jokecup โพสต์ 2023-1-3 07:37:04

ซีรีส์หนุ่มใหญ่ ตอน พาที บทที่ ๓ พนักงานฝึกงานเริ่มมีบทบาท

บทที่ ๓ พนักงานฝึกงานเริ่มมีบทบาท
วันนี้ AblazeAgency มีการประชุมประจำเดือนของสำนักงานซึ่งพนักงานจากทุกแผนกจะเข้าร่วมการประชุมโดยพร้อมเพรียงกัน
พาทีในชุดสูทสีครามดูภูมิฐานยืนทำหน้าที่เป็นผู้ดำเนินการประชุมลักษณะเด่นของพาทีคือ นอกจากรูปลักษณ์ภายนอกของเขาจะดูชวนมองมาก ๆ แล้วเขายังเป็นคนที่มีเสน่ห์ในการพูดจา ทั้งจากท่าทีที่ดูสุขุมนุ่มลึกและทักษะในการสื่อสารที่ชวนฟังเขาสามารถโน้มน้าวให้คนในที่ประชุมจดจ่ออยู่กับสิ่งที่เขากำลังพูดและเห็นคล้อยตามได้ตลอดเวลาเขาจะวิเคราะห์การทำงานของแต่ละแผนกจากรายงานที่ส่งมาถึงเขาก่อนหน้าวันประชุมและสามารถบอกจุดแข็งและสิ่งที่น่าจะแก้ไขได้โดยที่คนในแผนกนั้นไม่ได้รู้สึกแย่หรือรู้สึกว่าเหมือนกำลังโดนสั่งสอนแล้วยังเปิดพื้นที่ในการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นต่อมุมมองของเขาอีกด้วยมันจึงทำให้บรรยากาศการประชุมเป็นไปได้ด้วยดี เพราะทุกคนมีสิทธิที่จะแสดงความคิดเห็นในเรื่องต่างๆ ได้อย่างมีอิสระ
หลังจากที่แลกเปลี่ยนความคิดเห็นต่อการทำงานของแผนกต่างๆ เกือบครบแล้ว พาทีก็หันมามองที่น้อยโหน่งหลังเหตุการณ์วันปาร์ตี้เดย์เจ้าตัวก็เปลี่ยนไป เขากลับไปตัดผมซอยสั้นไม่แต่งหน้าหรือแต่งให้บางที่สุดจนดูเหมือนไม่ได้แต่งและแต่งกายในชุดเครื่องแต่งกายพนักงานชายมาทำงานนั่นเป็นสิ่งที่ทำให้พาทีรู้สึกไม่ค่อยสบายใจเขารู้สึกว่าที่น้อยโหน่งเปลี่ยนไปนั้นน่าจะเกิดภาวะอะไรบางอย่างต่อจิตใจซึ่งมันแสดงให้เห็นว่ากำลังมีพนักงานในสำนักงานของเขาที่รู้สึกไม่มีความสุขในที่ทำงานพาทีครุ่นคิดมาหลายวันว่าควรพูดคุยเรื่องนี้ในที่ประชุมหรือไม่แต่สุดท้ายเขาคิดว่าควรจะต้องสะสางไม่ให้เรื่องนี้ติดค้างคาใจของเขาและคนทำงานทุกคนควรจะได้เรียนรู้เรื่องนี้ร่วมกัน
“เรื่องสุดท้ายที่ผมอยากจะนำมาเสนอและร่วมหารือกับทุกๆ คนในที่นี้ มันเป็นเรื่องที่ค่อนข้างละเอียดอ่อนและอาจจะเป็นเรื่องใหม่สำหรับพวกเรา ผมอยากให้ทุก ๆคนตั้งใจและเปิดใจฟังเรื่องนี้ด้วยกัน” พาทีเว้นจังหวะการพูดเล็กน้อย เขามองไปรอบๆ โต๊ะประชุมสังเกตอากัปกิริยาของทุกคนก็รู้สึกได้ว่าทุกคนกำลังงุนงงกับการเปิดประเด็นของเขาพาทีเห็นดังนั้นจึงไม่รอช้า รีบกล่าวต่อเพื่อไม่ให้ทุกคนคิดอะไรกันไปไกล
“ผมตั้งใจสร้างออฟฟิศของเราให้เป็น Happy Workplace อยากให้พวกเรารู้สึกสบายใจเมื่ออยู่ในสถานที่นี้อยากให้ทุกคนเป็นตัวของตัวเองเพราะฉะนั้นระเบียบของบริษัทจึงไม่เคยมีกฎข้อห้ามหรือข้อบังคับในเรื่องหยุมหยิมที่เป็นเรื่องส่วนตัวเราไม่เคยมีกฎเรื่องการทำผม การแต่งกายหรืออะไรก็ตามที่คุณจะทำเพื่อบ่งบอกอัตลักษณ์ของคุณเพราะคิดว่านี่เป็นเรื่องสิทธิขั้นพื้นฐานที่ทุกคนควรมีซึ่งตลอดมาผมคิดว่าพวกเราทุกคนมีความสุขกับการทำงานที่นี่จนเหตุการณ์บางอย่างที่เกิดขึ้นเมื่อไม่นานมานี้ทำให้เพื่อนร่วมงานของเราบางคนน่าจะรู้สึกอึดอัดต่อการถูกปฏิบัติจากอัตลักษณ์ที่เขาแสดงออก”
พูดถึงตรงนี้ แม้พาทีจะไม่ได้เอ่ยชื่อใครออกมาแต่เหมือนทุกคนก็จะรู้ว่าเขาหมายถึงใคร ตอนนั้นทุกสายตารอบโต๊ะประชุมจึงหันไปมองที่น้อยโหน่งกันเป็นตาเดียวจนคนที่ถูกจ้องมองเกิดความรู้สึกอึดอัดและประหม่าขึ้นมาทันทีพาทีเห็นดังนั้นจึงรีบเบี่ยงเบนความสนใจของทุกคนให้กลับมาที่เขาโดยไว
