ลองอ่านสักนิด
จากคำบอกเล่าของผู้มีประสบการณ์ท่านหนึ่ง1) ผมในฐานะคนที่เคยติดยาเสพติดมา 12ปี ติดขนาดที่ใช้ทุกวัน ใช้เงินซื้อยาวันละ 2-3000บาท การเสพโดยการฉีดเข้าเส้นวันละ 4-5หน งานพัง ชีวิตพัง ครอบครัวมีแต่ความทุกข์
มันเริ่มต้นมาจากวันธรรมดาวันนึง เมื่อปี 2550 ตอนผมอายุ 27ปี ในห้องของเพื่อนรุ่นน้องสมัยมหาวิทยาลัย
2) แค่ ความอยากรู้ การเป็นคนปฏิเสธคนไม่เป็น และการไม่รู้จักยับยั้งชั่งใจ นั่นคือจุดเริ่มต้น ของความหายนะ
ผมเป็นคนเชื่อมั่นในตัวเองสูง เหมือนกับที่มีรูปร่างหน้าตาพอไปวัดไปวาได้ การศึกษาดี ทำงานดี ทุกอย่างดีจนคิดว่า เราสามารถควบคุมชีวิตเราได้ ก็แค่เล่นสนุกเป็นครั้งคราว
3) เริ่มต้นจากการที่เพื่อนให้ลองกินขนม ชื่อเรียกเล่นๆในหมู่นักเที่ยวของยาอี ecstasy จากนั้นจึงนำไปสู่ยาเค และไอซ์ในที่สุด
ในช่วงแรก ทุกอย่างดูสวยงาม สนุกสนาน ฉันมีเพื่อนใหม่ๆและรักกลุ่มเพื่อนแบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ชีวิตผมรู้สึกสนุกสุดๆ ด้วยความที่เล่นยิม หุ่นดี เป็นที่ต้องการ
4) ที่คนอยากมารู้จัก ที่ลึกๆแล้วสิ่งที่คนเข้ามาแล้วต้องการจากแมคือ การจบคืนนั้นบนเตียง
5) เมื่อความสุขขั้นพื้นฐานของมนุษย์ มันทำให้สุขยิ่งขึ้นเป็นพันเท่า เนื่องจากยาไอซ์จะไประเบิดสารสื่อความสุขในสมองแบบระเบิดปรมาณู มากกว่าคนปกติถึง 1,250เท่า
เราหลงไปกับความสุขที่ยามันมอบให้และลามไปถึงการใช้ยา ในเวลาทำงาน เพราะทุกสุดสัปดาห์ ผมจะต้องปาร์ตี้ข้ามวันข้ามคืน
6) พอเช้าวันจันทร์ ผมเริ่มต้องใช้ยาไอซ์เป็นตัวช่วย ให้มีแรงในการทำงาน ประกอบกับลักษณะการทำงานอีเวนท์ และเป็นสายต่างประเทศ ความเครียด การต้องการความครีเอทีฟ การต้องการเอาชนะคู่แข่ง และการทำงานที่ไม่เป็นเวลา
ยาไอซ์ช่วยได้ นั่นคือสิ่งที่ผมหลงไหลมัน
7) มันเข้ามาในชีวิตประจำวันผมโดยไม่รู้ตัว ผมพามันขึ้นเครื่องบิน ไปทุกที่ในโลกด้วยเหมือนอุปกรณ์ประจำกายที่ขาดไม่ได้ การตรวจสอบของ ตม. แต่ละประเทศ ไม่ได้เป็นอุปสรรคอะไรเลย ที่สารเสพติดอยู่กับผมทุกที่ในโลกแล้วผมก็ติดมันอย่างถอนตัวไม่ขึ้น
8) จากปีแรกๆ ที่ใช้การเสพแบบดูดผ่านน้ำ สัปดาห์นึงซื้อของครั้งนึง เหมือนซื้อของเข้าบ้าน เป็นสัปดาห์ละ 2ครั้ง ช่วงก่อนเลิกคือ ใช้เสพแบบฉีดเข้าเส้น และต้องไปหาเอเจนท์ ซื้อของทุกคืนถ้าคุณไม่ได้อยู่ในวงจรนี้ คุณจะไม่รู้หรอกว่า ของมันหาง่ายขนาดไหน ในประเทศนี้
9) ในช่วงปีหลังๆ สิ่งสำคัญที่สุดอันดับแรกตอนตื่นนอนมา คือต้องให้ได้ใช้ยาก่อน เหมือนคนปกติดื่มละเลียดกาแฟดีๆสักถ้วย อ่านหนังสือพิมพ์ สำหรับผมคือการบดยาให้ละเอียด ตักยามาใส่เข็ม ผสมน้ำเกลือ แล้วฉีดเข้าเส้น
อ้าา แล้วชีวิตฉันก็ดำเนินต่อไป
