู้น” เราชี้ตรงที่ไกลออกไปจากกลุ่มผู้หญิงพวกนั้น
“ไม่ใช่ เรียกพี่ว่าอะไรนะตะกี้?”
“พ่อดิน พ่อดิน พ่อดิน พ่อดิน ได้ยินมั้ยฮะ” เราพูดย้ำหลายๆ รอบ
“อ้อ...ได้เลยครับ คุณลูก” พี่ยักษ์ยิ้มกริ่ม แล้วอุ้มพาเราว่ายออกไปจากบริเวณนั้น
“ทำไมหน้าบึ้งแบบนั้นอ่ะ เป็นอะไรเอ่ย?” ถึงพี่ยักษ์จะถามมาแบบนั้น แต่พี่เขาอมยิ้มเหมือนรู้ทัน
“ไม่ได้เป็นอะไรนี่ฮะ” เราตอบไปด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยถึงแม้ในใจจะเต้นแรงกว่าปกติก็ตาม แต่ก็รู้สึกว่ามันไม่ได้เป็นอะไรจริงๆ นี่!
“แน่ะ... หึงพี่เหรอ?”
“ฮะ? หึงคืออะไรอ่ะ?” เรามองหน้าเขาด้วยสีหน้าสงสัยว่าอะไรคือหึง
พี่ยักษ์อมยิ้มและไม่ได้ตอบอะไรกลับมา ได้แต่เอามือมาบี้จมูกเราเบาๆ
จากนั้นเราเล่นกันต่ออีกสักพักแล้วก็พาเราขึ้นฝั่ง
“เดี๋ยวพี่ซื้ออะไรมาให้กิน พักกินข้าวก่อน เดี๋ยวพี่พาไปต่อ”
“อ้าว ไปไหนฮะ ไม่เล่นน้ำต่อเหรอ?”
“ไปห้าง...เอะ หรือเล่นน้ำต่อดีนะ?” พี่ยักษ์ยิ้มถาม
“ไปห้างฮะ! ป่ะๆ ไปกันเลยผมยังไม่หิวข้าว”
“กินข้าวก่อน... ถึงว่าสิทำไมตัวถึงได้เล็กแค่นี้ข้าวปลาไม่ยอมกินนี่เอง ห่วงแต่เที่ยว” พี่ยักษ์ทุบหัวเราเบาๆก่อนจะเดินไปหยิบกระเป๋าเงินที่เบาะรถมอเตอร์ไซค์แล้วเดินไปที่ร้านขายของกินแถวนั้น
จังหวะนั้นเรามองตามไป เห็นว่าตอนที่พี่เขากำลังยืนรออยู่นั้น สองคนในกลุ่มผู้หญิงก่อนหน้านี้พวกนั้นเดินเข้ามาหาพี่ยักษ์ แล้วเหมือนคุยอะไรกันหัวเราะคิกคักชอบใจใหญ่แต่สักพักก็เหมือนจะยิ้มแห้งๆ แล้วเดินออกไป
ตอนที่เราเห็นภาพนั้น...ใจมันเต้นแรงอีกแล้วทำไมเราต้องมารู้สึกไม่พอใจกับอะไรแบบนี้ด้วย ตอนนั้นไม่เข้าใจเลย
สักพักพี่ยักษ์ก็เดินมาพร้อมกับข้าวเหนียวไก่ย่าง และน้ำตกหมูแบบไม่ใส่พริก
“เขามาคุยอะไรกับพี่ยักษ์หรอฮะ?” เรารีบถามขึ้นทันทีที่พี่เขานั่งลง
“หืออออ เห็นด้วยเหรอ?”
“เห็นสิฮะ ก็เห็นคุยกันดูน่าสนุกขนาดนั้น...”
“นี่แอบมองตามพี่ขนาดนี้เลยเหรอเนี้ย? หือออ” พี่ยักษ์ยิ้มแล้วยื่นหน้าเข้ามาใกล้ๆ
“ผมไม่ได้แอบมองนะ ก็แค่หันไปเห็นพอดี” เราตอบไป พลางทำทีว่าหันไปมองทางอื่นดูนกดูไม้ไปเรื่อยๆ ที่จริงก็รู้สึกเขินอยู่ที่พี่เขารู้ทัน...
“จ้าๆ ฮ่า” พี่ยักษ์ขยี้หัวเราเบาๆแล้วก็หัวเราะชอบใจ
“แล้วตกลงพวกเขามาคุยอะไรกับพี่ยักษ์ฮะ?” หลังจากที่เรากินข้าวกันเสร็จ เราถามพี่เขาขึ้นอีกครั้งเพราะมันรู้สึกคาใจแปลกๆ ยังไงไม่รู้
“เอ้า! นี่ยังคาใจไม่หายเหรอเนี้ย ฮ่า”
“ไม่มีอะไรเลย... เขาก็แค่ชวนไปเล่นน้ำด้วยกันแต่พี่บอกว่ามากับลูก”
“เขาก็ถามอีกว่าพี่มากับลูก แต่ไม่มีเมียใช่มั้ย? พี่ก็บอกว่าเมียก็มีแล้วยิ้มให้เขาเฉยๆเขาก็เลยเดินไปแค่นี้เอง... นี่ไม่ถ้าเชื่อพี่พาไปถามก็ได้นะ ป่ะๆ” พี่ยักษ์อธิบายจบ ก็ทำท่าเหมือนจะมาอุ้มเรา
“ไม่ต้องฮะ ผมก็แค่อยากรู้...”
“ขี้หึงตั้งแต่เล็กเลยน้า ไอ้แสบ หืออออ” พี่ยักษ์ยิ้มให้แล้วก็อุ้มเราไปนั่งตักเสร็จแล้วเขาก็เอาคางมาถูกับหัวเราไปมาเบาๆตอนนั้นก็สงสัยนะว่าขี้หึงคืออะไร?แต่ก็ขี้เกียจถามแล้ว เพราะเราไม่ได้อยากรู้เท่าเรื่องที่ผู้หญิงพวกนั้นมาคุยอะไรกับพี่เขา!
------------
ทันทีที่เดินเข้ามาในห้างเรารู้สึกอารมณ์ดีเป็นพิเศษ วิ่งกระโดดโลดเต้นไปมา
ไม่รู้ทำไมเหมือนกันทันทีที่ร่างกายสัมผัสกับอากาศและลมเย็นๆ ของแอร์ที่ปะทะโดนตัวมันเป็นความรู้สึกของการเดินเล่นในห้าง ที่เราไม่ได้สัมผัสมันมานานแล้ว
“ชอบเที่ยวห้างหรอเรา หืออออ เจ้าดื้อ” พี่ยักษ์ยิ้มถาม
“ชอบฮะ ชอบมากเลย เพราะแต่ก่อนตอนอยู่กรุงเทพฯพ่อกับแม่จะพาไปเดินเล่นในห้างบ่อยๆ”
“พี่ยักษ์ผมอยากไปตรงที่มีของเล่นหยอดเหรียญเยอะๆ” เรารีบพูดเสริมทันที แต่พอพูดจบคราวนี้เราเป็นฝ่ายวิ่งจูงมือพี่ยักษ์ไปถึงแม้เราจะไม่เคยมาห้างนี้เลยก็ตาม แต่เราก็สัมผัสถึงได้ถึงเส้นทางที่พาไปยังโซนเครื่องเล่นได้ เรื่องแบบนี้น่ะเซ็นส์ของเราไม่ผิดพลาดหรอก!
