รักพ่อดินที่สุดในโลกเลย ♥ [3]
หลังจากวันนั้นเราก็โดนพ่อเขาสั่งห้ามไม่ให้ไปวิ่งเล่นเด็ดขาดเพราะไม่งั้นแผลจะอักเสบได้...ที่มันกลายเป็นเรื่องใหญ่เรื่องโตขนาดนี้ก็เพราะตอนนั้นพอวันถัดมาพ่อดินก็พาเราไปหาหมอที่อนามัยทันที
เพราะพ่อเขารู้สึกว่าแผลมันใหญ่มากบวกกับกลัวว่าแผลเราติดเชื้อ
ทันทีที่เรารู้ว่าจะไปหาหมอ น้ำตาเราก็จะไหล เพราะรู้ชะตากรรมตัวเองดีว่ายังไงก็ไม่พ้นโดนจับฉีดยาแน่
ก็หมอที่อนามัยน่ะ เอะอะก็จับฉีดยาๆ ตลอดเลย!!
สุดท้ายพอไปถึงก็โดนจับฉีดยาจริงๆด้วย...แถมตอนพยาบาลจับทำแผลใหม่อีกรอบเราพึ่งได้มีโอกาสเห็นแผลตัวเอง
คือตอนแรกอ่ะไม่กล้ามองแผลเลย กลัว
แผลมันลึกและใหญ่มากกกเหมือนกับว่าโดนปลาชะโดกัดกระชากจนเนื้อแหว่งไปเลย...
ตอนแรกคิดว่าตรงแผลเป็นแค่รอยฟันของมันซะอีก
นั่นเลยเป็นเหตุผลที่พ่อดินสั่งห้ามไม่ให้เราวิ่งเล่นกับเพื่อนเด็ดขาดเพราะพอแผลมันใหญ่มันก็หายช้า
แล้วถ้าวิ่งเล่นอีก แผลจะอักเสบไปกันใหญ่
พ่อดินขู่ไว้ว่า “ถ้าแผลอักเสบจะโดนพ่อจับฉีดยาแน่” ตอนนั้นเราตกใจกลัวมาก
แล้วก็เชื่อจริงๆ นะว่าพ่อเขาจะจับเราฉีดยาเพราะเราก็ถามไปว่าพ่อดินมีเข็ดฉีดยาหรอ
พ่อเขาก็ตอบกลับมาว่า
“มีสิ เข็มพ่อใหญ่กว่าของหมอที่อนามัยอีกนะถ้าไม่เชื่อหนูจะลองดื้อกับพ่อดูก็ได้”
พอได้ยินแบบนั้น มันทำให้เราต้องเชื่อฟังพ่อเขาทันทีใครจะไปอยากโดนเข็มฉีดยากัน!!
แต่พอโตมาถึงได้รู้ว่าเข็มฉีดยาที่เขาหมายถึงไม่ใช่เข็มจริงๆแต่เป็นอีกเข็มหนึ่งต่างหาก...
----------
ทำให้ช่วงนั้นเราทำได้แค่นั่งดูเพื่อนๆ วิ่งเล่นกันเท่านั้นแถมแทบจะโดนพวกไอ้ต้องมันยึดบ้านต้นไม้ไปแล้วด้วย ปีนป่ายกันสนุกเลย...
พอมองไปทางเพื่อนผู้หญิงที่กำลังเล่นกระโดดยางกันอยู่ เราก็เล่นไม่ได้อีก
นั่งเป็นหมาหงอยเพราะเล่นอะไรไม่ได้สักอย่างเล้ยยยยยยย
บ่ายวันนั้นจู่ๆพี่ดาวและเพื่อนของเขาก็ขี่จักรยานมาตรงจุดที่พวกเรากำลังเล่นกันอยู่และกวักมือเรียกเราให้เข้าไปหา
“เนี่ยหรอดาว...เด็กที่พี่ยักษ์รับมาเป็นลูกบุญธรรมอ่ะ...”
“ดูตุ้งติ้ง...เหมือนตุ๊ดเลย พี่ยักษ์เขาจะเลี้ยงเด็กแบบนี้ไว้ทำไมนะ...”
ยังไม่ทันที่เราจะได้พูดอะไร เพื่อนของพี่ดาวก็พูดขึ้นทันทีที่เห็นเราพอเห็นเราออกอาการหน้าเสียนิดหน่อย พี่ดาวก็เลยตีเข้าให้ที่แขนของเพื่อนเขา
“พี่ดาวมีอะไรหรอฮะ?...”เรารีบเปลี่ยนบทสนทนา แล้วทำเป็นว่าไม่ได้ยินที่พี่คนนั้นพูดถึงเรา
“อ๋อเปล่าๆ...คือพี่มีอะไรอยากจะถามสักหน่อย...”
“พี่ยักษ์เขาชอบกินอะไรหรอ? เธอรู้รึเปล่า?ตุ๊ดตู่...” พี่ดาวพูดไม่ทันจบเพื่อนของพี่เขาก็แทรกประโยคคำถามขึ้นมาทันที
ตอนเด็กน่ะแค่โดนล้อว่าตุ๊ด ตุ๊ดตู่ หรือเรียกกะเทย อะไรพวกนี้ เราก็รู้สึกว่ามันเป็นคำพูดที่รุนแรงและทำร้ายจิตใจมากแล้ว
มันรู้สึกแย่และไม่ชอบเอามากๆ เหมือนกำลังโดนล้อเลียน
“ก็...ชอบ...กินทุกอย่างเลยฮะ”เราพยายามกล้ำกลืนฝืนความรู้สึกแย่เอาไว้ และตอบกลับไป
ถึงแม้ตอนนั้นจะรู้สึกว่าน้ำตาเริ่มปริ่มๆ และคลอเบ้าแล้วก็ตาม
ไม่อยากคุยกับคนนี้เลย...