“สิ่งที่สำคัญคือที่ผ่านมาเรายังไม่เคยพูดถึงประเด็นนี้กันอย่างจริงจังแม้เรื่องสิทธิและความเสมอภาคมันจะเป็นหนึ่งในนโยบายของบริษัทรวมถึงเรื่องของการคุกคามทางเพศในที่ทำงานด้วยซึ่งในยุคสมัยนี้ผมว่าพวกเราทุกคนน่าจะมีความตระหนักรู้ในเรื่องนี้กันอยู่เองบ้างไม่มากก็น้อยและเนื่องจากบริษัทของเรากำลังจะก้าวจากการเป็นบริษัทธุรกิจขนาดเล็กไปเป็นบริษัทธุรกิจที่ใหญ่ขึ้นที่ผ่านมาเราได้รับการยอมรับและยกย่องว่าเป็นธุรกิจที่ประสบความสำเร็จและเป็นองค์กรที่น่าจับตามองจากการพัฒนาองค์กรด้านธุรกิจแบบก้าวกระโดดแต่การที่องค์กรของเราจะเติบโตขึ้นได้ ไม่ใช่แค่การที่เราขยายฐานองค์กร มีคนทำงานมากขึ้นหรือมีผลประกอบการที่เพิ่มขึ้นเท่านั้น แต่ยังต้องมีตัวชี้วัดอื่น ๆมาช่วยให้องค์กรของเราเป็นไปตามหลักมาตรฐานสากลซึ่งหนึ่งในนั้นคือความใส่ใจในการทำให้พื้นที่การทำงานของเราเป็นพื้นที่ที่ปลอดภัยสำหรับทุกๆ คนด้วย”
ได้ยินอย่างนั้น ประจักษ์ ที่ปรึกษาขององค์กรก็ชิงถามพาทีขึ้นมาว่า“แล้วเราจะทำอย่างไรกับเรื่องนี้ล่ะ”
พาทีไม่ได้ตอบประจักษ์โดยตรง แต่หันไปทางนิกรหัวหน้าแผนกทรัพยากรบุคคล หรือ เอชอาร์ แล้วเอ่ยถามขึ้นมาว่า “ผมอยากถามคุณนิกรเกี่ยวกับรายงานเรื่องความรู้สึกของคนทำงานต่อสภาพแวดล้อมและบรรยากาศในการทำงานหน่อยครับพอสรุปให้พวกเราทุกคนในที่นี้ได้ทราบได้ไหม”
ผู้ถูกถามเผลอถอนหายใจออกมาดัง ๆ ออกมาก่อนที่เขาจะกล่าวตอบว่า “จริง ๆ บริษัทเรามีการร้องเรียนเกี่ยวกับเรื่องนี้อยู่บ้างเหมือนกันนะครับและมีมาอย่างต่อเนื่องด้วย”
พอนิกรกล่าวจบเสียงฮือฮาเซ็งแซ่ก็ดังขึ้นในที่ประชุมทันที
“ทำไมที่ผ่านมาถึงไม่เคยมีการรายงานเรื่องนี้เลย”พาทีเอ่ยถามหัวหน้าแผนกเอชอาร์ต่อไป
“เพราะพนักงานที่ร้องเรียนไม่ประสงค์จะให้ดำเนินการเพราะรู้สึกว่าเหตุการณ์ยังไม่ได้ร้ายแรงและไม่อยากทำให้เกิดภาวะอึดอัดในที่ทำงานขึ้นจึงแจ้งเรื่องมาเพื่อให้บันทึกไว้เป็นหลักฐานเท่านั้นแล้วก็มีพนักงานบางส่วนที่ลาออกไปหลังจากที่ได้ส่งคำร้องมาให้เราตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาผมจึงไม่ได้รายงานเรื่องนี้ในที่ประชุมหรือไม่ได้ทำเป็นรายงานให้คุณพาทีและคณะกรรมการบริหารได้ทราบทำให้ที่ผ่านมาเราจึงยังไม่ได้มีมาตรการอะไรที่จริงจังในการปฏิบัติเรื่องนี้”
พาทีถอนใจทันทีที่ได้นิกรพูดจบลงเขาเว้นระยะเพื่อครุ่นคิดอะไรบางอย่างก่อนที่จะพูดออกมาว่า
“ที่คุณประจักษ์เอ่ยถามว่าเราจะมีมาตรการต่อปัญหานี้อย่างไรเป็นสิ่งที่ผมอยากจะนำมาหารือในที่ประชุมนี้เราจะมีข้อตกลงกันอย่างไรเพื่อให้บรรยากาศในการทำงานของพวกเราทุกคนเป็นบรรยากาศที่ดีไม่มีความอึดอัดใจและอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุขแบบนี้กันต่อไป” พาทีโยนหินถามทางในที่ประชุมซึ่งก็ได้ผล มีคนแสดงความเห็นเปิดประเด็นถึงวิธีการที่พอจะทำได้ออกมาบ้าง
“ต้องมีการออกกฎระเบียบหรือแนวปฏิบัติในองค์กรเกี่ยวกับเรื่องนี้ไหม”
“แล้วแบบไหนที่เราทำได้ หรืออะไรที่ทำไม่ได้เรื่องนี้ต้องมีข้อกำหนดที่เป็นรูปธรรมอย่างชัดเจน”
“เคยเห็นบริษัทอื่นเขามีการอบรมพนักงานเรื่องคุกคามทางเพศในที่ทำงานกันอย่างจริงจัง”