10) ในขณะนั้น ชีวิตอีกสองชีวิต ไม่สามารถจะไปต่ออย่างปกติได้แล้ว แม่และน้องเริ่มสังเกตุอาการผิดปกติอีกครั้ง หลังจากที่เค้าจับได้แล้วบังคับให้เราเลิก ตอนปี 2554 คุณแม่เริ่มเครียดมาก เราทะเลาะกันมากขึ้น น้องสาวร้องไห้แบบที่เราไม่เคยเห็นมาก่อน ทุกคนรอบตัวมีแต่ความทุกข์มากๆ
11) ต้นปี 2561 คุณแม่ตรวจเจอมะเร็งทรวงอก ระยะที่ 3
พค 2561 คุณแม่ผ่ามะเร็งทรวงอก ผมไปเฝ้าไข้ 0 วัน แค่ไปรับท่านจากโรงพยาบาล กลับบ้าน อย่าถามว่าผมเอาเวลาไปทำอะไร คุณอ่านมาถึงบรรทัดนี้ น่าจะมีคำตอบให้ตัวเอง
5 กย 2561 ขณะขับรถกลับจากหัวหิน พร้อมยาไอซ์ 3จี มุ่งหน้ากลับ กรุงเทพ
12) มีเจ้าหน้าที่ตั้งด่านตรวจค้นเรื่องในขณะตรวจค้น ผมไม่ขอลงในรายละเอียดและไม่อาจเปิดเผยใดๆได้
ผมขับออกมาจากด่าน พร้อมคำพูดเจ้าหน้าที่ท่านหนึ่งว่า
“ถือเป็นค่าให้โอกาส”
นี่คือท้องฟ้าขณะขับรถออกจากด่านเข้า กทม
สัญญาณที่ใครบางคนส่งมาถึงเราว่าถึงเวลาเริ่มใหม่ได้แล้วนะ
13) นับแต่วันที่ 5 กย 2561จนถึงวันนี้เป็นเวลาเกือบ 5 ปี เต็ม
ทุกวันตอนเช้า ตื่นนอนมาเราไม่ต้องหาของแล้ว แต่ตื่นมาตักบาตรและมีวิถีชีวิตแบบมีทิศทาง
งานการเข้ารูปเข้ารอย ได้โอกาสมากมายเปิดธุรกิจของตัวเอง และได้เห็นคุณค่าของชีวิตที่แท้จริง
14) สุขภาพแข็งแรงดี มองย้อนกลบไป ไม่น่าเชื่อว่าเราจะรอดมาได้ กับการใช้ยาขนาดนั้น เราคิดว่าการที่เรารอดมันมาได้ แล้วชีวิตพาให้เรามาอยู่ตรงที่นี้ ข้างบนคงมีมิชชั่นอะไรบางอย่างให้เรามาทำ
ตอนใช้ยา ผมเคยดาวน์มากๆ เคยถามว่า
“จะมีชีวิตอยู่ต่อไปทำไมกัน”พี่ร่วมงานท่านหนึ่งเคยแนะนำ
15) “อามลองอยู่เพื่อคนอื่นดูซิ” ตอนนั้นเราไม่รู้ว่ามันหมายถึงอะไร ก็คงแค่คำพูดให้ดูเจ๋งไปอย่างนั้นเองของผู้ใหญ่หัวหงอก
ในวันที่องค์ประกอบทุกอย่างพร้อม การอยู่เพื่อผู้อื่น ทำให้เรารู้ว่า มันมีอะไรที่ ยิ่งใหญ่กว่าตัวกูของกู
นั่นคือการมองไปรอบๆตัว และเห็นคนอื่นด้วยหัวใจ”
16) ฉันขอขอบคุณทุกคนที่ให้โอกาสในชีวิตอีกครั้ง การยอมรับและต้อนรับฉันกลับเข้าไปเป็นสมาชิกในครอบครัว กลุ่มเพื่อน นับฉันเป็นพี่ เป็นน้อง เหมือนเดิม
เพื่อนรักผมคนหนึ่งบอกว่า
“ก็ประคับประคองกันไป ยังไงก็ไม่ทิ้งกัน”
17) “พี่ไม่เคยโกรธเราเลย”พร้อมร้องไห้กอดกันกลางโรงแรมดุสิตธานี ในวันที่ผมเอาพวงมาลัยไปขอขมาพี่คริส ในสิ่งที่เคยล่วงเกินท่าน
แล้วในวันฝนพรำๆวันหนึ่ง ฉันเดินจูงมือแม่ ไปดูที่ที่จะสร้างบ้านหลังใหม่ บอกแม่ว่า
“อามเลิกยาแล้วนะแม่”
ผมไม่รู้ว่านั่นคือ ฝนบนหน้าแม่ หรือน้ำตา แต่รอยยิ้มของแม่และแววตาในวันนั้น ผมไม่เคยเห็นมานานมากแล้ว
ในวันนี้ เซลส์มะเร็งของแม่ ไม่ตรวจพบเจออีกแล้ว
นี่คือบันทึกช่วงวัย 27-39ปี ของนายอัครเษรต เชวงชินวงศ์ ผู้เคยหลง ลองเสพยาและเคยรับการบำบัดยาเสพติดมา 2ครั้ง และนี่คือครั้งสุดท้าย
ขอขอบคุณ
Akkraset Chawengchinnawong
@AkkrasetC
ขอบคุณที่แบ่งปันกัน ดีใจที่เลิกยาได้นะครับ
หน้า:
[1]