อ้ายเสือ ตอนที่ 13 ลูกเศรษฐี
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย NOOFONG เมื่อ 2025-1-5 16:4013
ลูกเศรษฐี
หลังจากที่เดินทางมาอย่างเหน็ดเหนื่อยสองคืนเต็มๆในที่สุดเจ้าทัพและขวัญก็มาถึงจุดหมายที่บ้านของเศรษฐีใหญ่ที่พวกเขาตั้งใจจะเข้าไปปล้นในคืนนี้บ้านหลังใหญ่ตั้งอยู่ท่ามกลางความเงียบสงบของชนบท มีรั้วสูงล้อมรอบและไฟสว่างส่องไปทั่วพื้นที่เจ้าทัพมองไปยังบ้านหลังนั้น รู้สึกคุ้นเคยอย่างบอกไม่ถูกราวกับว่าเคยมีบางอย่างในอดีตผูกพันกับสถานที่แห่งนี้
พวกเขาวางแผนกันอย่างระมัดระวังว่าจะบุกปล้นในคืนนี้โดยไม่ต้องการให้มีการสูญเสียหรือบาดเจ็บ ดั่งคำสั่งที่สืบทอดกันมาเจ้าทัพจึงสั่งการให้คนออกลาดตระเวนดูสถานการณ์รอบๆ บ้านหลังจากตรวจสอบก็พบว่าบ้านหลังนี้มีการป้องกันที่แน่นหนา ซึ่งหมายความว่าหากจะเข้าไป คงหนีไม่พ้นการปะทะกันเป็นแน่
เจ้าทัพจึงตัดสินใจปลอมตัวแฝงตัวเข้าไปในบ้านเป็นคนหาบเร่เขาเตรียมเสนอขายผ้าแพรไหมให้กับเศรษฐีใหญ่ในขณะที่แฝงตัวอยู่ท่ามกลางความมืดของคืนนั้นขวัญและคนในกลุ่มจึงคอยสังเกตการณ์จากที่ห่างไกล
เมื่อถึงหน้าบ้านเจ้าทัพมองเห็นหญิงสูงวัยคนหนึ่งเดินออกมาพร้อมกับแสงไฟจากในบ้าน สายตาของเธอแม้จะร่วงโรยตามกาลเวลาแต่เจ้าทัพกลับรู้สึกคุ้นเคยอย่างบอกไม่ถูก เสียงของหญิงชรานั้นดังขึ้นแผ่วเบา"มีอะไรหรือจ๊ะ พ่อหนุ่ม?"
"ฉันมาขายผ้าแพรไหมจ่ะ ทอมืออย่างดีไหมแต่ละเส้นพิถีพิถันมากเลยจ่ะ" เจ้าทัพกล่าวออกไปน้ำเสียงแฝงไปด้วยความมั่นใจ สายตาของเขาก็สอดส่องไปทั่วบ้านอย่างละเอียด
หญิงชรามองเจ้าทัพด้วยสายตาที่อ่อนโยนก่อนจะกล่าวต่อไปว่า “ผ้าแพรไหมหรือจ๊ะ? ลองมาให้ดูหน่อยสิ”เธอกล่าวเสียงเบา แต่แฝงไปด้วยความสงสัยเล็กน้อย เจ้าทัพยิ้มบางๆตอบกลับอย่างมีมารยาท "ได้เลยจ่ะ ฉันขอโทษนะจ๊ะที่มารบกวนยามวิกาลเช่นนี้"
เขาหยิบผ้าแพรไหมออกมาเผยให้เห็นลวดลายที่ละเอียดอ่อนและสวยงามดวงไฟจากบ้านสาดส่องไปบนเนื้อผ้า ทำให้สีสันของมันยิ่งดูน่าสนใจหญิงวัยกลางคนยื่นมือออกไปสัมผัสผ้าอย่างเบามือราวกับว่ากำลังสัมผัสสิ่งที่คุ้นเคย
เจ้าทัพยังคงเฝ้ามองอย่างละเอียดคำพูดของหญิงชราเหมือนจะทำให้เขานึกถึงบางสิ่งบางอย่างในอดีตความรู้สึกที่เขาพยายามหลีกเลี่ยงกลับเข้ามาอีกครั้งในหัวใจ