แต่เหมือนพี่ดาวคงจะจับสังเกตจากสีหน้าของเราได้ ก็เลยบอกให้เรากลับไปเล่นกับเพื่อนต่อ
เราก็เลยรีบหันหลังกลับทันทีถึงแม้จะไม่ค่อยเข้าใจว่าพี่เขาเรียกเราไปถามทำไมก็ตาม
---------
ในตอนที่พ่อดินกำลังเตรียมทำกับข้าวมื้อเย็นให้เราอยู่นั้น พวกเราก็นั่งคุยอะไรกันไปเรื่อยเปื่อยตามประสา
แต่แล้วเพื่อนของพี่ดาวสองคนที่มาหาเราเมื่อตอนบ่ายก็ขี่จักรยานซ้อนท้ายกันเข้ามาในบ้าน
“เอ้อ!...ว่าไง”พ่อดินทักขึ้นทันที่เห็นพี่ผู้หญิงคนนั้น แล้วก็เดินเข้าไปหาทันที
พวกเขาสองคนคุยกันดูสนุกสนาน เหมือนกับว่าเขาคงรู้จักกันมาก่อนอยู่แล้ว
แต่ไอ้ท่าที่แบบนี้น่ะ เราไม่ชอบเลย...
ตอนนั้นก็ไม่เข้าใจทำไมมันรู้สึกแบบนั้น ใจมันเต้นไม่เป็นจังหวะรู้สึกหงุดหงิดใจสุดๆ พาลทำเอารู้สึกน้อยใจจนน้ำตาจะไหล
เราเกลียดทุกครั้งที่มีผู้หญิงคนอื่นมาทำตัวสนิทสนมกับพ่อดินเขาแบบนี้มันรู้สึกไม่ชอบใจจริงๆ...
หลังจากที่พวกพี่เขายืนคุยกันสักพักใหญ่พอเห็นว่าฟ้าเริ่มจะมืดผู้หญิงคนนั้นก็ขอตัวกลับ
เท่าที่เราจับใจความได้ก็เหมือนจะทำกับข้าวมาฝากพ่อดินนั่นแหละ
แต่เราว่าอันที่จริงเราว่าพี่เขาหาเรื่องมาหาพ่อดินที่บ้านแล้วก็ชวนคุยซะมากกว่า...
“พี่ไปก่อนนะจ๊ะ...ตุ๊ดตู่เอาไว้วันหลังพี่จะเอาเสื้อผ้าสวยๆ น่ารักๆ มาฝากนะ”
ก่อนจะกลับพี่คนนั้นหันมาทางเราพร้อมกับพูดจาด้วยสีหน้ายิ้มแย้มด้วยความเป็นเด็กถึงเราจะไม่ชอบใจที่ถูกเรียกว่าตุ๊ดตู่
แต่ต้องฝืนยิ้มกลับไปเหมือนว่าไม่ได้รู้สึกอะไร...
“เดี๋ยว...” จู่ๆพ่อดินก็ร้องทักขึ้นมา ทำให้เราหันไปมองหน้าพ่อเขาทันที
“เอ็งจะมาเรียกน้องมันว่าตุ๊ดตู่แบบนี้ไม่ได้พี่ไม่ชอบนะบอกไว้ก่อน...” สีหน้าของพ่อเขาเริ่มจริงจังและน้ำเสียงก็ดูเปลี่ยนไป...
“พี่ยักษ์... หนูก็แค่ล้อน้องมันเล่นสนุกๆ เท่านั้นเองเห็นว่าน้องมันน่ารักดี...”พี่ผู้หญิงนั้นตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงอ่อยๆ และสีหน้าเลิ่กลั่กเล็กน้อย
“ล้อเล่นก็ไม่ได้ พี่ไม่ชอบน้องมันมาอยู่กับพี่ในฐานะลูกของพี่คนหนึ่ง เอ็งจะมาพูดจาไม่เห็นหัวพี่ กับน้องมันแบบนี้ไม่ได้
อย่าให้พี่ได้ยินว่าเอ็งเรียกน้องมันแบบนี้อีก...พี่ไม่ชอบพูดซ้ำสองนะ”
ประโยคหลังของพ่อเขาทำให้เราเองที่อยู่ตรงนั้นได้ยินเข้าก็รู้สึกเสียวสันหลังวาบไปด้วยเช่นกัน
พี่คนนั้นยิ้มรับแหยๆ แล้วก็รีบขี่จักรยานออกไปทันที
...
“พ่อดินฮะ...ผมไม่เป็นไรนะ...” เราพูดขึ้นมาขณะที่พวกเราสองคนกำลังนั่งกินข้าวกันอยู่
“หืมมม? ไม่เป็นไรเรื่องอะไร หมายถึงแผลที่ขาอะหรอ??ไอ้ตัวแสบ”
“ปะเปล่าฮะ...คือผมหมายถึง...เรื่องที่พี่คนนั้นเขาเรียกผมว่าตุ๊ดตู่...” อันที่จริงในใจเราก็ไม่ได้รู้สึกแบบที่พูดหรอก
เพียงแต่ตอนนั้นเราไม่อยากให้พ่อเขาต้องมีปัญหากับใครเพราะเราอีกแล้ว...พอนึกถึงภาพวันเก่าๆ
ที่พ่อเขาต้องออกตัวช่วยเราเรื่องนู้นเรื่องนี้ พอมาคิดๆดูแล้วก็สงสารพ่อเขาเหมือนกันนะ
“เฮ้ออออ หนูพูดเพราะไม่เป็นอะไรจริงๆหรือว่ามันมีอะไรมากกว่านั้นหรือเปล่า มา...เรามานั่งคุยกันดีๆ ดีกว่าบอกพ่อมาว่าหนูรู้สึกยังไง...”
พอพ่อดินพูดออกมาแบบนี้ เราก็เลยอธิบายบอกกับพ่อเขาไป...
“ไอ้ลูกหมาเอ้ย!พ่อยังไม่กลัวมีเรื่องเลย หนูจะไปกลัวทำไมเล่า!! ฮ่า”พ่อดินขยี้หัวเราพร้อมกับหัวเราะชอบใจ
“ก็...ผมไม่อยากให้พ่อดินโดนคนอื่นด่าว่าอีกแล้ว ผมไม่ชอบ...”
