tanya โพสต์ 2011-8-27 10:55:24

เราพูดภาษาเดียวกัน...

:L :L :victory:
(คัดลอกมา...ขออภัยมา ณ.ที่นี้ด้วยครับ)
เราพูดภาษาเดียวกัน
ความรัก ... จะกระทำสิ่งทั้งหมดนี้แก่เธอ เพื่อว่าเธอจะได้หยั่งรู้ความลับ ของดวงใจเธอเอง และด้วยความรู้นั้นเธอก็จะได้เป็นส่วนหนึ่ง ของดวงใจแห่งชีวิตอมตะ ’
ถ้อยคำที่อ่อนหวานและลึกซึ้ง ที่ปรากฏอยู่ในงานเขียนของคาลิล ยิบราน ทำให้ผมตั้งคำถามถึงคุณวิเศษของความรักว่ามันอัศจรรย์แก่เราได้มากขนาดนี้เชียวหรือ? ผมยังไม่แน่ใจนัก ว่าเคยสัมผัสกับสิ่งที่คนทั้งโลกเรียกว่าความรักแล้วหรือยัง แน่นอนว่า ความรักเป็นสิ่งที่เราสัมผัสได้โดยไม่ต้องจับต้องอยู่ตลอดเวลา แต่ในฐานะของ “คนรัก” ความรักในรูปแบบนั้น ผมสามารถบอกได้ทันทีเลยว่า...ผมยังไม่เคยสัมผัส
ตัวเลขที่วิ่งพร้อมเข็มนาฬิกา วันเวลาที่พาปฏิทินเปลี่ยนหน้า ชีวิตของผมก็ก้าวไปพร้อมกับฤดูที่ผ่านพ้น ปลายฤดูหนาวนี้ผมจะต้องทำสารนิพนธ์ให้เสร็จ เพื่อจะขอจบการศึกษาแล้ว ข้อมูลที่เก็บกองไว้ในหัวกำลังทยอยถ่ายทอดออกมาเป็นรูปเล่ม ที่เหลือก็มีภาพถ่ายประกอบที่ยังไม่ครบถ้วนตามเป้าที่ได้ตั้งใจเอาไว้
กล้องถ่ายรูป Nikon FM2 ตัวนี้ยังคงเป็นเพื่อนคู่ใจผมตั้งแต่วันแรกที่ผมหัดถ่ายรูปกับคุณพ่อเมื่อห้าปีก่อน ภาพถ่ายที่ได้มาจากการกดชัตเตอร์แต่ละครั้งของผม แทนความรู้สึกนึกคิดและอารมณ์ลึกๆ ที่ไม่อาจจะถ่ายทอดออกมาเป็นคำพูดสื่อสารให้คนอื่นได้รับรู้ได้ ผมเก็บรูปที่ผมชอบไว้ในสมุดบันทึกเล่มใหญ่ๆ พร้อมกับเขียนเรื่องราวที่อยู่เบื้องหลังรูปเหล่านั้นไว้ เพื่อให้เป็นเหมือนหมุดตอกความทรงจำที่ดีๆ เพื่อให้ย้อนกลับไปหาในวันที่คิดถึง
บ่ายวันพุธ - - กลางสัปดาห์แบบนี้เป็นวันที่ผมมีความสุขอยู่กับท้องถนนที่ว่างจนเกือบโล่ง ผู้คนก็ไม่สู้จะจอแจมากเหมือนวันหยุดหรือวันต้นสัปดาห์ และโชคดีที่วันนี้ วัดพระแก้วน้อยเปิดให้เข้าไปได้ ผมเลยแสดงตัวว่าเป็นนักศึกษาพร้อมกับยื่นจดหมายจากอาจารย์ที่ปรึกษาสารนิพนธ์ให้เจ้าหน้าที่ดู สุดท้ายผมก็เข้าไปเก็บภาพทั้งหมดของวัดพระแก้วน้อยได้ตลอดทั้งบ่าย
ประวัติศาสตร์เป็นเรื่องที่ทำให้ผมตั้งคำถามใหม่ๆ อยู่เสมอ มันเป็นเรื่องที่เราต้องย้อนกลับไปร่วมกันเรียนรู้ เพื่อที่จะหาวิธีที่จะอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข ประวัติศาสตร์ไม่ใช่เรื่องที่ถูกทิ้งไว้ข้างหลัง ไม่ได้เป็นเพียงเศษซากที่ถูกพังลงด้วยเวลา ไม่ใช่เรื่องที่เราต้องเชื่อตามอย่างเด็ดขาด แต่มันคือร่องรอยที่เป็นฐานรากซึ่งออกผลมาเป็นวันนี้ของเรา
ผมเลือกเรียนประวัติศาสตร์ด้วยข้อจำกัดและความสนใจที่เป็นทุนอยู่ในตัว...
