รู้หรือไม่? ยาชนิดไหนไม่ควรกินคู่กัน
รู้หรือไม่? ยาชนิดไหนไม่ควรกินคู่กัน http://board.postjung.com/data/518/518590-topic-0.jpgยาและผลิตภัณฑ์เสริมอาหารชนิดไหนที่รับประทานคู่กันได้และไม่ได้
เรื่องของโอสถรักษาโรคก็ย่อมต้องมีคู่แฝดของมัน ที่ต้องมีทั้งแฝดที่ดีและแฝดที่ร้ายคล้ายเทวากับซาตานซึ่งเคยมีกรณีที่ถึง แก่ชีวิตมาแล้ว ซึ่งโดยมากมักเกิดจาก ความไม่รู้ ในฤทธิ์อันไพศาลของยาแต่ละเม็ดที่กินอยู่ โดยเราจะค่อยมาดูกันไปทีละแฝด
แฝดที่ดี
เสมือนคู่บุญยิ่งรู้จักกินให้เสริมกันก็จะยิ่งช่วยเสริมสุขภาพหรือทำการ รักษาโรคให้ท่านได้อย่างมีประสิทธิภาพขึ้น และที่จริงก็ควรกินคู่กันเสียด้วยเพราะเรื่องของยาอาหารเสริมนี้มีหลักคือทำ งานร่วมกัน โดยกลุ่มที่ควรกินร่วมกันช่วยเสริมให้ดีมีดังต่อไปนี้
1) วิตามินซีกับคอลลาเจน จะช่วยกันสร้างเนื้อเยื่อใหม่ให้ใสปิ๊งปั๊งไม่เหี่ยวหย่อนย้อย
2) ธาตุเหล็กกับวิตามินซี กินธาตุเหล็กให้ดีดูดซึมเข้าไปใช้ได้ ไม่ใช่กินเข้าไปอย่างไรถ่ายออกมาหน้าตาเหมือนเดิมนั้น ต้องกินคู่กันอย่างเช่นถ้าจะกินเลือดหมูให้ได้ธาตุเหล็กก็ควรกินกับผักที่มี วิตามินซีสูงเช่นใบตำลึงก็จะดีไม่น้อย
3) แคลเซียมกับแมกนีเซียม แคลเซียมจะดูดซึมได้ดีต้องมี ตัวช่วย พามันเข้าไปได้แก่แมกนีเซียม, วิตามินดีและวิตามินเคด้วยซึ่งอยู่ในแสงแดดและผักเขียวจัดตามลำดับ
4) วิตามินเอ,ซีและอี พยายามกินไปด้วยกันเป็นดี หรือสูตรที่ดีคือกินซีเพียงตัวเดียวส่วนเอกับอีนั้นกินเอาจากผักคะน้าและ ถั่วลิสงสักวันละกำมือ
5) น้ำมันปลา(ไม่ใช่น้ำมันตับปลา)ขอให้เลือกชนิดที่มีดีเอชเอคู่กับกับอีพีเอ ยิ่งมากหน่อยยิ่งดีอย่างน้อยกินให้ได้ค่า ดีเอชเอ+อีพีเอ = 1,500 มิลลิกรัมต่อวัน โดยมีเคล็ดไว้ว่าถ้าอยากบำรุงสมองต้องเลือกชนิดที่มีดีเอชเอเด่น แต่ถ้าจะให้บำรุงส่วนอื่นเป็นหลักเช่นข้ออักเสบให้เลือกชนิดที่มีอีพีเอสูง ด้วย
แฝดที่ร้าย
แฝดตัวนี้ถือเป็นระดับ ตัวแม่ ที่น่ากลัวกว่าเยอะมากครับ เพราะอาจทำให้เกิดเลือดออกในสมองจนเป็นอัมพาตหรือหัวใจวายแน่นิ่งไปได้ จึงอยากชวนให้ท่านที่รักมาสนใจในยาที่ไม่ควรกินร่วมกันสักนิดดังนี้