เสียงแสดงความเห็นดังเซ็งแซ่จนเสียงทุ้มใหญ่เสียงหนึ่งดังก้องขึ้น
“แต่เอาจริง ๆผมก็ยังสงสัยว่าออฟฟิศเราจะมีการคุกคามทางเพศกันได้ยังไง เพราะที่ออฟฟิศเรามีแต่พนักงานผู้ชายเกือบทั้งนั้นหรือพวกผู้ชายคุกคามกันเอง แต่ก็ไม่น่าจะใช่”
“เรื่องที่มีการร้องเรียนที่ผมได้กล่าวไปก็เกิดขึ้นตั้งแต่สมัยที่เรายังมีพนักงานหญิงในออฟฟิศครับแต่จนถึงตอนนี้ที่มีกันแต่พวกเรา ผมก็ยังได้รับใบคำร้องทั้งเรื่องการเลือกปฏิบัติและการคุกคามทางเพศอยู่เป็นระยะครับ”
“โอ๊ยถ้าเรื่องตั้งนานแล้วคุณก็ไม่น่าเอามาพูดในที่ประชุมแล้วตอนนั้นที่มันเกิดเรื่องก็เพราะแม่พวกนั้นขยันแต่งตัวล่อเสือล่อตะเข้กันเองแล้วจะมาหาว่าผู้ชายจ้องจะลวนลามได้ยังไง พวกคุณต้องเข้าใจธรรมชาติของบริษัทเอเยนซี่โฆษณามันเป็นสังคมของพวกครีเอทีฟที่เป็นผู้ชาย ธรรมชาติของผู้ชายก็ต้องทะลึ่งตึงตังพูดจาสองแง่สองง่าม มีการพูดแซวกันเป็นเรื่องปกติธรรมดา”
“อันนั้นผมก็ยอมรับว่าออฟฟิศเราเป็นแบบนั้นจริง ๆครับคุณประจักษ์ ผมเองก็ยอมรับว่าตัวเองบางครั้งก็เผลอพูดหรือหยอกล้ออะไรออกไปที่อาจจะทำให้คนฟังอึดอัดไม่สบายใจเหมือนกัน”พาทีกล่าวกับประจักษ์แต่เหมือนประจักษ์ก็ยังไม่เข้าใจประเด็นที่พาทีต้องการจะสื่อสารเขายังโยงมันไปยังเรื่องอื่นต่อ
“แล้วเรื่องแต่งตัวนี่ตอนนั้นก็มีไม่กี่คนนะที่แต่งตัววาบหวิวแบบนั้น คนอื่นเขาก็แต่งตัวเรียบร้อยไม่ได้มีปัญหาอะไร แล้วตอนนี้ก็ไม่ได้มีใครแต่งตัวอะไรแบบนั้นแล้วนี่”ประโยคท้ายประจักษ์เหลือบสายตาไปมองที่น้อยโหน่ง ยิ่งทำให้เจ้าตัวหน้าสลดลงไปอีก
แต่ขณะที่เสียงซุบซิบจากพนักงานยังดังระงมอยู่ อยู่ๆ ก็มีเสียงของเด็กหนุ่มร่างบางที่นั่งอยู่ด้านหลังแผนกครีเอทีฟดังสวนขึ้นมาว่า
“หรือจริง ๆสิ่งที่คุณประจักษ์พูดถึงการที่ไม่มีพนักงานคนไหนที่กล้าแต่งกายอย่างที่ตัวเองต้องการมันก็บ่งบอกได้แล้วว่าเขารู้สึกว่าไม่มีความปลอดภัยในพื้นที่การทำงานครับผมไม่ทราบว่าด้วยเหตุผลนี้ด้วยหรือเปล่าที่ทำให้พนักงานผู้หญิงถึงลาออกไปกันจนหมดจนตอนนี้ที่นี่จึงเหลือแต่พนักงานเพศชาย”