ภาพบานประตูรอบๆ วิหารในวัดพระแก้วน้อยถูกผมบันทึกจนหมด เมื่อมองดูนาฬิกาที่อยู่ติดกับข้อมือ ก็ทำให้ผมต้องรีบออกมาก่อนเขาจะปิดวัด การถ่ายภาพเพื่อประกอบงานเขียนพาผมมายืนอยู่ในช่วงปลายของวันอันแสนสั้น แสงตะวันที่กำลังทอดแสงสีส้มลงบนแม่น้ำเจ้าพระยา ทำให้ผมรู้สึกอบอุ่นขึ้นมาท่ามกลางสายลมหนาวที่ต้องเนื้อ ซึ่งนานๆ จะมาเยี่ยมทักคนกรุงอย่างผมสักที
ผมใช้เวลาอันเป็นช่วงต่อของราตรีที่กำลังเดินทางเข้ามานั้น เป็นช่วงเวลาของการเดินผ่อนอารมณ์จากเรื่องการงานที่หมกมุ่นมาทั้งวัน ผมใช้ขนมอร่อยๆ ที่หาซื้อได้แถวนั้นมาเป็นเครื่องมือในการพักผ่อนพร้อมๆ กับการเดินถ่ายรูปบรรยากาศรอบข้างที่มีสีสันและจังหวะเป็นท่วงทำนองเฉพาะตัวเหล่านั้น จนสุดท้ายทางเดินในช่วงแรกของผมก็มาหยุดที่ร้านกาแฟเล็กๆ ที่ซ่อนตัวอยู่ในตรอกเก่าแก่ของพระนคร
แสงนวลของร้านสาดออกมาผ่านกระจกใส ร้านเล็กๆ ตั้งอยู่ติดริมแม่น้ำเจ้าพระยา ผมชอบมาที่นี่ ชอบบรรยากาศ ชอบหน้าตาของเค้ก ชอบกินหอมอันสุขุมของกาแฟรสขมจัด เจ้าของร้านกำลังง่วงอยู่กับการชงกาแฟ ทันทีที่ผมผลักประตูบานใสเข้าไปในร้าน กระดิ่งเสียงใสอันเล็กๆ กังวานขึ้น พร้อมๆ กับที่พี่เอกเงยหน้าขึ้นมายิ้มทักทายให้กับผม ผมยิ้มรับ แล้วเดินเข้าไปสั่งเครื่องดื่มที่เคาท์เตอร์ เสร็จแล้วเดินเข้าไปนั่งที่โต๊ะด้านใน ซึ่งเป็นมุมริมสุดของร้านและพอมองออกไปด้านนอกจะเห็นภาพบรรยากาศของเจ้าพระยาในเวลาค่ำได้อย่างชัดเจน
สมุดบันทึกที่นอนนิ่งอยู่ในกระเป๋าสะพานอยู่นาน ถูกผมหยิบขึ้นมาแล้วกางลงบนโต๊ะก่อนที่จะลงมือเขียนบันทึกที่เกี่ยวกับงานสารนิพนธ์ที่ได้ไปสำรวจพื้นที่มาในวันนี้ ไม่นานนักโกโก้ร้อนที่ผมสั่ง ก็มาเสริฟลงที่โต๊ะ พร้อมกับคุ้กกี้สามสี่ชิ้นที่ถูกว่างลงพร้อมกัน
‘ผมไม่ได้สั่งนะพี่’ ผมบอกกับรุ่นพี่เจ้าของร้านพร้อมกับเอามือเลื่อนจานใส่คุ้กกี้ไปที่เขา
“ไม่เป็นไรหรอก ถือว่าแถมให้แล้วกัน” เขายิ้มพร้อมกับเลื่อนจานกลับเข้ามาคืนผม
‘ชอบทำให้เกรงใจอยู่เรื่อย’ ผมบอก ‘วันนี้ขายดีมั้ย’
“ได้เรื่อยๆ เหมือนเดิม” เขาหยิบคุ้กกี้ในจานขึ้นมากิน “ ทำไมไม่กินหล่ะ ขนมร้านนี้อร่อยจะตาย”
ผมหัวเราะ...แม้ว่าจะไม่ได้ยินเสียงหัวเราะของตัวเองเลยก็ตาม
ปีนี้กรุงเทพฯอากาศเย็นมากกว่าปีก่อนก็จริง แต่ก็ไม่ถึงกับหนาวจนต้องใส่เสื้ออีกชั้นหนึ่งออกจากบ้าน อีกไม่กี่วันก็จะเป็นขึ้นปีใหม่แล้ว เพื่อนๆ ที่คณะ หลายคนกำลังวางแผนจะไปเที่ยวกัน ที่จริงผมก็อยากไปเที่ยว นานแล้วที่ไม่ได้ออกต่างจังหวัดกับเพื่อนๆ แต่ปีนี้ผมตัดสินใจที่จะอยู่เที่ยวกรุงเทพฯ เนื่องจากยังกังวลกันสารนิพนธ์ที่ค้างคาอยู่
“ อยากได้อะไรจากปายมั้ย ” นิ่มถาม
‘ส่งรูปที่แกถ่ายแนบมาจากโปสการ์ดมาให้สักใบก็พอแล้ว’ ผมตอบ
