สวนลับสวนรักนายหัวกวิน2 By sharnon
“อา... ตกอีกแล้ว”เสียงถอนหายใจยาวดังขึ้นพร้อมกับที่สายตาของ ทิวไผ่ จ้องมองออกไปยังผืนฟ้าที่ถูกเมฆฝนครอบคลุม บ้านไม้ยกสูงที่เขาอาศัยอยู่เงียบสงบ มีเพียงเสียงหยดน้ำกระทบหลังคาและลมพัดผ่านช่องหน้าต่างผ่านมา หนึ่งอาทิตย์แล้ว หลังจากที่พ่อจากไป—หนึ่งอาทิตย์ที่เขาต้องใช้ชีวิตอยู่ในบ้านหลังนี้เพียงลำพัง...ในสวนมะพร้าวกว่า 50 ไร่ ที่เขาแทบไม่รู้อะไรเลย
"เฮ้อ..."
ทิวไผ่เอนตัวพิงขอบหน้าต่าง ยกมือขึ้นขยี้กลุ่มผมนุ่มของตัวเอง เขาเป็นพวกที่อยู่ในเมืองมาตลอด ใช้ชีวิตอยู่กับสมุด หนังสือ และเครื่องคอมพิวเตอร์ จะให้มาเดินสวน แบกกระสอบปุ๋ย หรือปีนเก็บมะพร้าวได้ยังไง?
แต่สุดท้ายเขาก็ต้องรับผิดชอบมันอยู่ดี—ในเมื่อพ่อเลือกมอบสวนนี้ให้เขา พ่อคงเชื่อว่าเขาจะดูแลมันได้แม้เจ้าตัวจะยังไม่แน่ใจเลยก็ตาม
"พ่อเลือกปลูกมะพร้าวเต็มสวนทำไมกันนะ?"เขาพึมพำกับตัวเอง ก่อนจะเดินไปหยิบสมุดบัญชีที่พ่อเคยบันทึกเอาไว้ออกมาเปิดดูอีกครั้งตัวเลขรายรับรายจ่ายถูกจดไว้อย่างละเอียด—รายได้จากการขายมะพร้าวแต่ละเดือน สูงจนน่าตกใจ...
"สามหมื่นบาทต่อเดือน?"เขาเลิกคิ้วขึ้นอย่างแปลกใจ นี่มันมากกว่าที่เขาคิดไว้มาก
ดูเหมือนว่าพ่อไม่ได้เลือกปลูกมะพร้าวเพียงเพราะชอบ แต่เพราะมันทำเงินได้ดีพอสมควร
ทิวไผ่ถอนหายใจอีกครั้งก่อนจะปิดสมุดลง แล้วทิ้งตัวลงนั่งกับพื้นไม้ ทอดสายตาไปยังสวนกว้างเบื้องหน้า เสียงสายฝนยังคงดังอยู่ไกล ๆ
"เอาเถอะ... ไหน ๆ ก็ต้องทำแล้ว ลองสู้ดูสักตั้งละกัน"
แม้จะไม่แน่ใจว่าตัวเองจะทำได้ดีแค่ไหน แต่เขาก็จะพยายาม—เพื่อพ่อ เพื่ออนาคตของตัวเอง และเพื่อสวนที่ถูกสร้างขึ้นมาด้วยหยาดเหงื่อของครอบครัวเขา
สายฝนโปรยปรายบางเบาเมื่อทิวไผ่จอดรถมอเตอร์ไซค์หน้าร้านขายของชำขนาดย่อม
ร้านยายติ๋ม—ร้านประจำของคนในหมู่บ้าน ร้านเดียวที่เป็นเสมือนศูนย์รวมทุกสิ่งที่ชาวบ้านต้องการ ไม่ว่าจะเป็นของใช้ในครัวเรือน ขนม เครื่องปรุง หรือแม้แต่อาหารตามสั่งที่ยายติ๋มลงมือทำเองทุกอย่าง
ทิวไผ่สูดหายใจเข้าลึกก่อนจะก้าวลงจากรถ เขายกมือกันฝนเหนือศีรษะก่อนจะวิ่งฝ่าสายฝนเข้าไปในร้าน ระยะทางเพียงไม่กี่ก้าวก็ทำให้เสื้อของเขาชื้นไปหมดกลิ่นข้าวสวยหอม ๆ และกลิ่นลูกชิ้นปิ้งโชยมาทักทายทันทีที่เขาก้าวพ้นธรณีประตู