“ผ้าแพรไหมของเจ้าดีจริงๆ นะ...เจ้าก็เป็นพ่อหนุ่มที่มีฝีมือ ขายของเก่งจังเลย” หญิงชรากล่าวชมอย่างจริงใจแต่คำพูดนั้นกลับเหมือนมีบางสิ่งที่แฝงอยู่ เจ้าทัพแสร้งยิ้มและตอบกลับไปว่า"ขอบคุณจ่ะยาย"
หลังจากที่พูดคุยกันได้สักพักหญิงชราก็เอ่ยชวนเจ้าทัพเข้าไปในบ้านของเธอ "เข้ามานั่งในบ้านเถอะจ้ะ หนุ่มผ้าไหมของเจ้าดูน่าสนใจ ข้าจะให้สามีดูด้วย เขาเป็นคนชอบของสวยงาม"
เจ้าทัพพยักหน้ารับคำเชิญก่อนจะก้าวตามหญิงชราเข้าไปในบ้านที่ดูเรียบง่ายแต่แฝงไปด้วยความอบอุ่นภายในบ้านตกแต่งด้วยเฟอร์นิเจอร์ไม้โบราณบรรยากาศสงบและเต็มไปด้วยกลิ่นหอมของดอกไม้ที่จัดใส่แจกันอย่างประณีตหญิงชราเดินนำเข้าไปหาชายชราคนหนึ่งที่นั่งอ่านหนังสืออยู่ เขาเงยหน้าขึ้นมามองเมื่อเห็นเจ้าทัพเข้ามา
"นี่สามีของข้าเองจ้ะ เราอยู่กันสองคนลูกหลานไปรับราชการตำรวจในเมือง นานๆ ครั้งถึงจะได้แวะมาเยี่ยม" หญิงชราเล่าน้ำเสียงเปี่ยมไปด้วยความภาคภูมิใจ "แต่พวกเราก็อยู่กันได้สบายดี"
เจ้าทัพฟังอย่างตั้งใจ พลางมองไปรอบๆ บ้านท่าทางใจดีของหญิงชราและสามีดูขัดกับคำพูดของเสือสมานที่เขาได้ยินมาก่อนหน้านี้ทำให้เขาเริ่มลังเลในใจ ว่าสิ่งที่เขากำลังทำอยู่นั้นถูกต้องหรือไม่
สายตาของเขาไปสะดุดกับรูปถ่ายใบหนึ่งที่วางอยู่บนตู้ไม้โบราณเป็นรูปเด็กชายในชุดพื้นเมืองยืนยิ้มอย่างมีความสุขรูปนั้นทำให้หัวใจของเจ้าทัพเต้นแรง เด็กในรูปดูเหมือนเขาตอนเด็กๆ อย่างน่าอัศจรรย์ภาพความทรงจำในวัยเยาว์เริ่มฉายขึ้นในหัวราวกับเป็นภาพลางเลือนที่เขาเคยลืมเลือนไป
หญิงชราสังเกตเห็นสายตาของเจ้าทัพที่จ้องมองไปยังรูปถ่ายจึงยิ้มบางๆ และพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงอบอุ่นแต่แววตาเศร้าสร้อย “นั่นเป็นรูปของหลานชายข้าจ้ะชื่อเจ้าทัพ เขาเป็นเด็กดีและฉลาด แต่โชคร้าย... เขาถูกลักพาตัวไปตั้งแต่ยังเล็กพวกเราตามหาเท่าไหร่ก็ไม่พบ ถ้าเขายังอยู่ ตอนนี้ก็คงโตพอๆ กับเจ้า”
เจ้าทัพนิ่งเงียบ สายตาจ้องมองรูปถ่ายนั้นความรู้สึกมากมายถาโถมเข้ามาในใจ แต่เขาเลือกที่จะไม่พูดอะไรออกมาความจริงที่ค่อยๆ เปิดเผยทำให้เขาหนักใจ เขาไม่พร้อมจะเผชิญหน้ากับมันไม่พร้อมที่จะยอมรับว่าตัวเองอาจเป็นหลานชายที่หายไป
หญิงชรายังคงเล่าเรื่องราวด้วยน้ำเสียงเศร้า"พ่อแม่เขาเสียใจมาก ก่อนจากไปก็ยังพูดถึงเขาเสมอ ข้ากับสามีก็หวังว่าสักวันเขาจะกลับมาแต่หลายปีผ่านไป ก็ไม่เคยได้ยินข่าวอะไรอีกเลย"