เราเล่นเครื่องเล่นหลายอย่างตั้งแต่เครื่องบินหยอดเหรียญ ม้าหมุนและสุดท้ายเล่นขับรถแข่ง แต่ว่าเบาะกับพวงมาลัยตอนนั้นมันห่างกันมากอีกทั้งขาเราก็ไม่ถึงที่เหยียบคันเร่งและเบรกอีกด้วย
เลยต้องให้พี่ยักษ์นั่งแล้วคอยเหยียบคันเร่งกับแตะเบรคให้ส่วนเราก็นั่งบนตักเขาแล้วเป็นคนคอยบังคับพวงมาลัยเอง
เราขยับตัวไปมาบนตักของพี่เขา เกร็งตัวตามจังหวะที่รถเลี้ยวซ้าย-ขวาเหมือนกับว่าตัวเองขับรถคันนั้นอยู่จริงๆ
แต่ว่า...เรารู้สึกสัมผัสได้ว่าท่อนเอ็นของพี่เขามันเริ่มแข็งตัวขึ้นนิดๆ แล้วก็กระตุกเบาๆ อยู่ตรงบริเวณก้นเรา
“พี่ยักษ์...ไม่ได้ใส่กางเกงใน...หรอฮะ?” เราเงยหน้าไปหาเขา แล้วกระซิบถาม
“ทำไมอ่ะ?”
“ก็...ไส้กรอกพี่...มันโดนก้นผมอ่ะสิ...”
“ฮ่า ก็พี่ใส่ลงไปเล่นน้ำด้วยอ่ะดิมันเปียกก็เลยถอดออกใส่ไว้ในถุงเสื้อผ้านั่นแหละ”
“ขอโทษทีๆ พี่ไม่ได้ตั้งใจ... จะเล่นต่อมั้ย?”
“ไม่เล่นแล้วฮะ ไปเดินเล่นทางนู้นกันดีกว่า” เราชี้ไปที่โซนของเล่น
“เดี๋ยวๆ หนูไปนั่งเครื่องเล่นอะไรก่อนนะ เดี๋ยวพี่ขอนั่งพักแปปนึง” พี่ยักษ์พูดจบก็นั่งทิ้งตัวลงกับพนักพิงแล้วหลับตา
“พี่ยักษ์...เหนื่อยหรอฮะ? ถ้าเหนื่อยแล้วเรากลับบ้านกันเลยก็ได้นะ” ตอนนั้นเรารู้สึกว่า เราทำให้พี่เขาเหนื่อยหรือเปล่านะ?
“อ้อ เปล่าจ้ะ... พี่แค่นั่งพักให้...เอ่อ...ให้ไส้กรอกมันยุบตัวลงเฉยๆน่ะ” พี่ยักษ์ยิ้มให้
โธ่เอ้ย นึกว่าเรื่องอะไร
หลังจากที่นั่งรอให้ไส้กรอกของพี่ยักษ์ยุบตัวลงเราก็เดินเล่นกันในโซนของเล่นกันสักพัก
“ถ้าอยากได้อะไร ก็บอกนะ เดี๋ยวพี่ซื้อให้...แต่มีข้อแม้ว่าได้ชิ้นเดียวนะ”
เราพยักหน้ารับแล้วรีบวิ่งดูของเล่นนู่นนี่ทันที เพราะนี่แหละคือประโยคที่รอมานาน!
สุดท้ายก็มาหยุดอยู่ที่โซนตุ๊กตาที่อยู่ตรงหน้ามันเป็นตุ๊กตากระต่ายสีขาวตัวใหญ่ขนาดกำลังน่าอุ้ม มันดูน่ารักมากๆมันไม่เหมือนกับตุ๊กตากระต่ายที่ขายตามตลาดเลย น่ารัก น่าเอาไว้นอนกอดสุดๆ
แต่พอเห็นราคาเราถึงกับถอดใจเล็กน้อย เพราะราคามันป้ายมันเขียนกำกับไว้ว่า 599.- ซึ่งถ้าเทียบกันในสมัยก่อนแล้ว การจะมาซื้อตุ๊กตาในราคานี้ถ้าไม่ใช่คนที่รวยมากแทบไม่มีทางได้แตะมันแน่นอน
“อยากได้เหรอ?” พี่ยักษ์นั่งย่อตัวลงถามเรา
“อยากได้ฮะ แต่ว่ามันแพงมากเลย...” เราทำหน้าเศร้าแล้วก็วางตุ๊กตาลงที่เดิม ไม่ได้จะทำให้เขาเห็นใจนะ แต่เราเข้าใจว่าราคานี้แม้แต่พ่อกับแม่เราก็คงไม่มีทางซื้อให้แน่
“ก็เอาสิ อยากได้นิ พี่สัญญาแล้ว” พี่ยักษ์ยิ้มให้พูดจบก็ตบไปที่กระเป๋าตังค์ของเขา เหมือนจะบอกว่าสบายมาก
“แต่ว่าหนูต้องสัญญากับพี่นะ ว่าจะเป็นเด็กดี ห้ามดื้อและต้องเชื่อฟังพี่ทุกอย่าง” พี่ยักษ์ยื่นนิ้วก้อยส่งให้เราเหมือนจะเป็นการตกลงทำสัญญากัน
“ได้เลยฮะ ผมจะเชื่อฟังพี่...พ่อดินทุกอย่างเลยยย” เราเอานิ้วก้อยไปเกี่ยวทันที
“ปากหวานก็เป็นด้วย ร้ายนักนะเรา ไอ้ตัวแสบบ” พี่ยักษ์ยิ้มกริ่มและลูบหัวเราไปมาเบาๆ
“งั้น...หอมก่อน” พี่ยักษ์ทำแก้มป่องยื่นแก้มด้านขวามาให้
ฟอดดดดดดด
เราหอมลงที่แก้มพี่เขาฟอดใหญ่โดยไม่ลังเลเลย
“คุณลูกค้าสนใจสินค้าตัวไหนสอบถามได้นะคะ” พี่พนักงานผู้หญิงน่าจะเป็นคนที่ดูแลแผนกนี้เดินมาถามด้วยน้ำเสียงสุภาพ
เราสะดุ้งตกใจเล็กน้อย ที่จู่ๆ พี่เขาก็เดินมาตอนที่เรากำลังหอมแก้มพี่ยักษ์ แต่พี่ยักษ์ดูไม่ได้เขินอะไรกลับยิ้มชอบใจอีกต่างหาก
“เอาตัวนี้ครับ” พี่ยักษ์ยื่นตุ๊กตาตัวนั้นส่งให้พี่พนักงานทันที
จากนั้นเราก็ถือถุงใส่ตุ๊กตาชนิดที่ว่าไม่ให้ห่างตัว เหมือนกลัวใครจะมาขโมย ใจจริงก็อยากเอาออกมากอดเลยแต่ว่ากลัวมันเลอะ รอไปนอนกอดเล่นที่บ้านดีกว่า
“เข้าไปเลือกหนังเอาไว้นอนดูกันมั้ย?” พี่ยักษ์ถามตอนที่เรากำลังเดินไปถึงโซนแผ่นซีดี
“หือ ห้องพี่ยักษ์มีเครื่องเล่นซีดีด้วยหรอฮะ?”
