เรื่องของพี่ดิน
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย Vitamin25 เมื่อ 2022-6-16 22:58จากตรงนี้ไปจะเป็นส่วนที่พี่ดินเล่าให้เราฟังถึงเรื่องราวชีวิตของพี่เขา และเกี่ยวกับเรื่องชีวิตคู่ที่เคยผ่านมา
ก่อนจะไปถึงเหตุการณ์ที่พี่เขาเริ่มเล่นแบบ18+กับเราในกระท่อมนั่น
-----------
พี่ดินเล่าว่า ในช่วงที่พี่เขาเริ่มเข้าสู่วัยมัธยมต้น พี่เขาเองเป็นคนที่ติดเพื่อนมาก ตามแบบฉบับเด็กวัยรุ่นทั่วๆไป
ทีนี้โรงเรียนที่พี่เขาไปเรียนตอนม.ต้นน่ะ มันเป็นอีกโรงเรียนหนึ่งเป็นโรงเรียนประจำตำบลเลย จะเป็นโรงเรียนใหญ่ที่สามารถเข้าต่อชั้นม.ต้นได้
(โรงเรียนที่เราเรียนจะสูงสุดแค่ชั้นป.6ตอนเด็กพี่ดินก็เรียนที่โรงเรียนเดียวกับเรานี่แหละ)
กว่าจะไปถึงโรงเรียนมันต้องผ่านทางหลายหมู่บ้านพอสมควร ซึ่งจุดที่พี่เขาเริ่มเป็นนักเลงหัวไม้มันเริ่มจากตรงนี้
เพราะในพื้นที่นั้นการจะผ่านจุดแต่ละหมู่บ้าน มักจะมีวัยรุ่นเจ้าถิ่นอยู่เสมอ
บางครั้งไอ้พวกเจ้าถิ่นนี้ก็มักจะดักไถ่เงินหรือกลั่นแกล้งพวกเด็กนักเรียนที่ผ่านทางมาเสมอ
ถ้าใครยอมให้เงินมันก็อาจจะโดนแกล้งเล็กๆ น้อยๆ เช่นโดนตบหัวอะไรแบบนี้ เป็นต้น
แต่เนื่องจากพี่ดินในวัยอายุ 13 ปี พี่เขามีส่วนสูงถึง 170 กว่าๆแล้วก็คือสูงมากเลยนะ ถ้าเทียบกับเด็กวัยเดียวกัน
ทำให้พี่เขาไม่กลัวใครทั้งนั้น เพราะบางทีวัยรุ่นเจ้าถิ่นที่อายุมากกว่าเขาตัวยังเล็กกว่าพี่เขาเลย
พี่ดินเลยได้ขึ้นชื่อว่าเป็นหัวโจ๊กในการคุ้มกันเพื่อนๆเวลาขี่รถมอเตอร์ไซค์ไปโรงเรียนกัน
แต่มันก็จะมีการดักตีดักต่อย ยกพวกมารุมตามประสาพวกคนที่แพ้ไม่ได้
แก๊งของพี่ดิน ที่มีพี่เมฆ พี่จอมแล้วก็พี่โชคเป็นหลัก ก็เลยมักจะมีเรื่องตีกันกับวัยรุ่นกลุ่มพวกนี้ประจำ
แล้วไหนจะมีพวกวัยรุ่นเด็กสาวที่มาติดพี่จอมอีกพี่ดินบอกว่าพี่จอมตอนนั้นคือหล่อมาก
ไปไหนก็มีแต่สาวๆกรี๊ดเต็มไปหมดก็เลยมักจะถูกหมั่นไส้จากวัยรุ่นต่างถิ่นพวกนี้แหละ
และแน่นอนว่าพี่เขาก็พร้อมออกโรงปกป้องเพื่อนเสมอ
ที่สำคัญคนที่คอยให้ท้ายพี่ดินมากที่สุดก็คือ ‘พี่เด่น’ พี่ชายของพี่เขานั่นแหละ
พี่เด่นมักจะสนับสนุนให้พี่ดินสู้กลับคนพวกนี้แต่ถ้ามันเกิดกรณีรุมหรือหมาหมู่กันมากเกินไป
พี่เด่นก็จะพาพวกเพื่อนเขาไปรุมตีคืนให้
พี่เด่นเป็นพี่ชายคนโตของบ้าน และอายุมากกว่าพี่ดินประมาณ 5 ปีพอมีกันแค่สองพี่น้อง พวกพี่เขาเลยรักกันมาก
ในชีวิตครอบครัวของพี่เขาเองก็ไม่ได้ถือว่าอบอุ่นอะไรเพราะผู้เป็นพ่อก็คือลุงสินเนี่ย ค่อนข้างที่จะเป็นผู้ใหญ่ที่หัวโบราณ
ประมาณว่าเป็นคนประเภทที่ไม่ได้มีความรู้สึกละเอียดอ่อนกับลูกขนาดนั้น
และสายตาที่มองลูกก็คือ ลูกเกิดมาเพื่อทำงานให้พ่อแม่
ทำให้ทั้งพี่เด่นและพี่ดินแทบจะไม่เคยได้ความรักความอบอุ่นจากผู้เป็นพ่อเลย
(คือต้องบอกว่าไม่ใช่แค่ลุงสินนะ ในสังคมทั้งสมัยก่อน และตอนนี้ก็ยังมีนะ พวกผู้ใหญ่ที่มีกระบวนการทางความคิดแบบนี้
มองลูกว่าเป็นคนที่เกิดมาต้องทำงานให้พ่อแม่ หรือต้องหาเงินให้พ่อแม่อะไรทำนองนั้น...)