เจ้าทัพพยายามซ่อนความรู้สึกที่กำลังพลุ่งพล่านเขาฝืนยิ้มเล็กน้อย "ฉันเสียใจด้วยจ้ะยายเรื่องที่เกิดขึ้นมันน่าเศร้าจริงๆ"
หญิงชรายิ้มอ่อนโยนให้เขา"ขอบใจนะหนุ่ม เจ้าเป็นคนดี ถ้าเขายังอยู่ข้าหวังว่าเขาจะเป็นคนแบบเจ้า"
หลังจากได้ฟังเรื่องราวจากหญิงชราความจริงที่เจ้าทัพพยายามหนีมาตลอดชีวิตก็เริ่มชัดเจนขึ้นแต่ในใจเขารู้ดีว่ามันสายเกินไปที่จะถอยหลังกลับสิ่งที่เขาทำมาไกลเกินกว่าจะย้อนคืนได้ ในตอนนี้เขาจำต้องทำหน้าที่ของเขาเขาโค้งตัวลาอย่างสุภาพ "ข้าต้องขอตัวก่อนจ้ะยายขอบคุณที่เล่าเรื่องให้ฟัง"
หญิงชรายิ้มให้ด้วยความเอ็นดู"ถ้ามีโอกาส แวะมาเยี่ยมข้าอีกนะหนุ่ม ข้าชอบคุยกับเจ้า"
เจ้าทัพพยักหน้า ก่อนจะเดินจากไปแต่ในใจกลับเต็มไปด้วยความรู้สึกขัดแย้ง เขาเก็บซ่อนความจริงที่รู้ไว้ลึกในใจหวังว่าจะลืมมันไปได้สักวัน
เมื่อออกจากบ้านเงามืดของคืนเริ่มเข้ามาปกคลุม เจ้าทัพเริ่มสั่งการเคลื่อนไหวของคนในกลุ่มเสียงกระซิบกระซาบสั่งแผนการลอบขนสิ่งของในยามค่ำคืนทุกอย่างดูเหมือนจะเป็นไปด้วยดี พวกเขาค่อยๆ ย่องเข้ามาจากด้านหลังของตัวบ้านขนย้ายสิ่งของอย่างเงียบเชียบ
แต่เมื่อทุกอย่างใกล้เสร็จสมบูรณ์เจ้าทัพก็สังเกตได้ถึงความผิดปกติ ห้องที่พวกเขาอยู่ แม้ตอนแรกจะเข้ามาได้ง่ายดายแต่ตอนนี้กลับถูกปิดตายจากด้านนอก ราวกับมีใครบางคนกักขังพวกเขาไว้
เสียงหัวเราะแห้งๆของชายชราดังขึ้นจากที่ไหนสักแห่ง "เจ้าคิดว่าจะหนีไปได้ง่ายๆ งั้นหรือ?พวกเจ้าติดกับข้าแล้ว"
เจ้าทัพขบกรามแน่น พยายามตั้งสมาธิร่ายอาคมเพื่อคลายกลอนประตู แต่พลังของอีกฝ่ายกลับแข็งแกร่งเกินกว่าที่เขาคาดคิดอาคมที่เขาร่ายไม่อาจทำลายการปิดผนึกได้
"แย่แล้ว..." เขาพึมพำเบาๆก่อนหันไปหาพวกพ้อง"เราต้องหาทางออกจากที่นี่ก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินไป"
เจ้าทัพพยายามใช้ทุกวิถีทางเพื่อยื้อเวลาร่ายมนต์ซ้ำแล้วซ้ำเล่า มือของเขาสั่นเล็กน้อยแต่ยังคงมีความมุ่งมั่นแน่วแน่ในที่สุด มนต์ก็คลายออก ประตูเปิดออกได้สำเร็จ แต่ยังไม่ทันที่จะได้โล่งใจชายชราได้ปรากฏตัวขึ้นตรงทางออก สายตาแหลมคมเต็มไปด้วยเล่ห์กล
"หนีไปให้หมดข้าจะถ่วงเวลาไว้เอง!" เจ้าทัพตะโกนสั่งเสียงดัง ทุกคนเริ่มทยอยวิ่งออกไปแต่เจ้าทัพยังคงยืนหยัดเผชิญหน้ากับชายชรา
เจ้าขวัญหยุดชะงักมองเจ้าทัพด้วยความเป็นห่วง “พี่ทัพ หนีไปด้วยกันเถอะนะจ้ะ”
แต่เสียงตวาดของเจ้าทัพทำให้ขวัญสะดุ้ง"รีบไปซะ!!"