“แล้วนายรู้ได้ยังไงว่าใครอยากแต่งตัวแบบไหนไม่อยากแต่งแบบไหน”เสียงประจักษ์ตอบกลับด้วยความฉุนเฉียวที่เหมือนโดนคนที่เด็กกว่าพูดหักหน้าในที่ประชุมแต่ยังไม่ทันที่เด็กหนุ่มจะตอบอะไร น้อยโหน่งก็รวบรวมความกล้าพูดขึ้นมากลางวง
“แต่โหน่งก็รู้สึกแบบที่น้องบอกจริง ๆ นะคะหลังจากวันปาร์ตี้เดย์โหน่งก็ไม่กล้าแต่งตัวแบบที่แต่งวันนั้นมาที่ทำงานอีกเลยก่อนหน้านี้โหน่งเป็นคนชอบแต่งตัว และเคยแต่งตัวแบบที่ชอบไปข้างนอกซึ่งก็ไม่เคยเกิดเหตุการณ์อะไร โหน่งจึงรู้สึกมั่นใจว่าแต่งกายแบบนี้มาที่ทำงานได้แต่พอแต่งตัวแบบนั้นมาที่ทำงานมันกลับมีบางอย่างอย่างที่ทำให้โหน่งเกิดความรู้สึกไม่ปลอดภัยขึ้นมาโหน่งเลยไม่กล้าแต่งตัวแบบที่อยากแต่งมาทำงานอีกเลย”
“แต่งตัวแบบวันนั้นจะถูกมอง ถูกแซวก็ไม่แปลกหรอกจะไปบอกว่าคนพูด คนมองเขาคุกคามได้ยังไงก็ตัวคุณเองต่างหากที่เชื้อเชิญคนอื่นให้ทำแบบนั้น” ประจักษ์ยังไม่ยอมแพ้กล่าวต่อว่าน้อยโหน่งกลางที่ประชุมพาทีเห็นสถานการณ์ไม่ดีเขาจึงรีบเอ่ยตัดบทขึ้นมา
“ใจเย็น ๆ กันนะครับ ผมอยากให้เราค่อย ๆคุยและรับฟังกัน เพราะเรื่องนี้มันละเอียดอ่อน และเป็นเรื่องใหม่ที่องค์กรของเราต้องเรียนรู้ร่วมกันก่อนอื่นผมต้องขอบคุณน้อยโหน่งมาก ๆ ที่กล้าบอกความรู้สึกของตัวเองต่อพวกเราทุกคนบางครั้งการคุกคามหรือการทำให้เกิดความไม่สบายใจ อาจจะเกิดจากความไม่ตั้งใจซึ่งเป็นพฤติกรรมที่เราสามารถปรับเปลี่ยน แก้ไข และหาแนวทางที่จะไม่ให้เกิดสิ่งเหล่านี้ร่วมกันได้เพื่อทำให้เกิดพื้นที่การทำงานที่ปลอดภัย และสร้างความสบายใจให้กับทุก ๆคนในองค์กร เอาเป็นว่าผมจะรับเรื่องนี้ไปพิจารณาเพื่อหาทางออกอย่างจริงจัง”
แล้วการประชุมก็เปลี่ยนหัวข้อการหารือไปยังวาระถัดไปทันที