หลังจากที่ผมสังสรรค์กับเพื่อนๆ เสร็จแล้ว ผมก็เดินไปที่ท่าพระจันทร์เพื่อไปเอารูปและสไลด์ที่สั่งอัดเอาไว้เมื่อวันก่อน ระหว่างทางที่ผมกำลังเดินไปยังร้านอัดรูปผมนึกถึงเพลงในอัลบั้มของ พิงค์ ฟลอยด์ ในอัลบั้ม Dark side of the moon กับเพลงที่ชื่อว่า Time
เนื้อเพลง Time ได้กล่าวถึงวันเวลาที่ผ่านพ้นไปอย่างรวดเร็ว ชีวิตในเมืองที่เรากำลังใช้ชีวิตพาเราไปอย่างรวดเร็วจนอาจทำให้เราหลงลืมบางสิ่งไป ทั้งสิ่งที่เราไม่ได้ทำและเวลาที่ผ่านพ้นไปเร็ว โดยที่เราอาจจะไม่รู้ตัวเลย เหมือนกับท่อนนึงของเพลง ที่ผมกำลังร้องอยู่ในหัวใจในตอนนี้ว่า : The time is gone, the song is over though I’d something more to say.
พอถึงร้านอัดรูป ผมได้ยื่นใบรับรูปและสไลด์และนั่งรออยู่ในร้าน ระหว่างนั้นผมก็ได้พบกับพี่เอก เจ้าของร้านกาแฟคนนั้น
“ มาเอารูปเหรอ? ” เขาถาม
ผมยิ้มและพยักหน้าเป็นการให้คำตอบว่าใช่...พร้อมกับหยิบปากกาน้ำเงินขึ้นมาเขียนข้อความลงในสมุดโน้ตเล่มที่ผมพกติดตัวเป็นประจำ
‘ แล้วพี่มาทำอะไรที่นี่ครับ... ’
“ มาเอารูปเหมือนกันครับ...ถ้าเสร็จแล้วไปดื่มกาแฟที่ร้านพี่มั้ย? ”
ผมให้คำตอบเป็นรอยยิ้ม...
ทางเดินที่ทอดไปข้างหน้า บทฟุตบาทมีผู้คนมากมายเดินอยู่บนนั้น เราคือส่วนหนึ่งของมันโดยที่ไม่รู้ตัว ผมไม่อาจะล่วงรู้ได้ถึงจุดหมายปลายทางของผู้คนที่เดินทางบนถนนสายเดียวกัน เช่นเดียวกันผม แม้ว่าเราจะเดินกันไปที่ร้านกาแฟของพี่เอกแต่ปลายทางนั้นผมยังไม่รู้จัก การเดินทางที่ไร้ซุ่มเสียงไม่ได้ทำให้ผมรู้สึกเหมือนถูกทิ้งให้เดินอยู่แต่เพียงลำพัง
ผมยังไม่ทันที่จะได้คาเฟอีนเลย แต่ทำไมเวลาที่มองหน้าพี่เอก...หัวใจผมเต้นแรงจัง...
ร้านกาแฟในวันนี้ มีเพียงแค่ผมกับพี่เอกสองคน วันนี้เป็นวันหยุดพักผ่อนประจำเดือนของลูกจ้าง ไฟในร้านเปิดแค่บางส่วน เฉพาะแต่เคาท์เตอร์ที่ชงกาแฟ และโต๊ะด้านริมแม่น้ำ บาริสต้าหนุ่มกำลังชงกาแฟลาเต้ให้ผมอยู่ โดยที่มีผมนั่งสังเกตการณ์อยู่เงียบๆ หน้าเคาท์เตอร์ กลิ่นหอมของกาแฟทำให้ผมรู้สึกผ่อนคลายพอๆ กับกลิ่นของเบเกอรี่หอมๆ เอสเปรสโซ่อเมริกาโน่ถูกเติมนมสดลงไปจนกลายเป็นสีน้ำตาลสวยและถูกเทลงแก้วกาแฟเซรามิคสีขาวสะอาด ฟองนมที่ถูกตีขึ้นเป็นฟองหนานุ่มด้วยไอร้อนถูกตักขึ้นมาแต่หน้าลาเต้บนถ้วยกาแฟที่ถูกเตรียมไว้
“อยากดูลาเต้อาร์ทมั้ย”
ผมพยักหน้าตอบ
“งั้นผมจะทำให้...เอารูปไรดีนะ...”
หลังจากนั้น ผมกับพี่เอกก็มานั่งคุยกันที่โต๊ะเล็กๆซึ่งตั้งอยู่ในมุมริมสุดของร้านซึ่งทำให้มองเห็นวิวของแม่น้ำเจ้าพระยาได้ดีที่สุด ผมเพิ่งจะทราบว่าเขาเป็นนักออกแบบตกแต่งภายใน ที่มีอาชีพเสริมเป็นบาริสต้า หลายต่อหลายเรื่องเราสองคนเพิ่งจะมารู้จากปากของกันและกันในวันนี้ มันเป็นการสนทนาที่ยาวนานและทำให้เรายิ่งรู้จักกันมากยิ่งขึ้น แม้ว่าผมจะมาร้านนี้เป็นปีๆ แล้วก็ตาม