1) น้ำมันปลากับแอสไพริน คู่ร้ายอันดับแรกโดยน้ำมันปลานี้มีฤทธิ์ช่วยให้เลือดใสไม่หนืดเหนียว ส่วนแอสไพรินก็มีฤทธิ์เดียวกันคือช่วยให้ไม่เกิดลิ่มเลือดจับแข็งเป็นก้อน ตัน เมื่อกินคู่กันเลยกลายเป็นคู่สังหารพาลให้เลือดไหลพรวดพราดไม่หยุด แม้การกรอฟันเพียงนิดก็อาจทำให้เลือดออกได้ราวกับผ่าตัดใหญ่แล้ว
2) วิตามินอีและอีฟนิ่งพริมโรส มีคนไข้ที่อยากผิวสวยมาหาพร้อมบอกว่ามีคนแนะให้กินวิตามินอีแต่บ้างก็ให้ เลือกเป็นอีฟนิ่งพริมโรสแทนจะเลือกอย่างไรดี จึงได้บอกไปให้เลือกอย่างหนึ่งก็พอเพราะล้วนแต่มีวิตามินอีทั้งนั้นซึ่งถ้า ได้มากไปอาจทำให้เกิดหัวใจพิบัติแทน
3) แคลเซียมเสริมกับแคลเซียมสด ถ้าท่านกินงาดำได้วันละ 4 ช้อนโต๊ะหรือเต้าหู้ขาวแข็งวันละ 3 ขีดก็จะได้แคลเซียมราว 1,000 มิลลิกรัมอยู่แล้ว ซึ่งถ้าไปหาแคลเซียมเม็ดมากินเติมอีกจะทำให้แคลเซียมเกินและไปจับกับหลอด เลือดทำให้ตีบแข็งได้
4) กาแฟกับแคลเซียม ขอให้เลี่ยงกินแคลเซียมร่วมกับกาแฟเพราะกาแฟจะไปยับยั้งการดูดซึมแคลเซียม นอกจากนั้นยังไปดึงแคลเซียมออกจากกระดูกอีกด้วย
5) ธาตุเหล็กกับเลือดจางธาลัสซีเมีย เป็นไม้เบื่อไม้เมากันทีเดียว ขอให้ลืมความเชื่อที่ว่าถ้าเลือดจางต้องกินธาตุเหล็ก ไม่เสมอไป หากท่านเป็นเลือดจางชนิดธาลัสซีเมียแล้วไปกินธาตุเหล็กเสริมจะเท่ากับเติมยา พิษให้กับหัวใจและตับตัวเอง
ทั้งแฝดดีแฝดร้ายนี้ที่จริงมีอีกมากซึ่งผมได้เคยเขียนไว้ในหนังสือแล้วและก็ ตั้งใจจะเขียนไว้เรื่อยๆเป็นตอนต่อไปในคอลัมนี้ แต่สำหรับที่เลือกมาให้เห็นนั้นเป็นตัวอย่างที่พบบ่อยหน่อยและท่านจำไปใช้ประโยชน์ได้ทันที
เมื่อถึงตอนนี้ขอให้ท่านหยิบเอาร่วมยาออกมาสังคายนาแยกวางเป็นชนิดไปบนโต๊ะ แล้วจัดเป็นกลุ่มไว้ว่ากลุ่มใดรักษาโรคไหนแล้วบางทีจะเกิดพุทธิปัญญาทีเดียว ว่าตูข้ากินยามากเกินความจำเป็นไปเพียงใด แต่นั่นก็ยังไม่ร้ายเท่ากินยาที่ดันไปเสริมฤทธิ์กันให้เป็นพิษเข้าไปเสียอีก
ดังนั้น ท่านจะเห็นว่าการกินยานั้นมีข้อหยุมหยิมอยู่มากเมื่อเทียบกับกินอาหารธรรมชาติที่โอกาสเกิดการผสมกันเป็นพิษน้อย เพราะมีส่วนประกอบสำคัญอยู่ในปริมาณที่ไม่เข้มข้นมากเท่ายาเคมี แต่อย่างไรก็ดีคงต้องยึดหลักที่ว่าหูไวตาไวถ้ารู้สึกว่า ไม่ใช่ แล้วก็ให้รีบเร่งบอกอย่าปล่อยให้เลยตามเลยไว้นานเลยค่ะ
ที่มา ... โรงพยาบาลจุฬารัตน์
ตอบกระทู้ jaysuan ตั้งกระทู้
ขอบคุณครับ
สำหรับสาระความรู้ ขอบคุณครับ
มีสาระมากครับ ได้ความรู้ดี{:5_132:}{:5_132:} ขอบคุณครับ
หน้า:
[1]