Vitamin25 โพสต์ 2022-7-1 21:34:46

พี่ยักษ์ที่รัก [0]

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย Vitamin25 เมื่อ 2022-7-1 21:34

หลังจากที่เราเรียนจบป.1แม่ก็ได้พาเราและพ่อย้ายกลับมาอยู่ที่จังหวัดบ้านเกิดของแม่
คงเพราะด้วยสถานภาพทางการเงินของบ้านเราและมีความจำเป็นบางอย่าง...


ซึ่งเรามารู้ตอนโตว่าที่จริงแล้วแม่ตั้งใจจะพาพวกเราหนีจากไฟแนนซ์ที่มาตามเก็บค่างวดรถกระบะ
ที่แม่ให้พ่อของเรา ไปเซ็นต์ค้ำประกันให้กับเพื่อนของแม่เอาไว้
เนื่องจากเพื่อนแม่คนนี้คือคนที่แม่รู้จักเป็นคนแรกๆ ตั้งแต่ที่เข้ามาอยู่กรุงเทพฯ
มีอะไรเพื่อนคนนี้ก็เลยจะแนะนำแม่ตลอด แม่ก็เลยรู้สึกสนิทใจมากที่สุด

แต่ด้วยความที่ตอนนั้นแม่ยังไม่ค่อยมีความเข้าใจเกี่ยวกับระบบการค้ำประกันมากนัก
ก็เลยตกลงให้พ่อเซ็นต์ยินยอมเป็นผู้ค้ำประกันให้กับเขาเพราะโดนเขาหลอกมาว่าแค่เซ็นต์เฉยๆ ไม่มีอะไรเลย
ความที่ไว้เนื้อเชื่อใจและค่อนข้างสนิทกันแต่แม่ไม่รู้เลยว่าต้องเป็นผู้รับผิดชอบส่งค่างวดรถด้วย
หากว่าคนที่เช่าซื้อไม่ยอมจ่ายค่างวดรถหรือในกรณีที่ไฟแนนซ์ไม่สามารถติดต่อผู้เช่าซื้อได้

ซึ่งพอเพื่อนแม่หนีไปพร้อมกับรถกระบะออกใหม่นั่นภาระค่างวดรถก็กลายเป็นของพ่อทันที
ซึ่งรถก็ไม่ได้อยู่ที่เราแต่เราต้องมาจ่ายค่างวดรถให้ทุกเดือนๆ ลำพังวิถีชีวิตตัวเองก็ยากลำบากพออยู่แล้ว

แม่เราก็เลยตัดสินใจพาพ่อและเรากลับมาตั้งหลักที่จังหวัดบ้านเกิดของแม่
เพราะหวังว่ายายอาจจะช่วยอะไรได้บ้างและแน่นอนว่าคำตอบที่ได้จากยายก็คือไม่สามารถช่วยอะไรได้เลย
และไม่ใส่ใจที่จะช่วยหาวิธีแก้ปัญหาให้ด้วย...

พ่อเราเลยต้องจำใจกลับไปทำงานที่กรุงเทพฯ ต่อเพียงลำพัง
แล้วให้แม่เราอยู่ทำนาและเลี้ยงดูเราอยู่ที่นี่อย่างน้อยอาจจะช่วยกันได้อีกทาง

แต่ด้วยความที่ทำงานโรงงานอย่างเดียวเงินเดือนที่ส่งค่างวดรถไปทุกเดือนก็เกือบจะหมดแล้ว
ไหนจะค่ากิน ค่าเช่าที่พักต่อเดือนอีก หลังเลิกงานพ่อเลยต้องไปหาอาชีพเสริมรับจ้างทั่วไปในตลาดหรือพื้นที่ใกล้ๆ