‘ตอนนี้พี่กำลังเปิดเพลงอะไรอยู่’ ผมใช้ปากกาน้ำเงินด้ามเก่งของพี่เอกเขียนข้อความลงในสมุดโน้ตของผมก่อนที่จะยื่นให้เขาอ่าน
“ตอนนี้กำลังเล่นเพลงของ Don’t know why ของ Kan Hirai” เขาตอบ
‘เสียงของเขาเพราะมั้ย...’
ผมสูญเสียการได้ยินหลังจากที่เสียงจักจั่นกรีดร้องในหูเมื่อประมาณ 6 ปีก่อน นับแต่นั้นมา โลกผมก็เงียบสนิท ผมเสียใจที่สูญเสียในสิ่งที่พระเป็นเจ้าประทานมาและเรียกมันกลับคืน แต่ยังโชคดีที่ผมยังเหลือผัสสะอื่นๆ อยู่ มันไม่ได้ทำให้ชีวิตของผมเลวร้ายจนถึงขนาดมีชีวิตอยู่ต่อไม่ได้ แค่อาจจะใช้ชีวิตนับแต่นั้นลำบากมากขึ้นกว่าเก่า ซึ่งมันก็เป็นเรื่องที่พอจะยอมรับได้ และยังโชคดีที่ยังมีคนดีๆ คอยอยู่เคียงข้างผมอีกมาก ผมเคยได้ฟังเพลงเพราะ ๆ ได้พูดคุยกับคนที่ผมรัก ได้สื่อสารให้คนรอบข้างได้เข้าใจ นับแต่วันที่ผมสูญเสียการได้ยินไป ผมก็ไม่อยากพูดอะไรอีกแล้ว เพราะคงป่วยการที่จะพูดออกไปโดยที่ไม่ได้ยินเสียงตัวเองในขณะที่ตัวเองกำลังพูด
วันนี้ของผมจบลงด้วยความรู้สึกที่อบอุ่น เราอาจจะพูดคุยกันได้ช้ากว่าคนทั่วไป แต่พี่เอกก็ยินดีที่จะรอถ้อยคำของผมสื่อสารผ่านปากกาสีน้ำเงินด้ามนั้น โชคดีที่ผมพอจะอ่านปากคู่สนทนาอยู่ได้บ้าง เลยเป็นโชคที่ทำให้เราไม่ต้องนั่งเขียนเพลงยาวแลกกันอ่าน
นับจากวันนั้น เกือบสองสัปดาห์ผมก็มัวแต่จัดการกับสารนิพนธ์ซึ่งจะสิ้นสุดกำหนดส่งครั้งแรกอีกไม่กี่วันนี้แล้ว กิจกรรมเดิมๆ จึงเป็นเสมือนเพื่อนสนิทในช่วงนี้ ไม่ว่าจะเป็นการอ่านหนังสือ การเรียบเรียงข้อมูล รวมทั้งการเขียนบทความต่างๆ โชคดีที่รูปทั้งหมดที่ต้องใช้ประกอบนั้นผมถ่ายเก็บไว้ครบหมดแล้ว เพื่อนหลายๆ คนที่ส่งงานก็เริ่มจะทยอยเดินทางออกไปเที่ยววันปีใหม่ในที่ต่างๆ มหาวิทยาลัยเงียบลงกว่าเดิมทำให้ผมรู้สึกวังเวงพิกล แต่อีกสองวันเท่านั้น ผมก็จะเสร็จงานที่จะตั้งส่งครั้งแรกแล้ว...
พอผมกลับไปที่บ้าน ผมเห็นจดหมายวางอยู่บนโต๊ะเขียนหนังสือ บนซองจดหมายสีน้ำตาลเข้มที่บรรจุจดหมายนั้น มีเพียงชื่อเล่นของผมกับที่อยู่เท่านั้น ไม่เห็นว่ามีที่อยู่ผู้ฝากแต่อย่างใด แต่เมื่อแกะซองจดหมายดู ก็พบกับโปสการ์ด 1 ใบ ที่เป็นรูปร้านกาแฟของพี่เอกในยามค่ำคืน ซึ่งถ่ายมาจากอีกฝั่งหนึ่งของร้าน...
“ นับถอยหลังสู่ปีใหม่...พร้อมเริ่มต้นก้าวไปด้วยกัน ”
นี่คือข้อความบนโปสการ์ดที่เขาส่งถึงผม
ดีใจจริงๆ ที่วันนี้อากาศเย็น สมกับเป็นวันส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่จริงๆ ผมมองดูโปสการ์ดที่พี่เอกส่งมาซึ่งแปะไว้บนโต๊ะเขียนหนังสือก่อนที่จะหยิบขึ้นมาดูอีกครั้ง แล้วสอดมันไว้ในสมุดบันทึกประจำตัวของผม ก่อนที่จะหยิบกล้องตัวเก่งลงกระเป๋า แล้วออกเดินทางไปยังร้านกาแฟของพี่เอก