ขวัญลังเล แต่เมื่อเห็นสายตาที่จริงจังของเจ้าทัพเขารู้ว่าไม่มีทางเลือกอื่น ต้องทำตามคำสั่ง "สัญญากับขวัญนะว่าพี่จะปลอดภัย!" เขาตะโกน ก่อนจะวิ่งออกไปพร้อมกับคนอื่นๆ
ขวัญหันกลับมามองเจ้าทัพเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะถูกพาตัวออกไปน้ำตาไหลพรั่งพรูด้วยความเป็นห่วง แต่เขารู้ดีว่าการยืนหยัดของเจ้าทัพในตอนนี้เป็นเพียงทางเดียวที่จะช่วยทุกคนได้
"รีบพาขวัญหนีไป!"เจ้าทัพตะโกนสั่งคนที่เหลือ แม้จะรู้ว่าอีกไม่นานเขาอาจยื้อไม่ไหวขวัญพยายามขัดขืน แต่เจ้าทัพผลักไสเขาออกไปด้วยความหนักแน่น "ขวัญ พี่จะปลอดภัย!เจ้าต้องไปเดี๋ยวนี้!"
ขวัญมองเขาด้วยน้ำตาคลอ ก่อนจะถูกพาออกไปเจ้าทัพยืนอยู่ตรงนั้น ลมหายใจหนักหน่วงแต่ยังคงพร้อมสู้จนถึงที่สุดแม้จะรู้ว่าโอกาสที่จะรอดนั้นเลือนลาง
ขวัญที่ถูกพาตัวออกมารู้สึกเหมือนหัวใจจะหลุดออกจากอกความเสียใจและความกังวลท่วมท้นไปทั่วร่างเขาไม่อาจห้ามตัวเองจากการคิดว่าอาจเป็นครั้งสุดท้ายที่เขาจะได้เห็นเจ้าทัพความรู้สึกอ่อนแอและไร้ประโยชน์ทำให้เขารู้สึกหนักอึ้งโทษตัวเองที่ไม่สามารถทำอะไรได้มากไปกว่านี้ปล่อยให้คนที่เขารักต้องเผชิญอันตรายเพียงลำพัง
ขวัญเฝ้ารอเจ้าทัพอยู่นานจนเกือบรุ่งสางแต่ก็ยังไม่มีวี่แววของอีกฝ่ายเลย ความรู้สึกวิตกกังวลกัดกินใจไม่หยุดเขารู้สึกเหมือนตัวเองกำลังจะระเบิดออกมา อยากจะบุกเข้าไปให้รู้แล้วรู้รอดแต่ก็ถูกห้ามปรามไว้เพราะเป็นคำสั่งของเจ้าทัพ เขาจึงได้แต่ทนรอรอจนเวลาล่วงเลยไปกระทั่งจะหมดวัน
“ไม่มีข่าวคราวอะไรเลยหรือ?”ขวัญถามออกไปด้วยน้ำเสียงที่แฝงไปด้วยความหวังแต่คำตอบที่ได้รับกลับมาเป็นเสียงเดียวกันจากทุกคน"ยังไม่มีความคืบหน้าเลย"
คำตอบนั้นยิ่งทำให้ขวัญรู้สึกใจหายเขากัดฟันแน่น พยายามสะกดความกังวลที่ลุกโชนในใจ แต่ยิ่งรอนานเท่าไหร่ความวิตกก็ยิ่งทวีขึ้น ทุกๆนาทีที่ผ่านไปเหมือนกับยิ่งทำให้เขาห่างไกลจากเจ้าทัพมากขึ้น
"จะไม่มีอะไรเกิดขึ้นใช่ไหม?"ขวัญพึมพำกับตัวเอง แต่ก็รู้ดีว่าเขาไม่สามารถห้ามตัวเองจากการคิดไปไกลได้