"โอ้โห ร้านนี้ไม่เคยเปลี่ยนเลย"
เขาพึมพำกับตัวเองเบา ๆ สายตากวาดมองรอบ ๆ ร้าน ทุกอย่างยังคงเหมือนเดิมตั้งแต่สมัยที่เขายังเป็นเด็ก—ชั้นวางของที่เต็มไปด้วยข้าวของวางซ้อนกันแบบไม่เป็นระเบียบ โต๊ะไม้เก่า ๆ ที่ตั้งอยู่มุมร้านสำหรับคนที่มานั่งกินอาหาร
"อ้าว ไอ้ไผ่! กลับมาอยู่บ้านแล้วเหรอลูก"
เสียงทักทายดังขึ้นจากหลังเคาน์เตอร์ ก่อนที่ร่างของ ยายติ๋ม หญิงวัยเจ็ดสิบต้น ๆ จะเดินออกมา เธอใส่ผ้ากันเปื้อนสีซีด มือหนึ่งถือทัพพี อีกมือกำลังเช็ดมือกับผ้าขาวม้า
"สวัสดีครับยาย" ทิวไผ่ยกมือไหว้ ยายติ๋มหัวเราะเบา ๆ ก่อนจะมองสำรวจเขาตั้งแต่หัวจรดเท้า“โถ… กลับมาดูสวนแทนพ่อแล้วสินะ เหนื่อยแย่เลย”
"ก็… นิดหน่อยครับ" ทิวไผ่ยิ้มบาง ๆ ถึงจะบอกว่า นิดหน่อย แต่จริง ๆ แล้วมันมากกว่านั้นเยอะ เขายังต้องเรียนรู้อีกเยอะว่าการเป็นเจ้าของสวนมะพร้าว 60ไร่นั้นหมายความว่ายังไง
“พ่อตายเลยจะกลับมาอยู่ที่นี่รึไงพ่อหนุ่ม”
เสียงแหบห้าวของยายติ๋มดังขึ้นพร้อมกับสายตาอยากรู้อยากเห็น ราวกับแหล่งข่าวประจำหมู่บ้านกำลังเริ่มต้นภารกิจเก็บข้อมูลผู้มาใหม่ ทิวไผ่ยิ้มบาง ๆ พลางพยักหน้า
"ครับ ผมอยู่บ้านเดิมนั่นแหละครับ"
"แล้วอยู่คนเดียวรึ พี่สาวเราเขาแต่งงานไปแล้วนี่"
"ครับป้า"
"ยังหนุ่มน้อยอยู่เลย ที่ทางที่พ่อเราทิ้งไว้ให้ก็มากอยู่นา……..จะดูแลไหวหรือพ่อหนุ่ม"ทิวไผ่หัวเราะแห้ง ๆ พลางยกมือเกาหลังคอ ทำไงได้ล่ะครับป้า... ผมก็ต้องลองดู แต่ยังไม่ทันได้ตอบอะไร เสียงยายติ๋มก็แทรกขึ้นมาอีก
"ก็หาเมียซะสิ จะได้มาช่วยกัน"
"หะ… หรอ…….ครับ"
เอ่อ...เมียเหรอ? ทิวไผ่ชะงักไปเล็กน้อยก่อนจะแสร้งยิ้มกลบเกลื่อน หัวใจเต้นตึกตักขึ้นมาอย่างไม่มีเหตุผล เรื่องนี้เขาไม่เคยนึกถึงเลยหรือจริง ๆ แล้วพยายามไม่คิดถึงมากกว่า
"นี่ ๆ ป้าแนะนำสาว ๆ ให้ได้นา… มีแฟนรึยังละ"โอ้โห… งานจัดหาคู่ก็มา ทิวไผ่ได้แต่กลั้นยิ้มพลางรีบหยิบเงินออกมาวางบนโต๊ะ
"เอ่อ… ไม่เป็นไรครับยายติ๋ม คิดเงินเลยครับ ผมรีบ"พูดจบก็รีบก้าวออกจากร้านโดยไม่รอคำตอบ ทิ้งให้ยายติ๋มยืนอมยิ้มขำ ๆ