หลังประชุมเสร็จ พนักงานทุกคนของ Ablaze Agency ค่อย ๆทยอยออกจากที่ประชุมกลับไปทำงานที่แผนกของตนกันต่อพาทีจ้องมองภาพพนักงานตรงหน้าด้วยความสนใจประจักษ์เป็นคนแรกที่เดินออกไปดูเหมือนเขายังมีอารมณ์ฉุนเฉียวอยู่ไม่น้อยกลุ่มของย้งเดินตามหลังออกไปเงียบ ๆ ไม่มีการพูดจาอะไร พาทีไม่รู้ว่าหนุ่ม ๆในกลุ่มนี้คิดเห็นอย่างไรต่อประเด็นที่ทำให้เกิดการถกเถียงนั้นเพราะเป็นแผนกที่ดูเหมือนจะถูกเพ่งเล็งมากที่สุด พาทีเองนั้นเขาสนิทสนมกับหนุ่ม ๆกลุ่มนี้ เพราะทำงานด้วยกันมานาน เขาเองก็คุยหยอกล้อหรือคุยออกแนวทะลึ่งกับหนุ่ม ๆกลุ่มนี้บ่อย ๆ เพื่อไม่ให้บรรยากาศการทำงานเกิดความตึงเครียดจนเกินไป
ทีฆายุลุกตามหลังรุ่นพี่ในแผนกครีเอทีฟไปเล็กน้อยตอนที่เขาเดินออกไป น้อยโหน่งรีบลุกขึ้นวิ่งไปตามเด็กหนุ่มไปจนทันพาทีเห็นพวกเขายืนคุยอะไรกันบางอย่าง น้อยโหน่งยิ้มและจับมือเด็กหนุ่มรุ่นน้องเป็นครั้งแรกที่พาทีได้เห็นสีหน้าอ่อนโยนของเด็กหนุ่ม เขาส่งยิ้มตอบกลับแต่เพียงแวบเดียวใบหน้านั้นกลับเรียบเฉยดังเดิมก่อนที่สายตาของเด็กหนุ่มจะชำเลืองมองกลับเข้ามาในห้องและสบกับสายตาของเขาอย่างไม่ตั้งใจ พาทีรู้สึกตกใจเขาไม่ทันตั้งตัวว่าจะถูกอีกฝ่ายมองกลับมา แต่เพียงแวบเดียวสายตาที่จ้องมองเขาก็มองผ่านเลยไปเด็กหนุ่มเดินหลุดหายไปจากสายตาของพาทีแต่ไม่รู้ทำไมความรู้สึกที่โดนสายตาเรียบเฉยนั้นจ้องมองถึงทำให้หนุ่มใหญ่รู้สึกเสียวสันหลังวาบขึ้นมาได้จนถึงตอนนี้
รูปภาพของพาทีที่ถ่ายลงนิตยสาร GENT ถูกส่งเข้าไปในไลน์กลุ่ม ๆหนึ่งที่มีชื่อว่า ‘แก๊งเปรต ศ.ต.อ. รุ่น 64’ ไม่นานก็มีข้อความสนทนาตามมาไม่หยุด
เติร์ก: ๕๕๕ คนอวดพ่อ
ท็อป: ๕๕๕ พ่อกูดังใหญ่แล้ว
เติร์ก: โตแล้วนะมึง ยังจะเห่อพ่อตัวเองอีก
ท็อป: ก็พ่อกูทั้งหล่อ ทั้งรวย
เติร์ก: ควยใหญ่ด้วยรึเปล่า ๕๕๕
ท็อป: ไอ้สัตว์เติร์กมึงอย่าทะลึ่งกับพ่อกู
ซัน: กูว่าเล็กเหมือนลูกนั่นแหล่ะ
ท็อป: ไอ้เหี้ยซันมึงอย่าหยามผู้ชายบ้านกู
เติร์ก: พ่อลูกกันก็ต้องได้กันมา ๕๕๕
ซัน: แต่พ่อไอ้ท็อปมันก็หล่อ รวย จริง ๆ นั่นแหล่ะเหลือแต่ควยใหญ่เนี่ยแหล่ะที่ยังไม่ได้รับการพิสูจน์ ๕๕๕
ท็อป: ใจเย็น ๆ นี่พ่อกู
ซัน: ๕๕๕๕
เติร์ก: ๕๕๕๕
แล้วข้อความสนทนาก็เปลี่ยนประเด็นไปที่เรื่องอื่น ๆต่อ
---------------------------------


