พี่ยักษ์ที่รัก [19] ตอนส่งท้าย
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย Vitamin25 เมื่อ 2022-6-8 23:33เราสะดุ้งตัวตื่นขึ้นมาแต่เช้ามืดเพราะได้ยินเสียงคนคุยกันอยู่ที่ข้างล่างบ้าน
...เป็นน้ำเสียงของคนที่เรารู้สึกคุ้นเคยมากที่สุด
พ่อกับแม่มาแล้วหรอ!เรารีบลืมตาตื่นแล้วกระโดดลงจากที่นอนแล้ววิ่งลงไปข้างล่าง
ก็เห็นพี่ยักษ์นั่งคุยกับพ่อแม่เราอยู่จริงๆ ด้วยเรารีบวิ่งไปกอดพ่อกับแม่ด้วยความคิดถึงทันที
พ่อกับแม่แวะที่ตลาดในอำเภอซื้อข้าวของมาฝากเรากับพี่ยักษ์เยอะแยะเลย
แถมอีกสักพักพี่เมฆก็ขี่มอเตอร์ไซค์เข้ามาทำให้บรรยากาศช่วงเช้าที่นั่งคุยกันมีแต่ความสนุกและเสียงหัวเราะ...
อยากให้พวกเราอยู่ด้วยกันแบบนี้จัง มีความสุขสุดๆ เลย
แต่นั่นมันก็เป็นเพียงความคิดไร้เดียงสาของเด็กเท่านั้นแหละ...
พอถึงช่วงสายหน่อยพวกเราก็ย้ายที่จากบ้านพี่ยักษ์ไปนั่งคุยที่บ้านป้าปูกัน ช่วงแรกก็ถามสารทุกข์สุขดิบกันทั่วๆ ไป
พอหลังจากที่ลุงสินเริ่มพูดประโยคที่ว่า ‘แล้วจะเอายังไงกับไอ้ตัวเล็กมันต่อจะให้อยู่ที่นี่ต่อ หรือเอาไปด้วย?’
ท่าทีและน้ำเสียงของพ่อเราก็เริ่มเปลี่ยนไป น้ำเสียงของพ่อดูสั่นเครือ
มันสั่นไม่ใช่แค่เหมือนคนที่กำลังจะร้องไห้ มันเหมือนคนที่ทั้งคับแค้นใจ เจ็บปวด
หลายๆ อารมณ์มันปนกันอยู่ในน้ำเสียงของพ่อ
“ก็คงเอาไปด้วยครับพี่...พอรู้ว่าลูกถูกทำร้าย จิตใจของคนเป็นพ่อเป็นแม่มันเจ็บซะยิ่งกว่า
ที่ไม่ได้อยู่ปกป้องลูกตัวเอง ผมแทบอยากจะมาหาวันที่ลูกโทรไปเลยแต่เมียผมห้ามไว้ก่อน กลัวพอมาแล้วจะมีเรื่องกัน
ผมก็สงสารเมียเพราะทางนั้นก็แม่เขาบรรดาพี่เขา แต่ผมก็สงสารลูกแล้วเด็กตัวแค่นี้มันจะรู้สึกยังไง...
มันจะไปสู้อะไรใครเขาได้ ผมได้แต่นึกไปต่างๆนานาว่าลูกมันจะกลัว ร้องไห้หาพ่อแม่แค่ไหน
ลูกผม...ก็หลานพวกเขาทำไมเขาต้องทำกับลูกผมขนาดนี้”
ระหว่างที่พ่อเราพูด แม่เราก็ร้องไห้ไปด้วย เรารู้สึกสงสารพ่อกับแม่มากเลยเข้าไปกอดทั้งสองคน
กลายเป็นว่าพวกเราสามคนพ่อแม่ลูกกอดกันร้องไห้มันเป็นความรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจอย่างบอกไม่ถูก
ที่จริงตอนแรกพ่อเราน่ะโกรธมาก ชนิดที่ว่าจะไปเอาเรื่องยายกับพวกป้าๆให้ได้เลย
แต่ว่าแม่และพวกป้าปูก็ห้ามเอาไว้คอยกล่อมให้พ่อใจเย็นๆ
เพราะคนที่เสียใจที่สุดก็คือแม่เรา แม่ไม่สามารถเลือกเข้าข้างใครได้เลย
หากเข้าข้างแม่และพี่น้องตัวเองก็ดูไม่รักลูกไม่รักผัว ถ้าเข้าข้างผัวกับลูกก็จะดูเป็นคนอกตัญญูอีก
พอโตมาแล้วมองย้อนกลับไปเราถึงได้เข้าใจว่ามันเป็นสถานการณ์ที่ลำบากใจจริงๆ...
----------
“อย่าหาว่าพี่อย่างนู้นอย่างนี้เลยนะอร...เจ้าดินน่ะมันรักไอ้เจ้าหนูมินมาก
พี่แทบจะไม่เคยเห็นดินมันดุหรือตวาดเสียงแข็งใส่น้องเลยยังไงให้ลูกพี่รับเลี้ยงเอาไว้ก่อนก็ได้
รอให้เรียนจบป.6ก่อนค่อยพากันย้ายไปเรียนต่อที่กรุงเทพฯ ดีกว่า”
พอหลังจากเหตุการณ์สงบลง พ่อกับแม่เราเริ่มหยุดร้องไห้และมีสติมากขึ้นป้าปูก็เริ่มพูดเข้าเรื่องของเรา
“จริงๆ นะแม่... พี่ยักษ์ใจดีมากเลย กับข้าวหนูก็ได้กินดีๆทุกวัน แถมพี่เขายังให้เงินหนูไปโรงเรียนเพิ่มอีก หนูไม่เคยอดเลย” เรารีบพูดเสริมทันที
“แล้ว...หนูอยากอยู่กับพี่เขารึเปล่าลูก?” แม่เราถามขึ้นพร้อมกับเอามือมาเช็ดคราบน้ำตาที่แก้มให้เราแล้วลูบไปมาเบาๆ
พอโดนถามกลับมาโดยที่ยังไม่ได้ตั้งหลักแบบนี้ ก็ทำเอาเรานิ่งไปเหมือนกัน
เพราะทีแรกที่พูดออกไป เพราะอยากจะช่วยพูดให้พ่อกับแม่เรามองว่าพี่ยักษ์เขาดีกับเราจริงๆเท่านั้นเอง...
“เอาๆ ไม่เป็นไร ไอ้หนูลูก...เอ็งยังไม่ต้องตอบตอนนี้ก็ได้ คืนนี้ก็กลับไปคุยกันก่อน
คุยตกลงกันสามคนพ่อแม่ลูกน่าจะสะดวกกว่า พวกพี่ไม่ได้บังคับอะไรหรอกเอาที่เด็กมันสบายใจก็แล้วกัน...”