พี่เด่นเองก็คงได้รับการปฏิบัติมาแบบนี้ พอมีน้องชายเกิดขึ้นมา
พี่เขาเองคงกลัวว่าน้องจะขาดความอบอุ่นแบบเขา ก็เลยดูแล และใส่ใจพี่ดินเป็นพิเศษ
พี่ดินก็เลยจะรักและเชื่อฟังพี่เด่นมากกว่าลุงสิน
แล้วด้วยความที่สมัยก่อนในยุคของพี่ดิน โทรทัศน์มันยังไม่ค่อยเข้าถึงสักเท่าไหร่
ชีวิตประจำวันและเวลาว่างหลังเลิกเรียน ถ้าไม่ได้เตะบอลกับเพื่อน
พี่ดินก็มักถือจอบตามไปที่นา ไปช่วยพี่เด่นกับพ่อทำนาประจำ
พี่เขามักจะอาสาทำงานที่หนักกว่าพ่อและพี่เสมอ เพราะพี่ดินรู้สึกว่าตัวเองตัวสูงและตัวใหญ่ที่สุดในบ้านก็เลยอยากทำตัวให้เป็นประโยชน์
แต่พ่อกับแม่ก็ไม่ค่อยจะชมพี่เขาสักเท่าไหร่ มีแต่พี่เด่นนี่แหละที่คอยชมคอยให้กำลังใจ ประมาณว่า
‘เก่งมากไอ้หำ เอาเลยลุย!’ (พี่เด่นจะเรียกพี่ดินว่า ‘ไอ้หำ’ เราฟังแล้วรู้สึกว่า พี่เด่นเป็นคนน่ารักมากเลยอ่ะ)
มันก็เลยทำให้พี่เขามีกำลังใจเวลาช่วยทำงานหนักๆ
ในตอนที่พี่ดินพึ่งจบชั้นม.3 แล้วกำลังอยู่ในช่วงตัดสินใจอยู่ว่าจะเรียนต่อหรือมาช่วยพี่เด่นทำไร่ทำนาเลย
ส่วนตัวพี่เด่นก็สนับสนุนให้เรียนต่อ แต่พี่ดินเองก็อยากออกมาช่วยทำงานแล้ว
เพราะบ้านของพี่เขาเป็นคนมีที่ทางเยอะ และเห็นพี่เด่นทำนู้นทำนี้ไว้เยอะแยะเลยอยากจะมาช่วย
แล้วด้วยความที่พี่เด่นเป็นคนขยันและค่อนข้างฉลาด พี่เขาจะปลูกต้นไม้ต่างๆไว้เต็มไปหมด
เช่นกล้วย และมะม่วง ในที่ดินว่างท้ายหมู่บ้าน (ซึ่งต่อมากลายเป็นบ้านที่พี่ดินอยู่นั่นแหละ)
พอมันออกลูกออกผล ก็ประกาศบอกให้คนในหมู่ที่สนใจมาเหมาเอาไปขายต่อที่ตลาดได้
ซึ่งเท่ากับว่าพี่เขาก็มีหน้าที่แค่ปลูกอย่างเดียวราคาเหมามันจะถูก แต่ก็ดีกว่าเก็บไปขายเองให้เหนื่อย
ไหนจะบริเวณคันนาที่ปลูกต้นยูคาลิปตัสหรือที่ชาวบ้านชอบเรียกกันว่า ต้นกระดาษ
สมัยที่พี่ดินยังไม่โตมากพี่เด่นจะพาไปขุดดินแล้วเอามาขยายคันนาให้ใหญ่ เพื่อให้สามารถลงปลูกต้นยูคาลิปตัสได้
ตอนแรกก็ทะเลาะกับลุงสินเหมือนกัน ลุงสินบอกว่าการทำแบบนี้มันเปลืองพื้นที่นา
แต่พี่เด่นก็เถียงไปว่าอย่างน้อยมันก็เก็บไว้ขายได้ในยามจำเป็นเพราะไม่ต้องดูแลอะไรมันเลย แค่ปลูกแล้วปล่อยมันทิ้งไว้อย่างนั้น
มันก็โตตามธรรมชาติของมันเองได้ ซึ่งความรู้ตรงนี้เหมือนพี่เด่นไปได้จากกลุ่มสหกรณ์เพื่อการเกษตร
พอมันขัดกับการทำนาในสมัยก่อนของลุงสิน ก็จะเกิดข้อโต้เถียงและไม่ลงรอยกันประจำ
ไหนจะเรื่องที่ไม่ยอมเลี้ยงควายอีก ถ้าสังเกตุเราจะไม่เคยพูดถึงเรื่องที่บ้านพี่ดินเขาเลี้ยงวัวควายเลย
สาเหตุก็มาจากพี่เด่นเนี่ยแหละ เพราะเขาทำใจไม่ได้ที่จะต้องตัดใจขายหรือส่งพวกมันเข้าโรงฆ่าสัตว์ ก็เลยตัดสินใจไม่เลี้ยงดีกว่า
แถมยังทำเรื่องกู้แล้วซื้อรถไถมาอีก กลายเป็นว่าวิธีการทำเกษตรของพี่เด่น มันดูจะขัดกับลุงสินไปซะทุกอย่างเลย...