“ใครจะด่าพ่อก็ช่างเขาสิ แต่เขาอย่ามาด่าหนูให้พ่อได้ยินแล้วกันเรื่องนี้พ่อไม่ยอมแน่” พ่อเขาพูดจบก็ลูบแก้มเราเบาๆ
ถึงมันจะรู้สึกดีที่พ่อเขาคอยปกป้องเราตลอด
แต่ในใจลึกๆ เรากลับรู้สึกแย่...เพราะว่าพวกผู้ใหญ่นะชอบด่าลับหลังให้เด็กอย่างเราได้ยินบ่อยมาก
เหมือนเรื่องที่พ่อดินทะเลาะกับพี่โชค เราก็เคยได้ยินว่าเขาด่าพ่อดินสารพัดว่าคบไม่ได้ต่างๆ นานา...
เวลาที่เราได้ยินจะรู้สึกไม่ชอบใจแค่ไหน แต่ด้วยความเป็นเด็กน้อยมันทำอะไรไม่ได้เลยจริงๆ
เราได้แต่นั่งมองหน้าพ่อเขา ตอนนั้นรู้สึกอยากโตไวๆ เราอยากเป็นผู้ใหญ่แบบพ่อเขา
ถ้ามีใครมาทำอะไรหรือพูดจาให้ร้ายพ่อดิน เราจะได้ปกป้องพ่อเขาได้บ้าง...
---------
หลังจากวันนั้นพี่ผู้หญิงคนนั้นก็ไม่มาหาพ่อดินอีกเลย
อย่างน้อยนี่ก็นับว่าเป็นเรื่องดีเหมือนกันนะ
ในขณะที่เรากำลังรู้สึกดีใจได้ไม่นาน จู่ๆก็มีผู้หญิงขี่จักรยานเข้ามาในบ้านอีกแล้ว!!
แต่คราวนี้เป็นคนละคนกับครั้งก่อน เหมือนเราจะไม่ค่อยคุ้นหน้าพี่เขาด้วย...
“ว่าไงนวล...”คราวนี้พ่อดินทักขึ้นพร้อมกับเรียกชื่อเล่นด้วย ดูสนิทสนมกันยิ่งกว่าคนก่อนอีก...
“พี่ยักษ์จ้ะ...คือพ่อให้มาบอกว่าช่วงนี้เหมือนพายุจะเข้าอีกแล้วกลัวว่าน้ำมันจะท่วมนา พ่อเลยให้นวลมาถามว่าจะขุดระบายน้ำตรงไหนได้บ้าง?”
หลังจากนั้นพวกพี่สองคนก็ยืนคุยกัน เท่าที่เราจับใจความได้เหมือนพี่นวลจะเป็นลูกสาวของคนที่เช่านาพ่อดินเขาทำ
ถึงจะเช่าพื้นที่นาแล้วแต่ก็ไม่มีสิทธิไปขุดดินของเขามั่วซั่ว ก็เลยให้พี่นวลมาถามพ่อดินก่อน
“งั้นเอาอย่างนี้แล้วกัน...วันอาทิตย์นี้พี่ว่างพอดีเดี๋ยวพี่จะไปช่วยขุดดินทำร่องระบายน้ำไว้ให้ละกัน”
พี่นวลพยักหน้ารับ ก่อนจะหันมามองที่เราแบบแปลกๆ...
“เอ่อ...พี่ยักษ์จ้ะ นวลขอถามอะไรหน่อยสิพี่...คือพี่ไม่อยากมีลูกมีเมียบ้างหรอ?”
“หืมมมม...อืมมมมม”พ่อดินหน้านิ่งขมวดคิ้วเหมือนกำลังใช้ความคิดพร้อมกับมองมาที่เราเช่นกัน
“แต่ก่อนก็เคยอยากมีนะ...แต่ตอนนี้พี่ไม่อยากมีแล้ววะ ทำไมเหรอ?”
“อ้อ! เปล่าจ้ะ...นวลแค่ถามดูเฉยๆถ้างั้น...นวลไปก่อนนะพี่”ว่าแล้วพี่นวลก็หันหลังแล้วขี่จักรยานออกไปทันที
ตอนนั้นไม่เข้าใจเหมือนกันนะ ว่าพี่นวลเขาถามพ่อดินทำไม
แต่พอพี่นวลไม่ได้พูดอะไรต่อ เราก็เลยไม่สนใจอะไร...
---------
พอถึงวันอาทิตย์หลังจากที่เรากินข้าวเช้ากันเสร็จแล้วพ่อดินก็พาเราเตรียมตัวออกเดินทางไปที่นาของพ่อเขา
ที่ต้องเตรียมตัวก็คือหมายถึงพวกของกินขนมขบเคี้ยว เสื่อ อะไรต่างๆ
ที่เราจะไปนั่งเล่นฆ่าเวลาระหว่างที่รอพ่อเขาทำงาน
เพราะที่นาของพ่อเขาไกลจากหมู่บ้านมาก ถ้าหิวขนมขึ้นมาจะร้องกินไม่ได้เลย
หลังจากที่พ่อดินพาเราซ้อนมอเตอร์ไซค์มาสักพัก
ก็มาถึงบริเวณทางเข้าที่นาของพ่อเขา
พ่อบอกว่าจากตรงนี้ต้องเดินเข้าไป เพราะมันเป็นทางเกวียน ยิ่งหน้าฝนแบบนี้ขี่มอเตอร์ไซค์เข้าไปไม่ได้มันเละไปหมด
พอเดินเข้ามา ก็จริงอย่างที่พ่อเขาว่าเส้นทางที่เคยเป็นทางเกวียนนั่นเต็มไปด้วยน้ำเต็มไปหมด
เหมือนกับลำธารสายเล็กๆ แถมตลอดเส้นทางก็ยังมีต้นไม้ขึ้นเต็มไปหมดเหมือนกับป่าเลย บรรยากาศดีสุดๆ
“พอเลยๆ ไอ้ตัวแสบมาขี่หลังพ่อนี่ แหม่เว้ยเห็นน้ำเป็นไม่ได้ลงเล่นอยู่เรื่อย โดนน้ำสกปรกเดี๋ยวแผลก็อักเสบหรอก”
พ่อดินส่งเสียงไล่ตามหลังมาทันทีที่เห็นเราวิ่งเล่นตามทางน้ำอย่างสนุกสนานทำเอาเรารู้สึกเซ็งไปเลย...