พอเรานิ่งเงียบไปลุงสินก็รีบพูดต่อทันทีคงเพราะพอเห็นเรานิ่งไป
กลัวว่าจะรีบตัดสินใจแล้วตอบว่าไปอยู่กับพ่อแม่แน่ๆ ...
เพราะที่จริงลุงสินเองก็ไม่อยากให้เราไปอยู่กับพ่อแม่ที่กรุงเทพฯ สักเท่าไหร่
เหมือนลุงเขาก็กลัวว่าพี่ยักษ์ลูกชายเขาจะเป็นเหมือนทำนองว่าหมาหัวเน่าอะไรแบบนั้น
แล้วที่บ้านเขาก็อาจจะตกเป็นขี้ปากชาวบ้านได้ จะโดนคนอื่นล้อเลียนเอาได้ว่าไปทะเลาะกับที่บ้านเขาแทบเป็นแทบตายเพื่อเอาเด็กมาเลี้ยง
สุดท้ายเด็กก็เลือกไปอยู่กับพ่อแม่มันอยู่ดี ประมาณนั้น...
เพราะยังไงคนที่นั่นก็ชอบทับถมและซ้ำเติมคนอยู่แล้วไม่มีใครเข้าข้างฝั่งไหนอย่างจริงใจหรอก...
-----------
พอตกเย็นพ่อกับแม่ก็พาเรากลับมาที่บ้าน ก่อนที่จะเดินออกมาเราเห็นพี่ยักษ์ยิ้มให้
พอเห็นพี่เขายิ้มมาแบบนั้นเราก็อดรู้สึกใจหายไม่ได้จริงๆ
วันนี้พอถึงช่วงที่คุยตกลงกันว่าจะเอายังไง เรื่องจะให้เราอยู่ที่นี่ต่อมั้ย...
พี่เขาก็นั่งฟังเงียบๆ ได้แต่โอบตัวเราไว้ แล้วลูบหัวเราเป็นระยะๆ
พี่เขาไม่พูดอะไรที่เป็นการกดดันให้เราต้องเลือกอะไรแบบนั้นออกมาเลย
มีเพียงลุงสินกับป้าปูที่พูดกล่อม ให้พ่อกับแม่ยอมให้เราอยู่กับพี่ยักษ์ต่อ
พอมาถึงบ้าน แม่เราตัดสินใจเดินไปหายายสักหน่อยก็คงตั้งใจจะไปไหว้ทักทายตามภาษาคนเป็นแม่ลูกกันนั่นแหละ
แต่ไม่วายที่เราจะได้ยินเสียงกระแนะกระแหนลอยมาจากทางบ้านยาย
ทำนองว่า ‘อ๋อ มาถึงไม่เห็นหัวกูเลยงั้นสิ ไม่ต้องมาไหว้กูเลยมั้ง’ คงจะประชดประชันเรื่องที่พ่อเราไม่เดินไปไหว้เขา
ตอนนั้นที่พ่อเราระงับอารมณ์อยู่ ไม่ไปเอาเรื่องยายก็ถือว่าเก่งมากแล้วนะ
ทำกับเราขนาดนี้ ยังจะมาหวังให้พ่อเรายกมือไหว้อีกหรอ...ไม่เข้าใจเลยจริงๆ
คืนนั้นพ่อกับแม่เราก็ชวนคุยเรื่องต่างๆ นานา ทั้งเรื่องเรียน เรื่องเพื่อนรวมถึงเรื่องพี่ยักษ์
เราก็เล่าให้พ่อกับแม่ฟังหมดเลยว่าอยู่กับพี่เขาสนุกมากพี่เขาพาไปเที่ยวบ่อยมาก
ซื้อหนังการ์ตูนให้ดู ซื้อของกินให้ตลอดไม่มีอดเลยแถมไปรับ-ส่งเราที่โรงเรียนทุกเช้าเย็นด้วย
ทำให้เราไม่ต้องเดินไปโรงเรียนเลยเรารู้สึกว่าพี่เขาดีกับเรามากจริงๆ ก็เลยคุยอวดพ่อกับแม่หมดเลย
ยกเว้น...เรื่องที่พวกเราเล่นอะไรแปลกๆ กันซึ่งตอนนั้นถึงเราจะไม่เข้าใจว่าที่เราเล่นกับแบบนั้นมันคืออะไร
แต่ถึงอย่างนั้นเราก็พอจะรู้ภาษาพอ ว่ามันน่าจะเป็นเรื่องที่ไม่ควรเอามาเล่าให้พ่อกับแม่ฟัง...
เราอยากเล่าสิ่งดีๆ ของพี่เขาให้พ่อกับแม่ฟังมากกว่า
ตรงนี้หลายคนอาจจะเห็นภาพและเข้าใจมากขึ้น ว่าทำไมพี่ดินเขาถึงไม่ดันทุรังมีเซ็กส์กับเราอย่างจริงจัง
จะมีแค่เพียงที่เราเล่นกันเล็กๆ น้อยๆไม่ได้สอดใส่เข้ามาในก้นเรา
เพราะหลังจากที่พี่เขาเคยทำแล้วเราเจ็บจนร้องไห้และรู้สึกกลัวจนขวัญกระเจิงถึงขนาดไข้จับกันเลยตอนนั้น
ถ้าพี่เขายังทำมันอีกเราคงไม่อยากอยู่กับพี่เขา และอาจจะเอาเรื่องนั้นมาเล่าให้พ่อกับแม่ฟังก็ได้...
ด้วยความที่เรายังเป็นเด็กมันยังไม่ได้มีอารมณ์ทางเพศอะไรเลยเวลาที่พี่เขาซุกไซร้แถวซอกคอ
หรือจับนม หรือดูดนมเราเล่น แค่รู้สึกเสียวท้องน้อยจั๊กจี้ หรือรู้สึกสยิวจนขนลุกแค่นั้นเอง
ฉะนั้นเรื่องพวกนี้จะเอามาเป็นปัจจัยที่ทำให้เราอยากอยู่กับพี่เขาต่อไม่ได้เลย
ปล. ตรงนี้ขอวกกลับมาอธิบายเรื่องลามกสักหน่อย เราอาจจะยังไม่เคยบอกจริงจังว่าขนาดอวัยวะของพี่ดินเขาเป็นยังไง
ทำไมในตอนที่เรายังเด็กพี่เขาถึงไม่กล้าที่จะเอามันเข้าไปอีกหลังจากที่เคยทำตอนนั้นแล้วเราเจ็บมากจนร้องไห้ออกมา
ด้วยความที่ของพี่เขามีขนาดความยาวแปดนิ้วกว่าๆ
แล้วขนาดรอบข้าง ก็คือเกือบเท่ากับขวดเครื่องดื่มชูกำลังที่ว่างขายตามท้องตลาดทั่วไปเลย
อันนี้เป็นตอนที่เรากำลังโต แล้วเริ่มมีเซ็กส์กันแบบจริงจังเคยใช้ไม้บรรทัดวัดเล่นดู
ก็อยากรู้เหมือนกันว่าของพี่เขามันยาวขนาดไหน...
