เพื่อนบ้านผู้ซักเสื้อผ้าได้สกปรก
สามีภรรยาคู่หนึ่งอาศัยอยู่ในหมู่บ้านจัดสรรแถบชานเมือง ทุก ๆ วัน ฝ่ายภรรยาจะตื่นแต่เช้ามาออกกำลังกายอยู่ริมหน้าต่างชั้นสอง ซึ่งเมื่อมองผ่านกระจกหน้าต่างออกไปแล้วจะเห็นทิวทัศน์รอบหมู่บ้านได้อย่างถนัดถนี่วันหนึ่ง มีเพื่อนบ้านคนใหม่ย้ายเข้ามาอยู่บ้านหลังติดกัน เพียงสองวันแรก ภรรยาก็มีเรื่องเล่าให้สามีของเธอฟังเสียแล้ว
"คุณ คุณ" เธอร้องเรียกสามีซึ่งกำลังนั่งอ่านหนังสือพิมพ์รออยู่ที่โต๊ะอาหารเช้า "คุณเชื่อไหมว่าเพื่อนบ้านคนใหม่ของเราน่ะซักผ้าได้ชุ่ยมากจริง ๆ ผ้าแต่ละชิ้นที่เธอซักและนำมาตากไว้บนราวน่ะ ไม่มีตัวไหนสะอาดเลยแม้แต่ตัวเดียว"
สามีลดหนังสือพิมพ์ลงแล้วถามว่า "คุณไปคุยกับเพื่อนบ้านของเรามาแล้วหรือ"
"เปล่าหรอก" ภรรยาตอบ "ฉันเห็นผ่านกระจกหน้าต่างตอนที่กำลังออกกำลังกายอยู่บนชั้นสองน่ะ"
"เราน่าจะไปทำความรู้จักกับเขาบ้าง" สามีว่า แต่ภรรยาส่ายหน้าทันที
"ว้าย ไม่เอาหรอกคุณ ขนาดเสื้อผ้าของตัวเองยังซักสกปรกเลย นี่ก็แสดงว่าเขาเป็นคนไม่รักษาความสะอาดเอาเสียเลยนะ"
สามีไม่ได้พูดอะไรอีก เขายกหนังสือพิมพ์ขึ้นแล้วอ่านข่าวในนั้นต่อไป
วันต่อมาภรรยาก็นำเรื่องเดิมมาวิพากษ์วิจารณ์กับสามีอีก
"วันนี้ก็เหมือนกันนะคุณ ไม่รู้ซักผ้ากันอย่างไรถึงได้สกปรกขนาดนั้น"
"เอาน่าคุณ" สามีว่า "เรื่องของเขาน่ะ เขาจะซักเสื้อได้สกปรกอย่างไรก็เขาเองละที่ต้องใส่มัน เราซักเสื้อผ้าของเราให้สะอาดก็แล้วกัน อย่าไปยุ่งกับเขาเลย"
ภรรยาทำหน้างอน ๆ แล้วพูดเสียงอู้อี้ว่า "ฉันน่ะซักผ้าสะอาดเอี่ยมอยู่ล่ะน่ะ"
แม้จะถูกสามีทักท้วงมาแล้ว แต่ทุกวันที่เพื่อนบ้านซักผ้า ฝ่ายภรรยาก็จะนำเรื่องนี้มาพูดเชิงตำหนิกับสามีทันที กระทั่งวันหนึ่งภรรยาก็ต้องพบกับความประหลาดใจ เธอรีบวิ่งลงมาหาสามีซึ่งกำลังรดน้ำไม้ประดับอยู่ชั้นล่างแล้วละล่ำลำลักบอกเขาว่า
ขอบคุณภาพประกอบจาก learners.in.th
"คุณคุณ ไม่รู้เกิดอะไรขึ้นกับเพื่อนบ้านคนใหม่ของเราล่ะ คุณเชื่อไหมว่าวันนี้เธอซักเสื้อผ้าทุกชุดได้สะอาดเอี่ยมอ่องเสียยิ่งกว่าที่ฉันซักอีกนะ ตายละ..นี่มันเรื่องใหญ่ทีเดียว ฉันอยากรู้เสียจริงว่าอะไรทำให้เธอเปลี่ยนมาซักผ้าได้สะอาดถึงขนาดนี้"
สามีฟังแล้วหันมาบอกว่า
"เพื่อนบ้านของเราก็ซักผ้าเหมือนเดิมนั่นแหละ แต่วันนี้ผมตื่นนอนก่อนคุณจึงเดินไปเช็ดกระจกทุกบานจนใสแจ๋ว คุณก็เลยมองอะไร ๆ ได้สะอาดขึ้นอย่างไรล่ะ"
บทสรุปของผู้แต่ง
บางทีเราอาจสงสัยว่า ทำไมคนคนหนึ่ง ถึงไม่มีดีเอาเสียเลย ขอให้คิดดูใหม่ว่า เรารู้จักคนคนนั้นดีพอที่จะตัดสินเขาเช่นนั้นหรือไม่ และยังต้องคิดด้วยว่า เรามองเขาด้วยมุมมองแบบไหน รู้ไหมว่า หลายครั้งทีเดียวที่เราเผลอวิพากษ์วิจารณ์ใครบางคนอย่างสาดเสียเทเสีย มิใช่เพราะว่าเขาเป็นคนไม่ดี แต่เป็นเพราะตัวเราเองมองเขาอย่างมีอคติ จึงเห็นแต่สิ่งแย่ ๆ ในตัวเขา ทั้งที่คนคนนั้นอาจเป็นคนดีน่าคบหาคนหนึ่งเลยทีเดียว
"โลกนี้ไม่มีใครสมบูรณ์แบบ" เป็นประโยคที่แสนอมตะ แต่ใช่ว่าคนไม่สมบูรณ์แบบจะเป็นคนดีไม่ได้ ดังนั้นเวลาที่มองใครก็ตามขอความเป็นธรรมให้แก่คนคนนั้นด้วย มองเขาด้วยมุมมองที่ดี ๆ ถ้าพยายามแล้วแต่ยังไม่เห็นความดีในตัวเขา และค่อนข้างแน่ใจว่าเขาคือคนพาล ก็จงวางเฉยเสีย แต่ถ้าการมองด้วยใจที่โปร่งใสทำให้คุณอาจพบเพื่อนดี ๆ ที่เธอเกือบจะทอดทิ้งไปอีกหนึ่งคน ก็เป็นเรื่องที่น่ายินดีโดยแท้
จงเตือนตนไว้ดีกว่าที่จะกล่าวโทษโจษคนอื่น
หน้า:
[1]