“มีสิ ป่ะ งั้นเข้าไปเลือกหนังกัน” เราแปลกใจเล็กน้อยเพราะจำได้ว่าตอนเข้าไปมันไม่เห็นมีนี่หน่า
คือยุคสมัยนั้นจะมีไม่กี่บ้านหรอกที่มีเครื่องเล่นซีดีติดบ้านไว้เพราะเครื่องเล่นซีดีมันยังเป็นอะไรที่ใหม่มาก และราคาก็แพงเอาเรื่องพอสมควรเลย
“ไม่เลือกเหรอ?” พี่ยักษ์ถามขึ้นคงเพราะเห็นเราเดินตามเขา ไม่เห็นเดินไปที่หมวดหนังการ์ตูน
“ไม่เป็นไรฮะ ผมได้ตุ๊กตาแล้ว”
พี่ยักษ์ยิ้มให้ก่อนที่จะเดินเลือกหนังไปสามสี่แผ่น
แต่ตอนเดินไปจ่ายตังค์เราเห็นว่ามันมีแผ่นการ์ตูนด้วยเรื่องหนึ่ง
“อ๊ะ! มีการ์ตูนด้วย” เราเงยหน้ามองพี่เขาแล้วยิ้มชอบใจ เพราะไม่คิดว่าเขาจะเลือกการ์ตูนมาด้วย
“เดี๋ยวเอาไว้เปิดดูด้วยกันนะ”
“ฮะ!”
หลังจากนั้นพี่ยักษ์ก็พาเราเดินไปที่แผนกเครื่องใช้ไฟฟ้า ที่เป็นโซนขายเครื่องเล่นซีดีพี่ยักษ์คุยกับพี่พนักงานผู้ชายสักครู่ก่อนที่พี่เขาจะเอากล่องเครื่องเล่นซีดีมาให้
“อ้าว ไหนพี่ยักษ์บอกว่ามีเครื่องเล่นซีดีไงฮะ?”
“ก็นี่ไง... มีแล้ว” พี่ยักษ์ยิ้มก่อนจะยกให้ดู
หลังจากจ่ายเงินเสร็จเรียบร้อย พี่ยักษ์ก็พาเดินตรงไปยังร้านขายยา ...บ้าจริง!ร้านขายยางั้นหรอ?!!
ร้านนี้เรารู้สึกไม่ยินดีที่จะเข้าไปเดินไปเท่าไหร่เลยขอยืนรอข้างนอกร้าน
“เผื่อไว้ก่อนน่ะ พี่รู้สึกว่าคืนนี้จะมีหมาน้อยนอนซมไม่สบายเพราะไข้กลับมาขึ้นอีก” สักพักพี่ยักษ์ก็เดินออกมาพร้อมกับยกถุงยาให้ดูเราทำหน้าบูดเล็กๆ ไม่เห็นจะต้องเผื่อเลยไม่เป็นไรสักหน่อย...
“อยากไปตรงไหนอีกมั้ยครับ?” พี่ยักษ์ถาม
“ไม่อยากไปแล้วฮะ” เราตอบพร้อมกับยกถุงที่ใส่ตุ๊กตาขึ้นมากอด
“อยากกลับไปนอนกอดตุ๊กตาแล้วล่ะสิ ใช่มั้ย? หือออ”
เรายิ้มตอบ ก่อนที่พี่ยักษ์จะจูงมือเราเดินออกไป
------------
แต่ระหว่างทางที่กำลังขี่รถกลับนั้นฟ้าก็เริ่มมืดเหมือนเป็นสัญญาณว่าฝนกำลังจะตกในไม่ช้าพี่ยักษ์รีบบิดเร็วขึ้นจนไปเจอศาลารอรถระหว่างทาง
พวกเรารีบวิ่งเข้าไปข้างในและขนของทั้งหมดลงจากรถก่อนที่มันจะเปียกฝน
สุดท้ายในไม่ช้า ฝนก็ถล่มตกลงมาจริงๆ ด้วย
หลังจากที่เราเที่ยวกันมาทั้งวัน อีกทั้งยังเล่นน้ำด้วย พอเจอบรรยากาศฝนตกแบบนี้มันทำให้รู้สึกง่วงขึ้นมาเหมือนหนังตาพร้อมจะปิดทันที
“พี่ยักษ์ฮะ...ผมง่วง” เราเงยหน้าไปบอกพี่เขาพร้อมกับสีหน้าที่ดูง่วงนอนเต็มที
“อ่ะ เอาสิ นอนหนุนตักพี่นี่มา เดี๋ยวถ้าฝนหยุดแล้วพี่จะปลุกนะ” พี่ยักษ์ตบลงตรงต้นขาเขาเบาๆ
เราโน้มตัวลงนอนทันที พี่เขาเอามือมาลูบหัวเราไปมาเบาๆทำให้เรายิ่งหลับง่ายขึ้นไปอีก
ตอนที่นอนมันก็ไม่ได้หลับสนิทอะไรนัก เราเริ่มได้ยินเสียงคนเหมือนกับว่ามีผู้ร่วมประสบชะตากรรมเดียวกันเพิ่มขึ้นในศาลาแห่งนี้
เรารู้สึกตัวตื่นขึ้นเพราะรู้สึกหนาว ด้วยความที่ศาลารอรถริมทางมีแค่ตัวโครงหลังคา และตัวที่เป็นม้านั่งกับพนักพิง ไม่ได้ฝาผนังที่มีที่กั้นปิดมิดชิดอะไรทำให้พอฝนตกหนักแบบนี้ มันก็เลยมีละอองฝนมาโดนตัวได้
“เป็นอะไร หนาวเหรอ?” พี่ยักษ์ถามคงเพราะเห็นเรานอนตัวสั่น
“ฮะ...” เราตอบแต่ก็ไม่ได้ลุกขึ้นตื่นเพราะมันรู้สึกง่วงมากเลยหลับต่อ
“ไหน ขยับหัวขึ้นแปปนึงสิ” เรายกหัวขึ้นนิดนึงตามที่พี่เขาบอก แล้วก็ลงไปนอนต่อ สักพักรู้สึกได้ว่าเหมือนมีอะไรมาห่มให้เรารู้สึกว่าอุ่นสบายมาก แถมยังได้กลิ่นน้ำหอมของพี่ยักษ์อ่อนๆ ด้วยเลยทำให้เราหลับสนิทยาวไปเลย
“หมาน้อยครับ... ตื่นได้แล้ว... ฝนใกล้จะหยุดแล้วนะเดี๋ยวกลับไปนอนต่อที่บ้านกันนะ” หลังจากที่คิดว่าเราน่าจะหลับไปอีกพักใหญ่ๆ ก็ได้ยินเสียงพี่ยักษ์ก้มหน้าลงมาที่ข้างหูเราแล้วกระซิบบอกพร้อมกับยังเอามือคอยลูบตัวเราไปมาเบาๆ
เราพยายามดันตัวลุกขึ้นนั่ง ถึงแม้ในใจตอนนั้นมันจะอยากนอนต่อมากก็ตาม
ตอนนั้นที่หันไปเห็นก็คือพี่ยักษ์นั่งถอดเสื้ออยู่ เราเลยก้มมองผ้าที่ห่มตัวอยู่มันเป็นเสื้อของพี่เขานี่เองที่เอามาห่มให้เรา
“ไอ้หนู พ่อเขารักเอ็งมากเลยนะ นี่เขาถอดเสื้อห่มให้เอ็งแล้วนั่งทนหนาวอยู่เนี่ย รักพ่อเขาให้มากๆ นะลูกนะ” เสียงของคุณป้าที่นั่งติดฝนศาลาเดียวกับเรารีบพูดทักทันทีที่เราตื่นขึ้น