เพราะสังเกตุเวลาที่พี่เขาสอดเข้าไปเรารู้สึกว่ามันลึกมาก ทั้งเสียวทั้งเจ็บแล้วก็จุกหน่วงๆ แถวท้องน้อยไปหมด
พอดีตอนนั้นเห็นในห้องพี่เขามีขวดเครื่องดื่มพวกนี้อยู่ด้วย เลยเอามาเทียบ พอเห็นขนาดมันใกล้เคียงกันก็รู้สึกช็อคนะ...
นี่ตลอดเวลาเราที่เรามีอะไรกัน ก็เหมือนเอาไอ้ขวดนี้ยัดเข้าไปในก้นงั้นหรอ...พอคิดภาพแบบนี้ทำไมดูสยองและน่ากลัวมาก 55555
แล้วคิดดูว่าถ้ายัดเข้าไปในตูดเด็ก ด้วยความที่เด็กมันไม่รู้และไม่เข้าใจว่าคืออะไร
มันก็จะมีแต่ความรู้สึกเจ็บปวด ตอนนั้นมันไม่มีเลยนะ ความฟิน หรือความรู้สึกดีชอบใจอยากโดนอีกอะไรแบบนั้น
คือขนาดที่เราโตแล้ว ตอนมีอะไรกันครั้งแรกเรายังไม่รู้สึกดีเลย มีแต่ความรู้สึกเจ็บอย่างเดียวด้วยซ้ำ
จนตอนแรกยังไม่เข้าใจเลยว่าไอ้การสอดใส่แบบนี้มันดียังไง พอโดนครั้งที่สองที่สามและครั้งๆ ต่อไปนั่นแหละ ถึงได้เข้าใจ...แหะๆ
ตรงนี้เราแค่อยากจะบรรยายให้เห็นภาพ
ให้เพื่อนๆ หลายคนจะได้เข้าใจว่าเออ พี่เขาไม่สามารถมีเซ็กส์แบบจริงจังกับเราในวัยเด็กได้หรอก
เลยทำได้แค่ถูๆ ไถๆ ภายนอกเท่านั้น
ต่อให้เอาเข้าไปได้ ก็เจ็บมาก แล้วเด็กถ้าถูกกระทำให้เจ็บไม่ว่าจะด้วยวิธีไหนก็ตามยังไงก็คงรู้สึกไม่อยากอยู่ใกล้กับคนนั้นอีกแล้ว...
สุดท้ายพอเราคุยกันไปได้สักพักใหญ่แม่ก็ตัดเข้าคำถามที่ว่าแล้วเราจะเลือกอยู่ที่ไหน
ไปอยู่กับพ่อแม่ที่กรุงเทพฯ ก่อน แล้วเดี๋ยวพ่อกับแม่เขาจะพากลับมาทำธุระเรื่องย้ายที่เรียนให้อีกที
หรือจะอยู่ที่นี่ต่อกับพี่ยักษ์ อยู่เรียนให้จบป.6 ก่อน แล้วค่อยย้ายไปอยู่กรุงเทพฯค่อยหาที่สอบเข้าม.1 ทีเดียว
...
เฮ้อ...
สุดท้ายแล้ว...ไม่ว่ายังไง เราก็ต้องเลือกจริงๆ สินะ...
-----------
พอตื่นเช้ามาพ่อกับแม่เราก็รีบตื่นมาเตรียมตัวแล้วพาเราออกจากบ้านไปแต่เช้า
โดยที่มีเพียงแม่เราคนเดียวที่ไปไหว้ลายาย ส่วนเรากับพ่อเดินไปรอที่บ้านป้าปู
ด้วยความที่ตอนนั้นพ่อกับแม่เราทำงานโรงงานและการจะลามาได้นั้นค่อนข้างลำบากแถมยังลาตรงกับเสาร์-อาทิตย์
ถือเป็นเรื่องยากมากอยู่แล้วเพราะปกติวันหยุดของคนทำโรงงานมักจะเป็นวันธรรมดาไม่ค่อยมีตรงกับเสาร์-อาทิตย์หรอก
การที่กลับมาหาเราก็เลยต้องรีบจัดการธุระให้เสร็จสรรพภายในวันเดียวพอเช้าอีกวันก็ต้องรีบเดินทางกลับแล้ว...
เราปล่อยให้พ่อนั่งคุยกับลุงสินและป้าปูไปก่อนส่วนตัวเราก็วิ่งไปหาพี่ยักษ์ที่บ้าน
“อ้าวไอ้ตัวเล็ก ว่าไงเอ็ง… แต่งตัวซะหล่อเลยจะไปอยู่กรุงเทพฯ แล้วไง๊?” พี่เมฆทักขึ้นทันที่ที่เห็นเราวิ่งเข้าไป
“มานี่ซิคนเก่ง มาให้พี่ขอกอดหน่อย”พอพี่ยักษ์พูดจบเลยรีบวิ่งตรงไปทางพี่เขา แล้วพุ่งเข้ากอดเขาทันที
“อ่า สรุปว่าหนูต้องไปจริงๆ สินะ”
...เราไม่ได้ตอบอะไรกลับไป ได้แต่ยิ้มให้พี่เขาเฉยๆ
“ไม่เป็นไร... งั้นเดี๋ยวพี่ไปส่งขึ้นรถที่ บขส. แล้วกันแต่เช้านี้อยู่กินข้าวกับพี่ก่อนนะ”
“ฮะ”
“แล้วหนูจะมาขนของไปเลยรึเปล่า? พวกเสื้อผ้าแล้วก็ตุ๊กตากระต่ายเน่าของหนูอ่ะ”
“ไม่เป็นไรฮะ เอาไว้ที่นี่ก่อนก็ได้”
“เหรอ...อืมก็ดีเหมือนกัน พี่จะได้เอากอด ไว้หอม เวลาคิดถึงหนูนอนดมกลิ่นน้ำลายบูดของหนูที่ติดอยู่บนตุ๊กตาเนี่ยละ ฮ่า”
พี่ยักษ์จบก็ยกมือขึ้นมาแล้วลูบลงบนหัวเราเบาๆ
“ยี้! นอนน้ำลายยืดใส่ตุ๊กตาด้วย ยี้ๆเหม็นขี้ฟัน” พอได้ยินแบบนั้นพี่เมฆแกล้งล้อเราทันทีพร้อมกับทำหน้าหยีใส่
ก็ไม่ได้ให้พี่เมฆดมสักหน่อย!!
หลังจากที่เรากินข้าวกับพี่เขาเสร็จเรียบร้อย พี่ยักษ์ก็ไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จแล้วก็เดินจูงมือเราพาไปที่บ้านป้าปู
มือหนาใหญ่ของพี่เขานี่ ไม่ว่าจะจับเมื่อไหร่ก็ยังรู้สึกอุ่นอยู่เสมอเลย...