“พ่อดินฮะ แผลผมมันแห้งแล้ว ไม่เป็นไรหรอกกกก” เราตอบกลับไปด้วยสีหน้ามุ่ยๆ
“มา...ยังอีก...เดี๋ยวนี้หัดดื้อใหญ่แล้ว...” พอพ่อเขาเริ่มทำน้ำเสียงนิ่งทีไร เราเป็นต้องสยบแต่โดยดีทุกที...
หลังจากที่เรายอมขึ้นขี่หลังพ่อเขาแล้ว เราก็เดินทางกันต่อ
ซึ่งระยะทางเดินเข้าไปนั้นไกลมากๆเดินเท้าเข้าไปน่าจะประมาณสามถึงสี่กิโลได้
บรรยากาศรอบข้างเงียบเชียบไปหมด จนได้ยินเหมือนเสียงคนคุยกันจากที่ไกลๆ
หรือแม้กระทั่งเสียงรถที่วิ่งบนถนนที่พ่อเขาจอดมอเตอร์ไซค์ทิ้งไว้
พอถึงจุดที่คิดว่าน่าจะเป็นบริเวณที่นาของพ่อดิน พ่อเขาก็เดินเข้าไปข้างหน้าจะมีกระท่อมอยู่ด้วย
จะบอกว่ากระท่อมก็ไม่เชิง สภาพมันคล้ายบ้านหลังเล็กๆที่ยกพื้นสูงซะมากกว่า
เพราะสภาพมันดูแข็งแรงกว่ากระท่อมที่นาของแม่เราซะอีก...
พื้นที่นาของพ่อดินจากคันนาตรงถนนลงไป จะเห็นเป็นพื้นที่ลาดเอียง
ถ้าเลี้ยงน้ำในนาให้ดี ก็ไม่จำเป็นต้องใช้เครื่องสูบน้ำ ใช้แค่วิธีการขุดระบายน้ำออกเล็กๆน้อยๆ ก็พอ
ให้มันไหลเข้าไปในนาข้างๆ ที่อยู่ในระดับที่ต่ำกว่า
ที่นาของพ่อเขาดีจริงๆ ติดแค่ว่ามันอยู่ไกลไปหน่อยแค่นั้นเอง
ตรงจุดนั้นจะเห็นชายหญิงแก่วัยกลางคนยืนอยู่กับพี่นวล ซึ่งเราคิดว่าลุงกับป้านั่นน่าจะเป็นพ่อแม่พี่นวลเขานั่นแหละ
“อ้าว แล้วนั่นโตป่านนี้แล้วยังขี่หลังอยู่อีก ลงเลยๆไอ้ห่านิ ไม่ได้ช่วยอะไรแล้วยังทำตัวเป็นภาระอีก”
จู่ๆลุงคนนั้นก็ร้องทักขึ้นมาทันทีที่เห็นเราเกาะหลังของพ่อดินอยู่
เรารู้สึกอึ้งและตกใจในคำพูดของลุงคนนี้พอสมควร เพราะเราไม่เคยรู้จักเขามาก่อน
อาจจะเคยเห็นหน้าผ่านๆ แต่ก็ไม่ได้เคยพูดเคยคุยอะไรกัน ทำไมจู่ๆ ลุงเขามาพูดกับเราแบบนี้ทำเอาหน้าชาไปเลย...
“ไม่ได้เป็นภาระหรอกลุง น้องมันเจ็บขาอยู่ อีกอย่างผมรับลูกเขามาดูแลแล้ว… ก็ต้องดูแลให้ดีที่สุด
น้องมันมากับผม เพราะผมชวนมา ลุงไม่ต้องยุ่งกับเด็กมันหรอก” พ่อดินตอบกลับทันทีด้วยน้ำเสียงขุ่นนิดๆ
ทำให้ลุงคนนั้นยิ้มแหยๆ กลับมา
“หนูจะขึ้นไปรอพ่อบนกระท่อมก็ได้นะครับ นั่นกระท่อมของพ่อเองหรือจะเอาเสื่อไปปูนั่งใกล้กับที่พ่อขุดก็ได้ แล้วแต่หนูเลย”
พ่อดินวางตัวเราลงกับพื้นแล้วหันมาพูดกับเราด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนเหมือนไม่ได้สนใจสามพ่อแม่ลูกนั่นเลย...
แน่นอนว่าเราอยากไปนั่งเล่นบนกระท่อมมากกว่า เพราะบนกระท่อมเหมือนมีพื้นที่เป็นลานข้างหน้าไว้นั่งได้ด้วยขอไปสำรวจหน่อยเถอะ!
เราเดินผ่านลุงคนนั้นแบบพยายามไม่สบสายตา ไม่อยากมองหน้า
เพราะแค่ที่เขาพูดมาเราก็รู้สึกว่าไม่อยากคุยกับคนคนนี้แล้ว...