เรามองหน้าป้าเขางงๆ คงเพราะพึ่งตื่นด้วยละมั้ง มันรู้สึกงัวเงียไปหมด
ตอนนั้นเราหันไปมองหน้าพี่ยักษ์ เขายิ้มให้ก่อนจะลูบหัวเราเบาๆ เรารู้สึกว่าเหมือนตัวเองกำลังหน้าแดง และใจเต้นแรงมาก
“ป่ะ ฝนหยุดแล้ว กลับบ้านกัน” พี่ยักษ์ยกตัวเราลงยืนกับพื้นเสร็จแล้วเราก็ส่งเสื้อให้พี่ยักษ์พอเขาสวมเสื้อเสร็จพวกเราก็บอกลาคุณป้าที่กำลังนั่งรอรถโดยสารคันถัดไปอยู่
“อย่าดื้อกับพ่อนะลูก โตขึ้นเป็นเด็กดีนะ...” คุณป้าพูดส่งท้าย เราหันไปยิ้มและยกมือไหว้เขา ก่อนจะขึ้นไปนั่งหน้ารถมอเตอร์ไซค์
แต่ระหว่างทางขากลับทำไมมันรู้สึกนานมาก เส้นทางมันช่างยาวไกลเหลือเกินอยากกลับไปนอนต่อแล้ววว
------------
สุดท้ายพอกลับมาถึงบ้าน...ก็เป็นไปตามที่พ่อหมอยักษ์คาดการณ์เอาไว้
เรานอนซมเพราะตัวร้อน ไข้ขึ้นสูงกว่าเมื่อวานซะอีก
“ไงล่ะ… ผมสบายมากฮะ กลับมานอนซมเป็นลูกหมาเลย ฮ่า” พี่ยักษ์เดินมานั่งลงแล้วเอามือแตะหน้าผากเราเบาๆ
แล้วเขาก็ป้อนข้าวเรา แต่เราก็กินได้แค่สองสามคำ เพราะมันไม่อยากกินมันอยากนอนมากกว่า
“อ่ะ งั้นกินยาก่อน จะได้นอนพักผ่อน” จากนั้นเขาก็หยิบขวดยาน้ำออกมาจากถุงยา
ถึงมันเป็นยาน้ำที่มีรสหวานนิดๆ ก็เถอะ แต่มันก็ขมมากเหมือนกัน แต่ก็เอาเถอะ อย่างน้อยมันก็กินง่ายกว่ายาเม็ดละนะ
หลังจากนั้นพี่เขาก็ลุกเอากะละมังกับผ้า มาวางไว้ข้างเตียง ก่อนจะนอนเขาเช็ดตัวให้เราอีกหนึ่งรอบ
จากนั้นเราก็ล้มตัวลงนอนทันที เพราะมันแทบจะลืมตาไม่ไหวแล้ว
“ว้า ว่าจะกลับมานอนดูหนังสักหน่อย อดดูซะและ ต้องมาดูแลลูกหมาแทน” เราลืมตามองหน้าเขาแบบไม่เต็มตา พร้อมกับทำหน้าบูดนิดๆ
“ฮ่าาา พี่ล้อเล่น อ่ะนอนๆ” เขายิ้มให้จากนั้นเขาก็ลูบหัวเราเบาๆ ก่อนจะขึ้นมานอนด้วยกัน
“ถ้ารู้สึกว่าไม่ไหวก็ปลุกพี่ได้เลยนะ” เขาก้มลงจูบที่หน้าผากเราเบาๆ
“พี่ยักษ์...”
“หืออ?”
“ขอบคุณนะฮะ วันนี้ผมสนุกมาก แล้วก็มีความสุขมากเลย...” เราอยากบอกขอบคุณเขาก่อนที่กำลังจะหลับไป เพราะวันนี้เรามีความสุขมากจริงๆ
“พี่ก็มีความสุขเหมือนกันครับ” พี่ยักษ์ดึงตัวเราเข้าไปนอนกอดเหมือนทุกที แล้วลูบหัวเราไปมาเบาๆ จนเราหลับไป...
สำหรับเรามันเป็นวันแห่งความทรงจำที่ดีมากๆ ไม่ว่าจะย้อนกลับนึกถึงมันเมื่อไหร่ แค่หลับตาภาพเหล่านั้นก็ยังทำให้เรายิ้มได้และมีความสุขทุกครั้งที่นึกถึงแม้จะผ่านมานานมากแล้วก็ตาม
รู้สึกชอบที่เวลาเราอยู่ด้วยกัน เรารู้สึกไว้ใจเขา มันรู้สึกปลอดภัยจนเกือบจะลืมไปเลยว่ามีเรื่องเซ็กที่รุนแรงเคยเกิดขึ้นกับเราก่อนหน้านี้ ชอบความรู้สึกอบอุ่นและดูใจดีรวมถึงรอยยิ้มของผู้ชายคนนี้มากอย่างบอกไม่ถูก จนรู้สึกไม่อยากให้วันเวลาแบบนี้ผ่านพ้นไปเลย
แต่ว่าความเป็นจริงโลกใบนี้ไม่ได้มีแค่เราเพียงแค่สองคน...จากนี้ไปเราต้องเจออะไรอีกมากมายเหมือนกับโลกจะสอนให้เรารู้ว่าเมื่อมีกลางวัน ก็ต้องมีกลางคืนก็คงเหมือนกับเวลาที่มีความสุขเราคงปฏิเสธไม่ได้เลยว่าความทุกข์ก็คงกำลังจะเข้ามาหาเราในอีกไม่ช้า...https://www.img.in.th/image/19ICQLhttps://www.img.in.th/image/19j4JE แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย Vitamin25 เมื่อ 2022-2-26 04:36
ก่อนอื่นเลยต้องรู้สึกขอบคุณเพื่อนๆ ทุกคนในกลุ่มนี้มากๆ สารภาพเลยนะว่าตอนแรกอ่ะแค่อยากเล่าแค่ตอนเดียว แล้วก็จะหายตัวไปเลย 55555
แต่พอมานั่งอ่านคอมเม้นเรารู้สึกว่าทุกคนในนี้น่ารักจัง เลยทำให้เรารู้สึกว่าอยากพิมพ์เล่าต่อ มันเหมือนได้ฟีลเล่าให้เพื่อนฟัง ถึงแม้ว่าเราจะไม่รู้จักกันก็ตาม
เรารู้สึกมาตลอดเลยนะว่าเรื่องราวความรักของเรามันเป็นอะไรที่แปลกมาก
จนกระทั่งมันมีเหตุการณ์เกิดขึ้นตอนวันวาเลนไทน์เมื่อสองปีก่อน ที่ทำให้เราอยากพิมพ์เล่าเรื่องของเราบอกให้ใครรู้ที่ไหนสักแห่ง
อยากเล่าบอกใคร แบบที่ไม่ต้องรู้จักเราก็ได้ จนเรามาเจอที่นี่เนี่ยแหละ...