ในช่วงเวลานั้นความเงียบและความไม่แน่ใจครอบงำทุกคน ทุกคนเงียบไปเพราะไม่รู้ว่าจะพูดอะไรแต่ในใจล้วนคิดถึงเจ้าทัพ และความหวังเล็กๆ ว่าเขาจะสามารถฝ่าฟันทุกอย่างไปได้
ภายในบ้านของเศรษฐีเจ้าทัพถูกจับกุมตัวอยู่ในบ้านหลังนั้นก่อนที่ชายชราจะแจ้งทางการเพื่อให้มาจับเขาไป เจ้าทัพรู้สึกว่าตัวเองทำพลาดแต่อย่างน้อยเจ้าขวัญก็จะไม่เป็นอันตราย ป่านนี้คงกำลังว้าวุ่นใจเพราะเขาเป็นแน่แต่ถูกพันธนาการแน่นหนาขนาดนี้จะหนีออกไปได้ยังไง
เจ้าทัพถูกสะกดอาคมไว้ทำให้ร่ายมนต์ไม่เป็นผลชายชราผู้นี้มีอาคมที่แกร่งกล้ามากสามารถปราบโจรอย่างเขาได้อยู่หมัด แถมเชือกที่รัดเขาไว้ยังเต็มไปด้วยอาคมที่ยากจะสลัดให้หยุดได้
“ไอ้หนุ่ม เอ็งก็ยังหนุ่มยังแน่น เหตุใดจึงมาเป็นโจรวะ”ชายชราถามเขาด้วยน้ำเสียงเหยียดหยาม
เจ้าทัพไม่ได้ตอบอะไร เขาแค่ก้มหน้าลงพยายามเก็บทุกความคิด ทุกความรู้สึกที่พลุ่งพล่านอยู่ในใจไว้ไม่ให้หลุดออกมาในตอนนี้ สิ่งเดียวที่เขาคิดถึงคือเจ้าขวัญเขารู้สึกกลัวที่จะต้องแยกจากขวัญตลอดไป กลัวที่จะไม่สามารถปกป้องเขาได้อีกต่อไปขวัญคงจะเป็นอย่างไรบ้างในตอนนี้เขาคิดถึงแต่ขวัญและหวังเพียงแค่เขาจะไม่เป็นอันตราย
เจ้าทัพไม่ได้ตอบอะไร เขาแค่ก้มหน้าลงพยายามเก็บทุกความคิด ทุกความรู้สึกที่พลุ่งพล่านอยู่ในใจไว้ไม่ให้หลุดออกมาในตอนนี้ สิ่งเดียวที่เขาคิดถึงคือเจ้าขวัญ เขารู้สึกกลัวที่จะต้องแยกจากขวัญตลอดไปกลัวที่จะไม่สามารถปกป้องเขาได้อีกต่อไป ขวัญคงจะเป็นอย่างไรบ้างในตอนนี้
“เจ้าขวัญของพี่...” เขาได้แต่พึมพำในใจ
ในขณะนั้นเอง ชายในชุดนายตำรวจยศใหญ่เดินเข้ามาถึงพวกเขายืนคุยกันครู่หนึ่ง ก่อนที่ทุกสายตาจะจับจ้องมาที่เจ้าทัพตำรวจนายนั้นเดินตรงเข้ามาหาเขา ก่อนจะใช้มือเปิดผ้าที่คลุมหน้าออกเผยให้เห็นใบหน้าของเจ้าทัพชัดเจน เขายืนจ้องอยู่ตรงหน้าอย่างไม่วางตากระทั่งสายตาของนายตำรวจไปสะดุดกับสร้อยเส้นหนึ่งที่ห้อยอยู่ที่คอเจ้าทัพ
“มึงไปได้มาจากที่ใด?”ตำรวจนายนั้นถามเสียงเข้ม น้ำเสียงที่แฝงไปด้วยความสงสัยและกดดันแต่เจ้าทัพยังคงเงียบอยู่ ไม่ยอมตอบอะไร
