jaysuan โพสต์ 2011-7-24 20:54:22

สุสานแร้งทึ้ง

สุสานแร้งทึ้ง

เมื่อความมืดเข้าครอบคลุมทิเบต ดินแดนที่ได้ชื่อว่าเป็น “หลังคาโลก” ทุกอย่างตกอยู่ในความเงียบสงัด ได้ยินแต่เสียงกระแสลมอันเหน็บหนาวพัดกรรโชกจนต้องก่อไฟให้ลุกโชนเพื่อเพิ่มความอบอุ่น
ทว่าเมื่อสุริยเทพทอแสงขับไล่ความมืดแห่งรัตติกาลออกไปสิ้นแล้ว หากพากันเดินไปยังเนินเขาที่อ้างว้างเปล่าเปลี่ยว สิ่งที่ปรากฏอยู่ตรงหน้าอาจจะทำให้ขนหัวลุก คิดว่ากำลังอยู่ในฉากสยองขวัญในภาพยนต์เรื่อง “วิหคมรณะ” ในฉากที่ฝูงนกบินลงมาจิกกินเนื้อมนุษย์ทั้งเป็นจนเลือดสาด เมื่อมองเห็นฝูงแร้งแห่กันลงมาจากฟ้องฟ้า เข้ารุมจิกทึ้งซากศพเป็นอาหารอย่างเอร็ดอร่อย
http://www.indepencil.com/indepencilpic&file/rang1.jpg
[สัปเหร่อกำลังแล่เนื้อศพ เพื่อให้แร้งกินได้ง่าย]
สถานที่แห่งนี้เรียกกันว่า “เวหา” หรือ “สุสานแร้งทึ้ง” ที่ชาวทิเบตจะนำศพคนตายบรรทุกพาหนะชนิดต่าง ๆ มาทิ้งไว้เป็นเหยื่อแร้งกาที่นี่ ชาวพุทธที่นี่เชื่อกันว่า เมื่อความตายมาถึง วิญญาณจะทิ้งร่างให้กลายเป็นศพ เพื่อไปแสวงหาการเกิดใหม่เป็นมนุษย์หรือสัตว์นานาชนิด ร่างที่ปราศจากวิญญาณจึงแข็งทื่อและเย็นเฉียบ รอการเน่าเปื่อยต่อไป
การนำศพมาให้แร้งทึ้งเป็นอาหาร เป็นสิ่งที่เหมาะสำหรับดินแดนที่เป็นหลังคาโลก ดินแดนที่หนาวเย็นอยู่ตลอดปี หาต้นไม้มาทำฟืนเผาศพยาก ดินแดนที่แข็งกระด้างจนขุดหลุมฝังศพไม่ได้ การอุทิศร่างกายที่รอการเน่าเปื่อยให้เป็นอาหารของแร้งจึงนับได้ว่าเป็นมหากุศลอย่างหนึ่ง
http://www.indepencil.com/indepencilpic&file/rang3.jpg
[สัปเหร่อสับกระดูกออกเป็นชิ้น ๆ]
เจสลี วีตัน อดีตครูสอนภาษาอังกฤษในประเทศแคนาดา ที่ปัจจุบันผันมาหาเลี้ยงชีพด้วยการเป็นพนักงานบริษัทขุดเจาะและจำหน่ายน้ำมันรายใหญ่แห่งหนึ่ง ได้บันทึกภาพและเรื่องราวของสุสานแร้งทึ้งมาถ่ายทอดเป็นสารคดี ในขณะที่เดินทางท่องเที่ยวจากประเทศจีนสู่ประเทศทิเบต ผ่านการนำทางของชาวบ้านในแถบสุสานแร้งทึ้ง ในเมืองที่เรียกเป็นภาษาจีนว่า “ลีตังฉี” ในมณฑลซีฉวน บรรยายความรู้สึกไว้ตอนหนึ่งว่า
http://www.indepencil.com/indepencilpic&file/rang4.jpg
[ฉีกกะโหลกศีรษะออกจากกัน]
http://www.indepencil.com/indepencilpic&file/rang5.jpg
[เลาะสมองออก]
“กลิ่นเหม็นตุตุของศพโชยมาเข้าจมูกผม มันเป็นกลิ่นแห่งความตายโดยแท้ แร้งจะเลือกจิกกระชากเอาลูกนัยน์ตาของศพเป็นอันดับแรก จากนั้นจึงเป็นบริเวณหน้าท้องที่กำลังบวมเป่ง จะงอยปากอันคมกริบเจาะทะลุเข้าไป ทำให้แก๊สที่อัดอยู่ภายในทะลักออกมาเสียงดังฟีด…ด พร้อมกับกลิ่นเน่าที่พวยพุ่งตามออกมา…”
มีพระลามะจุดธูปที่มีกลิ่นกำยานปักไว้บนพื้นดินส่งกลิ่นหอมเอียน ๆ กระจายไปทั่ว มันช่างเข้ากันได้ดีกับกลิ่นเน่าของซากศพ ก่อนจะสวดสาธยายมนตราด้วยเสียงต่ำ ๆ ชวนขนลุก ให้ขณะนั้นเอง มีรถแทรคเตอร์แล่นเข้ามา พร้อมด้วยศพที่ห่อไว้ด้วยผ้าขาว มีชายฉกรรก์จำนวน 12 นาย ที่ทำหน้าที่เป็นสัปเหร่อ นายหนึ่งเข้าไปนำศพลงมาวางคว่ำหน้าไว้กับพื้น ให้ขวานอันคมกริบเลาะผิวหนังบริเวณตีนผมรอบศีรษะจนขาดออกจากกัน แล้วถลกหนังศีรษะออกทั้งหมดจนมองเห็นกะโหลกศีรษะขาว ๆ (ชาวพุทธในทิเบตเชื่อกันว่า คนตายจะสวมมงกุฎแห่งความตายไว้บนศีรษะ จะต้องดึงมงกุฎออกเสียก่อน) และที่น่าประหลาดคือ บรรดาเครือญาติของผู้ตายที่ตามมาร่วมพิธี แทนที่จะแสดงความโศกเศร้า กลับหัวร่อต่อกระซิกกันอย่างสนุกสนาน