พอมาถึง ก็ดูเหมือนว่าพวกผู้ใหญ่เขาจะนั่งคุยกันจนพอประมาณแล้วแล้ว
พอพ่อกับแม่เห็นเราเดินมาก็ขอตัวลาลุงสินกับป้าปูทันทีเพราะถ้าหากออกสายกว่านี้กลัวจะถึงกรุงเทพฯ ค่ำมืด
แล้วจะหารถต่อเข้าไปที่พักยาก
เรารู้สึกใจหายเหมือนกัน เหมือนเวลาตอนนั้นทุกมันผ่านพ้นไปไวมากๆ ...
-----------
พอมาถึงที่ตัวอำเภอ พ่อกับแม่ก็รีบไปซื้อตั๋วรอรถเที่ยวต่อไปทันทีคือสมัยก่อนเวลาเดินรถของสมัยนั้นมันไม่ได้เข้า-ออกตรงเป๊ะตามเวลาหรอกนะ
อาจจะมาช้ากว่าเวลาที่กำหนดสามถึงสี่ชั่วโมงก็มี หรือบางทีรถมาถึงแล้วก็ยังไม่ออกจอดรอคนอีกเป็นชั่วโมง...
พ่อกับแม่เราก็เลยมีเวลาพาเราไปเดินเล่นแล้วก็พาซื้อของในตลาด
เนื่องจากเราไม่รู้ว่ารถมันจะมาเทียบท่าที่ชานชาลาเวลาไหน
ก็เลยทำให้พ่อกับแม่พาเราไปไกลจากบริเวณนั้นมากไม่ได้
หลังจากพากันเดินเที่ยวเล่นสักพักใหญ่พวกเราก็มานั่งรถกันที่ชานชาลา
ถึงแม้ในช่วงเวลานั้นที่พี่ยักษ์กับพ่อและแม่ของเรานั่งคุยกันดูสนุกสนาน
แต่เรารู้สึกใจสั่นๆ ใจหายอยู่ตลอดเวลา เพราะอีกไม่นานก็ต้องจากกันแล้วอยากอยู่ด้วยกันให้มากกว่านี้จัง...
“ดิน...ยังไงน้าสองคนก็ฝากดูแลน้องด้วยนะผิดถูกยังไงก็ดุด่าได้เลย น้ารู้สึกเกรงใจจริงๆ”
“ตัวลูกน้าเองก็ยืนยันว่าจะขออยู่กับดินต่อ เมื่อคืน...พอมินเล่าให้น้าฟังว่าดินดูแลน้องดีมากเลย...
น้าเองก็รู้สึกวางใจ ยังไง...น้ารบกวนด้วยนะส่วนค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมน้าฝากไว้ที่พี่ปูแล้วละ
ขาดเหลือตรงไหนโทรไปหาน้าได้เลยหรือถ้ามินดื้อมากๆ ก็บอกน้า เดี๋ยวน้าจัดการเอง”
แม่เราพูดฝากฝังเรากับพี่ยักษ์อีกครั้งหลังจากที่ได้ยินประกาศเสียงตามสายว่ารถกำลังจะมาถึงในอีกครึ่งชั่วโมง
อ้าว แม่! ทำรีบบอกพี่เขาแบบนั้นล่ะ!!
เราว่าจะแกล้งพี่เขาจนถึงตอนที่รถมาสักหน่อย ว่าจะแกล้งวิ่งขึ้นรถแล้วค่อยวิ่งลงมาหาพี่เขา
โธ่ อดเลย!! เราได้แต่นั่งหน้ามุ่ยคิดในใจแม่อ่ะทำเสียแผนหมด...
“สบายใจได้เลยครับน้าอร มินเป็นเด็กดีมากเลยครับเลี้ยงไม่ยากเลย เนอะ...ไอ้ตัวแสบ”
พอพี่ยักษ์ตอบแม่เราเสร็จก็เอามือมาวางบนหัวเราพร้อมกับกางนิ้วออกแล้วนวดคลึงไปมา
ท่าทีแบบนี้...แปลว่าพี่เขารู้ตัวแล้วสินะ...ว่าโดนเราแกล้ง
หลังจากนั้นไม่นานรถทัวร์ปรับอากาศก็วิ่งเข้ามาเทียบชานชาลา
ครั้งนี้มีประกาศเสียงตามสายอีกครั้งว่ารถจะออกในอีกสิบนาทีให้คนที่ตีตั๋วรีบขึ้นรถได้เลย
พอได้ยินแบบนั้นเรารู้สึกใจหายพอสมควรเพราะตอนแรกคิดว่าต่อให้รถมาถึงแล้ว
เราก็น่าจะมีเวลาอยู่กับพ่อแม่ต่ออีกสักหน่อยก็ยังดี ...
“อยู่กับพี่เขาอย่าดื้อนะลูก ตั้งใจเรียนเรียนหนังสือให้เก่งๆ เป็นเด็กดีนะคนดีของแม่ ไว้แม่จะโทรมาหาบ่อยๆ นะ”
แม่เราบอกพร้อมกับดึงเราเข้าไปกอด จากนั้นพ่อเราก็อุ้มเราขึ้นแล้วก็หอมแก้มเราทั้งสองข้าง แม่เราเองก็เดินมาหอมแก้มเราด้วยเช่นกัน
จังหวะนั้นมันทำให้เราพาลน้ำตาจะไหลออกมา ...อยากอยู่ด้วยกันจัง
อยากอยู่ด้วยกันหมดทุกคนแบบที่มีทั้งพ่อแม่แล้วก็พี่ยักษ์ด้วย
แต่ความเป็นจริงนั้นมันเป็นไปไม่ได้
เราได้แต่พยักหน้ารับ ไม่ได้พูดอะไรตอบกลับไปเพราะวินาทีนั้นรู้ดีว่าถ้าเผลอพูดอะไรออกมาแม้แต่คำเดียวเราจะต้องร้องไห้แน่ๆ
ซึ่งเราไม่อยากร้องไห้ เราไม่อยากให้พ่อกับแม่ไม่สบายใจอีกแล้ว
หลังจากที่กอดหอมกันจนพอใจ พ่อกับแม่ก็วางตัวเราลง แล้วเดินขึ้นรถไปตอนนั้นมันเหมือนใจเราหายตกไปอยู่ที่ตาตุ่ม...
เราได้แต่วิ่งไปตรงฝั่งที่พ่อกับแม่นั่งอยู่พ่อกับแม่ก็มองลงมาแล้วโบกมือพร้อมกับยิ้มให้
ตอนนั้นเราเห็นแม่น้ำตาไหลด้วย ยิ่งเห็นอย่างนั้นเราก็ยิ่งอยากจะร้องไห้ออกมาแต่ก็ต้องฝืนยิ้มเอาไว้
ไม่นานรถทัวร์คันนั้นก็เคลื่อนตัวออกไปจากตรงนั้นช้าๆ เราวิ่งตามโบกมือบ๊ายบายให้พ่อกับแม่
จนรถทัวร์วิ่งออกไปจากบริเวณนั้นและลับสายตาไปในที่สุด...