ชายในชุดข้าราชการคงไม่พอใจกับการเงียบของเขาจึงถามซ้ำเสียงที่ดังกว่า “ตอบกูมา! มึงไปเอาสร้อยเส้นนี้ของลูกกูมาได้อย่างไร?”น้ำเสียงเขาตึงเครียดและขู่อย่างชัดเจนพร้อมกับมองเจ้าทัพด้วยความคาดหวังว่าเขาจะตอบ
แต่ยังไม่ทันที่เขาจะได้พูดอะไรหญิงสาววัยกลางคนที่ดูเหมือนจะคุ้นเคยกับเขาดีก็รีบวิ่งเข้ามาขัดจังหวะ หยุดยั้งความกดดันทั้งหมดไว้ก่อนจะรวบตัวเจ้าทัพเอาไว้อย่างรวดเร็ว พร้อมกับเสียงที่แฝงไปด้วยความหวั่นวิตก
"เจ้าทัพใช่หรือไม่ลูก?"น้ำเสียงของหญิงสาวที่ถามออกมานั้นเต็มไปด้วยความห่วงใยแววตาเต็มไปด้วยความตกใจที่เห็นเจ้าทัพอยู่ในสภาพนี้
เจ้าทัพแทบจะไม่เชื่อสายตาตัวเองเมื่อได้ยินเสียงนั้นหญิงสาวตรงหน้าช่างคุ้นเคยเหลือเกิน แม้ในสถานการณ์นี้เขากลับรู้สึกเหมือนจะพบความอบอุ่นที่หายไปนาน
“นี่ลูกเราไงคะ คุณพี่...”หญิงสาวพูดเสียงสั่นเครือดวงตาเธอเต็มไปด้วยความสับสนและความหวังว่าเจ้าทัพจะรับรู้และจำเธอได้
เจ้าทัพสะอึกไป คำพูดนั้นเหมือนเสียงสะท้อนของความทรงจำที่เคยหลับใหลลึกอยู่ในใจเขากระพริบตาปริบๆ หญิงสาวตรงหน้าเริ่มคุ้นเคยมากขึ้นแล้วแต่ทำไมเขาถึงไม่อาจนึกออกได้เลยว่าเธอเป็นใคร?
"แม่..." เขาเอ่ยออกมาเบาๆคำพูดนั้นหลุดออกจากปากโดยไม่ทันตั้งตัว และทันทีที่เขาพูดออกไป ทุกอย่างรอบตัวเหมือนจะหยุดนิ่งเสียงทุกเสียงดูเบาบางลง สายตาของเขาจับจ้องไปที่หญิงสาวตรงหน้ามันเหมือนกับว่าเวลาได้ชะลอตัวลง ทุกสิ่งกลายเป็นเพียงความฝันที่เขายากจะเชื่อ
“เจ้าทัพ หลานของข้านั้นหรือ?”เสียงของชายชราดังขึ้น ชัดเจนและหนักแน่นราวกับย้ำว่าเรื่องที่เขาพูดนั้นเป็นความจริงที่ไม่มีข้อสงสัย
เส้นทางต่อจากนี้ของเขาควรเลือกเดินต่อไปอย่างไร?คำถามนี้วนเวียนอยู่ในหัวของเจ้าทัพอย่างไม่มีที่สิ้นสุดในเมื่อเขานั้นเป็นโจรที่ต้องหนีจากกฎหมาย และในขณะเดียวกันก็มีคนที่รักรออยู่ด้วยเขาควรจะเลือกทางไหน? ทางที่เต็มไปด้วยความรักและการผูกพันที่เขามีกับครอบครัวของคนรัก?หรือจะเลือกกลับไปสู่ครอบครัวที่แท้จริงของเขาซึ่งเขายังไม่รู้แน่ชัดว่าเป็นอย่างไรและจะให้การยอมรับเขาได้หรือไม่?
