One More Night: บังเอิญรัก โดยตั้งใจ (Chapter 53 อวสาน) Cp
คืนหนึ่ง“ไบรต์ เสร็จยางงงงงงงงงงงงง” ผมลากเสียงถามแฟนหนุ่มที่กำลังแต่งตัวอยู่ (แหม่ ผ่านมาจะสามปีละผมยังไม่ชินปากเลยครับ)
“เสร็จแล้ว” เค้าเดินลงมาจากชั้นสองของบ้านที่เราซื้อร่วมกันเมื่อปีที่แล้ว เป็นบ้านหลังเดิมที่พี่ภูมิเคยอยู่ หลังจากที่พี่ภัทรไม่ต่อต้านเรื่องการกินยาและเข้ารับการรักษาอย่างต่อเนื่องก็ทำให้สามารถรับงานบันเทิงได้บ้างประปราย การกลับมาของพี่ภัทรเป็นที่น่าสนใจของสื่อและประชาชนทั่วไป เรื่องราวของพี่ภัทรจึงขายได้ และเรตติ้งของเจ้าตัวก็กลับมาดีอีกครั้งในวัยสี่สิบสอง...พี่ภูมิเลยตัดสินใจขายบ้านหลังนี้และซื้อหลังใหม่แถวพัฒนาการ ซึ่งเป็นคนละฝั่งกับหมู่บ้านของเรา แกคงอยากจะพาพี่ภัทรไปเริ่มต้นใหม่ สิ่งแวดล้อมใหม่เพื่อเอื้อต่อการรักษาอาการกระมัง ทีแรกเฟียซจะซื้อบ้านหลังนี้ แต่ผมชิงซื้อมาเสียก่อน
“แล้วบ้านที่แกสร้างไว้จะเอายังไงล่ะคิง” เฟียซถามผมถึงเรือนหอที่ผมปลูกไว้สำหรับงานแต่งงานของเรา
“เรายกให้แก” ผมตอบสั้นๆง่ายๆ
“แต่”
“ไม่ต้องแต่ ถือว่าเป็นคำขอโทษจากเราในทุกเรื่อง โดยเฉพาะเรื่องลูก” เฟียซไม่ตอบ ได้แต่เหม่อลอยมองไปสุดลูกตา
“พี่คิง พี่คิง” เสียงแหบแห้งนั้นปลุกผมจากภวังค์ ผมจับจ้องไปที่หนุ่มหล่อวัยยี่สิบห้าปีรูปร่างสูงใหญ่ในชุดสูทสีดำ ที่ทาบเชิ้ตสีฟ้าอ่อน กางเกงสแล็กทรงเข้ารูปรัดทึ้งขับให้หุ่นของเค้าดูมีเสน่ห์อย่างบอกไม่ถูก ผมใจเต้นไม่เป็นจังหวะ คนบ้าอะไรจะหล่อได้ขนาดนี้วะ
“ครับ” ผมตอบด้วยใบหน้าร้อนผ่าว “ไปกันเถอะ” เราออกเดินทางจากบ้านไปที่โรงแรมชื่อดังแถวชิดลมเพื่อร่วมพิธีมงคลสมรส...