บนกระท่อมจะมีห้องที่มีประตูปิดอยู่ ด้วยความที่เห็นว่ามันเป็นกลอนที่ใช้ไม้ขัดเฉยๆเราก็เลยลองเปิดเข้าไปดู
เห็นพ่อดินบอกว่านี่มันกระท่อมของพ่อเขา ไม่เกี่ยวกับลุงคนนั้นแปลว่าเราก็เข้าไปดูได้แน่นอน
พอเปิดเข้าไปภายในห้องก็ไม่ได้มีอะไร เห็นมีแค่เสื่อกับมุ้งที่ถูกพับเก็บไว้บนหัวนอนเท่านั้น
แปลว่ากระท่อมนี้พ่อเขาอาจจะไม่ค่อยได้มานอนละมั้ง
จากนั้นเราก็เดินลงมาสำรวจรอบๆ มีโอ่งที่รองน้ำฝนไว้กินด้วย...ก็เห็นว่าเดินไปอีกหน่อยจะมีลำคลองด้วย
เรารู้สึกดีใจมาก จะได้เล่นน้ำอีกแล้ววว 55555
โอโห้ นี่สวรรค์บ้านนาจริงๆ นะเนี่ย มีทั้งน้ำคลองและน้ำฝนในโอ่งไว้ดื่มกินที่นาแม่เรายังไม่มีโอ่งรองน้ำฝนเลย
(คนพื้นที่นั้นส่วนใหญ่มักจะสร้างกระท่อมใกล้กับลำคลองหรือสระ
เพราะจะสะดวกมากกว่าหากต้องมาค้างคืนหรือนอนเฝ้านาที่กระท่อมเป็นเวลาหลายวัน)
พอเดินสำรวจจนพอใจแล้ว เราก็เลยหันไปดูทางที่พ่อดินกำลังทำงานขุดคันนาอยู่ เพราะได้ยินพวกเขาคุยกันเสียงดัง
ตอนนั้นที่เห็นคือพ่อดินกำลังใช้จอบฟันคันนา โดยที่ถอดเสื้อออกซึ่งมันก็ปกติของพ่อเขาอยู่แล้วถ้าทำงานทีไรจะชอบถอดเสื้อตลอด
กลัวเสื้อเปียกเหงื่อ พ่อเขาเคยบอกว่าไม่ชอบ พอเสื้อเปียกเหงื่อแล้วเหมือนมันเหม็นอับ
แต่สิ่งที่เราสะดุดตาก็คือ เหมือนที่ไหล่ของพี่นวลจะมีเสื้อของพ่อเขาพาดบ่าอยู่...
เราเริ่มมีปฏิกิริยารู้สึกว่าไม่พอใจทันที ทำไมต้องเสื้อของพ่อเขาไปพาดบ่าแบบนั้นด้วย
มายุ่งอะไรกับเสื้อของพ่อดิน!
เราเลยรีบเดินไปใกล้ๆ พ่อเขาทันที พอเห็นว่าเขาคุยกันจบเรื่องแล้ว
เราเลยได้จังหวะวิ่งไปตักน้ำจากโอ่งมาให้พ่อเขากิน
“พ่อดินคร้าบ ผมเอาน้ำมาให้”
“ขอบใจจ้า ลูกหมาน้อยใครหว่าน่ารักที่สุดเลย” พ่อดินขยี้หัวเราหนึ่งทีก่อนจะรับขันน้ำไป
จากนั้นพ่อก็ทิ้งตัวลงนั่งข้างๆ เรา ส่งสัญญาณมือไปบอกลุงคนนั้นว่าขอพักก่อน
“เป็นไงบ้าง ไปสำรวจมาหรือยังครับไอ้ลูกหมา”
“ไปดูมาแล้วฮะ! ที่กระท่อมของพ่อดินดีมากเลยมีโอ่งน้ำฝน แล้วก็มีคลองด้วยยยยย”
เรายิ้มแก้มปริเหมือนเป็นการบอกพ่อดินเป็นนัยๆว่าให้พาไปเล่นน้ำด้วย...
“เห็นน้ำเป็นไม่ได้ เป็นตาลุกวาวตลอดเลยนะ ฮ่า...แต่พ่อจะบอกไว้ก่อนนะ
ว่าคลองนี้มันคือเส้นเดียวกับที่พ่อพาหนูไปจับปลาอาทิตย์ก่อนนู้นแล้วหนูโดนปลาชะโดงับนั่นไง...ไม่กลัวเหรออออ”
พ่อดินยื่นหน้ามาใกล้พร้อมกับลากเสียงยาวเหมือนเป็นการขู่
“ไม่กลัวฮะ! ผมจะกอดคอพ่อดินลงเล่นน้ำถ้าปลาชะโดมาใกล้ ให้พ่อดินจัดการเลย!!” เราตอบกลับทันทีเพราะคิดไว้อยู่แล้วว่าน้ำมันน่าจะลึก
กอดคอพ่อเขาเล่นน้ำน่าจะดีกว่า 55555
“ไปๆ กลับไปเล่นบนกระท่อมนู่นไป มายุ่งอะไรผู้ใหญ่เขาจะคุยกัน เกะกะๆ หลบไป”ลุงคนนั้นเดินมาถึงก็โบกมือไล่เราให้ลุกจากตรงนั้นทันที...
เรารู้สึกงุนงงมากก็เลยมองหน้าพ่อดิน พ่อเขาก็เลยอุ้มเราไปนั่งบนตัก แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร
“เอ้า นวล เอ็งตักน้ำมาให้พ่อกับพี่เขากินหน่อยสิ” ลุงคนนั้นหันไปสั่งพี่นวลทันที
“ตักมาให้ลุงมั่นก็พอแล้วนวล น้องมันตักมาให้พี่กินแล้วไม่เป็นไร” พ่อดินรีบตอบปฏิเสธทันที
พอพ่อดินเรียกชื่อลุงคนนั้น ก็ทำให้เรารู้ทันทีว่าเขาชื่อว่า ลุงมั่น
แต่ลุงมั่นก็ยังหันมายิ้มใจดีสู้เสือแล้วพยายามชวนพ่อดินคุย ซึ่งพอลุงเขาเขยิบมาใกล้
เรารู้สึกไม่อยากอยู่ใกล้ผู้ใหญ่แบบนี้ก็เลยลุกเดินหนีไป บรรยากาศทุกอย่างที่นี่ดีหมดเลยยกเว้นลุงเนี่ยแหละ...
