ตรี โพสต์ 2011-12-2 13:38:45

กลัวรัก...

กลัวรัก....

               เดือนนี้ฉันเข้ากะเช้าและนั่งเครื่องที่แผนกยีนส์
               “ดูพี่แคชเชียร์สิ    แกดูซึมเศร้ามาก เหมือนเพิ่งจะอกหักมา”เสียงพนักงานขายซุบซิบกัน
ซึ่งฉันก็ไม่ได้รู้สึกเคืองขุ่นพวกเขาแต่ประการใด    ฉันเองก็รู้ตัวอยู่เหมือนกันว่าวันๆฉันพูดแทบจะนับคำได้   วันทั้งวันเดือนทั้งเดือนแทบจะไม่มีรอยยิ้ม บนใบหน้าของฉัน
                “ทีมันอกหัก    อย่าพูดอะไร ทิ่มแทงใจมันล่ะ” เพื่อนๆ พี่ๆ บอกกล่าวประโยคนี้กันเนืองๆ

               ซึ่งตัวฉันเองก็คอยระมัดระวังอารมณ์ตัวเองอยู่ค่อนข้างมากเหมือนกันกลัวจะฟุ้งซ่าน จน
คิดสั้นเหมือนคราวแรกนั้น
                ฉันพยายามทำตัวเองให้ว่างน้อยที่สุด    ฉันพยายามอยู่คนเดียวลำพังให้น้อยที่สุด
ฉันเลือกที่จะมานั่งดูทีวีที่ห้องรับแขกของอพาร์ทเมนท์แทนที่จะนั่งดูอยู่บนห้องอย่างเดียวดาย
หลังข่าวเที่ยงคืน ฉันถึงจะยอมขึ้นห้องนอน ประมาณว่าเมื่อหัวถึงหมอนก็ให้หลับเป็นตายกันเลย
ทีเดียว

            ซึ่งการปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตของตัวเองก็พอช่วยฉันได้ค่อนข้างมาก   คนที่พักอยู่ที่นี่ล้วนแต่เป็นนักศึกษาที่มหาวิทยาลัยเดียวกันกับฉัน

            ทุ่มครึ่งแล้วฉันเพิ่งจะถึงที่พักหนุ่มๆเล่นฟุตซอลกันอยู่ที่หน้าอพาร์ทเมนท์ส่งเสียงเอะอะโวยวายก็แปลกดีนะตั้งแต่ฉันย้ายมาอยู่ที่นี่ฉันเข้ากะบ่ายตลอด กลับถึงที่พักก็สี่ห้าทุ่ม ไม่เคยเจอกับหนุ่มๆที่เล่นฟุตซอลกันเลย จะมีก็วันนี้ซึ่งฉันเริ่มลงกะเช้าจึงเลิกงานและกลับถึงที่พักเร็วกว่าเดิมมาก
               “ส่งมานี่....................ไอ้กฤษส่งมานี่”
                ฉันมองหาลูกบอลด้วยกลัวจะโดนลูกหลง   แล้วสายตาก็ได้ประสานกับสายตาของคนชื่อกฤษที่กำลังครองบอลอยู่
               “ให้ตายเถอะที่นี่มีคนน่ารักขนาดนี้พักอยู่ด้วยหรือ” ฉันบอกกับตัวเอง
                กฤษเป็นคนผิวขาวมากรูปร่างสันทัด จมูกโด่ง หน้าได้รูปที่เด่นที่สุดเห็นจะเป็นริมฝีปากที่ แด๊ง แดงๆๆๆๆ

         อายุของกฤษน่าจะพอๆกับฉันเขาเป็นคนที่มีอัธยาศัยดีมีเพื่อนรุ่นพี่ รุ่นน้องและรุ่นราวคราวเดียวกันเยอะแยะ   ต่างกับฉันที่อยู่อย่างเดียวดายฉันไม่มีใครเลยฉันแทบไม่รู้จักกับใครเลยในที่นี้
         
            ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมาฉันชอบแอบมองดูกฤษโดยเฉพาะริมฝีปากแดงจัดนั้น ทำเอาฉันเก็บมาฝันอย่างช่วยไม่ได้   เขาเองก็เหมือนจะรู้ตัวเวลาที่ฉันมองก็ชอบจะเอาลิ้นเลียปากซะงั้น
แต่ฉันไม่กล้าคิดอะไรไปไกลกว่านั้น

