ร่วมรักท่าไหน ใครควบคุม-ได้เปรียบ-ซี้ดสุดเสียง?!
ร่วมรักท่าไหนใครควบคุม-ได้เปรียบ-ซี้ดสุดเสียง?!การปรุงแต่งรสรักในกามกิจชีวิตประจำวันของคนเรานั้นมันมีมาแต่ไหนแต่ไร ด้วยความซุกซนใคร่รู้อยากลองหนีความจำเจเป็นเบื้องต้นแรกเริ่มเดิมทีมนุษย์เราก็แค่สัตว์โลกพันธุ์หนึ่งที่กินนอนสืบพันธุ์ตามธรรมชาติ ที่ควรจะเป็นในการขยายพันธุ์เช่นเดียวกับสัตว์อื่น
ยุคแรกๆ คงไม่มีการปรุงรสสวาทอะไรนักท่าร่วมเพศของคนเรา ซึ่งดิบๆ เถื่อนๆ ด้วยท่าเลียนแบบสัตว์ Doggy Style บ้านเราเรียกว่าท่ากวางเหลียวหลัง (หรือ Knee-Chest Position เป็นท่าที่ผู้หญิงคว่ำหน้าลงกับเตียงมือยันพื้นขาคุกเข่า อ้าขาออกเล็กน้อย เหมือนท่าหมาคลาน ภาษาชาวบ้านเรียกว่าเข้าทางด้านหลัง)
นานต่อมา ความซ้ำซากน่าเบื่อไอเดียสร้างสรรค์จึงทำให้เกิดท่าร่วมรักหลากหลายขึ้นคงใช้เวลานานเหมือนกันแหละกว่าจะกล้ากว่าจะทำ
อารยะธรรมไม่ใช่มีแค่ประเพณีวัฒนธรรม ร้องรำทำศิลปะอย่างเดียวท่าร่วมเพศก็แสดงถึงอารยะธรรมด้วย
ในอินเดียประเทศ อารยะธรรมของฮินดูถือการร่วมเพศเหมือนเป็นภาระศักดิ์สิทธิ์ เชื่อมโลกกับสวรรค์เข้าเป็นหนึ่งเดียว
พวกฮินดูจึงประดิดประดอยปั้นท่าร่วมรักรอบวิหารสถูปเสียเต็มไปหมดจนรู้จักกันทั่วโลกในชื่อ ?กามาสุตรา?อันลือเลื่อง
มีสารพัดท่าร่วมเพศเท่าที่จะสรรค์สร้าง
มันมีมาก่อนที่พวกฝรั่งจะเผยแพร่ท่ามิชชันนารี (Missionary Position ฝ่ายหญิงนอนหงายราบแยกขาสองข้างออกจากกันให้มีพื้นที่ตรงกลางในการทำกิจกรรมฝ่ายชายอยู่ด้านบนสามารถควบคุมท่าได้ เดี๋ยวนี้กลายเป็นท่ามาตรฐานนึกอะไรไม่ออกก็ท่านี้ไว้ก่อน) ไปทั่วโลกพร้อมกับเรือสินค้ามันเป็นฮาวทูเรื่องเพศที่นักบวชเอาติดมาฝากพวกป่าเถื่อนหลังเขา เอากันอยู่แต่ ?ท่าหมาๆ?
ท่ามิชชันนารี หรือบ้านเราเรียกจระเข้กบดาน นักบวชคริสต์โฆษณาว่า มันเป็นท่ามนุษยชาติ ไม่ใช่ท่าลอกเลียนแบบสัตว์เหมือนเดิมมันมีอารยะกว่า ว่างั้นเถอะ
ความที่ท่านี้ตำแหน่งชายจะอยู่เหนือหญิงมันมีนัยการกดขี่แฝงอยู่ ในคติชายเป็นใหญ่
อีกทั้งท่ากวางเหลียวหลังเป็นท่าที่สาวเจ้าเผ่าไทยร้อยละเก้าสิบเก้าไม่ชอบนัก บอกว่า ?เจ็บ? ?รังเกียจ...ทำเหมือนหมา??ไม่มีความสุข? เหมือนต่ำต้อยด้อยค่า
สู้ท่าจระเข้กบดานไม่ได้เลยฮิตติดลมบนให้ชายขย่มได้ขย่มดีจนมีลูกมีหลานเต็มบ้านเต็มเมือง
แต่ท่าจระเข้กบดานนี่แหละชายปากเสียมักจะเมาท์มอยลับหลัง ?นอนอย่างกับขอนไม้? ก้อหญิงส่วนใหญ่ขี้อายเรียบร้อยไม่กล้าแสดงความหฤหรรษ์ให้ปรากฏกลัวหาว่าเป็นหญิงร่านร้อน
การร่วมรักที่ผูกติดกับประเพณีความเชื่อทางวัฒนธรรมจึงทำให้เกิดช่องว่างในชีวิตสมรสสมรักกันมายาวนาน
ค่านิยมขี้อายเรียบร้อยกุลสตรีนี่แหละที่ทำให้ชายชอบสนุกซุกซนดั้นด้นค้นหาแหล่งระบาย หนีความซ้ำซากจำเจ ซ่องหรือสถานนวดนาบจึงเปิดกันเกร่อรวยได้รวยเอา
ก้าวมาถึงยุคไร้พรมแดนการร่วมรักของชายหญิงก็เปิดกว้างมากขึ้นตามลำดับการกล้าทดลองสิ่งใหม่จึงงอกงามตามยุคสมัย
ความคร่ำครึโบราณถูกก้าวข้ามไปสู่ความเสมอภาคมากขึ้น ท่า Women on top (ท่านี้ผู้ชายนอนหงาย ฝ่ายหญิงคร่อมทับด้านบน) จึงปรากฏในนิยามยุคใหม่ของการร่วมรักไทยเราเรียกท่านี้ว่า ท่าขย่มตอ แต่ก่อนชายไทยถือว่าเรื่องผู้หญิงอยู่ข้างบนว่า ?ไม่ดี? เป็นการข่มขวัญชายจึงหลีกเลี่ยงไม่ให้ผู้หญิง (ชาย) ขึ้นคร่อม
มายุคนี้ ?พี่ไม่ต้อง น้องทำเอง? เมื่อชายไม่คร่ำครึหญิงก็ไม่คร่ำเคร่ง ความสุขที่ได้รับจึงต่างถ้อยทีถ้อยสร้างร่วมกัน
ท่าขย่มตอเป็นท่าที่ผู้หญิงควบคุมความสุขได้อย่างแท้จริงเพราะผู้หญิงสามารถควบคุมทุกอย่าง ทั้งจังหวะ ความแรง มุมสัมผัสสามารถตอบสนองความต้องการของผู้หญิงได้ดั่งใจที่สุด ถึงจุดสุดยอดได้ง่ายที่สุด
ผู้ชายเองก็โปรดปรานนัก เพราะนอกจากไม่ต้องออกแรงเองแล้วยังได้เชยชมมองสรีระหญิงสาวที่รักได้อย่างเต็มตา
ไม่ต้องดูอื่นไกลฉากเลิฟซีนของหนังฮอลลีวูด นางเอกร้อยทั้งร้อยขึ้นควบพระเอกได้อย่างไม่เคอะเขินเรียกว่า ?หนอยนึกว่าแน่เจอแม่เสือสาวสักหน่อย ลิ้นห้อยเลยเหรอเพ่..?
ขอบคุณมากครับ ขอบคุณคราบ ขอบคุณครับ
หน้า:
[1]