ปัญหาสิวๆ ของชายหนุ่ม...
ปัญหาสิวๆ ของชายหนุ่ม...นพ.ประวิตร พิศาลบุตรผู้เชี่ยวชาญด้านโรคผิวหนัง
โรคสิวเป็นโรคผิวหนังที่พบบ่อยที่สุด และสร้างความรําคาญใจมากด้วยเพราะส่วนใหญ่เป็นที่ใบหน้า ขอรวบรวมคำถามเกี่ยวกับโรคสิวมาตอบในฉบับนี้นะครับยารักษาสิวเสี้ยน
Q. มีสิวเสี้ยนเยอะมากปรึกษาร้านขายยาแนะนำให้ใช้ BP (เบ็นซอยล์เปอร์ออกไซด์)และกรดวิตามิน เอ อยากทราบว่ายา 2 ตัวนี้
จะทาพร้อมกันได้ไหมครับ
เจตนิพิฐ / จ.ชลบุรี
A. ยาทา BP และกรดวิตามินเอเป็นยารักษาสิวเสี้ยนที่แพทย์และเภสัชกรมักแนะนำให้ใช้รักษาสิวเสี้ยนแต่ก็มีข้อควรระวังคือ
ห้าม ทา BP และ กรดวิตามินเอ ในเวลาเดียวกัน เพราะ BP ทำให้กรดวิตามินเอ ไม่ออกฤทธิ์ จึงต้องเลี่ยงมาทา BP ในช่วงเช้าหรือช่วงบ่ายก่อนล้างหน้า และทากรดวิตามินเอ ก่อนนอน และถ้าใช้BP หรือกรดวิตามินเออยู่แล้วต้องระมัดระวังในการใช้กรดผลไม้เพราะยาทุกตัวที่กล่าวมามีโอกาสทำให้ผิวหน้าระคายเคืองได้ง่ายถ้าใช้ร่วมกันยิ่งทำให้เสี่ยงต่อการเกิดผิวแพ้ระคายเคืองโดยเฉพาะในช่วงหน้าหนาวหรือในคนที่อยู่ห้องแอร์เพราะผิวมักแห้งอยู่แล้ว การใช้กรดวิตามินเอนั้นเพื่อความปลอดภัยควรเริ่มต้นด้วยความเข้มข้นต่ำก่อนแล้วจึงค่อยๆ เพิ่มความเข้มข้นนอกจากนั้นบางคนในช่วงแรกของการใช้กรดวิตามินเอนอกจากจะต้องใช้ความเข้มข้นต่ำแล้วยังอาจต้องทายาวันเว้นวันไปจนกว่าผิวจะชินยาแล้วจึงทายาทุกวันได้ถ้าใช้ยากลุ่ม BP หรือกรดวิตามินเอแล้วผิวแห้งระคายเคืองมากควรปรึกษาแพทย์โดยทั่วไปยากลุ่มนี้ในรูปของเจลหรือสารละลายจะทำให้ผิวระคายเคืองได้ง่ายกว่าในรูปของครีม และถ้าใช้กรดวิตามินเอทามานานกว่า
2เดือนแล้วอาการยังไม่ดีขึ้นควรปรึกษาแพทย์ผิวหนังเพื่อเลือกใช้ยาตัวอื่นที่เหมาะสมมากกว่านะครับ
ถามเรื่องการรักษาสิว
Q. ผมเป็นสิว เป็นๆ หายๆ มานาน บางครั้งซื้อยามาใช้เองบางครั้งไปพบแพทย์ ได้ทั้งยาทา ยากิน บางครั้งแต่ละคลินิกก็ให้ยาไม่เหมือนกันล่าสุดมีการแนะนำให้ฉายแสงเพื่อรักษาสิว จึงอยากทราบเกี่ยวกับการรักษาสิวครับ
อัศนัย / จ.กรุงเทพฯ
A. โรคสิวเป็นโรคผิวหนังที่พบบ่อยที่สุดไม่ได้เป็นแค่ความสวยความงาม จึงมีแนวทางการรักษาทาง
การ แพทย์อย่างชัดเจนเมื่อไม่นานมีการประชุมที่สิงคโปร์และได้มีข้อตกลงร่วมกันในแนวทางการรักษาสิวของประเทศในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ดังนี้ครับ
1. ยาทาเบนซอยล์ เปอร์ออกไซด์ (Benzoyl peroxide)
ถือ ว่าเป็นยาฆ่าเชื้อแบคทีเรียที่ทำให้เกิดโรคสิวที่มีประโยชน์แต่ได้ผลเล็กน้อยต่อสิวชนิดอุดตัน (คอมีโดน) จึงให้ใช้ในสิวที่รุนแรงน้อยไปจนถึงรุนแรงปานกลางโดยไม่ใช้เพียงตัวเดียวในกรณีของสิวอุดตัน ยาทาตัวนี้ต้องใช้อย่างระมัดระวังและใช้ในความเข้มข้นต่ำ
โดยเฉพาะในผู้ที่มีผิวแห้งหรือผิวแพ้ง่าย หรือผิวที่ไวต่อการแพ้อยู่แล้ว
2. ยาทากลุ่มเรตินอยด์ (Retinoid)