กลางสายฝนบางเบา ทิวไผ่เดินไปที่มอเตอร์ไซค์พลางถอนหายใจยาว
‘หาแฟนเหรอ… หาง่ายขนาดนั้นเลยเหรอครับยายติ๋ม’เขานึกขำกับตัวเอง ปัญหาไม่ได้อยู่ที่ว่าเขาหาแฟนไม่ได้หรอก แต่อยู่ที่ว่าเขาาไม่ได้ชอบ ผู้หญิง
"เขาชอบผู้ชายต่างหาก…"ทิวไผ่กลอกตาเล็กน้อยกับความคิดตัวเอง จะให้เขาตอบยายติ๋มตรง ๆ ว่า ป้าอย่าเสียเวลาเลย ผมไม่ได้มองสาว ๆ นะครับ ก็คงไม่เหมาะ
‘ช่างเถอะ… ดูแลสวนไปก่อนแล้วกัน เรื่องหัวใจ เอาไว้ทีหลัง’
เขาสะบัดหัวไล่ความคิดวุ่นวายก่อนจะสตาร์ทรถมอเตอร์ไซค์ แล้วขับออกไปท่ามกลางบรรยากาศของหมู่บ้านที่เต็มไปด้วยสายฝนและกลิ่นดินชื้น ๆ
ทิวไผ่ถอนหายใจยาว มองมอเตอร์ไซค์คู่ใจที่จู่ ๆ ก็มาดับเอากลางทางแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย เขายืนอยู่ข้างถนนลูกรัง เส้นทางที่ทอดยาวผ่านสวนมะพร้าวและทิวเขาเขียวชอุ่ม ฝนเพิ่งหยุดตก กลิ่นดินชื้นโชยมากับสายลมอ่อน ๆ ทำให้บรรยากาศเย็นสบาย
"เฮ้ย ๆ ฉันบอกแล้วไง ถ้าแกเกเรเมื่อไหร่ ฉันจับขายเป็นเศษเหล็กแน่"ทิวไผ่พึมพำกับรถอย่างหงุดหงิด ขณะที่พยายามสตาร์ทเครื่องอีกครั้งแต่ก็ไร้ผล
"รถเสียหรือคุณ"เสียงทุ้มต่ำดังขึ้นจากด้านหลัง ทำให้ทิวไผ่เงยหน้าหันไปมองแล้วก็ต้องชะงักหันไปตามต้นเสียง
ร่างสูงใหญ่ของชายคนหนึ่งยืนอยู่ใต้เงาต้นมะพร้าว เสื้อยืดสีเข้มเปียกชื้นแนบไปกับแผงอกกว้าง แขนเสื้อพับขึ้นเล็กน้อย เผยให้เห็นท่อนแขนล่ำหนาที่เต็มไปด้วยมัดกล้าม เขาสวมกางเกงยีนส์สีซีดที่เปื้อนฝุ่นดินบ้างตามการใช้งาน แต่สิ่งที่สะดุดตาที่สุดคงเป็นใบหน้าคมเข้ม มีไรหนวดบาง ๆ เพิ่มเสน่ห์ให้ดูสุขุมและอบอุ่นในคราวเดียวกัน แววตาคมเข้มใต้คิ้วหนามองมาที่เขาด้วยสายตานิ่ง ๆ แต่กลับให้ความรู้สึกหนักแน่นและอบอุ่น
"ครับ ขับ ๆ อยู่มันก็ดับไปเลย" ทิวไผ่ตอบ พลางยิ้มแหย ๆ รู้สึกเก้ ๆ กัง ๆ กับท่าทีของอีกฝ่ายชายหนุ่มพยักหน้าเล็กน้อยก่อนจะก้าวเข้ามาใกล้ พร้อมกับก้มลงมองมอเตอร์ไซค์ของเขา
"อืม...ดูให้มั้ย เผื่อจะช่วยได้"
"ครับ ๆ ขอบคุณมาก ผมก็ไม่ค่อยรู้อะไรเรื่องรถมากนักหรอกครับ"ทิวไผ่รีบถอยหลังเปิดทางให้อีกฝ่าย เขามองมือหนาที่จับแฮนด์มอเตอร์ไซค์ของเขาอย่างคล่องแคล่ว ก่อนที่ชายร่างสูงจะก้มลงสำรวจเครื่องยนต์ ท่าทางของเขาดูชำนาญและมีประสบการณ์ ซึ่งต่างจากตัวเองที่แค่เปลี่ยนน้ำมันเครื่องยังต้องพึ่งช่าง
