สก๊อย ฉบับคิเฮ
*ฟิคเรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับบุคคลหรือสถานที่จริงใดๆ ทุกอย่างล้วนมาจากการจินตนาการทั้งสิ้น*
*ถ้าไม่ชอบคิเฮ กรุณากดปิดนะครับ ^^*
สายน้ำสาดกระเซ็นเป็นฝอยเมื่อกระทบกับพาหนะปราดเปรียว ฟองจากน้ำยาล้างรถเปรอะเกือบทั่วมอเตอร์ไซค์คันเท่ โดยมีมือผู้เป็นเจ้าของกำลังใช้ฟองน้ำลูบไล้เพื่อทำความสะอาดพลางฉีดน้ำเพื่อล้างคราบสกปรกออกด้วย
ภาพของชายหนุ่มร่างสูงที่กำลังล้างรถอยู่หน้าบ้านนั้นทำให้หนุ่มร่างระหงใบหน้าหวานที่เดินออกมาจากบ้านข้างๆ ต้องรีบเข้ามาวุ่นวายด้วยอย่างฉับพลัน
“ฉันทำมั่ง”
มือเล็กดึงสายยางและฟองน้ำจากมือใหญ่กว่าที่กำลังเปียกเลอะ ทว่าร่างสูงก็บิดตัวหนีไม่ให้คนที่ตัวเล็กกว่าทั้งที่อายุเท่ากันมาแย่งไปได้
“อยู่เฉยๆ เถอะน่า ทงเฮ”
“ก็ฉันจะทำมั่งนี่ แค่นี้อย่าทำเป็นงกไปหน่อยเลยคิบอม”
สองร่างยื้อแย่งกันจนสายน้ำจากท่อยางส่ายสะบัดพุ่งเข้าใส่ทั้งคู่จนเปียกปอน หน้าหวานแฉะฉ่ำด้วยน้ำประปา แต่หน้าหล่อของคนตัวสูงเองก็ไม่ต่างกัน กระนั้นทั้งสองคนก็ยังไม่เลิกที่จะเอาชนะ
“ปล่อยได้แล้ว”
เสียงหวานร้องบอกพร้อมกับละมือข้างหนึ่งเพื่อผลักอกแกร่ง แต่ก็ไม่ได้ทำให้คิบอมรู้สึกอะไรได้ มือกว้างเอื้อมมาดึงฟองน้ำจากมือเล็กโดยการอ้อมข้ามตัวทำให้ร่างเพรียวบางเข้าไปอยู่ในอ้อมกอดได้อย่างง่ายดาย
“นี่มันรถฉัน”
“ก็นายบอกว่าจะพาฉันซ้อนออกไปนั่งรถเล่น แต่นายยังไม่เคยพาฉันไปเลย หลอกฉันใช่มั้ย”
ร่างเล็กบ่นใส่ก่อนจะหันมาสบตากัน ระยะห่างที่ใกล้เพียงแค่อากาศกั้นทำให้รู้สึกสั่นไหวอยู่ในใจ ทว่าไม่ใช่แค่ทงเฮเท่านั้นที่กำลังรู้สึก แต่ว่าคิบอมก็เช่นเดียวกัน เขามองตาคู่สีน้ำตาลวาวหวานนั้นก่อนจะตัดสินใจห้ามความคิดของตัวเองที่กำลังจะผุดขึ้นมาแล้วใช้มือที่เลอะฟองจากน้ำยาล้างรถป้ายลงบนหน้าผากของคนในอ้อมแขน
“ไม่ได้หลอกสักหน่อย แต่มันยังไม่ถึงเวลา”
พอโดนป้ายใส่ทงเฮก็ทำหน้ามู่ แล้วมันก็ยิ่งบูดบู้ขึ้นไปอีกเมื่อได้คำตอบ เพราะคิบอมตอบเขามาอย่างนี้นับครั้งไม่ถ้วนแล้ว ตั้งแต่ได้มอเตอร์ไซค์คันนี้มาอาทิตย์ก่อน ก็เลยต้องโวยใส่
“คิมคิบอม คนขี้งก!!”
.
.
กว่าจะล้างรถเสร็จก็เปียกเฉอะกันไปทั้งตัว ทั้งสองคนแยกย้ายกันไปอาบน้ำก่อนที่ทงเฮจะโผล่มาที่บ้านของคิบอมอีกครั้ง เขาตั้งสินใจว่าไม่ว่ายังไงก็ต้องตามตื๊อคิบอมให้ได้ เขาอยากจะนั่งซ้อนมอเตอร์ไซค์ของคิบอมไปเที่ยวตามสถานที่ต่างๆ
มันจะรู้สึกดีแค่ไหนกันที่ได้ซ้อนรถของคนที่ตัวเองหลงรัก ได้กอดเอวและซบหน้าลงกับแผ่นหลังกว้างๆ นั้นท่ามกลางสายลมที่พัดผ่าน แต่เพราะคิบอมไม่ยอมให้เขาซ้อนท้ายสักที จินตนาการของเขาก็เลยยังไม่เป็นจริงและเป็นเพียงจินตนาการอยู่อย่างนี้
ทั้งที่สัญญากันแล้ว!