แล้วพอพี่เด่นโตขึ้น เขาก็ไปปลูกบ้านอยู่ต่างหาก เพราะรู้สึกอึดอัดที่ต้องคอยทะเลาะกับลุงสินบ่อยๆ
ซึ่งต่อมาก็คือบ้านที่ดินมาอยู่ในตอนหลังนั่นเอง
แต่สุดท้ายพี่เด่นก็อยู่เป็นเสาหลักให้พี่ดินได้ไม่นาน...
พี่เด่นจากไปเพราะอุบัติเหตุทางรถยนต์ในขณะที่พี่เขาขี่มอเตอร์ไซค์ตัดข้ามมาเพื่อกลับบ้าน
ซึ่งถนนเส้นนี้เองก็เกิดอุบัติเหตุเป็นประจำและบ่อยมาก คงเพราะสมัยก่อนรถมันไม่ค่อยเยอะ
ถือว่าถนนโล่งเลยแหละ คนขับส่วนใหญ่ก็เลยคึกคะนองเหยียบส่งกันอย่างเดียว
พอมีรถมอเตอร์ไซค์วิ่งตัดหน้าหรือคนข้ามถนนก็จะทำให้เบรคไม่ทัน...
พี่ดินรู้สึกช็อค ซึ่งตอนแรกที่รู้ข่าวพี่เขาก็ยังไม่ร้องไห้นะก็รู้สึกเสียใจ แต่ทำไมถึงไม่ร้องไห้ก็ไม่รู้
แต่พี่เขากลับไม่พูดอะไรกับใครเลยจนถึงวันเผาพี่เด่นนั่นแหละ
จังหวะที่เห็นหน้าพี่เด่นเป็นครั้งสุดท้ายตอนนั้นมันทำให้พี่เขาถึงกับปล่อยโฮร้องไห้ออกมาเสียงดังมากท่ามกลางชาวบ้านที่มาร่วมงาน
มันรู้สึกเหมือนความฝัน เพราะเช้าวันนั้นยังคุยกันดีๆอยู่เลยแต่ตอนเย็นกลับมีคนมาตาม บอกว่าพี่เด่นถูกรถชน...
------------
หลังจากเสร็จสิ้นงานศพของพี่เด่นไปไม่นาน พี่เขาบอกว่าน่าจะยังไม่ถึงเดือนเลยมั้ง
ยายเราก็พาพี่พลอย ที่เป็นแฟนสาวและว่าที่เจ้าสาวของพี่เด่นมาที่บ้านแล้วคุยกันว่าจะเอายังไง
เพราะว่าพี่พลอยเขาเสียหายไปแล้วแล้วชาวบ้านก็รู้แล้วว่าพี่เด่นกับพี่พลอยได้เสียมีอะไรกัน
พี่ดินตอนนั้นเองก็รู้สึกโกรธ พี่ชายเขาพึ่งเสียไปเอง ทำไมถึงมาคุยเรื่องนี้รอให้ครอบครัวเขาทำใจก่อนไม่ได้เหรอ
ด้วยความที่ลุงสินกับป้าปู ไม่อยากมีปัญหาก็เลยตัดสินใจจะให้พี่ดินแต่งงานแทนแล้วกัน
อย่างน้อยก็ยายเราก็จะบ่นไม่ได้ว่าหลานสาวตัวเองขายไม่ออก
‘อยู่ๆกันไปเดี๋ยวก็รักกันเอง’นั่นคือประโยคที่ลุงสินบอกพี่ดิน
แต่พี่เขากลับรับไม่ได้เพราะเขามองพี่พลอยเหมือนเป็นว่าที่พี่สะใภ้และเหมือนเป็นพี่สาวมาตลอด
และพี่ดินเองก็รู้สึกผิดกับพี่เด่นด้วย ถ้าจะต้องมาได้กับพี่พลอยแทน
พี่ดินตัดสินใจบอกป้าปู ซึ่งพี่เขาหวังว่ายังไงแม่น่าจะมีความเข้าอกเข้าใจเขามากกว่า
ป้าปูก็พยายามหาทางติดต่อญาติพี่น้อง ที่อยู่กรุงเทพฯหรือจังหวัดอื่น
จะฝากพี่ดินให้ไปอยู่ด้วยสักระยะ กะรอให้เรื่องเงียบแล้วคนลืมๆ ค่อยกลับมา
แต่ทว่ากลับไม่มีญาติคนไหนรับฝากเลย ทุกคนต่างพากันปฏิเสธเพราะรู้เรื่องกิตติศัพท์ของพี่ดินดีในเรื่องเป็นนักเลงหัวไม้
ก็เลยพาลกลัวว่าไปอยู่กับพวกเขาแล้วจะหาเรื่องเดือดเนื้อร้อนใจมาให้...