          ด้วยพิษรักปักทรวงถึงสองครั้งสองหนยังสำแดงฤทธิ์เดชไม่หาย   บุคลิกฉันมันก็คนป่วยใจดีๆนี่เอง   

          แล้วก็ยังมีเหตุผลหลายอย่างประกอบกัน   ฉันค่อนข้างจะเจียมเนื้อเจียมตัวคนอื่นๆพ่อแม่เขาส่งเรียน   มีเงินทองใช้ไม่ขาดมือได้ไปเรียนอย่างสม่ำเสมอต่างกับฉันที่ต้องทำงานหาเงินส่งเสียตัวเองถ้าเดือนไหนเป็นช่วงลงทะเบียน ซื้อหนังสือหรือมีรายจ่ายอื่นที่อยู่นอกเหนือจากรายจ่ายประจำ   เดือนนั้นฉันเป็นอันต้องไส้แห้งอย่างช่วยไม่ได้


         “ไง..ไปทำงานวันแรกเวิร์คไหม”เสียงคนทักทายกันที่ประตูทางเข้าตึก ขณะที่ฉันนั่งดูทีวีที่อยู่ข้างใน
         “ก็ดีว่ะ.................”เสียงกฤษตอบได้ยินชัดเจน

         ฉันไม่ได้เจตนาจะแอบฟังใครเขาพูดคุยกันแต่เขามานั่งคุยกันอยู่ข้างหลังฉันเลยทำให้รู้ว่า
กฤษเป็นคนที่เรียนเก่งและจบเร็วกว่าเพื่อนๆรุ่นเดียวกันถึงเกือบปีเกรดเฉลี่ยสวยถึงขั้นไปสมัครงานธนาคารสำนักงานใหญ่ เขาก็รับเข้าทำงานทันที   
         “นี่แหละนะคนหน้าตาดีบุคลิกภาพดีสมองดีฐานะทางบ้านดี   เมื่อทุกอย่างพร้อมทุกอย่างก็ย่อมเกื้อหนุนเสริมส่งให้ไปได้ดีเสมอถ้าคนรักดีอีกอย่างด้วยน่ะนะ” ฉันคิดบอกกับตัวเองลำพัง    เมื่อยิ่งได้รู้ความจริงอย่างนั้น   มันยิ่งทำให้ช่องว่างระหว่างฉันกับกฤษ เพิ่มมากขึ้นตัวฉันนะเหรอ
          “ไม่มีใครสนใจใยดี   ห้องเรียนไม่เคยได้เข้ากับคนอื่นเขาอ่านหนังสือสอบเอง   ลาสอบได้บ้างไม่ได้บ้าง..................”ฉันอดเปรียบเทียบ    และน้อยใจในชะตาชีวิตของตนเองอย่างช่วยไม่ได้



          ยิ่งนับวันกฤษยิ่งดูดีขึ้นในสายตาฉัน    นั่นมันยิ่งทำให้ฉันรู้สึกว่า ตัวเองต่ำต้อยลงทุกทีๆ
ฉันพยายามเก็บความรู้สึก   และไม้กล้ามองกฤษตรงๆอีกเลย   แต่ยังห้ามใจตัวเองไม่ได้ที่จะ.....................ไม่ให้แอบมอง

         นี่ก็ห้าทุ่มกว่าแล้ว      ฉันนั่งดูทีวีอยู่เพียงลำพังดูรายการต่างๆไปเรื่อยเปื่อย       ประสาทไม่ได้รับรู้อะไรฉันยังไม่อยากขึ้นห้องนอนฉันกลัวความเหงาฉันกลัวความอ้างว้างฉันกลัวความเปล่าเปลี่ยวเดียวดาย   ที่สำคัญฉันกลัวใจตัวเอง.........