----------
หลังจากดวงอาทิตย์ส่องตรงหัว เหมือนเป็นเวลาบอกว่าถึงตอนเที่ยงแล้ว
ป้าที่เป็นแม่ของพี่นวลก็ขึ้นมาจัดเตรียมข้าวกลางวันแล้วก็เรียกผัวของแกและพ่อดิน ให้มากินข้าว
จังหวะนั้นพ่อดินให้เราเดินขึ้นไปนั่งรอข้างบนก่อน เพราะเขาจะเดินไปล้างเนื้อล้างตัวที่คลองสักหน่อยแล้วค่อยมากินข้าว
แต่ตอนที่เราขึ้นไปเห็นพวกเขานั่งล้อมวงกัน แล้วเห็นจานข้าวมีแค่สี่ที่ เรารับรู้ได้ทันทีเลยว่า
ไม่มีจานข้าวของเรา... เรายืนลังเลอยู่สักพักไม่กล้าเดินไปนั่งแล้วก็ไม่มีใครเรียกให้เราไปนั่งด้วย
จนกระทั่งพ่อดินเดินขึ้นมา
“หืมมม ไม่ไปนั่งกินข้าวละครับ หนูยังไม่หิวเหรอ?”
เราไม่รู้จะตอบยังไง ได้แต่มองหน้าพ่อดินทำตาปริบๆ พ่อดินเลยหันไปที่วงข้าวทันที
“อ้าว...ไม่มีของน้องเหรอ?”พ่อดินถามขึ้นเพราะเห็นจานข้าวที่ว่างอยู่มีแค่ใบเดียว
“เออๆ เอ็งขึ้นมากินข้าวก่อน…เด็กน่ะช่างหัวมันเถอะไม่ได้ทำงานทำการอะไรสักหน่อย จะมาร้องกินข้าวอะไรพร้อมกับคนที่เขาทำงาน”
ลุงมั่นกวักมือเรียก พร้อมกับขยับขยายที่นั่ง เว้นให้พ่อดินนั่งตรงกลางระหว่างลุงมั่นและพี่นวล...
…
“งั้นกินกันไปเลย เดี๋ยวผมไปขุดดินต่อจะนำร่องไว้ให้ ถ้าลุงกินเสร็จแล้วก็ขุดตามที่ผมขุดไว้ได้เลย...”
“ป่ะ ไอ้หมาน้อยเก็บของครับ เดี๋ยวพ่อขุดดินต่ออีกแปปนึง แล้วเดี๋ยวเรากลับไปกินข้าวที่บ้านกัน”
พ่อดินพูดกับลุงมั่น ก่อนจะหันมาบอกกับเรา แล้วเดินแบกจอบไปขุดดินต่อทันที...โดยที่ไม่ได้สนใจครอบครัวนั้นเลยสักนิด
--------
หลังจากที่พ่อเขาทำงานเสร็จ ก็พาเรากลับมาที่บ้าน ด้วยความที่ข้าวเช้ามันเกือบจะหมดแล้ว
เราก็เลยต้องหุงใหม่ พ่อเขาก็เลยขอตัวไปอาบน้ำก่อน พอพ่อเขาอาบน้ำเสร็จสักพักข้าวก็สุกพอดี
พ่อดินก็เลยถอดไข่เจียวให้กิน ถึงจะเป็นมื้อง่ายๆ แต่พวกเราสองคนก็กินอิ่มดีมีความสุข
พ่อเขาไม่เคยปล่อยให้เราอด หรือไม่เคยให้เราต้องกินข้าวที่หลังเขาเลย
บางครั้งให้เรากินอิ่มก่อนซะด้วยซ้ำพ่อเขาถึงกินตาม
การกระทำของลุงมั่นคงทำให้พ่อเขาไม่พอใจมากๆ แต่ด้วยความที่เหมือนเขาก็เป็นคนที่เช่านาพ่อดินทำอยู่
ก็เลยไม่อยากต่อว่าให้มีปัญหาอะไร...อีกอย่างวันปกติก็แทบไม่เคยเจอหน้ากันอยู่แล้ว
พ่อเขาก็คงไม่อยากต่อความยาวมากละมั้ง
หลังจากนั้นพ่อดินก็พาเราขึ้นไปนอนพัก นอนดูทีวีข้างบนบ้านพอใกล้จะเย็นพ่อดินก็ถามเราว่า
“คืนนี้ไปนอนข้างที่กระท่อมที่นาพ่อกันมั้ย?” เรากำลังรู้สึกเบื่อๆ นอนที่บ้านพ่อดีก็เลยตอบตกลงทันที
เราเตรียมข้าวของพวกผ้าห่มและขนมไปพร้อมเสร็จสรรพ เหมือนไปตั้งแคมป์
ตอนแรกพ่อดินจะทำกับข้าวไปเลยแล้วไปนั่งกินที่นั่น
แต่เราบอกว่าอยากก่อไฟทำกับข้าวที่กระท่อม...เพื่ออะไรก็ไม่รู้เหมือนกันแต่รู้สึกว่าบรรยากาศมันคนละแบบกับทำที่บ้าน 55555
พ่อดินเลยหุงข้าวกับหม้อไฟฟ้าเอาไว้ก่อน แล้วเอาหม้อใส่ถุงหิ้วแบบหนาๆไปพร้อมกับข้าวของไว้ทำกับข้าวง่ายๆ
เช่นไข่ ปลากระป๋อง และมาม่า แค่เห็นแบบนี้ก็ดูสนุกแล้ว
พอไปถึงรอบนี้ พ่อเขาให้เรานั่งรอริมถนนก่อน เพราะพ่อเขาจะขี่มอเตอร์ไซค์เข้าไปจอดไว้ใกล้ๆกับกระท่อม ถ้าจอดไว้ริมถนนกลัวจะหาย