สุดท้ายไม่ว่าเราจะอยู่กับใครมันก็เจ็บปวดใจเหมือนกัน...ความรู้สึกมันไม่ต่างกันเลย
เมื่อคืนที่เราตัดสินใจเลือกอยู่กับพี่เขา ที่จริงตอนนั้นเราเองก็กลัวเหมือนกัน...
เราไม่รู้เลยว่าวันข้างหน้าต่อจากนี้ที่เราอยู่กับพี่เขามันจะดีเหมือนที่ผ่านมามั้ย...
แต่เพราะว่าเราเองก็ยังอยากเรียนต่อ พอคิดถึงเรื่องที่ครูประจำชั้นเรา
บอกว่าการย้ายไปกระทันหันมันจะทำให้มีผลต่อการเข้าเรียนเราก็เลยขอเลือกอยู่ที่นี่ต่อดีกว่า...
ไหนจะเรื่องเพื่อนอีก กลัวเหมือนกันว่าถ้าย้ายไป แล้วเราจะหาเพื่อนที่วิ่งเล่นด้วยกันแบบนี้ไม่ได้อีกแล้ว
ด้วยความที่ระยะเวลาที่พ่อกับแม่มาหาเรามันค่อนข้างจะจำกัด
พวกเขาก็เลยตกลงตามนั้นอย่างเสียไม่ได้
เพราะด้วยสภาพด้านการเงินของบ้านเราด้วยไม่ได้มีพร้อมพอที่จะย้ายเราไปเรียนที่ใหม่ขนาดนั้น
ยิ่งเป็นโรงเรียนในกรุงเทพฯ ก็ยิ่งเข้ายากกว่าเดิมซะอีก
การที่จู่ๆ ย้ายไปกระทันแบบนี้ยังไงก็ใช้เงินจำนวนมากอยู่ดี
หรือไม่ก็ต้องมีเส้นสายพอสมควรที่จะไปขอเข้ากลางเทอมแบบนี้ได้...
...
ทันทีที่รู้สึกได้ถึงฝ่ามือของพี่ยักษ์ที่สัมผัสลงบนหัวเรา พร้อมกับลูบไปมา
น้ำตาที่เราฝืนกลั้นเอาไว้มันก็ไหลออกมาทันทีเราได้แต่หันไปกอดพี่เขาพร้อมกับปล่อยโฮออกมา
พี่ยักษ์ยกตัวเราขึ้นพร้อมกับอุ้มและกอดเราไว้ พร้อมกับลูบหลังเบาๆ
อย่างน้อย...เวลาแบบนี้ เราก็ยังมีพี่เขาเนี่ยแหละ ที่คอยอยู่ข้างๆ
เราเองก็อยากลองเชื่อใจและไว้ใจพี่เขาดูได้แต่หวังว่าพี่เขาจะไม่ทำร้ายเราเหมือนคนพวกนั้น...
ขอให้การที่เราตัดสินใจเลือกอยู่กับพี่เขาต่อในครั้งนี้ เป็นการตัดสินใจเลือกที่ถูกด้วยเราได้แต่คิดอยู่ในใจแล้วก็กอดพี่เขาเอาไว้
-----------
พอเราหยุดร้องไห้แล้วพี่ยักษ์ก็พาเราไปยังร้านที่ขายเครื่องใช้ไฟฟ้า
“เอาอะไรดีฮะ อาเฮีย” คุณลุงเจ้าของร้านที่เป็นเถ้าแก่ดูทรงแล้วเหมือนจะเป็นคนไทยที่มีเชื้อสายจีนหน่อยๆ ทักขึ้นทันทีที่พวกเราก้าวเข้าไปในร้าน
“ผมอยากได้หม้อหุงข้าวไฟฟ้าน่ะครับ” คำตอบของพี่ยักษ์ทำให้เรารู้สึกแปลกใจนิดหน่อย
ปกติในแถบที่เราอาศัยอยู่ไม่ค่อยมีบ้านหลังไหนนิยมใช้หม้อหุงข้าวไฟฟ้ากันนักหรอก
เพราะเขาบอกว่าเปลืองไฟ และหุงได้น้อยกว่าตั้งหม้อหุงกับเตาฟืน
คนสมัยนั้นบ้านหลังหนึ่งจะมีลูกหลานอยู่รวมกันสี่ห้าคนขึ้นไปถ้าหากจะใช้หม้อหุงข้าวไฟฟ้าให้พอกินก็จะต้องมีขนาดที่ใหญ่พอสมควร
และเมื่อมันมีขนาดใหญ่ก็กินไฟมาก คนก็เลยมักจะไม่นิยมหม้อหุงข้าวไฟฟ้ากันเท่าไหร่นัก
“ซื้อหม้อหุงข้าวทำไมหรอฮะพี่ยักษ์”
“ก็หนูมาอยู่กับพี่แล้ว พี่ไม่อยากให้หนูตื่นมาหุงข้าวแต่เช้ามืดไงเราซื้อหม้อแบบนี้ไปใช้กันดีกว่า สะดวกดี”
“อาเฮียอยู่กับลูกชายสองคนงั้นเอาเบอร์นี้ไปก็พอฮะ” คุณลุงหยิบหม้อหุงข้าวไฟฟ้าขนาดเล็กมาให้
“มันเล็กไปฮะ พี่ยักษ์กินไม่อิ่มแน่ๆ” เรารีบบอกปัดทันทีเพราะพี่เขาเป็นคนที่กินข้าวเยอะมากๆ
ก็นะ... ไม่งั้นตัวพี่เขาจะใหญ่ขนาดนี้ได้ไง55555
“ลูกผมบอกว่ามันเล็กไปอ่ะครับ ฮ่า... งั้นขอเบอร์ใหญ่กว่านี้หน่อยละกัน”พี่ยักษ์เอามือมาวางบนหัวเราพร้อมกับขยี้หัวไปมาแล้วก็หัวเราะชอบใจใหญ่เลย
เอ้า ถ้าเอาหม้อใบเล็กไป กินไม่อิ่มขึ้นมาเดี๋ยวจะมาแย่งของเค้าอีก!
พอตกลงเลือกขนาดหม้อหุงข้าวไฟฟ้ากันได้ หลังจากที่ซื้อเสร็จเรียบร้อยพี่ยักษ์ก็พาเราไปซื้อพวกของใช้ต่างๆในร้านขายปลีก-ส่ง
(พูดให้เห็นภาพก็กึ่งๆ ร้านสะดวกซื้อสมัยนี้แหละ มีของขายเยอะแยะไปหมดแค่เขาไม่ได้ติดแอร์ และมีพื้นที่ใหญ่กว่าพอสมควร)
พี่ยักษ์ให้เราเลือกซื้อขนมที่เป็นห่อแบบแพ็คเป็นโหล ให้เอาไปฝากพวกเพื่อนๆ ด้วย ใจดีชะมัดเลย!