"คงเป็นสายไฟหลุด หรืออาจจะน้ำเข้าหลังฝนตก" ชายหนุ่มพูดเรียบ ๆ ขณะใช้มือสำรวจไปตามสายไฟใต้เบาะ ทิวไผ่เผลอมองมือหนานั่นอยู่นาน ก่อนจะรีบเบือนสายตาหนีเมื่อรู้ตัว
“อ้อ… แล้วคุณชื่ออะไรเหรอครับ” ทิวไผ่ถามขึ้นเพื่อกลบเกลื่อนความคิดฟุ้งซ่านของตัวเอง
ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นจากเครื่องยนต์ก่อนจะสบตากับเขาเต็ม ๆ
"กวินทร์"เพียงคำตอบสั้น ๆ แต่เสียงทุ้มต่ำกลับก้องอยู่ในโสตประสาทของทิวไผ่จนน่าแปลกใจ หลังจากเสียงทุ้มของชายแปลกหน้าดังขึ้น ทิวไผ่เงยหน้าขึ้นไปมอง แต่สายตากลับสะดุดกับเด็กชายตัวน้อยที่ยืนเคียงข้างอีกฝ่าย
"อ้าว? ไงรูปหล่อ จำกันได้มั้ยครับ"ร่างบางโน้มตัวลงเพื่อให้ตัวเองอยู่ในระดับสายตาของเด็กชาย พร้อมกับส่งยิ้มหวานให้
เด็กชายก็คือเด็กคนเดิมที่เขาพบกันในงานศพของพ่อ เจ้าตัวจอมซนที่วิ่งชนเขาแล้วร้องไห้จ้า แต่ตอนนี้กลับยืนนิ่ง ทำหน้าพิกล เหลือบมองเขาแวบหนึ่งก่อนจะหันไปซุกข้างกวินทร์เบา ๆ เหมือนกำลังลังเลอะไรบางอย่าง
"เอ๊ะ?" ทิวไผ่ขมวดคิ้ว มองปฏิกิริยาแปลก ๆ นั่นด้วยความแปลกใจเด็กชายทำแก้มป่อง ก้มหน้ามองปลายเท้าตัวเอง พลางขยับเข้าชิดขาคุณพ่อราวกับกำลังปกป้องตัวเองจากอะไรบางอย่าง
"หืม? ทำไมทำหน้าตาแบบนั้นล่ะลูก" กวินทร์เอ่ยถามลูกชายเสียงเรียบ แต่แฝงความเอ็นดู
เด็กชายเงยหน้าขึ้น กระซิบกับกวินทร์เบา ๆ แต่เสียงเบานั้นก็ยังเข้าหูทิวไผ่อยู่ดี
"ก็…ก็พ่อบอกว่าพี่ชาย น่ารัก"ทิวไผ่ชะงักไปเล็กน้อย ก่อนที่ใบหน้าจะร้อนผ่าวขึ้นมาทันที
"หะ?"ดวงตากลมโตของเด็กชายมองเขาด้วยแววตาคลางแคลงใจปนสงสัย ราวกับกำลังพิจารณาว่าสิ่งที่พ่อของตัวเองพูดเป็นความจริงหรือเปล่า
ส่วนกวินทร์เองก็ดูเหมือนจะไม่สะทกสะท้านกับคำพูดลูกชายสักเท่าไหร่ เพียงแค่ยกมุมปากขึ้นเล็กน้อย เหมือนกำลังกลั้นยิ้ม
"ผม…ผมไม่ได้น่ารัก...นะครับ" ทิวไผ่รีบแก้ตัว รู้สึกเหมือนตัวเองกำลังเสียเปรียบเด็กตัวแค่นี้
"แต่พ่อบอกว่าพี่ชายน่ารัก" เด็กชายยืนกรานเสียงดัง ทำเอาทิวไผ่หน้าเห่อร้อนขึ้นไปอีก