คือคันนาข้างทางเกวียนเนี่ย มันจะใหญ่กว่าคันนาทั่วไปพอสมควรทำให้ขี่รถมอเตอร์ไซค์เข้าไปได้ แต่ต้องอาศัยการบังคับดีๆ
ไม่งั้นอาจจะพลาดล้มคว่ำลงคูนาข้างทางได้พ่อดินก็เลยไม่กล้าซ้อนเราเข้าไปด้วย
ก็เลยเข้าไปก่อนพร้อมกับของบางส่วนแล้วเดี๋ยวออกมารับเรา
ระหว่างที่นั่งรอก็เหมือนฟ้าจะชอบแกล้ง เพราะจังหวะนั้นครอบครัวพี่นวลก็เดินสวนออกมาพอดี
เรารู้สึกอึดอัดใจอย่างบอกไม่ถูก ได้แต่ก้มหน้าเขี่ยดินเล่นไปมา ไม่อยากมองหน้าพวกเขา
โชคดีที่พวกเขาเองก็เดินผ่านไป ไม่ทักไม่ทายอะไรเราทั้งสิ้น ทำเป็นไม่เห็นเราเหมือนกัน
ก็เลยทำให้ไม่ได้ยินคำพูดระคายหูออกจากปากลุงมั่นอีก
สักพักพ่อดินก็ออกมารับเรา แล้วให้เราขี่หลังพ่อเขาเข้าไปเหมือนตอนบ่าย
เย็นนั้นพวกเรานั่งทำกับข้าวกันที่กระท่อม มันสนุกมาก บรรยากาศมันต่างจากที่บ้านจริงๆด้วย
หลังจากนั้นพ่อดินก็พาเราไปอาบน้ำที่คลองก่อนที่ฟ้าจะมืด เพราะที่นี่มันล้อมรอบไปด้วยต้นไม้ค่อนข้างเยอะจะมืดไว แถมไม่มีแสงไฟอีก
ประจวบกันวันนั้น เหมือนฝนจะตก ก็เลยมีลมพัดแรงโชยมาเป็นระยะๆ อากาศกำลังดีเลย
หลังจากกินข้าวเสร็จเราก็นั่งคุยกันสักพัก ยุงก็เริ่มมาตอม
พ่อดินก็เลยพาเราเข้าไปนอนคุยกันในมุ้ง
ด้วยความที่มันยังไม่ดึกมาก แล้วเรายังไม่ง่วง ก็เลยชวนพ่อดินเขาคุยไปเรื่อย
“พ่อดินฮะ พ่อดินมานอนที่นี่บ่อยมั้ย?”
“อืมมม ก็ไม่บ่อยนะ ปกติพ่อให้คนเช่านาทำก็เลยจะไม่ค่อยได้มานอนเฝ้านาสักเท่าไหร่ ถ้าเป็นตอนเด็กพ่อจะมานอนบ่อย”
“หูยๆๆ แล้วตอนเด็กพ่อดินมานอนคนเดียวไม่กลัวผีหรอฮะ?” เรารีบถามต่อทันที
เพราะนึกถึงภาพตอนที่พ่อดินเป็นเด็กแล้วมานอนที่นี่คนเดียวมันดูวังเวงน่ากลัวแปลกๆ
“ไม่กลัวจ้า ตอนนั้นพ่อไม่ได้มานอนคนเดียว มีพี่ชายของพ่อมานอนด้วยเขาชอบชวนมานอนเล่นแบบนี้แหละ อยู่ที่บ้านเบื่อตาสินชอบบ่น ฮ่า”
“พ่อดินมีพี่ชายด้วยหรอฮะ?!! แล้วพี่เขาไปไหนอ่ะทำไมผมไม่เห็น”
“มีสิ...” พ่อดินตอบกลับมาหลังจากนั้นก็เล่าเรื่องราวของพี่ชายเขาให้ฟัง นั่นคือครั้งแรกที่เรารับรู้เรื่องราวของ“พี่เด่น”
“อ้าว...แล้วตอนนี้ลุงเด่นอยู่ที่ไหนฮะ?”เราถามซ้ำอีกรอบ
เพราะเหมือนพ่อเขาจะเล่าแค่เรื่องราวในวัยเด็กของเขาให้เราฟังเท่านั้นเองแต่ไม่ได้บอกว่าลุงเด่นไปไหนแล้ว...
“ลุงเด่นไปสวรรค์แล้วววว ฮ่า”
“หะ? ไปอยู่ที่นครสวรรค์หรอฮะ?”เราถามซ้ำอีกเพราะตอนนั้นเข้าใจว่าพ่อดินเขาหมายถึง นครสวรรค์...
“อืมมมม ไม่ใช่จ้ะ...สวรรค์ที่พ่อหมายถึงคือบนฟ้า”
…
….
ทุกอย่างเงียบกริบทันที
“อ้าวเงียบเลยไอ้ตัวแสบ...”
“...พ่อดิน...หมายถึงว่าลุงเด่นเสียแล้วหรอฮะ?...” เราถามกลับด้วยน้ำเสียงละล่ำละลัก
“ใช่จ้า”
พอพ่อเขาตอบกลับมาแบบนั้น เรารีบเขยิบตัวเข้าไปนอนชิดกับพ่อเขายิ่งกว่าเดิม
ทำเอาพ่อเขาหัวเราะชอบใจใหญ่ ที่ตอนนั้นเรารู้สึกกลัวก็เพราะว่าพ่อดินเล่าให้ฟังว่า
ที่นาผืนนี้ตอนแรกลุงสินยกให้พี่เด่นก่อน กระท่อมนี้พี่เด่นก็เลยมักชอบนอนมาค้างบ่อยๆ
เหมือนเป็นบ้านหลังที่สองของพี่เขาเลย...
พอได้ยินมาว่าเขาไม่อยู่แล้ว เรายิ่งกลัวเข้าไปใหญ่ ตอนนั้นเด็กอ่ะเนอะ
อย่าคิดถึงเรื่องคำพูดปลอบใจ มันไม่มีอยู่แล้ว กลัวผีอย่างเดียวจ้า...