“ขอเชิญแขกผู้มีเกียรติทุกท่านพบกับคู่บ่าวสาวของค่ำคืนนี้ได้เลยครับ...” ผมมองเฟียซในชุดเจ้าสาวกำลังเดินออกมาอย่างช้าๆ เธอสวยราวกับนางฟ้า กลับดอกไม้โปรยตามพรมแดงพาเธอไปหาเจ้าบ่าวที่หน้าตาหล่อเหลาไม่ผิดจากแฟนหนุ่มของผมที่นั่งข้างๆ รายนั้นถ่ายรูปไม่ยั้ง ผมรู้สึกใจเต้นรัวด้วยความดีใจที่เห็นอดีตคนรักในค่ำคืนนี้
“นั่นลูกพี่เบสต์กับผู้หญิงคนนั้นใช่มั้ย” ผมถาม
“ใช่” ผมมองลูกพี่เบสต์ด้วยความรู้สึกสงสาร นิชาเสียชีวิตเมื่อสองปีก่อนด้วยอุบัติเหตุทางรถยนต์ ผมเชื่อว่ามันไม่ใช่อุบัติเหตุ แต่ก็ไม่อาจจะบอกได้ว่าเป็นฝีมือใคร เมื่อผู้ต้องสงสัยต่างก็อยู่รอบๆตัวผมทั้งหมด โดยเฉพาะไอ้แฟนหนุ่มตัวดีที่มีท่าทีดีใจจนปิดไม่มิดเมื่อได้ยินข่าวนี้
เฟียซก้าวช้าๆกระโปรงบานยาวจรดพื้นทำให้เดินลำบาก ยังดีที่ป๋ามาทำหน้าที่แทนพ่อของเธอโดยการควงแขนพาเดินไปที่หน้าเวที เฟียซยิ้มมองหน้าเจ้าบ่าว มองผู้เป็นแม่ที่กำลังยิ้มอย่างปิติอยู่ที่โต๊ะวีไอพีพร้อมครอบครัวพี่หมอ
“พี่ขอโทษนะเฟียซ พี่ไม่น่า...” หมอหนุ่มมองแฟนสาวอย่างปวดร้าว เธอเปราะบางราวกับแก้วคริสตัลที่พร้อมจะแตกสลายได้ตลอดเวลา
“ไม่ใช่ความผิดของพี่หรอกค่ะ เฟียซเองต่างหากที่ขอให้พี่ทำ” หญิงสาวเม้มปาก มองผลตรวจเลือดในมืออย่างสั่นเทิ้มเลือดของแม่กับเธอบอกว่าเป็นแม่ลูกกัน เลือดของเธอกับฟางก็เป็นพี่น้องที่ใกล้เคียงกัน...
“เพราะเรื่องนี้สินะ แม่ถึงไม่เคยพาเฟียซไปหาตากับยายเลย” หญิงสาวกำหมัดแน่น เรื่องราวที่นักสืบพิมพ์มาให้อ่านกรีดลึกไปถึงก้นบึ้งของความเจ็บปวด หญิงสาวคนหนึ่งถูกพ่อแท้ๆของตัวเองข่มขืนจนต้องหนีหน้าออกห่างจากครอบครัวยังเป็นที่เล่าขานในหมู่คนแก่ในละแวกใกล้เคียง และผู้หญิงคนนั้นชื่อเพ็ญแข...
เหตุการณ์นั้นเองทำให้พ่อของเธอเปลี่ยนไปเป็นคนละคน พ่อรับไม่ได้อย่างที่สุดในเรื่องนี้ ... เปล่า พ่อไม่ได้โกรธแม่แต่พ่อโกรธตัวเองที่ไม่สามารถปกป้องแม่ได้ ทั้งๆที่เป็นสิ่งที่พ่อควรจะทำ แรงขับเคลื่อนนี้เองทำให้พ่อแอบช่วยเหลือผู้หญิงที่ตกเป็นเยื่อของการล่วงละเมิดทางเพศอย่างเงียบๆ แต่ครั้งที่พ่อโดนจับเพราะว่ามีใครสักคนสร้างเรื่องว่าพ่อเป็นคนบ้ากาม ข่มขืนเด็กสาวรุ่นลูก
แต่พ่อเลือกที่จะไม่พูดอะไรออกมา...เพื่อจะปกป้องผู้หญิงคนอื่นที่พ่อเคยช่วยเหลือไว้ แต่หลังจากที่พ่อได้รับกรประกันตัวทุกอย่างก็ต้องยุติลง นั่นเองเป็นสาเหตุให้พ่อกับพ่อของคิงทะเลาะกัน...