ซึ่งมันก็ทำให้พ่อแทบจะไม่มีเวลาพักเลย...
เราเคยเห็นแม่อ่านจดหมายที่พ่อส่งมาให้แล้วก็แอบร้องไห้ด้วย แต่พอเราจะแอบไปอ่านจดหมายก็หาไม่เจอแล้ว
แม่คงเอาไปซ่อนเพราะไม่อยากให้เราเห็น...เราคิดว่าเนื้อความในจดหมายที่พ่อเขียนมาคงรู้สึกรันทดหดหู่พอสมควร
ถึงขนาดทำให้แม่อ่านแล้วร้องไห้ได้


ตอนนั้นถึงแม้จะยังเด็กมากแต่เราก็ต้องพยายามทำทุกอย่างให้เป็นพวกงานบ้านต่างๆให้เป็นเพื่อจะได้ดูแลตัวเองได้

อย่างน้อยก็ให้แม่ไปทำงานกับพ่อ ไปอยู่ดูแลพ่อดีกว่า...

หลังจากนั้นพอช่วงเราขึ้นป.4 พอแม่เห็นว่าเราสามารถช่วยเหลือและดูแลตัวเองได้
แม่ก็เลยตัดสินใจไปกรุงเทพฯ ไปทำงานกับพ่ออย่างน้อยก็ช่วยแบ่งเบาภาระกันก็ยังดี
เพราะการทำนาในแต่ละปีนั้น พอหักลบกลบหนี้ที่ยืมเขามาทำนาแล้ว แม่บอกว่าไม่ได้อะไรเลย
ไม่ได้อะไรเลยจริงๆ เหมือนเหนื่อยและเสียแรงเปล่า...

นี่เลยเป็นที่มา ที่ทำให้ตอนเด็กเราต้องอดทนอยู่คนเดียวมาตลอด
มันเป็นสิ่งที่เราต้องทนให้ได้ พอนึกถึงหน้าพ่อกับแม่ที่กำลังลำบากอยู่เราคงจะมานั่งงอแงเอาแต่ใจ รอให้พ่อแม่มาดูแลไม่ได้


----------

เมื่อมาถึงที่นี่ เพื่อนคนแรกที่เรามีก็คือ ‘พี่บัว’ เพราะแม่พี่บัวมาหาแม่เราตั้งแต่วันแรกๆ เลยที่ย้ายไปถึง ก็เลยได้รู้จักกันและสนิทกันไวตามภาษาเด็ก

อันที่จริงถ้านับญาติดีๆ พี่เขาก็เปรียบเสมือนญาติห่างๆ ของเราด้วยนะ
แต่ไม่รู้ต้องนับญาติกันแบบไหนเพราะห่างมากแค่รู้ว่าเคยเล่าให้ฟังว่าตาทวดของเราเป็นลูกพี่ลูกน้องกับตาทวดฝั่งของพี่บัว 5555

ช่วงแรกๆ พี่บัวก็พาเดินเที่ยวเล่นไม่ค่อยไกลนักพอเราเริ่มคุ้นชินสถานที่มากขึ้นพี่เขาก็เริ่มพาเราออกไปไกล
ไปแวะบ้านเพื่อนเขาคนนู้นคนนี้ จนกระทั่งไปสุดที่ต้นก้ามปูยักษ์ใหญ่ท้ายหมู่บ้าน

และไม่วายที่พี่บัวจะปีนต้นไม้โชว์ พร้อมกับขึ้นไปนั่งเล่นอย่างสบายใจ

ด้วยความที่เรายังเด็กมาก ก็เลยไม่กล้าปีนตามขึ้นไปได้แต่ยืนคุยกับพี่เขาข้างล่างแทน

สักพักพวกเราก็ได้ยินเสียงร้องไห้ของใครบางคนดังมาจากที่ไหนสักแห่ง

“... พี่ยักษ์เมาเหล้าร้องไห้อีกแล้ว ไปดีกว่า...”