         กฤษเดินมาโน่นแล้ว   เขาเดินผ่านไป....................... แล้วเดินกลับมา   เดินย้อนกลับไปด้านหน้า    เดินกลับมาแล้วก็เดินย้อนกลับไปด้านหน้า.............
      “ป๊าบ..............”    เขาแกล้งแกว่งแขนมาโดนฉันอย่างแรง
      “.....................”   
      “.....................”    เงียบสนิท ไม่มีคำขอโทษจากเขา .................................... ไม่มีเสียงของฉัน    ไม่แม้กระทั่ง...........ฉันจะหันไปมอง   
         เสียงกฤษนั่งลงที่นั่งแถวหลังฉัน เงียบๆ
         ทุกอย่างยังคงเงียบสนิท...........เงียบสนิท ไม่มีคำขอโทษจากเขา ........................... ไม่มีเสียงของฉัน    ไม่แม้กระทั่ง...........ฉันจะหันไปมอง   
          ฉันรับรู้ได้ว่ากฤษเจตนาที่จะทำความรู้จัก............... แต่ฉันยังไม่พร้อม   ฉันต่างหากที่ยังไม่พร้อม   ฉันขอเวลา   ฉันยังต้องการเวลา เยียวยารักษาแผลใจ

          สักพัก กฤษลุกขึ้นเดินขึ้นชั้นบนมองฉันอย่างงงๆ   มองฉันอย่างไม่เข้าใจ ฉันมองกลับไปที่เขาด้วยสายตาที่อ้างว้าง......................และว่างเปล่า

          หลายเดือนผ่านไปฉันยังคงอยู่กะเช้าฉันกลับถึงที่พักตรงเวลาเสมอ   เหมือนกฤษจะรออยู่เมื่อฉันไปถึง   เราต่างมองสบสายตา............แล้ว เขาจะเดินตาม    หรือบางวันก็เดินนำหน้าฉันขึ้นข้างบนเสมอ   อย่างเงียบๆ..............
          เป็นอยู่อย่างนั้น..................อย่างเงียบๆ
         ไม่มีรอยยิ้มให้กัน...........................ไม่มีแม้คำพูดจาสักคำเดียว   

          แต่   ฉันก็รู้สึกเป็นสุขและอบอุ่นใจ อย่างประหลาด

      ผ่านไปครึ่งปีถึงคิวฉันต้องลงกะบ่ายบ้างแล้ว
      ฉันกลับถึงที่พัก   ประมาณห้าทุ่มครึ่ง................. กฤษ ไม่รอแล้วเขาคงเข้านอนแล้วเขาต้องตื่นแต่เช้าเพื่อไปทำงานฉันเข้าใจดี
   
      วันนี้เป็นวันเสาร์คนทำงานห้างอย่างฉันยิ่งหยุดไม่ได้เลยลูกค้าเยอะมากทั้งวันเพราะมีการจัดรายการพิเศษด้วย   ฉันถึงที่พักเที่ยงคืนได้   กฤษรออยู่เช่นเคยเขามองมาเขาจ้องมองมาด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยคำถาม   ด้วยสายตาที่ขุ่นข้องหมองใจ
       “ผมไม่ได้เกเรผมไม่ได้หนีเที่ยวผมเพิ่งกลับจากที่ทำงาน.................” ฉันส่งสายตา    และกระแสใจไปบอกเขาอย่างเงียบๆ
       ............แล้ว เขาก็เดินตาม ฉันขึ้นข้างบน    อย่างเงียบๆ.............. โดยไม่มีรอยยิ้มให้กัน...........................ไม่มีแม้คำพูดจาสักคำเดียว   


       เราเดินตามกัน    เรามองสบตากัน   เราส่งความรู้สึกเข้าหากัน...........................เราปล่อยให้หัวใจมันคุยกันอยู่อย่างเงียบๆ...................แต่ฉันก็รู้สึกอบอุ่นใจดี      
      
          บางวันที่ฉันเหนื่อยอ่อน....................บางครั้งฉันก็อยากจะให้มันเป็นมากกว่านี้   แต่ฉันยังไม่พร้อม   ฉันต่างหากที่ยังไม่พร้อม   ฉันขอเวลา   ฉันยังต้องการเวลา เยียวยารักษาแผลใจ

          เวลาพ้นผ่านไปเป็นปี   ความสัมพันธ์สองเรายังคงเดิม   
          กฤษเองก็ไม่กล้าทำอะไรไปมากกว่านั้นด้วยฉันเคย....................
          ฉันเองก็ไม่กล้าเพราะตีค่าตนเองต่ำไป.....................................และฉันยังเจ็บแผลเก่าที่หัวใจ
ยังไม่หาย.................มันเจ็บ ปลาบแปลบทุกครั้ง เมื่อคิดถึงเรื่อง ความรัก