สุดท้ายป้าปูนึกขึ้นได้ว่าแม่เราเคยให้ที่อยู่กับเบอร์ติดต่อของเจ้าของห้องพักไว้เผื่อว่าป้าปูไปกรุงเทพฯ จะได้แวะเที่ยวหากัน
อย่างน้อยในตอนเด็กๆ ป้าปูก็เคยช่วยเหลือแม่เราเอาไว้บ่อยๆ
ก็เลยหวังว่าแม่เราน่าจะพอดูแล และพอช่วยหางานให้พี่ดินทำได้ในช่วงที่หนีไปอยู่กรุงเทพฯ
แล้วในยุคของพี่ดินคือการใช้โทรศัพท์ในหมู่บ้านคือไม่มีเลย สมัยนั้นการติดต่อสื่อสารอย่างด่วนที่สุดก็ทำได้เพียงแค่โทรเลข
แต่ก็จะส่งได้เพียงข้อความสั้นๆเท่านั้น
ในเมื่อทางเลือกมีไม่มากป้าปูก็เลยต้องเขียนจดหมายแล้วฝากพี่ดินเอามาให้แม่เราอีกที
พร้อมกับคัดลอกที่อยู่พร้อมกับเบอร์โทรเจ้าของห้องพักแม่เราให้
เหตุการณ์นี้ป้าปูจะทำทีว่าพี่ดินหนีออกไปจากบ้านไป ไม่มีใครรู้ว่าพี่ดินหายไปไหน
ก็อาจจะต้องชดใช้ในส่วนของพิธีขอขมา(ก็คือยกสินสอดให้แทนคำขอโทษที่ทำให้พี่พลอยเสียหายนั่นแหละ)
แต่จะไม่มีการแต่งงานเพราะพี่ดินไม่อยู่ หนีไปแล้ว
ลุงสินเองถึงจะไม่ค่อยเห็นด้วยเท่าไหร่ที่พี่ดินจะแก้ปัญหาด้วยการหนีไปแบบนี้
เพราะลุงเขาไม่ชอบให้มันมีปัญหา เวลาที่โดนคนทั้งหมู่บ้านแขวะมันเป็นอะไรที่น่ารำคาญใจมาก
พอเจอหน้ากันคุยกันได้สองสามคำ ก็จะวกเข้าไปประเด็น... ทำให้รู้สึกอึดอัดมาก
ซึ่งลุงสินจะไม่ชอบเรื่องวุ่นวายใจพวกนี้เลย ก็จะพยายามตัดปัญหา หาทางออกที่ง่ายและทำให้เรื่องจบไวที่สุดเสมอ
แต่สุดท้ายไม่ว่ายังไงพี่ดินก็ยืนยันที่จะไปจากที่นี่ เพราะไม่อยากแต่งงานกับพี่พลอยจริงๆ
ลุงสินได้แต่กำชับว่าถ้าหนีไปแล้ว อย่ากลับมาภายในช่วงหนึ่งถึงสองปีนี้
ให้อดทนหางานทำที่กรุงเทพฯรอไปก่อน จนกว่าเรื่องจะเงียบค่อยกลับมา
เพราะถ้าหนีไปได้ไม่นานแล้วกลับมายังไงก็ต้องแต่งกันอยู่ดี
หรือถ้ามีลูกมีเมียกลับมาได้ยิ่งดี จะได้เป็นข้ออ้างที่ทำให้ไม่ต้องแต่งกับพี่พลอยแล้ว
ที่จริงตอนนั้นพี่ดินเองก็รู้สึกแย่พอสมควร พี่ชายก็พึ่งจะเสียแถมยังต้องมาหนีไปแบบนี้อีก
พี่เขายอมรับนะว่าตอนนั้นก็คิดอยู่หลายครั้งหรือจะยอมแต่งให้มันจบๆไปดี อย่างที่ลุงสินว่า
แต่อีกใจพี่เขาก็ทำใจไม่ได้เพราะเขาเคยเห็นแต่ภาพที่พี่เด่นอยู่กับพี่พลอยแสดงความรักต่อกัน
ออดอ้อนหยอดคำหวานใส่กันพอนึกถึงภาพพวกนี้แล้ว
ถ้าพี่พลอยต้องมาเป็นเมียเขา พี่เขารับไม่ได้เลย...
ซึ่งก่อนจะไป พี่ดินก็ไปหาพี่เมฆแล้วเล่าให้พี่เมฆฟัง ในใจลึกๆ ที่ไปบอกเนี่ยก็หวังอยากให้พี่เมฆไปเป็นเพื่อน
แต่ว่าพอพี่เขาพูดจบ พี่เมฆก็ขึ้นไปเก็บกระเป๋าเตรียมตัวพร้อมไปทันที
พี่เมฆเดินไปบอกพ่อกับแม่อย่างง่ายดายว่าจะไปหาทำงานที่กรุงเทพฯ พ่อกับแม่พี่เมฆก็ไม่ได้ว่าอะไรสักคำถามแค่ว่า
‘แล้วจะไปหางานทำที่กรุงเทพฯมึงมีเงินหรอ?’ พอพี่เมฆบอกว่า ‘ไม่มี’ เขาก็ให้มาประมาณพันหนึ่งมั้ง
บอกให้ยืมแล้วหามาคืนด้วย...ถ้าหาไม่ได้ไม่ต้องกลับมา
พี่ดินก็รู้สึกตกใจนิดหน่อย ทำไมบ้านพี่เมฆเขาคุยกันแบบง่ายมาก ง่ายดายสุดๆ
ก็คงเพราะพี่เมฆเป็นลูกคนกลางด้วยมั้ง ยังไงที่บ้านพี่เมฆก็มีพี่สาวกับน้องสาวเขาอยู่ด้วยแล้ว แถมยังมีพี่เขยอีกคน
พี่เมฆไม่อยู่สักคนเขาคงไม่รู้สึกอะไรแบบนี้รึเปล่า...