“ป่ะ มินกลับบ้านกัน เย็นแล้ว” พี่บัวค่อยๆปีนป่ายลงมาจากต้นก้ามปูใหญ่ พร้อมกับเดินไปที่รถจักรยาน

“ทำไมพี่เขาถึงร้องไห้ขนาดนั้นอ่ะพี่บัว...” พอได้ยินเสียงร้องไห้ของพี่ยักษ์ ที่ร้องไห้คร่ำครวญสะอึกสะอื้น
ก็อดสงสัยไม่ได้ เพราะถึงเราจะไม่รู้ว่าตัวพี่เขาอยู่ตรงไหนแต่ฟังจากเสียงแล้วเหมือนเขาก็อยู่ไกลพอสมควร
นี่แปลว่าเขาต้องร้องไห้ดังมากเลยนะพวกเราถึงยังได้ยินกัน

“ไม่รู้สิ แกโดนเมียทิ้งละมั้ง เห็นพวกผู้ใหญ่พูดกัน”

“ป่ะ มิน ไม่ต้องสนใจหรอก... พอแกเมาแล้วก็เป็นแบบนี้แหละพวกเรารีบกลับบ้านกันดีกว่า”
จากนั้นพี่บัวก็จับรถจักรยานคันโตยกขึ้นแล้วปั่นออกไปทันที

ไม่ใช่ว่าพี่บัวทิ้งให้เราเดินกลับบ้านคนเดียวหรืออะไรด้วยความที่ตอนนั้นมันก็เริ่มเย็นแล้ว
แถมระยะทางจากตรงนี้ไปถึงบ้านพี่บัวก็ไกลกว่าบ้านเรามากพอสมควรพี่เขาเลยต้องปั่นจักรยานไปก่อน

เพราะถ้าแวะไปส่งเรามันจะต้องจูงจักรยานแล้วเดินกันทั้งคู่เพราะพี่เขาไม่สามารถขี่จักรยานแบบมีคนนั่งซ้อนได้
ก็นะเด็กตัวแค่นั้นปั่นจักรยานเอาตัวรอดได้ก็เก่งแล้ว

ทีแรกเราเองก็ไม่ได้สนใจอะไร ก็จะเดินผ่านบริเวณบ้านพี่เขาไป

แต่อีกใจหนึ่งก็คิดว่าพี่เขาเป็นอะไรหรือเปล่า?

หรือว่าโดนงูกัดหรือโดนสัตว์มีพิษต่อย...
เพราะน้ำเสียงที่เขาร้องไห้ออกมามันฟังดูทุรนทุราย เหมือนคนเจ็บปวดมากๆเลย

ก็อดไม่ได้ที่จะเดินไปดูสักหน่อย เผื่อว่าพี่เขาโดนงูกัดอะไรแบบนั้น
(ตอนนั้นป.1 คาบที่เรียนลูกเสือสำรอง ครูเคยสอนวิธีรัดเหนือแผลตอนโดนงูกัดด้วย
ความเป็นเด็กรู้สึกร้อนวิชา เผื่อพี่เขาโดนงูกัดจะได้ลองทำ 555555)

เราลองจับทิศทางจากเสียงร้องไห้ของพี่เขา แล้วเดินตามไปเรื่อยๆก็ถึงบริเวณหน้าบ้านของพี่เขา

พอเห็นตัวของพี่เขาแล้ว เรารู้สึกสะดุ้งตกใจนิดหน่อย ภาพที่เห็นตอนแรกคือพี่เขาเป็นผู้ชายตัวสูงใหญ่
(แต่ตอนนั้นที่เห็นหุ่นพี่เขายังไม่ได้ดูตันดูแน่นเหมือนตอนที่เราไปอยู่กับพี่เขาออกไปทางผอมซูบซะด้วยซ้ำ)
นอนดิ้นไปมากับพื้น แล้วเอามือทุบพื้นไปมาเสื้อผ้าหน้าผมเลอะเปรอะดินไปหมด

ตอนนั้นก็รู้สึกตกใจและเริ่มกลัวเหมือนกัน เพราะรู้สึกไม่แน่ใจว่าพี่เขาเป็นคนบ้าหรือเปล่า...ก็ยืนมองอยู่สักพัก
สุดท้ายเลยตัดสินใจค่อยๆ เดินเข้าไปดูช้าๆ

