อ้ายเสือ ตอนที่ 15 เข้าใจผิด
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย NOOFONG เมื่อ 2025-1-15 11:1315
ยามเช้าในวันสำคัญนั้นอบอวลไปด้วยกลิ่นหอมของดอกไม้ที่ประดับประดาอยู่ทั่วลานพิธีแสงอาทิตย์ยามรุ่งสางส่องผ่านม่านหมอกบางเบาพื้นหญ้าเขียวขจีชุ่มฉ่ำจากน้ำค้างที่ยังคงเกาะพราวบรรยากาศเงียบสงบมีเพียงเสียงนกร้องขับกล่อมเป็นฉากหลัง
เจ้าทัพในชุดเครื่องแบบใหม่ยืนสง่าหน้าธงชาติที่โบกสะบัดอย่างช้าๆในสายลมอ่อน เสียงกลองและแตรขานรับเป็นสัญญาณของพิธีการที่กำลังจะเริ่มขึ้นผู้คนที่มาร่วมพิธีต่างยืนเรียงรายด้วยใบหน้าที่เปี่ยมไปด้วยความปลื้มปิติท่ามกลางผู้บังคับบัญชาที่กำลังเดินเข้ามาอย่างเคร่งขรึม
เมื่อถึงเวลาสำคัญเจ้าทัพก้าวออกไปยืนหน้าแถว ขณะที่ผู้บังคับบัญชาค่อยๆติดยศใหม่ลงบนเครื่องแบบด้วยมือที่มั่นคง บรรยากาศเงียบสงัด ไม่มีเสียงใดๆนอกจากเสียงลมหายใจเบาๆ ของผู้ร่วมพิธีทุกคนต่างรู้ดีว่านี่คือช่วงเวลาที่สำคัญยิ่ง
"กระผมขอขอบพระคุณทุกท่านที่ได้มาร่วมเป็นสักขีพยานในวันนี้"เจ้าทัพกล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่น แต่เปี่ยมด้วยความอ่อนน้อม"กระผมรู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้รับตำแหน่งนี้และขอสัญญาว่าจะปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์และตั้งใจ เพื่อให้บ้านเมืองมีความสงบสุข"
เสียงปรบมือดังขึ้นเบาๆ ก่อนจะค่อยๆเพิ่มความดังขึ้นอย่างพร้อมเพรียง ผู้บังคับบัญชายิ้มเล็กน้อยพร้อมกล่าวว่า"เจ้าทัพ นายเป็นตัวอย่างของความมุ่งมั่นและตั้งใจขอให้นายรักษาคุณงามความดีนี้ไว้และทำหน้าที่สารวัตรอย่างเต็มที่เพื่อประชาชน"
หลังพิธีการสิ้นสุดลงงานเลี้ยงเฉลิมฉลองเริ่มขึ้นในสวนหลังคฤหาสน์ใหญ่โต๊ะยาวไม้เก่าแก่ถูกจัดวางอย่างประณีตมีอาหารจานเลิศที่ถูกเตรียมขึ้นด้วยฝีมือของแม่ครัวประจำบ้านแขกเหรื่อต่างพูดคุยและหัวเราะกันอย่างสนุกสนานภายใต้แสงโคมไฟที่ประดับประดาอยู่ทั่วบริเวณ
"เหนื่อยหรือไม่ลูก"คุณแม่เอ่ยถามด้วยความห่วงใย เมื่อเห็นสีหน้าของเจ้าทัพแม้จะมีรอยยิ้มแต่มันก็แฝงไปด้วยความอ่อนล้าเธอรู้ดีว่าเขายังต้องปรับตัวอีกมากในบทบาทใหม่และการเข้าสังคมก็ไม่ใช่สิ่งที่เขาถนัดนัก
"ไม่เป็นไรครับคุณแม่แค่นี้สบายมาก" เจ้าทัพตอบด้วยน้ำเสียงเบาๆ แต่มั่นคงเขาไม่อยากให้ความเหนื่อยล้าที่เขารู้สึกทำให้คนที่รักเขาต้องเป็นห่วง