ปีนั้นเราก็ฉลองวาเลนไทน์ที่ห้องด้วยกันกับพี่เขาปกติ เหมือนหลายๆ ปีที่ผ่านมา
ก็นอนดูหนังกันบนที่นอนอยู่ดีๆ ตอนแรกพูดคุยเรื่องทั่วไปนู่นนี่กัน วางแผนไปเที่ยวต่างๆ นานาได้สักพักพี่ยักษ์คนในเรื่องนั่นแหละ ก็นิ่งไป
แล้วบอกกับเราว่า “หนูอยากรู้มั้ย? ว่าทำไมถึงเป็นหนู” จำได้เลยว่าเราก็นิ่งคิดไปแปปนึงเหมือนกัน แต่ก็เข้าใจได้ว่าเขาคงหมายถึงเรื่องที่เราเคยถามกับเขาก่อนหน้านี้นานมากแล้ว
ว่าทำไมถึงเป็นเรา ทำไมพี่ยักษ์ถึงเลือกเรา เขาก็บอกแค่ว่า
“เพราะพี่รักหนูไง พี่อยากอยู่กับหนู” ซึ่งมันเป็นคำตอบที่ให้ความรู้สึกดีนะ
แต่เราใช้ชีวิตโดยมีเขาวนเวียนอยู่ในชีวิตเรามานานมากมีอะไรบางอย่างมันทำเรารู้สึกว่ามันไม่ใช่ เหมือนพี่เขาบอกเราไม่หมดแต่ตอนนั้นเราก็ไม่อยากรบเร้าอะไร
เราพยักหน้าแล้วยิ้มตอบกลับไป ตอนนั้นพี่ยักษ์เงียบไปสักพักเลย เหมือนเขาเองก็จะเครียดๆ อยู่เหมือนกัน
เราก็รู้สึกกดดันเพราะไม่รู้เหมือนกันว่าเรื่องที่พี่เขาจะพูดต่อไปนี้มันคืออะไร เพราะสีหน้าพี่เขาดูจริงจังกว่าทุกทีเลย
เขาถอนหายใจ ก่อนเล่าให้เราฟังว่าเพราะอะไร... เพราะอะไรเขาถึงรักเรา และอยากอยู่กับเรา
ตอนที่เรารู้ตอนนั้นยอมรับว่าอึ้งเหมือนกัน ไม่คิดว่าจะเป็นเรื่องนี้...ตอนนั้นเหมือนภาพทุกอย่างมันย้อนกลับไปถึงตอนวัยเด็กหมดเลย
พอเขาเล่าจบก็ยิ้มให้ และก็ไม่ได้พูดอะไรต่อ
ตอนนั้นเหมือนในหัวมันมีหลากหลายความรู้สึกเข้ามาปะปนเต็มไปหมด มันทั้งอึ้งและตื้นตัน รู้สึกอบอุ่น ทั้งรู้สึกสงสารเขา เป็นความรู้สึกหลายอย่างปะปนกันไปอย่างบอกไม่ถูก
“หนูก็ไม่รู้นะว่าวันนั้นมันเป็นเพราะอะไรเหมือนกัน...แต่หนูรู้สึกว่าวันนั้นหนูทิ้งพี่ไม่ได้ไง หนูกลัวว่า หนูเองก็อาจจะต้องรู้สึกเสียใจทีหลังก็ได้ ถ้าหนูไม่เดินเข้าไปหาพี่ในวันนั้น” พอพูดจบเราก็ร้องไห้นะ เพราะเราก็รู้สึกดีใจที่การตัดสินใจของเด็กคนหนึ่งในตอนนั้น มันเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องและนำพามาซึ่งผู้ชายที่ดีมากคนหนึ่งให้เข้ามาในชีวิตเรา
แต่ที่เราตกใจคือพอเราพูดจบ พี่เขาก็ยิ้มๆ แล้วเหมือนจะมีน้ำตาไหลออกมา สักพักพี่ยักษ์ก็ปล่อยโฮออกมาเขาร้องไห้เสียงดังมาก จนเราต้องดึงตัวเขาเข้ามากอดแล้วลูบหัวเขาไปมาเบาๆ
เขาบอกว่าขอบคุณนะ ขอบคุณมาก ขอบคุณที่ตอบแบบนี้เพราะเขากลัวมาตลอดที่จะเล่าเรื่องนี้ให้เราฟัง มันเหมือนเป็นเรื่องเล็กๆแต่มันมีผลต่อความรู้สึกเขามาก
ถึงเขาจะคิดว่าเขารู้จักเราดี แต่เขาก็กลัวเขากลัวว่าคนที่เขาเชื่อมาตลอด ว่าเป็นคนที่เข้าใจเขาดีที่สุดความจริงแล้ว...อาจไม่ใช่ก็ได้
เขากลัวมากถ้าเล่าออกไปแล้วเราทำท่าทีเฉยๆ หรือไม่ได้รู้สึกเหมือนกันกับที่เขารู้สึก หรือทำเป็นตลกกับเรื่องที่เขาเล่าหรืออะไรต่างๆ เขากังวลไปต่างๆ มากมาย
ซึ่งการที่เขาตกหลุมรักเด็กคนหนึ่งในตอนนั้น มันเป็นเรื่องที่อธิบายให้คนอื่นเข้าใจได้ยากมากๆแต่เขารู้สึกว่าขอแค่เพียงคนเดียวที่เข้าใจเขาก็คือเรา (ตรงนี้มันเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อนมากจริงๆ เราเลยขอไม่พิมพ์บอกไว้แล้วกันน้า ว่าเขาบอกเราว่าอะไร)
เขากลัวมากว่า ถ้าเราไม่เข้าใจเขา เขาคงจะเสียใจมาก และมองเราเปลี่ยนไปแน่ๆ ซึ่งนั่นก็คงทำให้เราใช้ชีวิตคู่ต่อไปด้วยกันได้ยากแล้ว
ตอนนั้นเขาร้องไห้ฟูมฟายมาก เหมือนอารมณ์ของเขามันถึงขีดสุดแล้วจริงๆ ซึ่งมันก็ทำให้เราจับใจความได้ยากอยู่ แต่เราก็พยายามตั้งใจฟังสิ่งที่เขาพูด
เรารู้สึกได้ว่าเวลานั้นผู้ชายที่อยู่ในอ้อมกอดเราตอนนี้ เขาเป็นผู้ชายที่อยู่ในเกือบทุกช่วงเวลาชีวิตของเราตั้งแต่เด็กจนโตเลย จนวันนี้ตัวเขาเองก็กลายเป็นผู้ใหญ่วัยกลางคนไปซะแล้ว
ลึกๆ เขาคงสับสนและโดดเดี่ยวพอสมควรที่ต้องแบกรับอะไรไว้หลายๆ อย่างตลอดเวลา
ถึงเขาจะดูเป็นผู้ใหญ่ที่ตัวโตและอบอุ่น แต่เขาก็คือคนธรรมดาคนหนึ่งมีจิตใจและความรู้สึกเหมือนกันกับเรา
เหมือนเขาก็รอเวลาที่จะให้เราโตขึ้นเพื่อที่จะได้ใช้ชีวิตร่วมกันกับเขาจริงๆ สักที
แต่ระหว่างทางเขาก็คงกลัว กลัวว่าเมื่อเราโตขึ้น เราจะเปลี่ยนไปหรือเปล่า? เราจะยังอยู่กับเขามั้ย เรายังจะยังยิ้มและเป็นเด็กดื้อของเขาเหมือนเดิมที่เขาสามารถกอดและหอมแก้มได้อยู่มั้ย?