พอถึงในระยะที่ใกล้พอจะมองเห็นร่างพี่เขาชัดเจนมันก็ยิ่งทำให้เรารู้สึกลังเลพอสมควร
เพราะตอนนั้นสภาพพี่เขาคือดูไม่ได้จริงๆน้ำหูน้ำตาไหล น้ำมูกไหลย้อยเลอะเปรอะหน้าผสมฝุ่นดินเป็นคราบเต็มไปหมด

ก็ยืนชั่งใจอยู่นาน หรือจะปล่อยไว้แบบนี้... เพราะคนเมาก็คงเป็นแบบนี้ละมั้งแล้วเราจะช่วยอะไรพี่เขาได้?
เราจะโดนเขาดุตะคอกกลับมารึเปล่า? ก็คิดกลัวไปต่างนานา

แต่อีกใจก็กลัวว่าถ้าหากพี่เขาโดนงูกัดละ เราอาจจะมีโอกาสช่วยเขาก็ได้
ถ้าเราหนีกลับบ้านไป...แล้วถ้าพรุ่งนี้เช้าเรารู้ข่าวว่าพี่เขาตายขึ้นมาอาจจะต้องเสียใจก็ได้ที่ไม่ยอมช่วยเขา

คงเพราะตอนเด็กแม่ก็สอนตลอดด้วยสิว่า ให้เราเป็นคนมีน้ำใจช่วยเหลือคนที่ตกทุกข์ได้ยากกว่าอะไรแบบนี้...

“น้าฮะ...น้าเป็นอะไรรึเปล่า?”เราตัดสินใจลองเดินเข้าไปนั่งใกล้ๆ แล้วชะโงกดูตามจุดต่างๆว่ามีบริเวณไหนผิดปกติรึเปล่า



ตอนแรกที่เราไม่กล้าเรียกเขาว่าพี่คงเพราะไม่ได้รู้สึกสนิทใจละมั้ง
แถมภาพที่เห็นตอนนั้นพี่เขาดูแก่มาก หนวดเคราผมเผ้ารกรุงรังไปหมดเหมือนคนรุ่นน้า-อา มากกว่ารุ่นพี่ซะอีก

แต่ตอนหลังเราดันติดเรียกเขาว่า ‘พี่ยักษ์’ ตามเด็กคนอื่นหมู่บ้านซะงั้น 55555

“...ใ...ค...ร”พี่เขาส่งเสียงยานตอบกลับมาโดยที่ยังไม่ได้ลืมตาขึ้นมามอง

“น้าเป็นอะไรรึเปล่าฮะ?”เราไม่ได้ตอบคำถามพี่เขา แต่ยังคงถามซ้ำอีกรอบ

ครั้งนี้พี่เขาไม่ได้พูดอะไร แต่ค่อยๆลืมตาแล้วมองมาที่เราพร้อมกับมือเช็ดหน้าเช็ดตา
ตาพี่เขาแดงก่ำน่ากลัวมาก อาจจะเป็นผลมาจากการเมาเหล้าด้วยเพราะกลิ่นเหล้านี่หึ่งเลย

เรารู้สึกกลัวขึ้นมาหน่อยๆ เลยพยายามค่อยๆ ถอยหลังออกห่างไม่ให้พี่เขารู้ตัว

แต่แล้วจู่ๆ ไม่ทันที่เราจะได้ตั้งตัวอะไร พี่เขาก็ดึงตัวเราเข้าไปกอดเฉยเลย
ตอนนั้นเรารู้สึกตกใจมาก เพราะกลัวเสื้อผ้าตัวเองจะเลอะด้วย
ก็ตัวพี่เขามันมีแต่ดินทรายติดเต็มตัวไปหมดถ้าเรากลับไปในสภาพที่เสื้อผ้าเลอะแบบนี้โดนแม่ตีแน่ๆ ...