หรือ ยาในกลุ่มกรดวิตามินเอ ที่มีหลายยุคจัดว่าได้ผลดีต่อสิวชนิดสิวอุดตันและสิวที่มีการอักเสบยังช่วยทำให้รอยดำที่เกิดจากสิวจางลง และมีประสิทธิภาพในการใช้รักษาอย่างต่อเนื่องยาชนิดนี้ช่วยการดูดซึมของยาชนิดอื่นๆ ผ่านผิวหนัง ทำให้เกิดการระคายเคืองและ
แพ้ ต่อแสงได้ง่าย ใช้ในกรณีที่เป็นสิวรุนแรงน้อยจนถึงปานกลางโดยให้ใช้ร่วมกับยาฆ่าเชื้อ (ในรูปของยาทาหรือยารับประทาน) เมื่อเป็นสิวอักเสบยากลุ่มนี้ให้ทาเฉพาะบริเวณที่เป็นสิว และให้ใช้ในกรณีที่เป็นสิวอักเสบได้อาจใช้ในรูปแบบครีมหรือรูปแบบที่พัฒนาเป็นยุคที่ 3 (third generationretinoids) สำหรับผู้ที่มีผิวแห้งหรือผิวแพ้ง่าย และใช้ในรูปแบบเจลสำหรับผู้ที่มีผิวมัน
เรตินอยด์หรือยาทากรดวิตามินเอยุคที่ 3 ได้แก่ adapalene และtazarotene
3. ยาปฏิชีวนะ (Antibiotics)
มีผลใช้รักษาสิวอักเสบโดยตรง แต่ก็พบปัญหาเชื้อดื้อยาสูงขึ้นพบว่าการใช้ยาปฏิชีวนะร่วมกับเบนซอยล์เปอร์ออกไซด์จะลดปัญหาเชื้อ
ดื้อ ยาได้ อาจใช้ร่วมกับยาทาชนิดอื่น เช่น ยาละลายขุย (Keratolytic agents)และเรตินอยด์ เพื่อเพิ่มผลการรักษาโดยให้ใช้ทาในกรณีของสิวที่เป็นน้อย ให้ใช้ในช่วงระยะเวลาเท่าที่จำเป็นเพื่อลดปัญหาเชื้อดื้อยา (3 – 4 เดือน)ควรหลีกเลี่ยงการใช้ยาปฏิชีวนะในรูปแบบ
ยารับประทานและรูปแบบยาทาร่วมกัน โดยเฉพาะถ้าเป็นยาคนละชนิด ไม่ควรใช้ยาปฏิชีวนะชนิดทาตัวเดียว(ควรใช้ยาชนิดอื่นร่วมด้วย)และหลีกเลี่ยงการใช้ยาปฏิชีวนะชนิดทาในการรักษาต่อเนื่อง
4. ยารับประทานกลุ่มกรดวิตามินเอ (Isotretinoin)
ที่ มีชื่อการค้าหลายอย่าง เช่น Roaccutane, Acnotin, Sortret, Isotane ฯลฯ ให้ใช้เฉพาะในโรคสิวหัวช้าง สิวที่ไม่ตอบสนองต่อการรักษาโดยวิธีอื่นๆและสิวที่เกิดจากความเครียด ผู้ป่วยต้องทราบผลข้างเคียงของยาโดยเฉพาะต้องทราบว่ายาตัวนี้ทำให้ทารกในครรภ์พิการ
จึง ต้องใช้ยาภายใต้การดูแลของแพทย์ผิวหนังเท่านั้น ต้องไม่ตั้งครรภ์ระหว่างรับยาต้องหยุดยานาน 1 เดือนขึ้นไปจึงจะตั้งครรภ์ได้ปลอดภัยต้องไม่บริจาคเลือดและไม่นำยาไปให้ผู้อื่นยาตัวนี้ตามกฎต้องสั่งจ่ายโดยแพทย์ผิวหนังเท่านั้นแต่เพราะความละเลยทำให้มียาตัวนี้
วางขายตามร้านขายยาหลายแห่ง ยาตัวนี้ต้องให้ต่อเนื่องกันจนได้ขนาดยาสะสมรวม 120มก. ต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม เช่น ถ้าน้ำหนักตัว 60 กิโลกรัมก็ต้องรับประทานยาไปจนครบ 120 x 60 = 7,200 มก. ถ้าทานยาเม็ด 20 มก.ต่อวัน ก็ต้องทานไปจนครบ 7,200 ? 20 = 360 วัน
ถือว่าการรักษาด้วยยาตัวนี้ประสบผลสำเร็จ เมื่อไม่มีสิวเป็นระยะเวลา 4–6 สัปดาห์ บางรายต้องได้ยาหลายคอร์ส โดยต้องเว้นระยะเวลาห่างกัน 2-3 เดือน