"ลูกทำให้พวกเราภูมิใจมาก เรารู้ว่าลูกเหนื่อยมามากแต่วันนี้มันคุ้มค่าแล้วนะ" แม่ของเขากล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนดวงตาเปี่ยมไปด้วยความรักและความภูมิใจ เธอมองดูเขาอย่างลึกซึ้งราวกับจะสื่อให้เขารู้ว่าความพยายามทั้งหมดนั้นไม่สูญเปล่า
"ขอบพระคุณครับคุณแม่"เจ้าทัพตอบพร้อมกับรอยยิ้มบางๆ แววตาของเขาฉายความอ่อนโยนและความซาบซึ้งใจก่อนจะเอ่ยต่อ "คุณแม่ครับ วันหยุดนี้ผมขออนุญาตไปทำธุระที่ต่างอำเภอนะครับถือโอกาสไปพักผ่อนด้วยเลยครับ"
คุณแม่พยักหน้าช้าๆ พร้อมรอยยิ้มอ่อนโยน"ถ้าลูกคิดอย่างนั้น ก็ได้จ้ะ พาน้องไปด้วยสิ เห็นว่าชอบไปไหนมาไหนด้วยกันคงจะดีถ้าสิงหะได้ไปด้วย"
เจ้าทัพนิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพยักหน้าเบาๆ "เอ่อ... ก็ได้ครับ"
แม้ว่าใจจะไม่อยากให้สิงหะติดตามไปด้วยแต่ก็จำต้องตกลงตามคำของคุณแม่ เมื่อส่งแขกกลับไปหมดแล้วเจ้าทัพจึงเดินเข้าไปหาสิงหะที่กำลังเพลิดเพลินกับค็อกเทลสีหวานอาการเริ่มมึนเมาเล็กน้อย เจ้าทัพมองดูพลางส่ายหัวเบา ๆ พร้อมคิดในใจว่า"ยังเด็กอยู่แท้ ๆ"
“อืม... รสชาติไม่เลว”สิงหะพูดขึ้นพลางยกแก้วขึ้นจิบ ใบหน้าเปี่ยมไปด้วยความสบายอารมณ์
“เจ้าสิงมะรืนนี้พี่จะไปค้างที่ต่างอำเภอ อยากไปด้วยกันไหม” ทัพเอ่ยปากชวน
“ไปสิ! แล้วเราจะไปที่ไหนกันครับ”สิงหะถามด้วยน้ำเสียงกระตือรือร้น
เจ้าทัพมองเด็กหนุ่มตรงหน้าพลางคิดในใจว่า เจ้าเด็กคนนี้ พูดจาน่าฟังขึ้นมาทันตาเลยทีเดียวก่อนจะตอบด้วยรอยยิ้มบาง ๆ “เดี๋ยวไปถึงก็รู้เองแต่มีเรื่องหนึ่งที่สิงต้องสัญญากับพี่ก่อน”
“เรื่องอะไรครับ สิงพร้อมให้สัญญาเลย”สิงหะรีบตอบ พร้อมยกนิ้วก้อยขึ้นมาอย่างจริงจัง
ทัพหัวเราะเบา ๆก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจัง“ห้ามบอกเรื่องเกี่ยวกับตัวพี่ให้คนที่นั่นฟังเด็ดขาดเมื่อถึงเวลาพี่จะเป็นคนบอกเอง”
“ได้ครับ สิงรับปากพี่ทัพ”สิงหะตอบอย่างหนักแน่น ขณะเชื่อมพันธะด้วยการเกี่ยวก้อย
ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็ตามสิงหะตั้งมั่นในใจว่าจะไม่ก้าวล้ำเข้าไปในเรื่องส่วนตัวของเจ้าทัพหากเจ้าตัวไม่ต้องการเปิดเผย เขารู้สึกได้ถึงความลึกลับในตัวทัพแต่ก็เลือกที่จะเคารพในความเป็นส่วนตัวนั้น