หลังจากนั้นเราก็เดินมาหยุดที่ชั้นวางของตรงนั้นมันจะมีพวกกระป๋องนมข้นวางอยู่ด้วย
เราหยิบขึ้นมาแล้วก็เงยหน้ามองพี่เขาพร้อมกับยิ้มให้...
“หือออ จะเอาไปกินกับขนมปังตอนเช้าเหรอ? เอาสิ เอาไปเผื่อสักสามสี่กระป๋องก็ได้น่ะเผื่อมันหมดแถวบ้านเราหาซื้อยาก ฮ่า”
“ไม่ใช่ฮะ...คือ...”
“นมข้นอันนี้...ใช่อันเดียวกันกับของพี่ยักษ์รึเปล่าฮะ?…” พอเราพูดจบพี่ยักษ์ก็ยกมือมาทุบหัวเราเบาๆ ทันที พร้อมกับบอกว่า
“ทะลึ่งแล้วไอ้ตัวแสบ! ไปๆ จะเอาไปกินก็หยิบใส่ตะกร้ามาเดี๋ยวโดนๆ” พี่เขายิ้มเหมือนเขินๆ ก็จะรีบเดินนำหน้าเราไปยังชั้นวางสินค้าชั้นถัดไป
เอ้า! ถามก็ไม่ได้...
หลังจากซื้อข้าวของจนพี่เขาหอบพะรุงพะรัง ระหว่างทางที่เราจะพากันไปขึ้นรถโดยสารเพื่อกลับบ้านจังหวะนั้นผ่านร้านซีดีพอดี
...เด็กอ่ะเนอะ พอมันเห็นแผ่นหนังการ์ตูน เหมือนโดนมนต์สะกดทำให้หยุดชะงักไปแปปนึง55555
“อยากได้การ์ตูนเหรอครับ? ไอ้ตัวแสบ...”
“ฮะ...แหะๆ” พอเจอพี่เข้าถามจี้ตรงจุดแบบนี้เราก็ได้แต่ตอบกลับไปแล้วยิ้มแบบอายๆ
“งั้น...เรียกพี่ว่า ‘พ่อดิน’ ก่อน เดี๋ยวซื้อให้”
“พ่อดิน...” เรารีบเรียกพี่เขาว่า ‘พ่อดิน’ ทันทีแบบไม่ลังเลเลย
“เอ้...เวลาอยากได้ของ เขาต้องพูดว่ายังไงน้า?”
“ผมอยากได้การ์ตูนฮะพ่อดิน!” พอเราพูดจบพี่เขาก็หัวเราะทันทีพร้อมกับดันหลังเราให้เข้าไปเลือกหนังการ์ตูนได้ตามใจชอบ
“ต่อจากนี้หนูต้องเรียกพี่ว่า ‘พ่อดิน’ นะครับ ไม่ต้องเรียกพี่ยักษ์แล้ว มันดูห่างเหินยังไงก็ไม่รู้ ฮ่า”
พี่ยักษ์พูดขณะที่เรากำลังเดินยิ้มถือถุงใส่หนังการ์ตูนและหนังของพี่เขาอีกสองสามเรื่องออกมาจากร้าน
“ฮะ...” เราเงยหน้าขึ้นไปมองพี่เขาแบบงุนงงนิดหน่อย
“ฮะเฉยๆ เหรอ? มันต้องมีคำลงท้ายด้วยซี่” พี่เขายิ้มให้ ทำให้เรารู้ได้ทันทีว่าเขาหมายถึงอะไร ก็เพราะว่าพี่เขาพึ่งพูดไปเมื่อตะกี้เองยังไงล่ะ
“ฮะ พ่อดิน”
“ดีมาก… อยากได้อะไรอีกมั้ยครับ?”
“ไม่เอาแล้วฮะ แค่นี้ก็เยอะมากแล้ว” เราทำท่าจับๆบรรดาถุงใส่ของที่พี่เขาหิ้วจนมันเต็มมือทั้งสองข้างไปหมด
“งั้น ป่ะ! กลับบ้านเรากันดีกว่า”
หลังจากนั้นพวกเราก็พากันไปนั่งรอบนรถโดยสาร ซึ่งกว่าจะถึงคิวรถออกก็นานมาก
ก็คือจากที่เราไปถึงช่วง บขส. สายๆ กว่าจะได้กลับบ้านก็เล่นเอาเย็นเลย ไม่ได้นานอะไรหรอกนะนานตรงรอรถเข้า-ออกอย่างเดียวเนี่ยแหละ
-----------
“ไอ้ลูกหมาตื่นได้แล้ว...ถึงบ้านเราแล้วครับ”
เราค่อยๆ งัวเงียลืมตาตื่นขึ้น ก็เห็นว่ารถโดยสารมันมาจอดอยู่ที่หน้าบ้านของพี่ยักษ์แล้ว
นี่เราเผลอหลับไปตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ ตอนเด็กนี่หลับง่ายหลับดายจริงๆ
สักพักก็เห็นร่างของพี่เมฆและพี่จอมเดินออกมาจากในบ้าน
“อ้าวเฮ้ย ยังอยู่วุ้ย!นึกว่ากลับไปเป็นเด็กกรุงเทพฯ แล้วซะอีกเอ็ง” พี่เมฆรีบแซวทันทีที่เห็นหน้าเรา
หลังจากนั้นพวกพี่เขาก็ช่วยกันขนของเข้ามาในบ้าน
จับใจความได้ประมาณว่าพี่เมฆชวนพี่จอมมากินเบียร์รอที่บ้านพี่ยักษ์ กะว่าพอพี่ยักษ์กลับมาจะได้นั่งกินเบียร์กันยาวๆ
เพราะพี่เขาคิดว่าเราจะไปอยู่กรุงเทพฯ แล้ว กลัวว่าพี่ยักษ์จะเหงา งี้มั้ง...
หลังจากที่พี่เขาหาข้าวหาปลาให้เรากินเสร็จเรียบร้อยพี่เขาก็พากินนั่งกินเบียร์ข้างนอกห้อง สักพักก็ย้ายเข้ามากินข้างในกัน
พร้อมกับเปิดหนังที่พึ่งซื้อมาใหม่ดูไปด้วย
เราได้แต่แอบมองหน้าพี่เขาแล้วก็ยิ้มๆ นึกถึงตอนที่พี่เขาให้เรียกเขาว่า 'พ่อดิน' ก็รู้สึกแปลกดีเหมือนกันแหะ
“หือ มีอะไรรึเปล่าครับตัวแสบ? ทำไมมองหน้าพี่แบบนั้น” พอพี่เขารู้สึกตัวเห็นว่าเรากำลังมองอยู่ก็เลยหันมาถาม
“ปะ...เปล่าฮะ...”