ยังไม่ทันที่เราจะตั้งหลักได้ พี่เขาก็กอดเราแน่นกว่าเดิมแล้วร้องไห้
คราวนี้แหละเราสัมผัสได้เลยว่าที่เสื้อเรามีทั้งคราบน้ำตา น้ำมูกพี่เขาไหลเปรอะเลอะเทอะเต็มไปหมด

‘ลูก...ลูก...ลูก...ลูกมาอยู่กับพ่อนะลูก พ่อ...ขอโทษนะลูก...’พี่เขาร้องไห้พร้อมกับพูดประโยคที่มีคำว่าลูกวนไปมา

ตอนนั้นเรารู้สึกงุนงงจนบอกไม่ถูก เจอเหตุการณ์แบบนี้ด้วยความเป็นเด็กเราไม่รู้จะทำยังไงดี...

พอเห็นท่าทางที่พี่เขากอดเราไว้แน่น จนเอาหน้ามาซุกกับตัวเราเราเลยได้แต่กอดหัวพี่เขาเอาไว้ แล้วลูบไปมา
เท่าที่เด็กจะคิดได้ในตอนนั้นมันก็มีวิธีนี้แค่นั้นแหละที่อาจจะทำให้พี่เขาหยุดร้องไห้ได้

เรายืนกอดกันอยู่แบบนั้นสักพัก... พี่เขาก็เงยหน้าขึ้นเช็ดคราบน้ำตาแล้วมองหน้าเราโดยที่ไม่ได้พูดอะไรออกมามีเพียงเสียงสะอึกสะอื้น จากนั้นพี่เขาก็ลุกขึ้นหันหลังให้เรา เดินเซไปเซมาจนถึงบริเวณตัวบ้านแล้วก็ทิ้งตัวลงนอนบนแคร่

เราได้แต่งุนงงกับสิ่งที่เกิดขึ้น แต่พอเห็นพี่เขาไม่เป็นอะไรแล้วเราก็เลยรีบวิ่งกลับบ้าน เพราะมันเย็นมากจนจะมืดแล้ว!

แน่นอนว่าสิ่งหนึ่งที่ทำให้เราในวัยเด็กสามารถจดจำภาพเหตุการณ์ได้เป็นอย่างดี
ก็เพราะว่าตอนที่เรากลับมา เราโดนแม่ตียังไงล่ะ!!ทั้งเรื่องกลับบ้านเย็นมาก และเสื้อผ้าก็เลอะไปหมด

เราเลยจำฝังใจเลย เพราะน้าผู้ชายคนนี้แหละ ทำให้เราโดนแม่ตี!!!

-----------

พอต่อมาเราเวลาเราเจอหน้าน้าคนนี้ หรือที่ตอนหลังเราเรียกเขาว่าพี่ยักษ์เนี่ยเราก็จะหลบหน้าทุกที

ตอนนั้นเราได้แต่คิดว่าเขาจะโกรธหรือเปล่าที่เราไปเห็นเขาในสภาพแบบนั้นเข้า เพราะพี่เขาในสภาพวันนั้นมันดูไม่ดีมากๆ
ซึ่งเราก็ไม่ได้เอาไปเล่าให้เพื่อนหรือใครฟังต่อนะ เพราะไม่ได้รู้สึกว่าการที่เราเจอพี่เขาอยู่ในสภาพแบบนั้นมันเป็นเรื่องตลกที่น่าเล่าอะไร...

แต่พอเห็นพี่เขาทำหน้านิ่งตลอด มันเลยพาลทำให้เรากลัวเหมือนเราไปรู้ความลับของเขาเข้าแล้ว...เราเลยต้องหลบหน้าพี่เขาทุกที

แถมพี่เมฆ พี่ชายหน้าทะเล้นที่ดูเหมือนจะสนิทกับแม่เรา ก็ชอบเรียกเราเข้าไปหาเวลามานั่งกินเหล้าตรงร้านขายของแถวบ้านเรา
ด้วยความเป็นเด็กเราเองก็ต้องไปหาอย่างช่วยไม่ได้ เพราะแม่จะสอนไว้ถ้าผู้ใหญ่เรียกต้องเข้าไปหาไม่งั้นมันจะเสียมารยาท...