หรือว่าตายด้านกับลูกชายหัวดื้อของเขาคนนี้ไปแล้ว 55555
ซึ่งพี่ดินกับพี่เมฆก็ไปชวนพี่จอม แต่ตอนนั้นพี่จอมมีแฟนแล้ว เขาก็ไม่อยากไป
พี่ดินกับพี่เมฆก็ไม่ได้บังคับอะไร ก็ไปกันสองคนเพื่อนตายเขานั่นแหละ
ซึ่งที่ไม่ได้ไปชวนพี่โชคเพราะเขารู้คำตอบอยู่แล้วว่ายังไงก็คงไม่ไปหรอก
เพราะการไปกรุงเทพฯครั้งนี้ พวกพี่เขาเองก็ยังไม่รู้เลยว่าข้างหน้ามันจะเป็นยังไง...
------------
ตอนที่พี่เขานั่งรถทัวร์เพื่อเข้ามากรุงเทพฯ พี่ดินบอกว่าในใจมันว่างเปล่าคิดอะไรไม่ออกเลย ไม่รู้จะทำยังไงต่อไปดี
ถึงเขาจะตัวโต แต่พี่เขาเองก็ยังเป็นแค่เด็กวัยรุ่นธรรมดาทั่วๆไป
ไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าอยู่ๆจะต้องเข้ากรุงเทพฯมาแบบนี้ โชคยังดีที่มีพี่เมฆมาเป็นเพื่อนด้วย
พอถึงกรุงเทพฯ ทุกอย่างมันดูอ้างว้างและน่าหดหู่มากมันไม่ได้รู้สึกตื่นตาตื่นใจเลย
มีแต่คนเดินมารับพี่เขาบอกจะไปส่งๆ
ด้วยความใสซื่อพี่เขาก็ถามคนพวกนั้น(น่าจะเป็นพวกคนขับแท็กซี่)ไปว่า ‘ไปส่งฟรีเหรอครับพี่?’
คนพวกนั้นก็บอกว่าต้องใช้เงินสิ ถ้าไม่มีเงินก็ไปส่งไม่ได้พี่เขาก็เลยแกล้งบอกว่าไม่มีเงิน…
เขาก็เลยแยกย้ายกันแถมโยนกระเป๋าพี่เขาทิ้งอีก พี่เขาก็โมโหนะ แต่ดึงสติได้
พยายามดึงพี่เมฆออกจากตรงนั้นถ้าเกิดมีเรื่องขึ้นมาเดี๋ยวซวยแน่
เพราะไม่รู้อะไรเป็นอะไร ไม่ได้เหมือนที่บ้านที่มีเพื่อนๆอยู่ด้วย
พี่เขานั่งคิดสักพักใหญ่ ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าในใบที่อยู่ที่ป้าปูเขียนมาให้มีเบอร์โทรศัพท์อยู่ด้วย
เลยใช้ตู้โทรศัพท์หยอดเหรียญแล้วโทรไปหาพร้อมกับบอกชื่อแม่เรา
ประจวบกับตอนนั้นแม่ต้องอยู่ห้องเพื่อเลี้ยงเรา เพราะเราพึ่งจะอายุได้สามขวบ
ก็เลยได้มารับโทรศัพท์ และออกมารับพี่เขาที่สถานีขนส่ง
ในระหว่างที่พวกพี่เขาอยู่กับพ่อแม่เรา เขาก็ช่วยเลี้ยงเราด้วย
เขาบอกว่าเวลาแม่เราอาบน้ำให้เสร็จใหม่แล้วทาแป้งเด็ก เขารู้สึกว่าตัวเราน่าฟัดมากมันจ้ำม้ำจนน่ากัด
แต่ไหงพอโตมาได้สักหน่อย ตัวกลับผอมแห้งตัวเล็กซะงั้น 55555
ช่วงนั้นที่ทำงานพ่อเราเขายังไม่ได้รับพนักงานใหม่ ทำให้พวกพี่เขาก็ต้องอยู่เฉยๆแบบนั้นกันไปก่อน
จนกระทั่งเหมือนมีผู้รับเหมา เหมือนเขาเดินมาหาคนงาน
แม่เราก็เลยถามพวกพี่เขาว่าสนใจมั้ยแต่มันเป็นงานกรรมกรก่อสร้างนะ จะเหนื่อยมาก
ด้วยความที่เป็นเด็กหนุ่มจากบ้านนากันทั้งคู่ พวกพี่เขาไม่เกี่ยงงานหนักอยู่แล้ว
อย่างน้อยได้งานทำ แล้วได้ที่อยู่ใหม่ก็ยังดี
พวกพี่เขาเองก็เกรงใจพ่อกับแม่เราเหมือนกันที่มาอยู่แบบนี้ เพราะห้องที่พ่อกับแม่เราอยู่ก็เล็กนิดเดียว
พอมีพวกพี่เขาเพิ่มอีกสองคนก็รู้สึกว่ามันดูน่าอึดอัดพอสมควรเลย
และการที่เขาได้ไปทำงานในแคมป์ก่อสร้างนั้น ไม่เพียงแต่ได้ทำงานแต่พี่เขายังได้เรียนรู้เรื่องประสบการณ์เซ็กส์จากที่นั่นอีกต่างหาก
----------
โดยในแคมป์คนงานนั้น ถ้าหากว่าเป็นผู้ชาย และไม่ได้เป็นคนที่มีครอบครัวมาอยู่ด้วย
เขาจะจัดให้อยู่ด้วยกันทั้งหมด ทำให้บรรดาชายโสดหนุ่มเล็กหนุ่มใหญ่ ต้องนอนอัดรวมกันห้าหกคนโดยมีพัดลมแค่ตัวเดียว...