“เปล่าฮะอะไร? หือออ ไอ้ดื้อ”พี่ยักษ์เดินลงมานั่งบนที่นอนพร้อมกับดึงแก้มเราไปมา
น้ำเสียงพี่เขาเริ่มยานหน่อยๆด้วยดูทรงแล้วน่าจะเมานิดๆ แล้วละ...
“เปล่าฮะ พ่อดิน” เราตอบกลับพร้อมกับยิ้มพี่เขาก็เลยเอามือมาลูบหัวเราเบาๆ
“ว้ายยยย ไอ้จอมมึงดูดิ เขาเรียกกันพ่อดินด้วยวะ ว้ายๆ”
พอเราพูดจบพี่เมฆก็รีบแซวทันที พร้อมกับพี่จอมที่นั่งยิ้มหวานอยู่ไม่รู้เหมือนกันว่าพี่เขายิ้มอะไรยิ้มที่เราเรียกพี่ยักษ์ว่า ‘พ่อดิน’
หรือยิ้มเพราะเริ่มเมาแล้วกันแน่555555
เราเลยหันไปทางพี่เมฆพร้อมกับทำหน้าบูดใส่พี่เขาเล็กๆ ก็พี่เมฆอ่ะชอบแซวเราตลอดเลย!
พอพี่ยักษ์เห็นอย่างนั้น ก็เลยหัวเราะชอบใจใหญ่
“อ่ะๆ เข้านอนได้แล้วหนูอ่ะ เดี๋ยวพรุ่งนี้ตื่นสายแล้วจะโดนทุบ” พี่ยักษ์จัดแจงให้เราเตรียมตัวเข้านอน
พร้อมกับเอานาฬิกาปลุกที่พึ่งซื้อมามาตั้งเวลาแล้วตั้งบนหัวนอน
เพราะพี่เขาบอกว่า กลัวว่าถ้าวันไหนพี่เขาทำงานมาเหนื่อยๆ กลัวจะนอนเพลินจนไม่รู้เวลา
เลยต้องซื้อนาฬิกาปลุกมาเราจะได้ไม่ต้องกลัวไปโรงเรียนสาย
“พ่อดิน...พ่อดินหอมหน้าผากส่งผมเข้านอนหน่อยได้มั้ยฮะ?” เรารู้สึกว่าอยากอ้อนพี่เขานิดหน่อย เพราะรู้ดีว่าพี่เขายังไม่ได้นอนพร้อมเราหรอก
เดี๋ยวเขาก็ลุกไปกินเบียร์กับพวกพี่เมฆต่อ
“ขี้อ้อนจริงๆเลยน้าไอ้หมาน้อย...ได้สิครับ” พูดจบพี่เขาก็ลูบหน้าผากเราไปมาเบาๆก่อนจะก้มลงมาหอม
“ผม...รัก...พ่อดินนะฮะ...” เราพูดกระซิบเบาๆในจังหวะที่พี่เขาโน้มตัวลงมา ไม่กล้าพูดดังเดี๋ยวพี่เมฆจะแซวอีก
ที่จริงอยากจะคุยกันกับพี่เขามากกว่านี้ แต่ติดที่ว่ามีพี่เมฆพี่จอมอยู่ด้วย...
แต่ไม่เป็นไร ไว้คุยกันวันหลังก็ได้ ก็เรายังอยู่ด้วยกันนี่หน่า
“พ่อก็รักหนูเหมือนกันจ้ะ... นอนได้แล้ว...เดี๋ยวพ่อกินเบียร์เสร็จแล้วมานอนกอดนะ”
เราพยักหน้าแล้วยิ้มให้พี่เขา ก่อนจะค่อยๆหลับตาลง
ทำไมก็ไม่รู้เหมือนกัน พอพี่เขาแทนตัวเองว่าพ่อ เรารู้สึกดีมากๆ เลย
ถึงจะรู้สึกแปลกนิดหน่อยเพราะเราคงยังไม่ค่อยชินมั้ง เพราะปกติเรียกเขาว่าพี่ยักษ์ตลอด
ตอนนั้นเราเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าความรักที่เรามีให้กับพี่เขามันคืออะไรรู้แค่ว่าอยากให้เขาเป็นพี่ยักษ์หรือ ‘พ่อดิน’ ของเราคนเดียวแบบนี้ตลอดไป
...ขอบคุณนะฮะพี่ยักษ์ที่รักผม...
ผมก็จะรักพี่ยักษ์เหมือนกัน จะรักตลอดไปเลยยยย
ขอบคุณเจ้าของกระทุ้มากครับที่มาแชร์เรื่องพวกนี้ให้เราฟังทั้งสองเรื่อง หรือหลายๆเรื่องที่กำลังจะเกิดขึ้น เราอยากจะบอกว่าเจ้าของกระทู้ช่วยเราได้เยอะมากๆเลยนะครับ เราทำงานมาเหนื่อยๆทั้งอาทิตย์ แล้วพอมาเจอเรื่องที่เจ้าของกระทู้เล้าทุกครั้งมันทำให้เราผ่อนคลายพร้อมที่จะออกไปรบกับงานได้ ทุกครั้งที่เราเครียดจมกับปัญหาที่เกิดขึ้นเราก็จะใช้เรื่องที่เราได้อ่านพาเราออกจากปัญหานั้นมาตั้งสติแล้วค่อยกลับเข้าไปแก้ใหม่ ขอบคุณมากๆเลยครับและเป็นกำลังใจให้ทั้งสองคนเสมอนะครับ
รูปว่างๆๆค่อยทำก็ได้ ไม่ว่ากัน ขอแค่ไม่ลืมกัน 5555555
ตอนแรกเห็นชื่อกระทุ้แล้วรู้สึกใจหวิวๆๆ นี้มันจะจบแล้วใช่มัย กำลังคิดคำพูดดราม่ามาพิมพิ์ให้เจ้าของกระทุ้กลับมาต่อ บอกเลยสมองส่วนนึงอ่าน อีกส่วนคิดหาคำพูที่จะพิมพ์ให้กลับมา แต่พอมาอ่านตอนท้ายอ๋ออ อาจจะเปลี่ยนชื่อเรื่องใหม่เฉยๆๆ ค่อยดีใจหน่อย จะได้มีกิจกรรมเข้าเฝ้าเจ้าของกระทู้ทุกวันเหมือนเดิม 5555555 ส่วนเรื่องค่อยๆเล่าไปเรื่อยๆๆ ก็ได้ครับตอนนี้มันเหมือนอ่านไดอารี่ของเพื่อนมากกว่า
ปล. เราอยากอ่านเรื่องที่พี่เค้าแต่งานแล้วก่อนเลยอันดับแรก นะนะนะนะนะนะ(ล้าน ล้าน ตัว) ก่อนอื่นเลยขอขอบคุณทุกคนมากๆ เลยจ้าที่มาติดตามและให้กำลังใจ
เราอ่านทุกคอมเม้นท์เลยน้าทั้งเพื่อนๆ ที่เข้ามาขอบคุณเราด้วย แต่ไม่รู้จะตอบกลับว่ายังไงดี ก็เลยไม่ได้ตอบ {:6_172:}
ในส่วนของตอนนี้จะตอนส่งท้ายของบทบาทพี่ยักษ์แล้ว หลังจากนี้ที่พี่เขาให้เราเรียกว่าพ่อมันก็จะมีการเปลี่ยนแปลงนิดหน่อย
ซึ่งในส่วนหลังจากนี้เรื่องเซ็กส์จะน้อย แบบน้อยมาก พี่เขาแทบไม่ทำอะไรในเชิง 18+ กับเราอีกแล้ว
มีแต่เรานั่นแหละที่สงสัยและได้แต่แอบจับ แอบดู แอบสังเกตุพี่เขาอยู่ฝ่ายเดียว 5555
เอาตรงๆ พอมันเล่ามาถึงตรงนี้คือเล่ายากนะอยู่นะ ด้วยความสัมพันธ์ของเรามันก็ไม่นับว่าเป็นคนรักกันซะทีเดียว
มันมีสถานะความสัมพันธ์แบบอื่นแฝงอยู่ด้วย
ถ้าใครได้อ่านที่เราเล่าในเหตุการณ์ปัจจุบัน ที่เราเรียกพี่เขาว่า 'ป๊า' ก็มาจากเหตุนี้ด้วยเนี่ยแหละ
เพราะหลังจากนี้คือเราจะเรียกพี่เขาว่า 'พ่อดิน' ตลอดเลย จนพอโตแล้วคบกันเป็นแฟนเนี่ยแหละ แล้วจะมาเรียกพ่อๆ ก็ยังไงอยู่
คนอื่นเขาก็จะมองว่า เอ๊ อีนี่ได้กับพ่อตัวเองหรอ หรือยังไง กลัวคนจะมองมุมนั้นไปอีก...