พอไปทีไรก็จะเจอพี่ยักษ์อยู่ด้วยทุกที แล้วความที่พี่ยักษ์เขาชอบนั่งจ้องหน้าเราแปลกๆ
เราก็เลยแกล้งหลบหน้าไม่กล้ามองหน้าพี่เขาตรงๆ ก็จะทำทีเป็นคุยเล่นกับพี่เมฆซะมากกว่า

แต่ถึงจะดูแบบนั้น...พี่ยักษ์เองก็เหมือนจะเป็นคนใจดีนะ พอเราวิ่งไปหาพี่เมฆทีไรพี่ยักษ์ก็ชอบให้ขนมแล้วก็พาไปซื้อขนมในร้านทุกทีเลย

....แต่สุดท้ายเราก็ยังรู้สึกกลัวเวลาต้องสบตาพี่เขาอยู่ดี

----------

หลังจากที่เราอยู่ที่นั่นมาสักพัก จนตอนที่เราขึ้นป.4 ตอนนั้นเรารู้สึกว่าตัวเองโตแล้ว ถึงแม้จะยังตัวเล็กมากก็ตามที
แต่เราก็ก่อไฟหุงข้าวและต้มไข่ ทอดไข่เองก็เป็น ซักผ้าและดูแลตัวเองได้แล้วก็เลยอยากให้แม่ไปอยู่ทำงานกับพ่อดีกว่า แม่จะได้ดูแลพ่อด้วย

ก็รู้สึกว่าเราอยู่ได้อยู่แล้ว ถึงแม้บ่อยครั้งจะโดนพวกไอ้โหน่งมันแกล้ง...
และอาจจะต้องรู้สึกเหงาที่อยู่คนเดียวก็ตาม
แต่ว่าพ่อต้องทำงานหนักคนเดียว เรารู้สึกสงสารพ่อมากกว่า ถ้าแม่ไปอยู่กับพ่อก็คงจะดีกว่า...

หลังจากที่แม่ไปทำงานที่กรุงเทพฯแล้ว บางวันเวลาที่เดินไป-กลับจากโรงเรียน
ระหว่างทางก็จะเจอพี่ยักษ์แล้วพี่เขาก็จะแวะรับไปส่งที่โรงเรียนหรือมาส่งที่บ้านบ่อยๆ

จนเราเริ่มรู้สึกสนิทใจกับพี่เขามากขึ้น เพราะที่จริงพี่เขาก็ไม่ได้ดูดอย่างที่คิดเท่าไหร่ตอนหลังก็เราเลยไม่ค่อยหลบหน้าแล้ว

----------

วันนั้น...ในขณะที่เรานอนทำการบ้าน อยู่ที่บ้านเหมือนทุกที แต่จู่ๆ พี่ยักษ์ก็มาที่บ้านเราเหมือนกับกำลังมองหาอะไรบางอย่าง...

คงเพราะช่วงนี้แม่เราจ้างให้พี่เขาดูเรื่องระดับน้ำที่นาด้วยมั้ง เพราะฝนมันตกหนักพี่เขาก็เลยอาจจะมาหาอุปกรณ์อะไรที่บ้านเรา

แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็คือ พี่เขาดันชวนเราไปนอนที่กระท่อมด้วยเนี่ยสิ...

เราครุ่นคิดอยู่สักพัก เพราะพอมานั่งคิดว่าได้ไปนอนค้างนอกบ้านเปลี่ยนบรรยากาศ
ก็น่าสนุกดีเหมือนกันนะ...แถมช่วงพักหลังเราเริ่มคุ้นชินกับพี่เขาแล้วด้วยสิ

“ไปก็ได้ฮะ!” พอคิดได้แบบนั้นเราตอบตกลงพี่เขาทันที
ก่อนจะรีบเก็บการบ้านที่พึ่งทำเสร็จให้เรียบร้อย แล้ววิ่งออกไปหาพี่เขา...