เมื่อถึงวันออกเดินทางสิงหะเตรียมของเรียบร้อยตั้งแต่ช่วงกลางคืน ทำให้เขามีเวลาพักผ่อนได้อีกเล็กน้อยก่อนจะลุกขึ้นไปอาบน้ำล้างหน้าในเช้าตรู่ที่เงียบสงบ หลังจากล้างหน้าเสร็จเขาก็ลงมารับประทานอาหารตามปกติ แม้บรรยากาศรอบด้านยังคงมืดสลัวราวกับเวลากลางคืนยังไม่สิ้นสุด
เจ้าทัพนั่งรออยู่ที่ลานหน้าบ้านตั้งแต่เช้าตรู่เขารู้ดีว่าการเดินทางครั้งนี้จะกินเวลานานเพราะนอกจากการเดินทางด้วยรถซึ่งต้องใช้เวลาพอสมควรแล้วยังต้องเดินเท้าฝ่าป่าลึกเข้าไปอีกหลายชั่วโมงกว่าจะถึงจุดหมาย
“พร้อมหรือยัง สิง?”ทัพเอ่ยถามพลางมองเด็กหนุ่มที่เดินเข้ามาใกล้
“พร้อมแล้วครับพี่ทัพ”สิงหะตอบด้วยรอยยิ้มสดใส
บรรยากาศในรถเงียบสงบ มีเพียงเสียงล้อรถบดไปบนถนนที่ขรุขระทัพจับพวงมาลัยแน่น สายตาจ้องมองไปข้างหน้าแต่ในใจกลับเต็มไปด้วยความคิดที่วนเวียน สิงหะนั่งอยู่ข้าง ๆแม้จะพยายามชวนคุยบ้าง แต่ก็ไม่ได้รับคำตอบมากนัก จึงหันไปมองทิวทัศน์ข้างทางแทน
ทัพมีเรื่องให้กังวลอยู่มากความคิดวนเวียนถึงขวัญ คนที่เขาไม่อาจลืมเลือนได้เขากำลังคิดว่าเขาจะกล้าพอที่จะบอกขวัญถึงความจริงหรือไม่ ทุกครั้งที่กลับไปหาเขากลับปากหนักทุกครั้ง เพราะกลัวว่า หากขวัญรู้สถานะที่แท้จริงของเขาในตอนนี้ อาจจะไม่ยอมเข้าใกล้เขาอีกเลย
ความรู้สึกเหมือนเส้นทางที่เดินร่วมกันกลับยิ่งห่างไกลขึ้นเรื่อยๆ ราวกับเส้นขนานที่ไม่มีวันบรรจบ ทัพรู้สึกเจ็บปวดใจ เขาไม่อยากเสียขวัญไป ขวัญคือสิ่งที่เขาอยากรักษาไว้แต่ในขณะเดียวกันก็อดสงสัยไม่ได้ว่า ตัวเขาเองกำลังเห็นแก่ตัวหรือไม่ที่ยังคงยึดติดและหวังให้ขวัญอยู่เคียงข้าง แม้สถานะของเขาในตอนนี้จะไม่เหมาะสมก็ตาม
เสียงลมหายใจของสิงหะข้าง ๆทำให้ทัพตื่นจากความคิดเขาหันไปมองเด็กหนุ่มที่กำลังเฝ้ามองวิวข้างทางด้วยความสงบใจทัพถอนหายใจยาวก่อนจะหันกลับมาสนใจถนนเบื้องหน้า
ไม่นานรถของพวกเขาก็เคลื่อนมาถึงจุดสิ้นสุดของถนนลาดยางที่นี่ไม่มีเส้นทางที่สะดวกอีกต่อไป ต่อจากนี้พวกเขาต้องเดินเท้าเข้าไปเองสิงหะรีบช่วยเจ้าทัพแบกกระเป๋าลงจากรถ ก่อนจะสะพายมันไว้ที่หลังอย่างคล่องแคล่ว
เจ้าทัพมองสิงหะพลางครุ่นคิดในใจเดิมทีเขาสามารถไปถึงที่หมายได้อย่างรวดเร็วหากใช้พลังอาคม แต่เมื่อมีสิงหะมาด้วยเขาก็เลือกที่จะเก็บเรื่องบางอย่างไว้เป็นความลับ
“จากนี้คงต้องเดินเองแล้วนะ” เจ้าทัพพูดกับสิงหะเบาๆ เขามองไปข้างหน้ากับเส้นทางที่ยังทอดยาวและทุรกันดารร่างกายเริ่มรู้สึกถึงความเหนื่อยล้า แต่ใจกลับเต็มไปด้วยคำถามว่าเขาคิดถูกหรือคิดผิดที่ให้สิงหะตามมาด้วย