ถึงจะมีช่วงหนึ่งที่เขาเคยบอกเราว่า เขาทำใจไว้แล้วว่าสักวันเขาคงเสียเราไปเพราะชีวิตเรายังต้องเติบโต และเจอผู้คนอีกมากมาย
แต่ในความเป็นจริง เขาไม่อยากให้มันเป็นแบบนั้นเลย แต่เขาก็ไม่อยากผูกมัดเราไว้ด้วยคำพูด เขาอยากให้เรารู้สึกอยากอยู่กับเขา ด้วยความรู้สึกของตัวเราเอง
ที่เขาเล่าให้เราฟังวันนั้น เพราะเหมือนกับว่าพวกเราก็เริ่มโตกันมากพอที่จะคุยเรื่องอะไรจริงจังกันได้แล้ว
เขาอยากจะรู้ว่าสุดท้ายแล้ว เราคือคนที่ใช่สำหรับเขาจริงๆ หรือเปล่า...
เราคือคนที่เขาเชื่อใจ ไว้ใจ และเข้าใจเขาที่สุดจริงๆ และสามารถใช้ชีวิตด้วยกันต่อจากนี้ได้จริงๆ ใช่มั้ย
เขาบอกว่ารู้สึกโล่งและดีใจมาก ที่คำตอบมันทำให้เขารู้สึกว่าเราคือคนที่ใช่สำหรับเขาจริงๆ
ตอนนั้นเราจับหน้าเขาแล้วนั่งมองเช็ดน้ำตาให้เขา เวลานี้ตัวเขาเองก็แก่ขึ้นจากวันนั้นมากพอสมควร แต่เรารู้สึกเหมือนสัมผัสได้ว่าลึกๆ ในใจเขาเหมือนกับว่ามีเด็กชายยักษ์ตัวน้อยอยู่ข้างใน
เราเข้าใจความรู้สึกนี้ดี เพราะในตอนเป็นเด็ก เราเองก็รู้สึกกับเขาแบบนี้เหมือนกันอยากอยู่กับเขาแบบนี้ตลอดไป...
เราถึงได้เลือกช่วงเวลาที่เราเป็นเด็ก ที่ได้อยู่กับเขาเอามาเล่าให้ทุกคนฟังในนี้ถึงมันจะมีเรื่องเซ็กเข้ามาเกี่ยวข้อง แต่เขาก็บอกกับเราว่าเขารู้สึกผิดมาตลอดนะ ถึงตอนนั้นเขาจะเป็นผู้ใหญ่แล้ว แต่เขาเองก็เป็นคน สามารถทำผิดพลาดได้เช่นกันพอเขารู้สึกตัวเขาถึงพยายามทดแทนสิ่งต่างๆ ที่พอจะทำให้เราได้ เขาเข้าใจว่ามันกลับไปแก้ไขอะไรไม่ได้แล้วเขาเลยอยากจะดูแลเราให้ดีที่สุด เท่าที่คนคนหนึ่งจะทำให้ได้
พิมพ์มาขนาดนี้แล้ว นี่ต้องเขียนเรื่องเล่าต่อมั้ยเนี้ย 55555
เพราะตลอดเวลาตั้งแต่เด็ก จนมาถึงปัจจุบัน มันก็มีหลายครั้งที่พวกเราต้องเจอกับปัญหาที่ผ่านไปได้ยากเช่นกัน พูดตามตรงว่าก็มีหลายครั้งนะที่เราก็มองไม่เห็นเลยว่าอนาคตข้างหน้า ที่คิดว่าจะมีเขาอยู่กับเราเหมือนเช่นทุกวันนี้
เราทั้งคู่ต่างก็เคยทำผิดพลาดมาเหมือนกัน ด้วยเวลามันก็ผ่านมานานเป็นเวลายี่สิบกว่าปีแล้วอ่ะเนอะ มันยากอยู่นะ ที่จะตั้งตัวให้อยู่ในเส้นทางเดิมได้ตลอดเวลา
พอโตมาเราถึงเข้าใจว่านี่คือชีวิตจริง และเราทั้งคู่ต่างก็เป็นคนธรรมดาเหมือนกัน
พี่ยักษ์ไม่ใช่พระเอกที่ออกมาจากนิยายอะไร เขาเองก็มีจิตใจมีความรู้สึกไม่ต่างจากเราเลย
แต่สิ่งที่เราสัมผัสได้ก็คือช่วงเวลาที่อบอุ่นในตอนเด็กที่ได้อยู่กับเขามันคือของจริง เขาเป็นเหมือนพ่อ พี่ชาย และคนพิเศษ ที่ตอนนั้นเราเองก็ให้สถานะความสัมพันธ์ตรงนี้ไม่ได้เหมือนกัน เราถึงได้เลือกช่วงเวลานี้มาถ่ายทอดให้คนในกลุ่มอ่าน เพราะนึกถึงทีไรตัวเราเองก็มีความสุขมากทุกที มันเป็นความทรงจำที่ดีและมีค่ามากตลอดไปสำหรับเรา
ต้องขอโทษด้วยที่มาพิมพ์เหมือนเฉลยตอนจบอะไรแบบนี้ แต่เรามานั่งคิดดูเหมือนตอนที่เรากำลังเขียนอยู่ กับชีวิตจริงตอนนี้ช่วงเวลามันห่างไกลกันมาก
เราเองก็ไม่อยากเร่งเวลาในเนื้อเรื่องเท่าไหร่นัก เพราะนี่ก็พยายามนั่งนึกถึงความทรงจำทุกเหตุการณ์ และเรียบเรียงออกมาให้ดำเนินไปตามวันเวลาของมัน
ส่วนตัวรู้สึกว่าการได้มาเขียนอะไรให้คนอ่านแบบนี้มันก็รู้สึกสนุกไปอีกแบบ เราไม่ได้ซีเรียสนะที่คนจะมองว่าเป็นนิยายหรืออะไร