สำหรับการรักษาโรคสิวด้วยการฉายแสงนั้น ยังจัดว่าเป็นวิธีใหม่ แต่องค์การอาหารและยา (FDA) ของสหรัฐอเมริกาก็อนุมัติให้ใช้วิธีนี้แล้วครับเหมาะสำหรับผู้ที่เป็นสิวอักเสบที่ไม่ต้องการรับประทานยา การฉายแสงและความร้อน (lightand heat energy) ไปยังผิวหนังที่เป็นสิวอักเสบ พลังงานจะทำปฏิกิริยากับสารเคมีในแบคทีเรียทำให้เกิดออกซิเจนขึ้นมาเนื่องจากแบคทีเรียที่ก่อให้เกิดสิวไม่ชอบออกซิเจนจึงนับเป็นวิธีการขจัดเชื้อแบคทีเหนึ่งครับ นอกจากนั้นก็มีเทคนิครักษารอยแผลเป็นจากสิวคือรอยแดง ด่างดำ รอยแผลเป็นหลุมบ่อ และรอยแผลเป็นคีลอยด์ เช่นการทำไอออนโต (Iontophoresis), การฉายแสง เช่น IPL(intensed pulse light), IPL + RF (Aurora หรือELOS technic, RF คือ radiofrequency = พลังงานคลื่น วิทยุ), การฉายแสงสี LED (lightemitting diodes, L Smart), การขัดหน้า (microdermabrasion),การไถพรวนใบหน้าด้วยลูกกลิ้งหนาม (Dermarolling), การฉีดสเตียรอยด์รักษาคีลอยด์ซึ่งแพทย์จะเลือกใช้เทคนิคเสริมเหล่านี้ตามความเหมาะสมครับ
เลเซอร์และฉายแสงรักษาสิว
Q. ลูกชายดิฉันอายุ 16 ปี เป็นสิวเห่อมาก จนเจ้าตัวดูเก็บกดแต่ดิฉันและคุณพ่อเขาไม่อยากให้กินยารักษาสิว เคยอ่านโฆษณา
พบว่าปัจจุบันมีเลเซอร์และการฉายแสงรักษาสิวอยากขอรายละเอียดค่ะ
มลยา / จ.กรุงเทพฯ
A.ปัจจุบันมีการศึกษาและวิจัยเรื่องการใช้เลเซอร์และการฉายแสงรักษาสิวกันมากแต่ก็ยังไม่ใช่วิถีทางปกติทั่วไปที่ใช้รักษาสิวกันในขณะนี้ เพราะยังมีค่าใช้จ่ายสูงมากและข้อมูลบางด้านอาจยังไม่เพียงพอการฉายแสงและใช้เลเซอร์รักษาสิวที่มีการศึกษาและเริ่มใช้รักษาสิวในขณะนี้ คือ
1. การฉายแสงสีน้ำเงิน (Blue light therapy) องค์การอาหารและยาของสหรัฐอเมริกาอนุมัติให้ใช้แสงสีน้ำเงินในการรักษาสิวได้ซึ่งแสงช่วงคลื่นเฉพาะนี้จะฆ่าเชื้อแบคทีเรียที่ก่อให้เกิดสิวเนื่องจากแสงสีน้ำเงินที่ฉายออกมานี้ไม่มีส่วนผสมของรังสียูวีจึงไม่ทำให้ผิวหนังได้รับอันตราย การรักษาด้วยวิธีนี้เหมาะกับผู้ที่เป็นสิวอักเสบธรรมดาแต่ถ้าเป็นสิวอักเสบมากชนิดเป็นถุงซีสต์ที่เรียกว่าสิวหัวช้าง
ก็ใช้วิธีนี้ไม่ได้ผล
2. การฉายพลังงานแสงและความร้อน (light and heat energy, LHE) เชื่อว่าการใช้พลังงานแสงและความร้อนจะฆ่าเชื้อแบคทีเรียและลดการทำงานของต่อม ไขมันโดยทำให้ต่อมไขมันหดตัวลงปัจจุบันองค์การอาหารและยาของสหรัฐอนุมัติให้ใช้แสงสีเขียวร่วมกับความร้อนรักษาสิวที่เป็นน้อยถึงปานกลาง
3. การฉายแสงร่วมกับการทา ALA มีการใช้สารละลาย ALA(aminolevulinic acid) ทาผิวหนังสารละลายตัวนี้จะทำให้ผิวไวต่อแสงมากขึ้นหลังจากทายา 15-60 นาที จะเช็ดยาออกและฉายแสง เนื่องจากสารละลาย ALA ทำให้ผิวไวต่อแสง หลังการรักษาโดยวิธีนี้จึงต้องไม่โดนแดด 48 ชม.
4. การใช้เทคนิค ELOS คือพลังงานแสงร่วมกับคลื่นวิทยุฉายสิวอักเสบ
5. การใช้ไดโอดเลเซอร์ (Diode laser)
6. การใช้เพาส์ดายเลเซอร์ (Pulsed dye laser)
การใช้การฉายแสงและเลเซอร์รักษาสิวนั้นยังไม่จัดว่าเป็นการรักษาสิวใน ลำดับแรกเพราะยังมีค่าใช้จ่ายสูง และผลการศึกษายังไม่มากพอว่าได้ผลดีแค่ไหนและผลการรักษาอยู่ได้นานแค่ไหนครับ
หน้า:
[1]