ในใจของเจ้าทัพนั้นยุ่งเหยิงไปหมดเขาคิดถึงขวัญที่กำลังรออยู่ห่างออกไป และในเวลาเดียวกันก็รู้สึกถึงความรับผิดชอบที่มีต่อครอบครัวของตัวเองครอบครัวที่เขาไม่เคยได้สัมผัส แต่กลับมีสายเลือดเดียวกันเขารู้สึกเหมือนกำลังถูกดึงไปในทิศทางที่สวนทางกันจนไม่รู้จะไปทางไหนดี
ความรักและความผูกพันกับขวัญทำให้เขารู้สึกถึงความสำคัญของการมีครอบครัวที่อยู่เคียงข้างแต่ครอบครัวแท้จริงของเขา...การค้นหาความจริงเกี่ยวกับตัวเองอาจทำให้เขาเจอคำตอบที่รอคอยมานานหรือมันอาจเปิดเผยแผลที่เขายังไม่พร้อมเผชิญหน้า
เจ้าทัพก้มหน้าลง มือของเขากำหมัดแน่นเขารู้ว่าไม่สามารถหนีจากความจริงได้ตลอดไป แต่ในขณะนี้สิ่งที่เขาต้องการที่สุดคือการตัดสินใจให้ถูกต้อง เพราะไม่ว่าจะเลือกทางไหนเขาก็ต้องเผชิญหน้ากับมันอย่างไม่สามารถหันหลังกลับได้
แต่ทางเดียวที่จะหนีจากการคุมขังนี้ได้คือการยอมรับในความสัมพันธ์ที่ถูกเปิดเผยไปก่อนเพื่อที่จะสามารถกลับไปหาขวัญอีกครั้ง เขาตระหนักดีว่าหากยังคงหลีกเลี่ยงและปฏิเสธความจริงนั้นต่อไปเขาคงไม่สามารถหาทางออกจากสถานการณ์นี้ได้ด้วยพันธนาการที่รัดตัวเขาไว้อย่างแน่นหนา ทั้งทางกายและใจ
เจ้าทัพกัดฟันแน่นสู้กับความรู้สึกในใจที่ประหนึ่งการสะบัดของลมหายใจที่หนักหน่วงเขารู้ว่าไม่มีทางเลือกอื่นที่ดีไปกว่านี้อีกแล้ว การยอมรับความสัมพันธ์นั้นอาจทำให้เขาสามารถกลับไปหาขวัญได้อีกครั้งแต่ในขณะเดียวกัน เขาก็ต้องแลกกับบางสิ่งที่ไม่อาจคาดเดาได้เกี่ยวกับอดีตของตัวเอง
เขาหมดหนทางที่จะหนีจากความจริงอีกต่อไปเจ้าทัพลึกในใจรู้ว่า ถ้าไม่ยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้นเขาก็จะต้องสูญเสียทุกสิ่งที่เขารักไปเขาไม่สามารถยอมให้ความกลัวและความไม่แน่ใจมาเป็นอุปสรรคได้อีกต่อไปเพราะเขารู้ดีว่าความรักที่เขามีต่อขวัญนั้นสำคัญกว่าทุกสิ่งที่เขากำลังเผชิญหน้าอยู่ในตอนนี้
“โธ่เอ้ย คุณคะ รีบแก้มัดให้ลูกก่อนเถอะ”เสียงของหญิงสาวดังขึ้นอย่างเร่งร้อน ริมฝีปากสั่นระริกจากความวิตกกังวลเธอเอื้อมมือไปจับข้อมือของเจ้าทัพที่ถูกมัดอย่างแน่นหนาตาเธอเต็มไปด้วยความห่วงใยจนแทบไม่สามารถรั้งความกังวลไว้ได้
เจ้าทัพมองหญิงสาวอย่างรู้สึกสับสนและอ่อนล้าใจเขาเต็มไปด้วยความคิดที่ตีกันอย่างหนักหน่วงแต่ในที่สุดเขาก็ได้แต่ยอมปล่อยให้ทุกอย่างเป็นไปตามที่มันควรจะเป็นไม่รู้ว่าอนาคตจะพาเขาไปที่ใด แต่ในตอนนี้...เขาก็ยังคงต้องรอและยอมรับในสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้น
ขวัญคิดถึงเจ้าทัพเหลือเกิน เขานึกถึงช่วงเวลาที่เคยมีเจ้าทัพอยู่ข้างๆความอบอุ่นจากการกอดและการหอมที่เคยได้รับเขาเคยรู้สึกปลอดภัยทุกครั้งที่เจ้าทัพอยู่ใกล้แต่ตอนนี้กลับไม่รู้ว่าเจ้าทัพเป็นอย่างไรบ้างเขากังวลว่าเจ้าทัพจะปลอดภัยดีหรือไม่ จะยังมีชีวิตอยู่ไหมหรือจะเผชิญกับอันตรายจนไม่ได้กลับมาอีกเลย