Vitamin25 โพสต์ 2022-7-1 21:34:47

อันนี้เป็นเรื่องราวก่อนที่เราจะเริ่มเล่าตอนที่ 1 (นี่แหละเรื่องที่เราเอามาคุยกันกับพี่เขา ที่เราบอกไว้ในท้ายตอนที่ 7 แต่เราจะเล่าในมุมมองของเรา)

ซึ่งเรื่องที่เกิดขึ้นในตอนนั้นเรายังเด็กมากกก เหตุการณ์หลายๆอย่างก็จะอาจจะเลือนลาง

ภาพจำเหตุการณ์ที่เกี่ยวกับพี่เขาที่ชัดจริงๆ ก็คือตอนที่เราเห็นพี่เขาครั้งแรกนั่นแหละ

จากนั้นก็ตามที่เล่าเลย ด้วยความเป็นเด็กอ่ะ แล้วหน้าตาพี่ดินเวลานิ่งคือดูดุและน่ากลัวสุดๆ

เราก็จะหลบหน้าหลบตาพี่เขาเป็นประจำ แถมภาพที่เราเห็นพี่เขาร้องไห้มันยังติดตาอยู่เลย ก็เด็กอ่ะเนอะเลยคิดเอาไว้ว่าพี่เขาอาจจะโกรธเราเรื่องนี้แหละ พี่เขาเลยทำหน้าดุใส่ๆ 555555

ช่วงนั้นเราก็เลยไม่ค่อยได้ใส่ใจเกี่ยวกับพี่เขาสักเท่าไหร่

nymphia โพสต์ 2022-7-1 21:41:03

น้าดินชอบแกล้งขู่พี่หรือคะ

lekthai โพสต์ 2022-7-1 21:53:03

ขอบคุณครับ

xoman โพสต์ 2022-7-1 22:01:51

ขอบคุณครับ

jumboa โพสต์ 2022-7-1 22:20:25

ขอบคุณ​ครับ.

OakyDogie โพสต์ 2022-7-1 22:36:48

เหมือนดูหนังภาค prequelอิ๊ๆๆ/ด้วยความที่พี่แกตัวใหญ่ท่าทางเข้มๆ หน้าดุๆ อ่ะเนาะ   เห็นตอนแรกก็ต้องกลัวเป็นธรรมดา555{:5_126:}

mojimaru โพสต์ 2022-7-1 22:59:16

ขอบคุณครับ

kookkoo โพสต์ 2022-7-1 23:01:23

ขอบคุณครับ

maravann โพสต์ 2022-7-1 23:05:26

ขอบคุณครับ

audiwoods โพสต์ 2022-7-1 23:50:30

ยังจำเรื่องตอนเด็กได้​ เก่งครับ

nuangnut1996 โพสต์ 2022-7-1 23:57:47

สนุกมากครับ

sirsar โพสต์ 2022-7-2 01:57:59

พี่ดินร้องไห้ทำไมนะ แล้วลูกนี่เกิดอะไรขึ้น น่าติดตามต่อไป{:5_137:}

koth2 โพสต์ 2022-7-2 03:37:47

ขอบคุณครับ
ได้คำตอบละ อ่านอันนี้หลังอีกอัน 555555
ตอนแรกกลัวพี่เค้าโดนงูกัด ตอนหลังก็โดนงูพี่เค้าแทนใช่มัย

aries0 โพสต์ 2022-7-2 07:12:43

ขอบคุนครับ

Forcely โพสต์ 2022-7-2 23:33:09

ขอบคุณครับ

komkertz โพสต์ 2022-8-9 23:45:28

ติดตามนะ
เขียนดีมาก

uuuukrubb โพสต์ 2022-9-5 21:43:15

เยี่ยมครับ

Kamanit007 โพสต์ 2022-9-11 09:35:55

อ่านเจอครั้งแรกคือตอนที่ 7 เลยอยากย้อนมาอ่านตั้งแต่แรก

Blackblood888 โพสต์ 2022-9-11 19:47:27

ขอบคุณมากนะครับ
หน้า: [1] 2
ดูในรูปแบบกติ: พี่ยักษ์ที่รัก [0]