แต่แอบรู้สึกกังวลนิดหนึ่ง เข้าใจว่าเพื่อนๆ บางคนคิดว่ามันเป็นเรื่องแต่งก็เลยอาจจะคาดหวังฉากเซ็กหวาดเสียว หรือเซ็กหมู่รุมโทรมอะไรแบบนั้น ซึ่งเราก็คงต้องบอกตรงนี้ว่ามันไม่มีนะ ต้องขอโทษด้วยจริงๆ จ้า
เพราะอีพี่เมฆนี่ถึงจะเห็นว่าเมาแล้วเป็นแบบนั้น แต่เวลาปกติก็เป็นพี่ชายที่ดีคนหนึ่งเลยนะ
ส่วนตัวนี่ก็กลัวเพื่อนๆ มาอ่านแล้วแบบ โห ไม่เห็นมีฉากเย่กันดุเดือด หรือใส่กันยับอะไรแบบนี้เลย อุตส่าห์ชื่อเรื่องพี่ยักษ์ซะเปล่า (ที่จริงฉากแบบนั้นมันก็มีอยู่หรอกนะ แต่มันไม่ใช่ในวัยเด็กนี่สิ 5555)
แต่ส่วนตัวอยากให้ทุกคนอ่านเป็นนิยายเหมือนเดิมมากกว่านะ เพราะถ้ามองตามความเป็นจริง เหตุการณ์พวกนี้เนี้ย เราเองก็รู้สึกว่ามันเป็นสิ่งที่มันเกิดขึ้นเหนือความคาดหมายมาก
เราตอบได้เพียงอย่างเดียวคือเราอาจจะ ”โชคดี” เท่านั้นจริงๆ
เพราะถ้ามองย้อนกลับไป ในมุมกลับกัน ถ้าสมมติว่าในวัยเด็กเราถูกคนอื่นกระทำชำเราล่ะถ้าคนนั้นไม่ใช่พี่ยักษ์ หรือถ้าพี่ยักษ์ไม่ใช่คนที่มีความคิดล่ะ?
ถ้าเขาทำกับเราแค่เพียงเรื่องเซ็กอย่างเดียวเท่านั้นแล้วปล่อยเราทิ้งไว้โดยไม่ได้สนใจอะไร เรื่องทุกอย่างจะจบลงด้วยดีมั้ย? มันอาจจะตรงกันข้ามแบบน่าหดหู่ใจเลยก็ได้นะ
ที่ต้องเขียนบอกแบบนี้ เพราะเราก็สังเกตุตั้งแต่เข้ามา เหมือนในนี้จะมีน้องๆ ที่ยังเป็นเด็กหรืออาจจะยังไม่บรรลุนิติภาวะเข้ามาอยู่เยอะ
ไม่อยากให้มองว่าเอ้อเนี่ย พี่เขาได้พี่ยักษ์เป็นแฟนด้วยโคตรดีเลย เดี๋ยวไปหาบ้าง หรืออาจจะเผลอเอาตัวเองไปอยู่ใกล้พวกผู้ใหญ่ที่ดูหื่นกระหายอะไรทำนองนั้นเรากลัวว่าจะกลายเป็นการชี้นำน้องๆ แบบผิดๆ
เพราะโลกทุกวันนี้มันโหดร้ายมาก การเอาตัวเข้าไปแลกกับอะไรแบบนี้มันไม่คุ้มเลยถ้าเจอคนไม่ดีเข้า ประสบการณ์เรื่องเซ็กหรือความรักมันอาจจะกลายเป็นเรื่องน่าเศร้าหรือทำให้เรารู้สึกแย่ หรืออาจส่งผลทำให้ถึงขั้นเป็นโรคซึมเศร้าไปเลยก็ได้นะ
เพราะเราเองก็ได้รับฟัง และเป็นที่ระบายที่ปรึกษาเรื่องความรักหรืออะไรต่างๆ ให้กับใครหลายคน บางคนก็อาจจะกลับไปมีความสุขอีกครั้ง แต่ก็มีอีกหลายคนก็ไม่ได้มีตอนจบที่สวยงาม และต้องอดทนอยู่กับความรู้สึกแย่ๆ รอวันเวลาที่จะหายดีและกลับมายิ้มได้อีกครั้ง ซึ่งเราก็ทำได้แค่มองดูและคอยปลอบใจ เป็นห่วงอยู่ห่างๆ ได้แค่นั้น
ส่วนเรื่องของเราปัญหาตอนที่คบกัน บ่อยครั้งมันก็มีเข้ามาเยอะมากมาย และมันก็หนักหนาอยู่เหมือนกัน จนทำให้เราท้อและเหนื่อยมาก
จนเกือบถอดใจและจะเดินออกจากชีวิตพี่เขาไปตั้งหลายครั้ง ที่เห็นว่าดูมีความสุขนั่นมันก็แค่ส่วนหนึ่งบวกกับยังเป็นช่วงแรกๆ และช่วงวัยเด็กเท่านั้นเองทุกอย่างเลยดูน่ารักสดใสไปหมด
พอเข้าช่วงตั้งแต่ที่เราเริ่มโตขึ้นไปนี่โอ้โห...ยังกะคนละเรื่อง 555555
เพราะฉะนั้นอยากให้อ่านแค่พอสนุก เอาฟิน ถ้ามันเป็นเรื่องเล่าที่อ่านแล้วทำให้ทุกคนมีความสุขก็รู้สึกขอบคุณและยินดีมากแล้วจ้า
ส่วนเรื่องเซ็กก็อ่านเอาอรรถรสพอน้า เพราะนี่นั่งพิมพ์ไปก็แอบเขินบวกจั๊กจี้อยู่เด้อ สารภาพเลยว่าไม่ได้รู้สึกเสียวซ่านตามแต่อย่างใด นึกย้อนกลับไปพอเห็นภาพมันออกจะตลกด้วยซ้ำ 5555555
ก็เลยอยากจะเอามาฝากเตือนน้องๆ ที่ตามอ่านเรื่องของเรากันเอาไว้จ้า กลัวอ่านแล้วไปหาทำตามเข้าใกล้พวกแด๊ดดี้ตัวโตซึ่งมันอาจจะไม่ปลอดภัยก็ได้...