สองสามวันต่อมา...เมื่อไม่มีข่าวคราวจากเจ้าทัพ ทุกคนจึงลงความเห็นกันว่าควรจะกลับไปที่หมู่บ้านชุมโจรเพื่อหาทางกันใหม่ ขวัญรู้สึกใจหายยิ่งนักเขาหวังเพียงแค่จะได้ข่าวดี แต่กลับต้องจำใจเดินทางกลับไปกับทุกคนไม่ว่าเขาจะรู้สึกอย่างไร ก็ไม่มีทางเลือกอื่น ตอนนี้เขาต้องหาทางทำให้สถานการณ์ดีขึ้นแต่ขวัญไม่อาจหยุดน้ำตาที่ไหลรินมา เขาร้องไห้ตลอดทาง ไม่เคยหยุดคิดถึงเจ้าทัพและคำสัญญาที่เจ้าทัพให้ไว้กับเขา ว่าจะไม่เป็นอะไร
เมื่อถึงเรือนขวัญก็เอาแต่ขลุกตัวอยู่ในห้อง ไม่ยอมพูดกับใคร เขาปิดประตูห้องแล้วนั่งอยู่กับตัวเองนึกถึงกลิ่นของห้องที่เคยมีเจ้าทัพนอนอยู่ข้างๆ ตอนนี้ห้องนั้นกลับว่างเปล่าไม่เหลือความอบอุ่นหรือเสียงหัวเราะที่เคยทำให้เขารู้สึกว่าทุกอย่างยังคงมีความหมายขวัญเงียบไปนาน ภายในใจเหมือนมีแต่ความว่างเปล่า ทุกๆ ที่ที่เขาหันไปเหมือนจะพบแต่ความทรงจำที่ทำให้เขารู้สึกเหมือนสูญเสียอะไรบางอย่างไป
วิไลเองก็เป็นห่วงขวัญเป็นอย่างมากเมื่อรู้ข่าวเกี่ยวกับเจ้าทัพเธอเห็นสภาพของขวัญที่ย่ำแย่จากความกังวลและความเจ็บปวดที่แสดงออกมาอย่างชัดเจนวิไลมองเรื่องราวทั้งหมดออกและแม้ว่าจะรู้ว่าความสัมพันธ์ระหว่างขวัญกับเจ้าทัพนั้นลึกซึ้งเพียงใดแต่เธอก็ไม่ได้คิดจะติติงหรือบ่นอะไรเพราะวิไลเข้าใจดีว่าความรักเป็นเรื่องของคนสองคน ไม่มีใครสามารถเข้าไปตัดสินได้
"ขวัญ..." วิไลเรียกชื่อเบาๆขณะที่นั่งลงข้างขวัญที่นั่งซุกตัวอยู่บนเตียง น้ำตายังไหลไม่หยุด"อย่าคิดมากไปเลยนะ...น้ารู้ว่ามันยาก แต่เราต้องทำใจให้ได้ทุกอย่างมันจะต้องมีทางออก"
ขวัญสะอื้นออกมาอีกครั้งไม่สามารถหยุดน้ำตาได้ "น้าวิไล...น้าคิดว่าพี่ทัพจะปลอดภัยไหมจ้ะ?เขาจะกลับมาหรือเปล่า...เขาจะเป็นอะไรไหม?"
วิไลสบตาขวัญด้วยความเห็นใจ ก่อนจะยิ้มบางๆแม้จะไม่มีคำตอบที่ชัดเจน แต่เธอก็พยายามปลอบขวัญให้รู้สึกสงบ"ขวัญ...ความรักของเจ้าทัพมันไม่ใช่เรื่องง่าย แต่น้าเชื่อว่ามันจะสู้...มันจะกลับมาหาขวัญเพราะมันรักขวัญมากที่สุด"
ขวัญเงียบไปครู่หนึ่งรู้สึกว่าคำพูดของวิไลช่วยปลอบใจเขาได้บ้าง แม้จะยังคงเต็มไปด้วยความวิตกกังวลในใจแต่ความรู้สึกนั้นก็เริ่มคลี่คลายลงบ้าง พร้อมกับความหวังเล็กๆที่ยังคงค้างอยู่ในใจ
---------------------------------------------------แล้วยังไงต่อ เพิ่งจะบอกรักกันไปเองต้องจากกันอีกแล้ว โอ้ยยน้ออฝากติดตามเรื่องราวความรักของทั้งสองต่อไปคอมเม้นต์เยอะๆน้าา ไล่อ่านทุกคอมเม้นต์เลยขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านน้าาา
สนุกมากครับ คราวนี้ทำใจลำบากแท้ทัพเอ้ยย
จะทำอย่างไรหรือยังไง
ลุ้นไปกับเจ้าขวัญว่าจะได้เจอพี่ทัพตอนไหน
ขอบคุนคับ เพิ่มLoveซีน อีกครับ😍🥲 ขอบคุณครับ ขอบคุณครับ ขอบคุณครับ ขอบคุณมากๆครับ ลุ้นว่าจะได้กลับมาหากันหรือเปล่า ขอบคุณครับ
หน้า:
[1]