กวินทร์หัวเราะในลำคอเบา ๆ ก่อนจะลูบศีรษะลูกชายอย่างเอ็นดู แล้วหันมามองเขาด้วยสายตาแฝงความขี้เล่น"ก็บอกลูกไปแบบนั้นจริง ๆ ครับ"เสียงทุ้มนุ่มดังขึ้นข้างหู แต่กลับทำให้หัวใจทิวไผ่เต้นโครมครามผิดจังหวะเขาเผลอกัดริมฝีปากตัวเองเบา ๆ อย่างไม่รู้ตัว ก่อนจะเบือนหน้าหนี เพื่อซ่อนใบหน้าที่ร้อนวูบวาบ
"รถของนายสงสัยจะต้องเข้าอู่แล้วละเดี๋ยวพี่จะโทรให้ช่างในหมู่บ้านมารับรถไปละกัน ส่วนตอนนี้ฝนทำท่าจะตกอีกแล้ว เดี๋ยวผมไปส่งคุณเองละกัน"
ทิวไผ่ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องซ้อนท้ายมอเตอร์ไซค์ของกวินทร์ ขาของเขาแตะเบาะท้ายเบา ๆ ก่อนจะค่อย ๆ ขึ้นคร่อมอย่างเก้ ๆ กัง ๆ ความจริงมันก็เป็นแค่การซ้อนมอเตอร์ไซค์ธรรมดา แต่มันกลับให้ความรู้สึกแปลก ๆ อย่างบอกไม่ถูก
เสียงเครื่องยนต์คำรามต่ำ ๆ ก่อนที่ร่างสูงข้างหน้าจะออกตัว ลัดเลาะไปตามเส้นทางลูกรังที่มีแอ่งน้ำขังเป็นระยะ ๆ
ทิวไผ่พยายามเว้นระยะให้มากที่สุดโดยการจับที่ท้ายเบาะแทน แต่ทุกครั้งที่รถกระแทกลงกับพื้นดินที่ไม่เรียบ เขากลับเผลอเอนตัวไปข้างหน้าอยู่ดี
กลิ่นกายของอีกฝ่ายอวลเข้าจมูก มันเป็นกลิ่นสบู่จาง ๆ ปนกับกลิ่นเหงื่ออ่อน ๆ หลังฝนตกร่างบางขยับตัวเล็กน้อย แต่เพียงแค่ปลายนิ้วแตะแผ่นหลังของร่างสูงข้างหน้า เขากลับรับรู้ได้ถึงความแข็งแกร่งของกล้ามเนื้อใต้เสื้อยืดตัวนั้น กบลิ่นตัวของเขาโครตดีเลย
แผ่นหลังกว้างใหญ่ขยับขึ้นลงตามจังหวะหายใจ ทิวไผ่เม้มปากแน่น ไม่รู้ทำไมถึงรู้สึกแปลก ๆ ขนาดนี้ แค่ซ้อนมอเตอร์ไซค์เองแท้ ๆ!เสียงทุ้มของกวินทร์ดังขึ้นข้างหน้า
"จับผมก็ได้นะ ถ้าไม่อยากตก"
"มะ… ไม่เป็นไรครับ!" ทิวไผ่ตอบเร็วเกินไปจนตัวเองยังตกใจกวินทร์หัวเราะเบา ๆ ในลำคอ ก่อนจะขับรถต่อไปโดยไม่ได้ว่าอะไรอีก ทิ้งให้คนซ้อนท้ายพยายามควบคุมหัวใจตัวเองที่เริ่มเต้นผิดจังหวะไปเอง
คลังนิยายsharnon
ขอบคุณครับ ขอบคุณครับ ลุ้นต่อ ขอบคุณครับ สนุกมากครับ ขอบคุณครับ ขอบคุณครับ ขอบคุณครับ ขอบคุณครับ ขอบคุณ โอ๊ยยยยยยย ทำไมผมเขินขนาดนี้ครับเนี่ยยยยยยยยย ขอบคุณมากๆครับ น่ารักกก ข อ บ คุ ณ ค รั บ ขอบคุณครับ ขอบคุณมากครับ ลุ้นมาก เขาจะลงเอยกันไหม ขอบคุณครับ คงจะเสวนะเรื่องนี้ {:5_117:}
หน้า:
[1]
2