ขอบคุณทุกคนทุกคอมเม้น ทุกกำลังใจมากๆ เลยน้า และหลายคนที่ส่ง PM เข้ามาหา เราได้อ่านหมดทุกข้อความแล้ว แต่ตอบกลับไม่ได้จ้า
ในวันนี้เราแค่เป็นคนหนึ่งที่โชคดีมากๆ ได้เจอก่อนก็เท่านั้นเอง
ยังไงก็ขอให้เพื่อนๆพี่ๆ น้องๆ ได้คนนั้นในสักวันหนึ่ง ขอให้ประสบพบเจอกับคนรัก และความรักที่ดีที่มีความสุขเช่นกันนะ
ขอบคุณเว็บนี้มากเลย ที่ทำให้เราได้เขียนแชร์ประสบการณ์เรื่องเล่าได้อย่างสบายใจ
แล้วขอบคุณเพื่อนๆ พี่น้อง ทุกคนกลุ่ม LGBTQ+ ทุกคน ด้วยที่เป็นส่วนหนึ่งในแรงขับเคลื่อน ผลักดันให้สังคมเริ่มเปิดกว้างกับเรื่องเพศสภาพมากขึ้นกว่าเดิมมาก
เรารู้สึกว่านั่นก็เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ทุกวันนี้ความสัมพันธ์ของเรากับพี่ยักษ์สามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างสบายใจขึ้น
ขอบคุณทุกคนอีกครั้งมากๆ จ้า
https://www.img.in.th/image/19j4JE
น่านักฮะ สนุกมากครับ ขอบคุณครับ ส่วนตัวผมชอบนะ เรื่องที่ถ่ายถอดจากประสบการณ์จริงลงมาเป็นตัวหนังสือให้ได้ติดตาม มันมีเสน่ห์ดี มันเป็นเหมือนบันทึกความทรงจำและแชร์ความทรงจำ ชอบๆ จะคอยติดตามผลงานตอนต่อๆไป ครับ อ่อชักอยากรู้เรื่องที่พี่ยักษ์เล่าให้ฟังจัง ถึงกับทำให้พี่ยักษ์ร้องไห้โฮกันเลย 555555 รู้สึกอบอุ่นจังขอบคุณครับ{:5_119:} รอต่อไปนะครับ ดอกม่วง ตอบกลับเมื่อ 2022-2-26 05:29
ส่วนตัวผมชอบนะ เรื่องที่ถ่ายถอดจากประสบการณ์จริงลง ...
เหมือนวันนั้นที่เขาร้องไห้หนักมาก เพราะแกคงเครียดอ่ะจ้า เพราะตอนนี้พี่ยักษ์คือก็ถือว่าวัยกลางคนแล้ว
เขาก็คงเริ่มคิดแหละว่าเราจะใช่คนนั้นของเขาจริงๆ หรือเปล่า
กลัวว่าถ้าเราไม่เข้าใจเขาในเรื่องนี้ เขาคงรู้สึกสูญเปล่า และมองเราไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป
เรื่องที่เขาพูดกับเรา มันอาจฟังดูธรรมดามากนะถ้าเป็นคนทั่วไปได้ยิน
แต่กับเราอยู่กับเขามานานเลยรู้ว่าเขาเป็นคนเซนซิทีฟในเรื่องความรู้สึกมากๆ
ภายในจิตใจเขาเป็นคนตัวเล็กปุ๊กปิ๊กน่าเอ็นดู แค่แกตัวใหญ่แค่นั้นเอง 55555 ขอบคุณครับ ขอบคุณครับ น่ารักดีครับ อยากได้เจอคนแบบนี้บ้างจัง{:5_137:} Vitamin25 ตอบกลับเมื่อ 2022-2-26 05:38
เหมือนวันนั้นที่เขาร้องไห้หนักมาก เพราะแกคงเครียดอ ...
โล่งใจไปที นึกว่าเป็นเรื่องความลับร้ายแรง ที่แท้พี่ยักษ์คือคนคลั่งรัก ดีดีนี่เอง5555555 ขอบคุณครับ ดอกม่วง ตอบกลับเมื่อ 2022-2-26 05:52
โล่งใจไปที นึกว่าเป็นเรื่องความลับร้ายแรง ที่แท้พี่ยักษ์คือคนคลั่งรัก ดีดีนี่เอง5555555
ประมาณนั้นแหละจ้า 55555
ประเด็นคือก่อนหน้าที่จะคุยกัน เขาไปกินเหล้ากับพี่เมฆมา
เหมือนพี่เมฆถามทำนองว่า สรุปคือเลือกน้องมันจริงใช่มั้ย อะไรทำนองนี้
แล้วพี่ยักษ์แกก็ตอบไปแบบที่พูดกับเรา
แต่พี่เมฆดันตอบมาว่า หะ เรื่องแค่นี้เองหรอวะ
โอโห้ นอยเขาใหญ่เลยทีนี้ แล้วเก็บมาคิดมากกลัวเราจะมองว่าความรู้สึกเขาเป็นเรื่องแค่นี้แบบพี่เมฆ
นี่ก็แบบคิดในใจ...พี่ทำเหมือนไม่รู้จักอีพี่เมฆเพื่อนพี่เลยเนอะ เขาก็เป็นคนแบบนี้อยู่แล้วป่ะ 555555
แล้วประเด็นคือคนที่ควรนอย ควรเป็นเราอ่ะ
แหม เอาเราไปเทียบกับความคิดพี่เมฆ โมเม้นเวลาอยู่ด้วยกันมันคนละแบบกันมั้ยคุมลุงงง ฮัลโหล 55555 เป็นกำลังใจให้คับ จะติดตามไปเรื่อยๆ อ้อ แล้วประเด็นที่ว่าพี่ยักษ์อยากทำอย่างว่ากับเรา ก็มีส่วนมาจากพี่เมฆนี่ละด้วยนะ
ตอนเด็กเวลาเราเดินผ่านวงเหล้า ชอบเม้ากับคนในวงว่า น้องแม่งขาววะ อยากเห็นตอนโต ถ้ามันเป็นผู้หญิงแล้วจะน่าเย็* มั้ย
คือแบบ...พี่ยักษ์บอกว่าเหมือนโดนสะกดจิตอ่ะ เพราะแม่งพูดบ่อยมาก จนตอนแรกพี่เขากลัวใจพี่เมฆนี่ละ จะมาทำอะไรเราก่อนใครเลย
นี่พอรู้ตอนแรกก็ทั้งขำ ทั้งโกรธ คือเข้าใจนะว่าแกเป็นคนปากแบบนั้นแหละ ละประเด็นคือถ้าเป็นคนอื่นที่เคลิ้มตามคำพูดแก ไม่ใช่พี่ยักษ์จะทำไง หัวจะปวด...
ขอบคุณครับ Congratulations น่ารักและอบอุ่นมากเลยครับ