         
         “ไอ้กฤษมันได้งานใหม่ที่ไฟแนนซ์..........................”
         “เหรอวะโอ้โฮ้เงินเดือนเพิ่มกว่าสองเท่าเลยนะแก.......”
         “นั่นน่ะสิโบนัสนะเกือบยี่สิบเดือนเชียวนะโว๊ย”
            เสียงเพื่อนๆพี่ๆน้องๆร่วมที่พักต่างพูดคุยแสดงความยินดีกับกฤษที่ได้งานดีเงินดีกว่าเดิม          นั่นมันยิ่งเป็นการเพิ่มช่องว่างระหว่างฉันกับเขาให้ห่างไกลเกินกว่าที่ฉันจะไข่วคว้า..............เอื้อมมือไปถึง    ฉันครุ่นคิดด้วยความน้อยเนื้อต่ำใจ
      
      แต่กฤษก็ยังทำตัวเป็นปกติเช่นเคยๆ    เดินนำฉันขึ้นที่พักไปนั่นแล้ว      แต่วันนี้แปลกไป
เมื่อถึงชั้นสามแทนที่เขาจะเลี้ยวขวาเข้าห้องพักตนเอง    เขากลับเดินไปอีกฝั่งแล้วรีบเดินกลับมา
ขณะที่ฉันยังอยู่กึ่งกลางบันได   
         “โอ้โฮ............ แผลถลอกเป็นรอยยาวตั้งแต่เข่าไปถึงโคนขา”กฤษหยุดยืนอยู่ต่อหน้าฉันสักครู่เหมือนต้องการให้ฉันได้รับรู้
      “กฤษคุณ..............” เสียงของฉันแผ่วเบาคอแห้งผาก.............แต่เขาเปิดประตูเดินเข้าห้องไปแล้ว

          “กฤษ.............คุณคงเจ็บแสบที่แผลมากสินะ” ฉันรำพึงกับตนเอง
          “ผมอยากจะคอยดูแลคุณเหลือเกิน..............” ฉันได้แต่คิด
         ในความเป็นจริงเราต่างกันเหลือเกิน    ฉันจึงทำได้แค่เพียงรับรู้...............ฉันรับรู้ถึงเจตนา และความเจ็บปวดของเขาได้


         เรายังคงเดินตามกัน    เรามองสบตากัน   เราส่งความรู้สึกเข้าหากัน...........................เราปล่อยให้หัวใจมันคุยกันอยู่อย่างเงียบๆ...................แต่ฉันเริ่มรู้สึก   ว้าวุ่นใจ      


         ฉันต้องลาออกจากงาน    ฉันต้องไปฝึกงาน   ห่างจากที่พักไปไกลถึงสองชั่วโมง ถ้ารถไม่ติด
มันเป็นเรื่องจำเป็นที่คณะถ้าไม่ลงฝึกงานจะขอจบปริญญาไม่ได้   แล้วถ้าฉันไม่ย้ายที่พักฉันคงต้องเสียงาน เสียการเรียนแน่ๆด้วยคงต้องเสียเวลาอยู่บนรถประจำทางไปกลับวันละสี่ถึงห้าชั่วโมงได้ไหนจะต้องเผื่อเวลาไปยืนคอยรถอีกข้าวของที่หิ้วไปฝึกงานก็คงพะรุงพะรังน่าดูฉันปรึกษากับเพื่อนๆ เราตกลงกันที่จะไปเช่าห้องย่านที่ฝึกงาน เพื่อจะได้ให้ความช่วยเหลือดูแลกันได้และตัดปัญหาจิปาถะ ข้างต้น


         ฉันเก็บข้าวของสัมภาระขึ้นรถเช่าเที่ยวแล้ว...............เที่ยวเล่า
……………………………………………………………………………………………………….
         “เฮ้อ..........เที่ยวสุดท้ายแล้วสินะขอขอบคุณทุกสิ่งอย่างที่ให้ฉันอาศัยอยู่ที่นี่ด้วยดีเสมอมา”
ฉันบอกลา ห้องพักและสะพายกระเป๋าลูกสุดท้าย เดินออกมาหน้าตึกอพาร์ทเมนท์