ส่วนแม่...แม่รักพ่อตลอดมา และจะรักพ่อตลอดไป
“แม่คะ หนูขอบคุณแม่ที่เป็นทุกอย่างให้หนู หนูรักแม่นะคะ....” เสียงปรบมือดังกึกก้องเมื่อเจ้าสาวพูดจบ ก่อนที่บนเวทีจะมีความซาบซึ้งอีกครั้งกับการแสดงของเจ้าบ่าว
“พี่ภัทรไม่รู้เลยใช่มั้ยว่าพี่บั๊มพ์กับพี่เบสต์เป็นฝาแฝดกัน” เค้าเป็นฝ่ายชวนคุยเพื่อลดอาการกระอักกระอ่วน แน่นอนล่ะว่าคนที่เคยสนิทกันเมื่อสิบปีก่อนมาเจอกันในวันที่ทุกอย่างไม่เหมือนเดิม คงจะทำใจยากพอสมควรที่จะมองหน้ากันและกัน
“ครับ ไม่รู้เลย สองคนนี้ไม่ได้เรียนด้วยกัน เบสต์เรียนเตรียม บั๊มพ์เด็กสวน เบสต์เรียนหมอ บั๊มพ์ไปเปิดร้านอาหารที่เชียงใหม่ ในกลุ่มเพื่อนเลยไม่มีใครรู้เลยว่าบั๊มพ์มีพี่ชายฝาแฝด” พี่ภัทรที่ดูเหมือนอาการจะดีขึ้นตอบอย่างไหลลื่น ยาที่หมอให้มากดทับความเจ็บปวดของเขาให้หลงเหลือแต่ความว่างเปล่าในใจ ถึงแม้มันจะยังไม่หาย แต่ก็ดีขึ้นกว่าแต่ก่อนมากนัก
“พี่รู้แล้วใช่มั้ยครับเรื่องพี่นิชา” เค้ายังถามต่อ ผมมองจะห้ามแต่ก็ไม่ทัน
ภัทรกำหมัดแน่น ผู้หญิงคนนั้นก่อเรื่องทุกอย่าง ทั้งแอบย่องมาที่ห้องคนไข้ตอนที่เขาป่วยจนกลายเป็นข่าวดัง เรื่องที่ยุแยงบั๊มพ์ว่าเขาแอบนอกใจเดินกับผู้ชายคนอื่น เพราะคนๆนั้นคือพี่ชายร่วมสายเลือดของตน รวมไปถึงการตัดสายเบรครถจนบั๊มพ์ประสบอุบัติเหตุเสียชีวิต เมื่อเขาอาการดีขึ้น เรียบเรียงทุกอย่างได้ด้วยตัวเอง ก็ถึงเวลาที่จะต้องทำอะไรสักอย่าง ไม่อย่างนั้นผู้หญิงคนนั้นยังคงตามรังควาญชีวิตพวกเขาไม่จบสิ้น ภัทรยิ้มหลังจากที่ตอบคำถาม ฉายแววอาฆาตอย่างปิดไม่มิดสบสายตาที่ชายที่นั่งฟังอยู่เงียบๆด้วยความรู้สึกขอบคุณ
“ใช่ครับ พี่รู้แล้ว” ภัทรตอบ ก่อนจะขอตัวลุกออกมาข้างนอกโดยมีภูมิตามหลังมา
“อย่าไปถือสาไบรต์มันเลยนะภัทร”
“ผมไม่โกรธน้องเค้าหรอก ผมเอ็นดูมันยังกับเป็นน้องแท้ๆ” ภัทรตอบพี่ชาย
“แล้วนายจะทำยังไงต่อ”
“รักษาตัวไงครับ”
“แต่...”