ผู้คนกำลังมีความสุขกับช่วงเวลาแห่งการเฉลิมฉลองนี้ ผมเองก็อดที่จะตื่นเต้นไปกับบรรยากาศที่เห็นผู้เบื้องหน้าไม่ได้ แสงไฟหลากสีที่ประดับประดาไว้ทำให้ผมคิดถึงวันเก่าๆ ที่ทำให้มีความสุข เหมือนกำลังถูกย้อยเวลาให้กลับไปสู่ความเป็นเด็กอีกครั้ง
ย่านเก่าแก่ของเมืองหลวงไม่พลุกพล่านเหมือนกับจุดเคาท์ดาวน์ใหญ่ๆ ในกรุงเทพ ผมใช้เวลาเดินทางไม่นานก็ไปถึงร้านกาแฟของพี่เอก บรรยากาศในร้านไม่ต่างจากเมื่อสองอาทิตย์ก่อนที่ผมได้มาพร้อมพี่เอกในคราวนั้น แสงนวลที่สาดมาจากร้านเป็นสัญญาณบอกว่าเขากำลังรอผมอยู่ที่นั่น พอผมเข้าไปในร้าน ก็ได้กลิ่นหอมของกาแฟอวลอยู่กับเบเกอร์รี่ที่วางไว้บทเคาท์เตอร์ มุมในสุดของร้านมีต้นคริสมาสประดับไฟส่องแสงเป็นประกายอยู่ในมุมมืด พี่เอกกำลังนั่งจิบกาแฟอยู่ตรงโต๊ะนั้นอยู่คนเดียว ทันทีที่เขาเห็นผมเดินเข้ามา ก็ลุกขึ้นมาต้อนรับผม พร้อมกับจะชงกาแฟให้
ผมแสดงท่าทีว่า ผมอยากจะลองเป็นบาริสต้าดูบ้าง...สุดท้ายผมก็ได้ลองดื่มลาเต้ที่ตัวเองชงเป็นครั้งแรกและพี่เอกได้หยิบขนมในถาดใส่จานและมาเสริฟให้ผม เขาบอกผมว่า ขนมทั้งหมดเขาเป็นคนทำเอง และหลายอย่างลองทำเป็นครั้งแรก ทั้งหมดนี้ เขาเตรียมไว้เพื่อฉลองสำหรับคืนนี้ ผมอยากจะถามว่าทำไมเขาถึงเลือกที่จะอยู่ข้ามคืนพิเศษอยู่ที่นี่ ถ้าผมพูดได้สะดวก รับฟังอะไรๆ ได้เหมือนก่อน ผมคงจะชวนคุยและถามเรื่องราวต่างให้มากขึ้น
‘ไม่เบื่อบ้างเหรอ ที่ต้องอยู่เงียบๆ กับผม...’ ผมเขียนข้อความลงในกระดาษและยื่นให้เขาอ่าน ระหว่างที่เรากำลังนั่งรอเวลานับถอยหลังสู่วันปีใหม่
‘ไม่เลย’
เขาเขียนกลับมา และนับแต่นั้น พี่เอกก็ใช้วิธีเดียวกันนี้สื่อสารกับผม โดยให้เหตุผลว่าเขาไม่อยากเอาเปรียบผม
‘เรียนภาษามือแล้วมาคุยกับผมสิ’ ผมเขียนตอบ ทันทีที่เขาอ่านจบเขาก็หัวเราะออกมาเบาๆ จนผมอดหัวเราะตามไม่ได้
“ รู้มั้ย ว่าเสียงหัวเราะของนาย ...คือสิ่งที่ผมอยากได้ยิน ” คำพูดของเขาแม้ผมจะไม่ได้ยินแต่เมื่อผมเห็นริมฝีปากของเขา ใจผมก็เต้นไม่เป็นจังหวะในทันที
อีกไม่ถึงสิบนาทีก็จะเข้าสู่วันใหม่ของปีใหม่แล้ว พี่เอกให้สัญญาณกับผมว่าเหลือเวลาอีกไม่นานเขาบอกว่าริมแม่น้ำจะมีพลุให้ดูด้วย เขาเลยพาผมออกไปยืนนอกร้าน และเราสองคนก็หันหน้าไปทางสะพานพระราม๘
เมื่อถึงเวลานับถอยหลังพี่เอกก็ให้สัญญาณมือให้ผมนับถอยหลังไปพร้อมๆ กัน
นานแล้ว...ที่ผมไม่ได้ยืนนับถอยหลังเข้าสู่ปีใหม่กับใคร...ทุกอย่างมันตื่นเต้นไปหมดแม้กระทั้งวินาทีสุดท้ายที่สิ้นสุดปีเก่า
แสงของดอกไม้ไฟสว่างจ้าเป็นสีสันแต้มท้องฟ้าและผืนน้ำยามราตรี