      “กฤษ............ คุณดูเศร้าจังเลย” กฤษยืนอยู่ที่ใต้ต้นกระถินณรงค์หน้าตึก
ฉันเดินผ่านเขาช้าๆ

         เรามองสบตากัน   เราส่งความรู้สึกเข้าหากัน...........................เราปล่อยให้หัวใจมันคุยกันอย่างเงียบๆ

      ฉันรู้สึกร้อนผะผ่าว...........แสบเคือง ที่ดวงตา    ฉันเดินช้าๆ มาที่รถตายังคงมองอยู่ที่กฤษ
       “ไปแล้วนะครับ..............ลาก่อน” ฉันส่งความรู้สึกถึงกฤษ
      
      ดอกกระถินณรงค์สีเหลืองสด   หล่นโปรยปรายท่ามกลางสายลมที่พัด กระชั้น ........................
      
         ดอกกระถินณรงค์สีเหลืองสด   หล่นโปรยปรายลงบนศีรษะของกฤษ...................
ฉันเห็นน้ำตาเขาไหลเป็นทาง   
      
         ดอกกระถินณรงค์สีเหลืองสด   น้ำตากฤษ........................................ไหลเป็นทาง   

         น้ำตาฉันเริ่มเอ่อล้นเช่นกัน
          “ลาก่อน........ลาก่อนครับ”
          ฉันส่งความรู้สึกถึงกฤษเป็นครั้งสุดท้าย   ก่อนที่ฉันจะควบคุมตัวเองไม่ได้มากกว่านี้


         พอรถเริ่มเคลื่อนฝนก็เริ่มโปรยปราย .....................ฉันมองกฤษผ่านกระจกมองหลัง
เขายืนอยู่ที่เดิม................. ฉันเห็นเขายังยืนอยู่ที่เดิม.............................น้ำตาเขารินไหลเป็นทาง   

          ฉันมองเห็น กฤษยืนนิ่ง......................น้ำตารินไหล....................................อยู่ที่เดิม


          “ผมขอโทษๆ................ เราต่างกันเหลือเกิน” ฉันพร่ำบอกกับหัวใจของตัวเองขณะรถเลี้ยวเข้าสู่ถนนเส้นหลัก          ฉันนั่งหันหลังให้คนขับ.............................น้ำตาฉันรินไหล ไปตลอดทาง
ฉันเริ่มเจ็บที่หัวใจ................ฉันเจ็บปวดที่หัวใจอย่างเคยๆ


         ฉันตั้งใจฝึกงาน ทำงานอย่างเต็มความสามารถฉันทำงานหนักมากทั้งเวลางานและหอบกลับมาทำที่ที่พัก ไม่เว้นแม้เสาร์อาทิตย์
            แต่ทุกครั้งที่ฉันพอจะมีเวลาว่าง   ใจฉันจะล่องลอยไป.....................และที่หนังสือตรงหน้าจะปรากฏ ภาพของกฤษเสมอๆ      ฉันคิดถึงเขาทุกลมหายใจเข้าออก ก็ว่าได้

               ทุกเช้าวันพฤหัสบดี อาจารย์จะเรียกนักศึกษาทุกคนมาประชุม    เพื่อติดตามเรื่องการฝึกงานเสมอ         กว่าครึ่งเทอมงานถึงเข้าที่เข้าทาง.....................................
               ฉันคิดถึงกฤษแทบใจจะขาด .................................         ตอนนี้ฉันพอจะปลีกตัวได้บ้าง   วันนี้ฉันต้องไปเจอเขาให้ได้   ฉันออกจากที่พักตั้งแต่เช้ามืด   ฉันไปยืนดักรอดูเขาอยู่บนสะพานลอยที่ปากซอยเข้าที่พักของเขา      ยังคงตรงเวลาเสมอ กฤษเดินมาโน่นแล้ว......................... เขายังดูดีอย่างเคยๆ   หล่อเหลา สูงสง่า   แต่ดูเขาผอมลงและดูเงียบเหงาซึมเซาไปมาก
ที่แปลกตามากๆก็ตรงที่ทรงผม .....................................ปกติกฤษจะไว้ผมทรงสั้นตั้งๆคล้ายทหาร    แต่ตอนนี้เขาไว้ผมยาวแล้วทาเจลหวีเสยเปิดหน้าผากไปทางด้านหลัง   ซึ่งเป็นทรงผมของฉันเองเขาดูดีมากในสายตาฉัน...................................ฉันมองเขาอย่างชื่นชมและมีความสุข