หลังจากที่นอนไปสักพัก ลมก็เริ่มพัดแรงขึ้นเป็นสัญญาณว่าฝนน่าจะตกในไม่ช้า
แถมเสียงลมที่ตีกระทบกับกิ่งไม้รอบกระท่อมยิ่งทำให้บรรยากาศน่ากลัวเข้าไปใหญ่
ตอนนั้นเราคิดอะไรไม่ออกก็เลยขึ้นไปนอนบนตัวของพ่อเขา...ใช่เราขึ้นไปนอนทับเลย
คือด้วยความที่ดูหนังผีเยอะถ้าเรานอนหันหลังพี่มันจะมาข้างหลังไง
แต่นี่พอเรานอนทับพ่อเขา หลังเราจะหันขึ้นฟ้าซึ่งในความคิดของเด็กตอนนั้น
เราคิดว่าผีจะมาจากด้านหลังเราไม่ได้แน่นอน เพราะมันมีแต่อากาศ55555
“เดี๋ยวๆ ไอ้ตัวแสบ นอนทับพ่อแบบนี้เลยเหรอ? ฮ่า”พ่อดินหัวเราะชอบใจ จนเราสัมผัสได้ถึงแรงสั่นสะเทือนตรงแถวหน้าท้องของพ่อเขา
“พ่อดินฮะ ผมขอนอนแบบนี้นะ ...ผม...กลัว”
“จ้าๆ”
“พ่อดินฮะ...กอดผมหน่อย กอดแน่นๆ นะ” พอเราพูดจบพ่อดินก็ไม่ได้พูดอะไรตอบกลับมา
แต่หน้าท้องของพ่อเขามันสั่นๆ ทำให้เรารู้ว่าพ่อเขาก็หัวเราะอยู่แน่ๆ
สักพักเราก็สัมผัสได้ว่ามีฝ่ามือมาลูบหัว และลูบหลังเราเบาๆจนในที่สุดเราก็รู้สึกว่ามันสบายตัวและปลอดภัยก็เลยหลับไป...
หลับไปทั้งที่ยังนอนบนตัวพ่อเขาแบบนั้น...
พอมองย้อนกลับไปเราในตอนเด็กนี่ขี้อ่อยแบบไม่รู้ตัวเหมือนกันนะ555555
ขอบคุณครับ ขอบคุณครับ ขอบคุณครับ มันคืออาการขี้อ้อนม๊างเนี้ย อิ๊ๆ/อ่านตอนนี้แล้วหลุดขำหลายทีเลย{:4_106:} ขอบคุณครับ ขอบคุณครับ ขอบคุณครับ อ่านแล้วไม่เข้าใจคนแถวนั้นนะ พ่อดินรับเราเป็นลูก เราก็อยู่กับพ่อดิน ถ้าอยากเข้าหาพ่อดินก็ต้องทำดีกับเราหรือเปล่า นี่มองข้ามหัวขนาดนี้ยังหวังให้พ่อดินชอบอีกหรอ คิดอะไรในหัวนะ {:5_140:}{:5_137:} น่ารักดีครับ ขอบคุณครับ. ขอบคุณมากนะครับ ขอบคุณครับ
อีกคนหึงเก่ง ปากกับใจก็ไม่ตรงกัน ชอบเก็บไปคิดคนเดียว อีกคนปกป้องเก่ง ดีหน่อยช่างสังเกตุและถามทุกเรื่อง ช่างสมกันจริงๆๆ
เอาจริงๆเรื่องบูลี่คนต่างจังหวัดเค้าคิดว่ามันเป็นเรื่องปรกติแหละก็ต้องทำใจสังคมเมื่อก่อนรวมถึงตอนนี้ในส่วนที่ยังมีชีวิตอยู่
แต่เรื่องไม่ให้กินข้าวด้วย แล้วพยายามขายลูกตัวเองเต็มที่เนี้ย บ้านนั้นเค้าเดินหมากผิดจริงๆๆ ถ้าอยากได้พี่ดินควรทำดีกับเจ้าของกระทู้เยอะๆนะ แต่นี้ไม่เข้าใจเค้าจริงๆๆแล้วที่หน้ากลัวคือเป็นทั้งบ้านนี้แหละ บ้านนี้ดูเห็นแก่ตัวและเห็นแก่ได้ แต่ก็มีข้อดีคือตรงไปตรงมาไม่ชอบก็ทำให้รู้ ไม่เล่นละคร
ปล. ถึงตอนเด็กไม่โดนเข็มพี่ดิน แต่โตมาก็โดนจนชินซินะ 55555555
จริงๆๆเราก็เป็นคนกลัวเข็มเหมืนกัน จนถึงตอนนี้ก็ยังกลัวแต่ไม่รู้ทำไมถึงกลัว จำได้ว่าเรากินยาเม็ดได้ตั้งแต่เด็กเพราะไม่ยอมฉีดยานี้แหละต่อลองหมอจนรอดทุกครั้ง มีอยู่ครั้งนึงเราเกิดอุบัติเหตุนิดหน่อยเป็นแผลวงกลม หมอจะเย็บเราเลยตะโกนแล้วหมอก็ให้เราเลือกว่าจะเย็บดีๆๆ หรือจะให้ตัดเนื้อกับหนังตรงนั้นทิ้ง(อันนี้น่าจะขู่) เราเลยเลือกตัดทิ้ง 55555555 เพื่อนด่าชิบหายตัดทิ้งน่ากลัวกว่าเย็บอีก เราก็บอกว่าก็มันกลัวเข็ม ไม่ได้กลัวเจ็บนิ ทุกวันนี้ไปฉักวัคซีนโควิดต้องพากองเชียร์ไปด้วยเยอะๆๆ กว่าจะผ่านมาได้แต่ละรอบ สนุกมากครับ ขอบคุณครับ ขอบคุณมากครับ ขอบคุณครับ พ่อดินน่ารักมากครับ จัดเต็มไปเลย ขอบคุณครับ ขอบคุณ