พี่เอกหันมาหาผมพร้อมพูดกับผมด้วยภาษามือว่า
“ผมชอบคุณ”

Mr.CY โพสต์ 2011-8-27 12:09:37

tanya โพสต์ 2011-8-27 12:25:52

{:5_128:}ขอบคุณครับ MR.CY

tanya โพสต์ 2011-8-27 13:08:40

{:5_135:}ไม่เป็นไรครับ JULY

tanya โพสต์ 2011-8-27 13:08:58

{:5_135:}ไม่เป็นไรครับ JULY

bleachof โพสต์ 2011-8-28 14:29:14

ขอบคุณมากครับ

tanya โพสต์ 2011-8-28 14:43:53

ต้นฉบับโพสต์โดย bleachof เมื่อ 2011-8-28 14:29 static/image/common/back.gif
ขอบคุณมากครับ

{:1_1:}ครับไม่เป็นไรครับ BLEACHOF

bajamm โพสต์ 2015-5-16 03:28:29

ขอบคุณครับ

tomyum โพสต์ 2015-5-23 10:39:59

ขอบคุณครับ

arm1211 โพสต์ 2015-5-24 00:23:09

ขอบคุณมากๆครับ

yuoooll โพสต์ 2015-7-26 06:06:51

ขอบคุณครับ

daisuke338 โพสต์ 2022-6-8 05:05:58

ขอบคุณครับ
หน้า: [1]
ดูในรูปแบบกติ: เราพูดภาษาเดียวกัน...