แล้วตอนนี้คือก็คิดอยู่ว่าจะเล่ายังไงดี จะข้ามไปตอนม.ต้นเลยมั้ย หรือเล่าต่อ
เพราะถ้าเล่าต่อฉากเซ็กส์มันจะน้อยมาก จะกลายเป็นเรื่องเล่าวิถีชีวิตและปัญหาของเรากับพี่เขาต่อจากนั้นมากกว่า
คือส่วนตัวไม่คิดว่าจะเล่ามาได้ไกลขนาดนี้ แต่ต้องยอมรับว่าเป็นงานอดิเรกที่ดีนะ
ถ้ามีอารมณ์เขียนและนึกถึงเรื่องเก่าๆ ก็จะเขียนได้ยืดยาวเลย
แต่ถ้าช่วงไหนเหนื่อยๆ จะขี้เกียจมาก 55555
แต่มันดีตรงที่ว่า พอเราเอาเรื่องในอดีตมาเล่ามันทำให้เรากับพี่เขามีเรื่องคุยกันมากขึ้น
ช่วยกันไล่เรียงลำดับเหตุการณ์ว่าอะไรเกิดขึ้นก่อนหลัง พอมาคุยตอนที่โตแล้วแบบนี้ก็ได้ความรู้สึกไปอีกแบบ สนุกดี
ส่วนเรื่องพี่ยักษ์ที่รักยังไม่จบนะ เดี๋ยวตอนหน้าจะเล่าเรื่องก่อนหน้าที่พี่เขาจะรับเรามาเลี้ยง มันก็มีที่มาที่ไปอยู่
เอาตรงๆ ขนาดว่าเป็นเรื่องของตัวเองยังเล่ายากอ่ะ
ตอนแรกยังคิดอยู่เอ้ เราจะเล่ายังไงดีน้า เริ่มเล่าตั้งแต่ตอนไหนดี กว่าจะหาจุดที่ลงตัวได้ก็นานอยู่
ยังไงเดี๋ยวรอดูทิศทางละกันว่าเพื่อนๆ ที่ตามอ่านอยากจะอ่านจุดไหนต่อ จะเอาเรื่องต่อจากนี้ หรือตัดข้ามไปตอนม.1 เลย
จะกลับมาอ่านและตอบคอมเม้นท์อีกทีตอนเย็นวันจันทร์น้า
เสาร์-อาทิตย์นี้ขอตัวหนีไปเที่ยว อีกแล้วจ้า {:6_162:}
/รูปภาพพี่ดินตอนตัดสกินเฮดที่คุณ koth2 ขอมาเดี๋ยวหลังจากนี้จะกลับมาวาดให้เน้อ พอดีอาทิตย์นี้ไม่ค่อยว่างเท่าไหร่ เพราะพอว่างก็ต้องมาพิมพ์เรื่องเล่าเก็บไว้นี่แหละถึงได้เอามาลงวันศุกร์ได้ 55555
สนุกมากครับ ขอบคุณครับ ขอบคุณครับ/อยากให้เล่าต่อไปเรื่อยๆจนเป็นแฟนกันครับ เหมือนได้ติดตามชีวิตแบบเรียลลิตี้ดี ขอบคุณครับ เป็นเรื่องที่อ่านแล้วรู้สึกอบอุ่นหัวใจมากๆเลย{:5_146:} ยาว 8 นิ้ว ขนาดขวดลิโพ เข้าใจเลยว่าทำไมตอนเด็กไม่กล้าใส่ ถ้าใส่เข้าไปนี่เป็นปลาเผาเอาไม้เสียบแล้วไปปิ้งแน่ๆ{:5_137:} พอเห็นว่าเป็นตอนส่งท้ายแล้วใจหายเลย
แต่ขอบคุณเจ้าของกระทู้มากเลยนะครับ สนุกทุกตอนเลย แล้วก็จะรอติดตามต่อๆไปนะครับ ขอบคุณครับผม ขอบคุณมากนะครับ ขอบคุนครับ ขอบคุณครับ ขอบคุณครับ ขอบคุณ จะจบแล้วเหรอ ขอบคุณครับ. ดีครับ ขอบคุณครับ
ขอบคุณครับ จริงๆพี่ค่อยเล่าตอนเสียวๆกับน้าดินก็ได้นะคะแบบตอนพี่โตพอแล้วอะค่ะ
ส่วนเรื่องชีวิตที่พี่เล่าแบบก็ชีวิตจริงอะเนอะไม่ใช่คนจะเจอคนแบบน้าดินแต่ถ้าใครเจอแล้วก็รักษาเขาไว้ดีๆ ขอบคุณครับ อยากให้มีต่อหลังจากนั้นากนั้นต่อๆไปจนถึงปัจจุบันเลย ยิ่งอยากรู้จุดเปลี่ยนว่า รักแบบแฟนได้ยังงัยอ่ะ