“พี่ไม่ต้องห่วงครับ ไม่มีหลักฐานอะไรสาวถึงตัวผมได้หรอก”
ภูมิมองแผ่นหลังของน้องชายด้วยความขมขื่น ถึงแม้ภายนอกภัทรเหมือนจะดีขึ้น แต่ความโศกเศร้าที่เคยมีเหือดหายไปและแปรเปลี่ยนเป็นความเกลียดชังอย่างที่สุด
“นายสบายใจขึ้นแล้วใช่ไหม” ผู้เป็นพี่ถามด้วยความอาทร
“ผมไม่รู้” ภัทรตอบด้วยน้ำเสียงหมองหม่น “แต่ที่ผมรู้คือผมไม่ได้ใจดีแบบคนในครอบครัวนั้น” ภูมิเข้าใจได้ทันทีว่าน้องชายตนหมายถึงครอบครัวของเจ้าบ่าวของงานคืนนี้ “ทุกคนเลือกที่จะเงียบ เพราะไม่มีหลักฐาน มีแต่ความเชื่อที่คิดว่าเป็นไปได้ เมื่อไม่มีทั้งพยานและหลักฐาน คนอื่นเลยไม่มีใครกล้าทำอะไรกับคนเลวคนนั้น”
ภูมิไม่ตอบอะไร เขารู้ดีว่าบาดแผลในใจของน้องชายนั้นเรื้อรังจนไม่อาจรักษาให้หายขาดได้ ถึงแม้มันอาจจะมีปาฏิหาริย์ในสักวันหนึ่งก็ตาม แต่เรื่องราวทั้งหมดก็ยังทิ้งรอยแผลเป็นไว้จนไม่อาจกลับสวยงามได้ดังเก่า
“กลับบ้านเถอะ ได้เวลากินยาแล้ว” สิ้นเสียงพี่ชาย ภัทรเดินไปข้างหน้าอย่างมาดมั่น ไม่มีใครรู้ได้ว่าเขาจะหายดีในวันไหน เพราะความเจ็บปวดที่มีในใจมันลุกลามไปกัดกินทั่วสรรพางกายเสียแล้ว
--------------------------------------------------------------------------
“คืนนี้ไปเที่ยวต่อมั้ยครับ” เค้ายิ้มหน้าทะเล้นหลังจากที่คู่บ่าวสาวทะยอยถ่ายรูปกับแขกเหรื่อในงานทีละโต๊ะ เนื่องจากพี่เบสต์ยังลางานไม่ได้(เพราะเป็นหมอ) คืนนี้จึงไม่มีอ๊าฟเตอร์ปาร์ตี้ ผองเพื่อนของเราที่มาร่วมงานต่างก็ชักชวนกันไปต่อที่อื่น
“ไปที่ไหนอะ ดูสภาพพี่ด้วยนะ แก่ขนาดนี้แล้ว” ผมตอบ พลางปัดเศษกระดาษสีทองที่ถูกโปรยตอนเจ้าสาวเงินเข้างานออกจากแผ่นหลังของเค้า
“แก่ที่ไหนกัน พี่ยังดูดีในสายตาผมเสมอแหละ”
“อย่ามาอ้อน” ผมกระทุ้งสีข้างเค้าอย่างหมั่นไส้ “จะไปไหนว่ามา”
เค้าไม่ตอบ ได้แต่ยิ้มและขับรถพาผมไป....
เสียงดนตรีดังกระหึ่มโหมความคึกคักดังแทรกขึ้นมาทันทีที่เปิดประตูรถ พนักงานรับกุญแจก่อนที่จะขับออกไปหาที่จอดให้ พวกเราเดินตรงไปตามทาง
“นี่นายวางแผนไว้หมดแล้วเหรอ”
“แผนอะไรครับ” เค้ายิ้มเจ้าเล่ห์
“ก็แผนที่จะพาพี่มาที่นี่” ผมมองทางเข้าอย่างขยาด จะไม่ให้รู้สึกแบบนั้นได้อย่างไรล่ะ ถ้ามันไม่ใช่สถานที่เดิมที่ทำให้ผมได้เจอเค้าเมื่อสามปีก่อน