สิงหะยังคงร่าเริงเดินไปพร้อมกับชมนกชมไม้รอบตัว โดยไม่แสดงอาการเหนื่อยออกมาเลยแม้แต่น้อยเขาดูเหมือนกำลังเพลิดเพลินกับบรรยากาศที่ไม่คุ้นเคย สายตาของเขากวาดไปทั่วทั้งป่า
เมื่อเห็นแบบนั้นเจ้าทัพก็รู้สึกโล่งใจขึ้นเล็กน้อย คิดไม่ถึงว่าเด็กตัวแค่นี้จะมีแรงเหลือเฟือ ไม่แสดงอาการเหนื่อยล้าเลยแม้แต่น้อยสมแล้วที่เกิดมาในตระกูลผู้พิทักษ์สันติราษฎร์
เมื่อเดินมาถึงครึ่งทาง พวกเขาก็แวะพักริมลำธารน้ำใสสิงหะเดินจ้ำไปข้างหน้า ก่อนจะลงไปที่ริมธารและวักน้ำขึ้นมาล้างหน้าผิวน้ำที่ใสสะอาดสะท้อนแสงแดดอ่อน ๆ ที่สาดส่องผ่านช่องใบไม้
“อ่า... สดชื่นจัง” สิงหะกล่าวเสียงสดใสขณะลูบหน้าตัวเองด้วยน้ำเย็น ๆ ที่ช่วยให้ความเหนื่อยล้าหายไปบ้าง
ทัพยืนมองอยู่ข้าง ๆก่อนจะถามขึ้นด้วยน้ำเสียงที่แสดงถึงความห่วงใย “ไหวหรือเปล่าเรา?เดินมาตั้งนานแล้วนะ”
“ไหวครับ สิงซะอย่าง”สิงหะตอบพลางยิ้มกว้าง ก่อนจะเสริม “คุณพ่อให้สิงฝึกเดินป่ามาตั้งแต่เด็กแค่นี้จิ๊บจ๊อยเลยครับ”
“ไปหัดคำพูดนั้นมาจากไหนกัน”เจ้าทัพเอ่ยถามก่อนจะยิ้มกับคำพูดสมัยใหม่ที่น้องชายใช้เขาเริ่มคิดว่าสิงหะคงได้รับอิทธิพลจากการใช้ชีวิตในเมืองหลวงไม่น้อย"เดี๋ยวเดินต่อไปอีกหน่อยก็ถึงแล้วล่ะ"
สิงหะหันมามองรอบ ๆก่อนจะถามด้วยความสงสัย “ป่าลึกขนาดนี้ มีคนอยู่จริง ๆ หรือพี่ทัพ?”
“มาสงสัยอะไรตอนนี้” ทัพยิ้มขำกับคำถามของน้องชาย“คิดว่าพี่จะพาสิงมาค้างป่าหรือยังไง มันก็ต้องมีบ้านคนน่ะสิ” เขาพูดพลางมองไปรอบๆ ป่าเขียวขจี แม้จะดูรกร้างไปบ้าง แต่เขารู้ดีว่าที่นี่มีชุมชนเล็ก ๆ ซ่อนตัวอยู่
นี่ก็ผ่านมาหลายเดือนแล้วตั้งแต่ต้องเตรียมตัวสร้างผลงานเพื่อรับตำแหน่งใหม่ เจ้าทัพก็ไม่ได้กลับมาที่นี่อีกเลยงานและภารกิจที่หนักหน่วงทำให้เขาแทบไม่มีเวลาว่างมาคิดถึงบ้านชีวิตในเมืองหลวงทำให้เขาต้องทุ่มเทเวลาและความคิดทั้งหมดเพื่ออนาคต
แต่ทุกครั้งที่อยู่คนเดียวเขาก็อดไม่ได้ที่จะคิดถึงที่นี่ คิดถึงขวัญ...เจ้าขวัญข้าวที่เขาทิ้งไว้ข้างหลังความคิดถึงมันบีบคั้นหัวใจจนแทบขาดใจ หากช้ากว่านี้คงได้ลงไปดิ้นตายแน่ ๆ
เจ้าทัพหันมองไปที่สิงหะที่เดินเคียงข้างและแปลกใจที่น้องชายยังคงมีแรงเดินต่อไปอย่างไม่รู้สึกเหนื่อยเขายิ้มบาง ๆ ให้กับตัวเอง ก่อนจะก้าวเดินต่อไปอย่างมั่นใจ