                “กฤษครับผมมารอคุณสักพักแล้ว...........ผมคิดถึงคุณมากครับ”ฉันได้แต่ส่งใจไปบอกเขา   เราช่างแตกต่างกันเหลือเกิน.................ความรู้สึกนั้นฉุดรั้งฉันเอาไว้ไม่ให้เดินไปหาเขา

               เขาเดินใกล้เข้ามาเขามองเห็นฉันแล้ว ........................ เขาชะงักนิดหนึ่ง
เขามองมาที่ฉัน    เขาจ้องมองมาด้วยสายตาที่แสดงความเจ็บปวด..................................................แล้วเปลี่ยนเป็นสายตาที่แสดงความเย็นชา.................    เขาแสดงอาการเฉยเมยและเดินไปโน่นแล้ว


         ฉันได้แต่ยืนตัวแข็งทำอะไรไม่ถูก   เหมือนโดนไฟช็อต   กฤษไม่เคยแสดงอาการอย่างนี้กับฉัน      เรื่องราวต่างๆผ่านเข้ามาในห้วงคิดของฉัน
            “ขอโทษครับกฤษ..............ผมผิดเองผมไม่ดีเอง      สมควรแล้วที่คุณจะโกรธจะเกลียดผม”
          วันนั้นฉันเข้าประชุมอย่างไร้หัวจิตหัวใจ   และกลับไปทำงานด้วยความสลดหดหู่ใจ
............................................................................................................................................................

            ฉันฝึกงานอย่างไม่มีความสุขแต่ก็พยายามทำให้ดีที่สุด สุดท้ายฉันได้คะแนนดีที่สุดในรุ่นทั้งในรายวิชาฝึกงานและการสัมมนาการฝึกงาน
             ฉันได้งานเป็นซูปเปอร์ไวเซอร์ในบริษัทผลิตชิ้นส่วนคอมพิวเตอร์   ซึ่งเป็นบริษัทฝรั่งที่มีชื่อเสียงมาก และที่สำคัญมากรายได้ของฉันมากกว่าตอนทำงานห้างถึงสามเท่า
            
             ฉันมีความสุขกับงานกับเพื่อนร่วมงาน.........................แต่ฉันลืมกฤษไม่ลง    ฉันตัดสินใจย้ายกลับเข้าไปที่พักเดิมเพื่อจะได้ใกล้ชิดกับกฤษ
         
         รุ่นพี่ต่างแสดงความยินดีที่ฉันได้งานดีต่างก็พูดเป็นเสียงเดียวกันว่าที่นี่คัดคนมาก.............แต่กฤษสิ   เขาแปลกไปเขาเปลี่ยนไปเขาพยายาม   หลบหน้า   ไม่มองสบตาฉันอย่างเคยๆ
         
          “ที่รักผมกลับมาแล้ว    ผมกลับมาตามเสียงหัวใจที่เรียกร้อง.........................................”
         
         ฉันพยายามส่งใจไปถึงเขา   แต่เปล่าเลยกฤษไม่เคยรับรู้........................เขาดูเฉยเมย
เขาเย็นชาทุกครั้งที่เจอ         
            แต่ที่ทำให้ฉันใจชื้นขึ้นมาได้บ้าง...................... เขาใช้ผ้าเช็ดตัว สีขาว    และสีบานเย็น
เช่นเดียวกับฉันซึ่งก่อนที่ฉันจะย้ายออกไปเห็นเขาใช้สีเหลือง....................โธ่ที่รักคุณคงต้องการระลึกถึงผมสินะฉันรำพึงเข้าข้างตัวเอง