ถึงมันจะลำบากไปสักหน่อย แต่พี่เขาบอกว่ามันก็สนุกดี เพราะเหมือนได้โตเป็นผู้ใหญ่เลย
หลังทำงานเสร็จ เวลาว่างเกือบทุกเย็นก็ไปนั่งกินเหล้ากับพวกพี่เขา มันก็สนุกเฮฮาพอให้ลืมความเศร้าเสียใจต่างๆได้พอสมควร
ความรู้สึกมันต่างจากเวลาอยู่กับพ่อแม่พอสมควร
ถึงจะเหงาและคิดถึงบ้านอยู่บ้าง แต่มันอิสระกว่าที่คิด
และเมื่อถึงวันที่ได้รับค่าจ้างเป็นงวดแรก บรรดาพวกพี่ในแคมป์ก่อสร้างก็พาพี่ดินกับพี่เมฆไปรับน้องเลี้ยงฉลองกันทันที
ที่ร้านคาราโอเกะ...
ตอนแรกพี่ดินก็ไม่ได้คิดอะไร คิดแค่ว่าไปกินเหล้าแล้วร้องเพลงกันตามภาษาหนุ่มโสดเฉยๆ
พอกินกันไปได้สักพักใหญ่ พวกเด็กเสิร์ฟในร้านก็เริ่มมาบีบมานวดให้
บางคนใจกล้าหน่อยก็นั่งตักกันเลย ตอนแรกพี่เขาก็ไม่เข้าใจว่าคืออะไร
เพราะสภาพเด็กเสิร์ฟคือใส่ชุดปกติมากก็คือเสื้อยืดกางเกงยีนส์ขาวยาวแบบทั่วๆไป
การแต่งกายไม่ได้นุ่งสั้นโชว์เนื้อหนัง ดูมีแววว่าจะเป็นผู้หญิงขายบริการอะไรทำนองนั้นเลย
จากนั้นก็มีพี่ผู้หญิงคนหนึ่งมานวดแขน นวดไหล่ให้ พร้อมกับจูงมือพี่ดินออกไป
ซึ่งตอนนั้นพี่ดินก็เริ่มเมาแล้วก็เคลิ้มตาม ลุกตามไปแต่โดยง่าย
แต่ก่อนที่พี่ดินจะลุกออกไปพี่ในวงเหล้าก็ยื่นซองสี่เหลี่ยมอะไรให้พร้อมกับบอกว่าคราวนี้ให้ใช้ก่อน รอบหน้าไปซื้อเองนะ
พี่ดินก็งงๆ แต่ก็รับมา พร้อมกับตามผู้หญิงคนนั้นไป
เหมือนพอเดินออกจากร้านคาราโอเกะตรงนั้นไปไม่ไกลจะถึงห้องพักของผู้หญิงคนนี้
ทันที่ที่เข้าไป ผู้หญิงคนนั้นก็จู่โจมจูบปาก และซุกไซร้พี่เขาทันที
พี่ดินเองก็ยังไม่เคยมีประสบการณ์จริงสักทีเคยแต่เห็นและเรียนรู้เรื่องพวกนี้ในหนังสือโป๊ที่พี่เด่นเอาให้ดู...