“เปล๊า” นั่น มีเสียงสูง ผมมองใบหน้าหล่อนั้นอย่างเอือมระอา สาวๆต่างจับจ้องมาที่พวกเราสองคนด้วยท่าทียั่วยวนเค้ากระชับผมเข้าไปในอ้อมกอดแสดงความเป็นเจ้าของอย่างชัดเจนจนผมตกใจ
“ไอ้บ้าปล่อย นี่มันหน้าผับนะ”
“ไม่ปล่อย ผมจะไม่ยอมให้ใครมาอ่อยเมียผมเด็ดขาด”
ผมถอนหายใจอย่างปลงตก การอยู่กับเค้าทำให้ผมเริ่มชาชินกับการแสดงความเป็นเจ้าเข้าเจ้าของผมเสียแล้ว
“ปะ เข้าไปข้างในนั้นกัน”
“ปล่อยก่อนสิ”
“ไม่ได้ ถ้าพี่เมาแล้วมาเจอใครที่ไหนหิ้วไป ผมจะทำยังไง”
ผมทำหน้าดุมองเค้าทำหน้าตากวนบาทาอย่างไม่แยแสว่าผมกำลังโมโหอยู่ แถมยังส่งใบหน้าเปื้อนยิ้มมาอีก
“จะมีใครลากพี่ไปได้ล่ะ มีแต่นายคนเดียวเท่านั้นแหละ”
“นั่นแหละดีแล้ว” เราเดินเข้าไปข้างใน เสียงดนตรีดังขึ้นเรื่อยๆ “ต้องขอบคุณที่นี่นะ ถ้าพี่ไม่เมาวันนั้นผมคงไม่ได้พี่วันนี้”
“นี่ ได้อะไร พูดให้ดีๆนะ” ผมแหวไปงั้น เพราะรู้ว่ายังไงเค้าก็ไม่สะทกสะท้าน
ผู้หญิงในร้านมองพวกเราตาเป็นมัน ถึงผมจะแก่ แต่ดีกรีความหล่อของผมก็ไม่เป็นรองใครนะ พวกเราเดินมาที่โต๊ะเพื่อนๆมารออยู่แล้ว ตอนที่กำลังยกแก้วนั้นเองมีผู้หญิงคนหนึ่งส่งสายตามาที่ผมและกำลังเดินเข้ามา
ก่อนที่เธอจะทำอะไรได้ เค้าก็ดึงตัวผมไปและจูบกลางร้านจนเพื่อนๆเรากรี๊ดลั่น
“ไอ้บ้า ทำไรเนี่ย” ผมตะลึงทำอะไรไม่ถูก ไม่คิดว่าเค้าจะบ้าระห่ำถึงประกบปากผมกลางผับแบบนี้
“ก็จูบไงครับ”
“ละ แล้วจะมาจูบทำไมกลางร้าน”
“แสดงความเป็นเจ้าของ”
ผมล่ะปวดหัว!!!
“ครั้งแรกที่เราเจอกัน พี่จูบผมเพราะเมา แต่ผมจูบพี่นี่ตอนที่พี่ยังมีสติ จะได้รู้ไว้ว่าพี่มีเจ้าของแล้ว คนอื่นไม่มีสิทธิ์”
ผมฟังเสียงแหบที่พูดดังราวกับตะโกน โดยมีจุดมุ่งหมายให้ “คนอื่น” ที่จะเข้ามาเกาะแกะผมถอยห่างไป
“ไอ้เด็กน้อยเอ๊ย” ผมกระซิบข้างหูที่ระดับที่คิดว่าเค้าพอจะได้ยิน
แล้วจู่ๆเสียงดนตรีก็ตัดในจังหวะที่ดีเจกำลังจะพูดอวยพรวันเกิดให้กับลูกค้าโต๊ะอื่น และมันไปในจังหวะเดียวกับที่ผมพูดออกไปว่า “พี่รักไบรต์คนเดียวเท่านั้นแหละครับไม่มองใครหรอก”
ผมว่าเสียงที่คิดว่ากระซิบนั้นดังลั่นร้าน ถ้าคิดว่าพูดเกินไปอย่างน้อยผู้หญิงคนที่คิดจะอ่อยผมก็มองตาค้างแล้วล่ะ
ดีเจ๊เอ๊ย จะมาปิดเพลงทำไมตอนนี้วะ
ไอ้คิงจะบ้าตาย!
อวสาน .....
ขอบคุณครับ. ขอขอบคุณครับ สนุกมากครับ ขอบคุณครับ ขอบคุณครับ ขอบคุณมากๆครับ ทำดีมาพี่ดีเจ {:5_137:}
หน้า:
[1]