            “พี่พลๆ ............................” เสียงกฤษเรียกหาใครคนหนึ่งซึ่งฉันคุ้นหน้าดี
            ฉันแอบดูที่ระเบียงด้วยความอยากรู้อยากเห็นว่าเขาจะไปไหนกัน      เขาทั้งคู่หิ้วกระเป๋าใบใหญ่คนละข้าง    มีด้ามไม้เทนนิสโผล่ออกมา   ดูเขาสนิทสนมกันมากทั้งๆที่ก่อนหน้านี้ก็ไม่มีทีท่าว่าสองคนนี้จะชอบพอกัน
         
         วันต่อๆมา ฉันคอยสังเกต ความสัมพันธ์ของทั้งคู่
         เขาดูสนิทชิดเชื้อกันมากกว่าที่ฉันคิด    ไปไหนมาไหนด้วนกันตลอด    ไปเที่ยวกลางคืนด้วยกันไปเที่ยวต่างจังหวัดด้วยกัน   และดูเหมือนกฤษจะปล่อยเนื้อปล่อยตัวไม่เจ้าสำอางค์เหมือนเมื่อก่อน……………………….ผมเผ้าไม่เข้ารูปเข้าทรง ทั้งๆที่ตัดสั้นเหมือนเมื่อก่อนแล้ว   และดูเหมือนเขาจงใจจะทำตัวเองให้อ้วนขึ้นให้ทันพี่พลของเขาคนนั้น

            “ดูนัยกฤษสิเธออ้วนขึ้นมากเลย....................................”
            “ก็เป็นธรรมดาคนมัน อินเลิฟ อะไรๆก็คงอร่อยไปหมดน่ะนะ”
             “นั่นนะสิ คอยพะเน้าพะนอเอาใจกันซะ........................ ”
             “เออนะ...............ไม่เหมือนใครบางคนเขารักแทบจะเป็นจะตายทำเป็นเล่นตัวอยู่ได้   สุดท้ายเป็นไงหล่ะ”
            “กินแห้วสิคะ............ฮ้า ฮะๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ”
             เกย์สาวเม้าแตกกันกระจายเหมือนจงใจให้ฉันได้รับรู้


             ฉันคอแห้งผาก...............รู้สึกเหมือนโดนไฟช๊อตพยายามฝืนก้าวเดินจนถึงห้อง
             เหมือนมีมีดสักร้อยเล่มพันเล่มมาปักอยู่ที่อกฉัน...........................ฉันจุกแน่นที่หน้าอกจนแทบหายใจออก........................หัวใจร้อนรุ่มเหี่ยวแห้งฉันรู้สึกอ่อนระโหยโรยแรงไม่มีแม้แต่น้ำตาสักหยด   หัวสมองฉันมึนตึงเหมือนประสาทไม่สั่งการ

               ฉันตกอยู่ในภวังค์นั้นนานเท่าไหร่ไม่ทราบได้................................

               มารู้ตัวอีกที   น้ำตาก็เปียกปอนหมอนหนุนไปทั่ว..............................ฉันไม่มีแม้เรี่ยวแรงจะขยับตัว   

            “กฤษครับ    ผมขอโทษทุกสิ่งอย่างมันเป็นเพราะผม.......................ผิดที่ผมคนเดียวเท่านั้น”
      
.............................................................................................................................................................
.............................................................................................................................................................

             ฉันหิ้วกระเป๋าใบสุดท้ายเดินออกจากตึก    สายลมพัดเอื่อยกิ่งก้านกระถินณรงค์เอนไหวดอกสีเหลืองสดร่วงหล่นสายฝนโปรยปราย.............................แต่ไม่มีใครยืนอยู่ที่ใต้ต้นไม้ที่ตรงนั้น   หัวใจฉันยังคงร้าวราน   น้ำตาเอ่อนอง แล้วเริ่มรินไหลเป็นทาง

          ดอกกระถินณรงค์ร่วงหล่น   สายฝนโปรยปราย    น้ำตาฉันรินไหลเป็นทาง

          ฉันก้าวเดินต่อไปไม่ไหวจึงได้แต่หยุดยืนนิ่ง.................น้ำตารินไ

asoda123 โพสต์ 2011-12-2 15:14:38

ขอบคุณมากครับ

daisuke338 โพสต์ 2022-6-8 02:59:12

ขอบคุณครับ
หน้า: [1]
ดูในรูปแบบกติ: กลัวรัก...