พี่ดินได้แต่ยืนตัวแข็งเพราะทำอะไรไม่ถูก จนผู้หญิงคนนั้นถึงกับถามว่า ‘ยังไม่เคยหรอ?’ พี่เขาไม่ได้ตอบอะไร ก็นิ่งเงียบ
จากตรงนี้ไปเราขอใช้ชื่อพี่ผู้หญิงคนนั้นว่า ‘พี่แป้ง’ แล้วกันนะ
เพราะตอนพี่ดินเล่าให้ฟังเขาไม่ได้บอกว่าชื่ออะไร คือพอเราคุยกันสองคนก็จะเข้าใจอ่ะว่าเขาหมายใครยังไง
แล้วพอเราเอามาเล่าต่อถ้าไม่มีชื่อเรียก ก็จะรู้สึกว่าเข้าใจยากนิดนึง55555
หลังจากนั้นพี่แป้งก็ถอดเสื้อผ้าพี่ดินออก แล้วพาพี่เขาเข้าไปอาบน้ำในห้องน้ำ
พอเห็นว่าพี่ดินตัวเกร็งไปหมด พี่แป้งเลยบอกว่าให้จับได้นะ จับนมได้ ดูดนมก็ได้ จับได้หมดเลย
พอจบคำพูดพี่แป้งพี่ดินเขาก็บอกว่าพี่ก็ไม่รอช้าสิ ใส่เต็มที่เลยเพราะเคยเห็นอะไรแบบนี้ในหนังสือโป๊มาบ้างแล้ว
หลังจากนั้นไอ้จู๋ของพี่เขามันก็แข็งตัวเต็มที่ พี่แป้งถึงกับร้องตกใจ เพราะไม่คิดว่าจะใหญ่ขนาดนี้
เสร็จแล้วพี่แป้งก็ค่อยๆ เอามือถูสบู่แล้วรูดไปตรงส่วนหัวช้าๆ ก่อนจะทำให้ส่วนหัวตรงนั้นมันเปิดออก
มันรู้สึกเจ็บนิดๆ แต่รู้สึกเสียวมากกว่า พอมือพี่แป้งสัมผัสโดนตรงนั้นมันเสียวมากเพราะพี่ดินไม่เคยทำแบบนี้มาก่อน
ตรงนี้ทำให้พี่เขารู้ว่า ต้องคอยเปิดหัวออกมาล้างทำความสะอาดด้วย
เพราะเวลาช่วยตัวเองเสร็จมันจะมีคราบๆสีขาวสกปรกฝังอยู่ข้างใน
หลังจากอาบน้ำทำความสะอาดเสร็จ พอขึ้นมาบนที่นอนพี่ดินก็เอาแต่ดูดนมพี่แป้งใหญ่เลย
ยิ่งพี่แป้งดิ้นพล่านพร้อมครางเสียงกระเซ่าพี่ดินก็ยิ่งได้ใจคงเพราะอยากจะทำมาตั้งนานแล้วมั้ง เวลาเห็นฉากแบบนี้ในหนังสือโป๊
พอถึงจังหวะที่จะต้องสอดใส่ พี่แป้งก็ไปเอาซองสี่เหลี่ยมเล็กๆ ที่พี่คนนั้นส่งให้มา
ก่อนจะฉีกออก ลักษณะมันเหมือนวงยางอะไรสักอย่าง แล้วก็สวมมันลงบนจู๋พี่ดิน
นั่นคือครั้งแรกที่พี่ดินได้เห็นรูปร่างของถุงยางแบบของจริงสักทีว่ามันเป็นแบบนี้
แต่ด้วยความที่ขนาดถุงยางมันเล็กกว่าขนาดของพี่เขา มันก็เลยใส่ลงค่อนข้างยาก
พอใส่ลงไปได้พี่เขารู้สึกแน่นและคับมากแถมพอสวมลงไปก็ไม่สุดโคนด้วย เหลืออีกตั้งเยอะ
พี่ดินบอกว่าพี่แป้งก็ดูลังเล ว่าจะให้ใส่เข้าไปดีมั้ย เพราะกลัวถุงยางมันจะหลุด
ตรงนี้พี่แป้งก็เลยบอกให้พี่ดินนอนราบไป แล้วพี่แป้งก็เป็นคนขึ้นนั่งแทน
จังหวะที่พี่แป้งค่อยๆนั่งแล้วหย่อนตัวลงไป พี่เขาบอกว่ามันเสียวมาก
มันเป็นความรู้สึกเสียวแบบที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน ข้างในของพี่แป้งมันตอดและบีบรัด
เสียวยิ่งกว่าเวลาที่พี่เขาใช้มือช่วยตัวเองอีก
แต่เหมือนว่าพอเข้าที่เข้าทางได้แล้ว จังหวะที่พี่แป้งโยกตัวขึ้นลงนั้นจะไม่ค่อยทันใจพี่ดินเท่าไหร่
ด้วยสัญชาตญาณลูกผู้ชายพี่เขาก็เลยยกก้นกระแทกสวนกลับขึ้นไป
แต่พอพี่เขามีอะไรกันด้วยท่านั้นไปได้สักพัก พี่แป้งก็ลุกออก บอกว่าเหมือนถุงยางมันจะหลุด รู้สึกไม่สบายใจ
ท้ายที่สุดพี่แป้งก็เลยถอดถุงยางออกแล้วเอาหน้าอกของเขามาประกบท่อนสวรรค์ของพี่ดิน
แล้วให้พี่ดินยกก้นกระแทกขึ้นลงแทน
พี่ดินเล่าว่าเอาตรงๆ มันก็ไม่ได้แย่เท่าไหร่หรอก มันก็เสียวไปคนละแบบ
แต่พี่เขาเริ่มติดใจและอยากสอดใสมากกว่าแต่ทำยังไงได้ พี่เขาก็ไม่เคยทำแล้วก็ยังเด็กด้วย ยังไม่เคยมีประสบการณ์
พอพี่แป้งบอกให้ทำยังไง ก็ต้องทำตามนั้น
จากนั้นพี่แป้งก็ช่วยให้พี่ดินจนเสร็จ และเสร็จต่ออีกประมาณสองสามรอบน่าจะเพราะความเป็นวัยรุ่นบวกกับยังไม่เคยมีเซ็กส์กับคนอื่น
พอโดนคนอื่นจับสัมผัสอะไรแบบนี้มันก็เหมือนเป็นการกระตุ้นให้พี่เขาเสร็จได้ง่ายแม้จะไม่ใช่วิธีสอดใส่เข้าไปข้างในก็ตาม
ซึ่งพอทำกันจนพี่ดินสบายตัวแล้ว พี่เขาก็จ่ายเงินแล้วก็แยกย้ายกัน
โดยที่พี่แป้งบอกว่าให้ไปหาซื้อถุงยางขนาดของตัวเองมาด้วยนะ ถ้าได้แล้วค่อยมาหาเขา
คราวหน้าจะให้ทำจริงๆ
หลังจากนั้นพอกลับมาทำงาน พี่ดินก็เฝ้าคิดวนเวียนถึงเรื่องเซ็กส์ที่ได้มีอะไรกับพี่แป้งตลอด
คิดถึงความรู้สึกที่ได้สอดใส่เข้าไปข้างใน...