Keyin โพสต์ 2023-1-3 08:05:16

ขอบคุณ​ครับ​

สมพร โพสต์ 2023-1-3 08:28:40

ขอบคุณมาก

lekthai โพสต์ 2023-1-3 08:39:48

ขอบคุณครับ รอตอนต่อไป

akarui_boy โพสต์ 2023-1-3 09:42:14

สนุกมากฮะ

iHNONG โพสต์ 2023-1-3 10:43:11

ขอบคุณครับ

Ken09 โพสต์ 2023-1-3 10:43:45

รอติดนะครับ

zhanes โพสต์ 2023-1-3 11:31:09

อ่านสามตอนติด ขอรวบยอดเมนต์ทีเดียวนะครับ แฮ่ ดีใจที่กลับมานะครับ ยังคงคอนเซปต์เดาเรื่องต่อไม่ได้จีจี เรื่องนี้จะดาร์กมากไหมครับเนี่ย คุณพาทีเหมือนเป็นคนดี ไม่อยากให้โดนอะไรร้ายๆ (หรือเราจะโดนหลอก…) แต่ลูกคุณพาทีน่าจะแซ่บ ขอบทน้องเยอะๆ นะครับ อิอิ

xoman โพสต์ 2023-1-3 12:43:24

ขอบคุณ​ครับ

whitesockmen โพสต์ 2023-1-3 16:32:44

ขอบคุณมากครับสำหรับตอนที่3 เดินเรื่องได้อรรถรสขึ้นเรื่อยๆครับ {:5_146:}

audiwoods โพสต์ 2023-1-3 20:11:46

ลูกๆเข้ากลุ่มเพื่อเม้าท์​กันแบบนี้นี่เอง

Intra โพสต์ 2023-1-4 00:17:23

ประจักน่าจะรู้เห็นกับการกระทำนะ

guyinbkk2510 โพสต์ 2023-1-4 07:43:01

ขอบคุณมากครับ

ddavp โพสต์ 2023-1-4 10:30:26

ขอบคุณครับ

nuangnut1996 โพสต์ 2023-1-4 13:28:34

สนุกมากครับ

aomniverse โพสต์ 2023-1-4 13:58:56

ตัวละครเริ่มโผล่มาเยอะแล้ว รอติดตามตอนต่อไปนะครับ

eg1 โพสต์ 2023-1-4 14:57:08


ขอบคุณครับ

atten456 โพสต์ 2023-1-5 23:04:18

ขอบคุณ คับ

risingmoons โพสต์ 2023-1-6 12:43:06

ขอบคุณครับ

possto_01 โพสต์ 2023-1-6 17:04:58

ประจักษ์คือหนึ่งในการคุกคามแน่ๆ
หน้า: [1] 2 3
ดูในรูปแบบกติ: ซีรีส์หนุ่มใหญ่ ตอน พาที บทที่ ๓ พนักงานฝึกงานเริ่มมีบทบาท