ไม่นานนัก พวกเขาก็มาถึงหมู่บ้านเล็ก ๆที่ตั้งอยู่ท่ามกลางป่า ความครึกครื้นของผู้คนที่กำลังทำกิจกรรมต่าง ๆต้อนรับพวกเขาอย่างอบอุ่น ดูต่างจากบรรยากาศเงียบสงบที่พวกเขาเดินผ่านมา
สิงหะเบิกตากว้างมองภาพตรงหน้าด้วยความตื่นเต้น "โห พี่ทัพที่นี่สุดยอดไปเลย"เขาพูดเสียงดัง ก่อนจะกอดแขนคนพี่ไว้แน่นพลางมองทุกสิ่งรอบตัวด้วยความตื่นตาตื่นใจ
เจ้าทัพหัวเราะในใจกับท่าทางของน้องชายก่อนจะพยักหน้าและบอก "ถึงแล้วล่ะ เดี๋ยวตามพี่มานะ จะได้ไปพักขาเดินมาตั้งค่อนวันแล้ว"
เจ้าขวัญที่ยังคงทำกิจวัตรประจำวันเหมือนเช่นเคยช่วงนี้เขาไม่ได้ติดตามพ่อกับพวกพี่ชายในหมู่บ้านออกปล้น สาเหตุหนึ่งคือเสือสมานกังวลเรื่องความปลอดภัยเลยให้ขวัญรับหน้าที่ดูแลหมู่บ้านแทนเขา รวมถึงดูแลวิไลกับชบาด้วยปีนี้ชบาเริ่มโตเป็นสาวแล้ว เสือสมานก็คงจะห่วงเป็นธรรมดา
ขวัญกำลังจัดการงานต่าง ๆ ตามปกติจนกระทั่งเสียงของชบาเรียกเขาด้วยความตื่นเต้น
"พี่ขวัญฉันได้ยินคนที่ตลาดพูดกันว่าพี่ทัพกลับมาแล้ว!"ชบาที่วิ่งมาด้วยท่าทางตื่นเต้น บอกขวัญในทันทีใจที่เคยสงบนิ่งของขวัญกลับเริ่มเต้นรัวราวกับมีคนตีกลองอยู่ข้างใน
ขวัญหันไปมองชบาดวงตาของเขามีแววสงสัยและไม่อยากเชื่อ "เอ็งได้ยินไม่ผิดใช่มั้ยชบา?"
"ฉันได้ยินไม่ผิดแน่"ชบาตอบกลับด้วยน้ำเสียงร้อนรน "แต่ดูเหมือนพี่ทัพจะพาใครมาด้วยฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่หน้าตาดีเชียวล่ะ เห็นว่าดูสนิทกันมากกอดแขนพี่ทัพไม่ปล่อยเลย"
คำพูดของชบาทำให้ขวัญนิ่งไปครู่หนึ่งเขาค่อยๆ เปลี่ยนสีหน้าจากความตื่นเต้นเป็นความน้อยใจ ใจของเขากลับสั่นไหวโดยไม่รู้ตัวความรู้สึกที่มาจากภายในทำให้เขารู้สึกเหมือนตัวเองถูกทิ้งไว้ข้างหลังไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็ตาม
ขวัญยืนนิ่ง ไม่พูดอะไรในทันทีเขานึกถึงคำพูดของพี่ทัพที่เคยบอกไว้ครั้งหนึ่งว่า "เมื่อถึงเวลาทุกอย่างจะชัดเจนขึ้น" แต่ตอนนี้ ขวัญกลับรู้สึกว่าตัวเองกำลังยืนอยู่ในจุดที่มืดมิดที่ไม่รู้ว่าต้องก้าวไปทางไหน
ไม่อยากรู้สึกแบบนั้นอีกแล้ว
--------------------------------------โดนเจ้าใจผิดซะงั้นฝากติดตามตอนต่อไปด้วยน้าา
สนุกมากครับ พี่ จบเอาดื้อๆแบบนี้ช่างทำร้ายใจคนๆหนึ่งเชียวนาพี่ 5555หยอกคับหยอก
ทั้งสุขทั้งเศร้าเคล้ากันไปสาใจอิช้อยจิ้งงง555
ลุ้นตอนต่อไป ขอบคุนคับงานไม่ใหย่แน่นะวิ5555 ขอบคุณมากๆครับ จะมาเข้าใจผิดอะไรตอนนี้
หน้า:
[1]