อีกทั้งพี่เมฆยังมาอวดเยาะเย้ยอีกด้วยว่าเขาได้มีอะไรกันกับพี่ผู้หญิงที่ไปด้วยกันนั้นมันรู้สึกดีสุดยอดเลย
นั่นยิ่งทำให้พี่เขาอยากจะไปหาพี่แป้งเร็วขึ้นไปอีก
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย Vitamin25 เมื่อ 2022-6-16 22:55
เรื่องเล่าของพี่ดินตรงนี้จะไม่ยาวมาก น่าจะประมาณสามสี่ตอนมั้ง
นี่พยายามเล่าแบบย่อและสรุปที่สุดแล้วนะ แต่สุดท้ายก็ยังยาวมากอยู่ดี {:6_162:}
คือจริงๆ เรื่องพวกเนี้ยพี่เขาไม่ได้เล่าให้ฟังยาวทีเดียวจบนะ จะเล่าให้ฟังแค่ที่เราถาม
เช่นพอโตมาสักหน่อยเนี้ย เราเริ่มสงสัยและอยากรู้แล้ว ว่าเซ็กส์ครั้งแรกของพี่ดินเป็นยังไง? ทำอะไรแบบไหนกับใคร??
รู้สึกยังไง??? นู่นนี่ตามภาษา
เราก็ต้องเอามาไล่เรียงเองแล้วก็ถามพี่เขาอีกที
บางเรื่องเราก็จะจำได้ค่อนข้างแม่น เพราะอย่างเรื่องที่แคมป์นั่นพี่เมฆเวลามากินเหล้ากับพี่ดินเขาก็ชอบหยิบยกเรื่องเก่าๆมาคุยกันบ่อยๆ
เราก็นั่งฟังนั่งเก็บรายละเอียดไป คือตอนนั้นยังไม่ได้คิดจะเอามาพิมพ์เล่าให้ใครฟังหรอก
เราแค่เก็บรายละเอียดว่าที่พี่เมฆเล่ามันจะตรงกับที่พี่ดินเล่ามั้ย 55555555
ซึ่งพอต้องมาพิมพ์ถ่ายทอดในมุมมองในฐานะของคนที่ฟังมาอีกที
บอกเลยว่ามันเล่ายากกว่าผ่านมุมมองของตัวเองมากๆๆๆ
อย่างฉากเซ็กส์เราพยายามเก็บรายละเอียดตรงนี้
เพราะตอนเราฟังก็แบบหือ...พี่ก็ดูชอบผู้หญิงปกตินิแล้วไหงทำไมมามีอะไรกับหนูได้
ซึ่งมันจะเป็นเรื่องราวต่อจากนี้ที่พี่เขาได้ลองมีอะไรกับกะเทยครั้งแรก
เอาเป็นว่าพอพี่เขาซื้อถุงยางเป็นนั่นแหละ หลังจากนั้นก็นะ... หึหึ ร้ายมากจริงๆ
นี่ก็ไม่อยากตัดจบตอนแบบนี้นะ แต่คือมันหาจุดตัดยากอ่ะ
มันไม่เหมือนตอนเด็กที่ส่วนใหญ่เราจะมีเวลาอยู่ด้วยกันสองคนแล้วคุยนู่นนี่กันคือเวลาเข้านอน
อันนั้นมันก็เลยจะตัดตอนหนึ่งจบได้ง่ายหน่อย
แล้วนี่ยิ่งไม่ใช่เรื่องของตัวเองคือจับจุดยากมากเลยแบบเอาแค่นี้ก่อนละกัน เดี๋ยวค่อยมาต่อใหม่ 555555
ขอบคุณมากครับ ขอบคุณครับ {:5_127:}{:5_127:} {:5_120:}{:5_120:}{:5_120:} ขอบคุณครับ. ขอบคุณครับ ขอบคุณครับผม ขอบคุณครับ เคยคิดจะถามเรื่องที่บ้านของทางพี่ดินอยู่พอดีเลย แต่ได้คำตอบในตอนนี้แล้วว่าทำไมถึงไม่ค่อย เล่าถึงทางบ้านพี่เขา
แล้ว ตอนนี้ คุณพ่อ คุณแม่พี่เขา ยังสบายดีมั้ยครับ เอาจริงๆ ติดตามทุกตอนเลย ครับ แบบ reload หน้าโปรไฟล์คุณมิน ตลอด 5555 อยากรู้ว่าพี่ดินมาติดใจผู้ชายตอนไหนอะครับ{:5_137:} สนุกมากครับ ขอบคุณครับ รออยู่นะ เย้ๆๆ มาต่อแล้ว ขอบคุณมากครับ{:5_135:}{:5_135:}{:5_135:}{:5_135:} ขอบคุณครับ เปิดซิงกับสาวแบบนี้นี่เอง ขอบคุณครับ อบคุณมากๆ