http://board.postjung.com/data/560/560646-topic-ix-4.gif[แร้งกับศพที่เหลือแต่เนื้อติดกระดูก]
บนท้องฟ้า ฝูงแร้งเริ่มพากันบินว่อนวนเวียนอยู่เหนือสุสาน ก่อนจะลดระดับลงมาจนได้ยินเสียงกระพือปีกได้ถนัด เพื่อจะลงสู่พื้นสุสาน บรรดาญาติผู้ตายพากันเอาไม้ไล่ฝูงแร้งให้ถอยออกไปอยู่ห่าง ๆ ในขณะที่สัปเหร่อช่วยกันจัดการแล่เนื้อศพตรงบริเวณโคนขาให้แยกออกจากกัน เพื่อแร้งจะได้สะดวกในการทึ้งศพได้เร็วขึ้น
สัปเหร่อเหล่านี้จะทำพิธีศพแบบนี้วันละ 6 ศพเป็นอย่างน้อย พวกเขาคือทายาทผู้สืบสันดานงานอาชีพจากพ่อหรือปู่ที่เป็นสัปเหร่อที่ตายจากไปนั่นเอง
http://www.indepencil.com/indepencilpic&file/rang2.jpg
[สัปเหร่อที่ตามเก็บกระดูกไปสับ]
แร้งจะยืนห้อมล้อมศพ สายตาจ้องดูด้วยความกระหายอยาก เมื่อสัปเหร่อจัดการกับศพเรียบร้อยแล้ว จะถอยออกมา แร้งจะพากันเข้าไปรุมทึ้งศพเป็นลำดับต่อไป ไม่นานนักศพก็จะเหลือแต่กระดูกติดเนื้อ สัปเหร่อจะไล่แร้งให้ถอยห่างออกไป จากนั้นนำกระดูกไปทุบด้วยขวานกับก้อนหินให้แตกเป็นชิ้นเล็ก ๆ เรียกว่าป่นหยาบ ๆ ก่อนนำไปใส่ภาชนะ แล้วจึงนำแป้งข้าวบาเลย์เทลงไป เติมน้ำและเนยที่ทำจากนมจามรี คนให้เข้ากันจนเหนียว ปั้นเป็นแผ่นแบบเดียวกับขนมคุ้กกี้ทิเบตที่เรียกว่า “ซัมปะ” แล้วโยนกลับไปให้แร้งกินเป็นของหวานปิดท้ายอย่างเอร็ดอร่อย เป็นอันสิ้นสุดพิธีศพ
http://www.indepencil.com/indepencilpic&file/rang6.jpg
[สัปเหร่อกำลังทำขนมหวานให้แร้ง]
http://www.indepencil.com/indepencilpic&file/rang9.jpg
[แร้งมารับขนมหวานก่อนกลับ]
ญาติ ๆ ของผู้ตายจะจ่ายค่าแรงให้สัปเหร่อก่อนเดินทางกลับด้วยใบหน้าอันยิ้มแย้ม ที่ได้ส่งวิญญาณผู้ตายไปสู่ที่ชอบ
เมื่อทางการจีนส่งกำลังเข้ายึดประเทศทิเบตผนวกเป็นของจีนเมื่อปี ค.ศ.1950 พรรคคอมมิวนิสต์จีนประกาศห้ามประกอบพิธีดังกล่าว แต่ก็ยังมีการแอบทำกันอย่างลับ ๆ จนกระทั่งประเทศจีนเปิดประเทศรับการเข้ามาของนักลงทุนจากตะวันตก การประกอบพิธีศพในสุสานแร้งทึ้งจึงไม่เป็นของต้องห้ามอีกต่อไป
ผู้ที่ยากจนจนไม่มีปัญญาจ่ายเงินให้สัปเหร่อ มักจะนำศพผู้ตายไปโยนในห้วยหรือทะเลสาบ เพื่อให้เป็นเหยื่อปูปลา ทางการจีนก็ไม่ขัดขวาง ยกเว้นในกรณีที่เกิดโรคระบาด ทางการจึงจะเข้ามาควบคุมเพื่อมิให้โรคระบาดแพร่ออกไปด้วยการประกอบพิธีศพของชาวทิเบตดังกล่าว
พาเมลลา โลแกน นักสำรวจทางวิทยาศาสตร์ของสมาคมสำรวจทางวิทยาศาสตร์ของประเทศอังกฤษ ที่ไปทำการสำรวจสุสานแร้งทึ้ง ได้เขียนปิดท้ายรายงานว่า “หากข้าพเจ้าต้องตายบนหลังคาโลกที่ไม่อาจฝังศพได้แบบนี้ ข้าพเจ้ายินดีที่จะขึ้นไปสู่สวรรค์ด้วยกำลังปีกของแร้งแบบเดียวกับชาวทิเบตได้กระทำกันโดยดี…”

เค โพสต์ 2011-7-24 23:08:22

หยองสุดๆเลยครับ แต่ชอบดู ขอบคุณครับ

art101 โพสต์ 2011-7-27 21:55:25

ขอบจัยเน้อ...

Pinkrose โพสต์ 2011-7-28 02:11:05

อ่านแล้วขนลุกเลยครับ
หน้า: [1]
ดูในรูปแบบกติ: สุสานแร้งทึ้ง