“ฉันจะโกรธนายแล้วนะ”
ทั้งที่มือยังถือจอยเกมอยู่และกำลังตั้งใจเล่นเกมแข่งรถ แต่ทงเฮก็พูดประโยคที่ดูไม่ค่อยเข้าใจสำหรับร่างใหญ่ขึ้นมา คิบอมเหล่สายตามองหน้าหวานที่คร่ำเคร่งอยู่กับการเล่นเกมนั้นก่อนจะหันไปเล่นต่อ
“โกรธฉันเรื่องอะไร”
“ก็เรื่องที่นายผิดสัญญานั่นแหละ ถ้าไม่อยากให้ฉันซ้อนท้ายรถนาย ไม่อยากให้ฉันยุ่งกับรถนายก็บอกมาเลย ไม่ต้องมาให้ความหวังกัน แค่นี้ก็ขี้งก เป็นเพื่อนกันมาตั้งกี่ปีแล้ว ฉันไม่สำคัญสำหรับนายเลยใช่รึเปล่าล่ะ”
คนตัวเล็กพูดอย่างน้อยใจ เพราะบางครั้งคนตัวใหญ่ก็ทำเหมือนเขาเป็นคนสำคัญ แต่บางครั้งก็เหมือนกับว่าไม่มีอะไรเป็นพิเศษ มันก็รู้สึกน้อยใจบ้างเหมือนกัน แต่ก็ไม่กล้าที่จะบอกความรู้สึกจริงๆ ในหัวใจออกไป เลยได้แต่หงุดหงิดงุ่นง่านอยู่อย่างนี้ แม้ว่ามันจะเกินขอบเขตของคนเป็นเพื่อนไปหน่อยก็ตาม แต่เขาคิดว่าคิบอมคงไม่คิดอะไร เพราะว่าเขาก็เป็นแบบนี้มาแต่ไหนแต่ไรตั้งแต่เด็กแล้ว
“ไม่ใช่อย่างนั้นสักหน่อย ฉันพูดคำไหนก็คำนั้นสิ”
คิบอมมองทงเฮอย่างลำบากใจ จะว่าเหนื่อยใจนิดหน่อยก็คงได้ เพราะว่าทงเฮเอาแต่โวยเขาเรื่องนี้ ไม่รู้ว่าเพราะอะไรถึงได้อยากจะซ้อนท้ายรถเขานักหนา ทั้งที่ก่อนที่จะได้รถมาก็ไม่เห็นมีทีท่าว่าจะชื่นชอบมอเตอร์ไซค์เป็นพิเศษ แต่ตอนนี้กลับรบเร้าจะซ้อนรถเขาให้ได้
“แล้วมันเมื่อไหร่ล่ะ”
“อืม..” คนโดนถามทำท่าคิดนิดหน่อย “ไม่แน่ใจเหมือนกัน”
แล้วมันก็ทำให้ทงเฮหน้าบึ้งตึง ปาจอยเกมในมือทิ้งในทันทีก่อนจะผลุนผลันลุกขึ้นจากพื้นหน้าจอโทรทัศน์และจะตึงตังออกจากห้องนอนของคิบอมเพื่อเดินกลับบ้านของตัวเอง แต่ก็โดนแขนยาวๆ รั้งตัวไว้ก่อน
คิบอมดึงตัวทงเฮจนล้มลงมาทับตักของตัวเองเพื่อไม่ให้คนตัวเล็กหนีไปไหน แต่ทงเฮก็ดื้อด้านพยายามจะออกจากวงแขนแข็งแรงนั้นให้ได้ ทั้งสองร่างจึงหกล้มหกลุกจนลงไปเกลือกกลิ้งอยู่กับพื้น และคิบอมก็ถือโอกาสรวบร่างเล็กมานอนกอดเอาไว้
”ปล่อยเลย ไม่ต้องมาง้อ”
ทงเฮยังคงพาลใส่ ทำหน้างอไม่หาย ซึ่งคิบอมก็ไม่ยอมง่ายๆ ให้คนตัวเล็กเอาแต่ใจ จับร่างในอ้อมกอดของตัวเองให้พลิกมาเผชิญหน้ากัน แล้วใช้ดวงตาคมกริบสีนิลจับจ้องที่ลูกตาวาวสีน้ำตาลที่ฉายแววรั้น
จากที่พยศอยู่เมื่อครู่ทงเฮก็ค่อยๆ สงบลง มองตาคู่ที่ทอดมาทางตัวเองกลับไป หัวใจเริ่มสั่นไหวเพราะว่าในหน่วยตาคมนั้นสะท้อนภาพของเขาอย่างอ่อนโยน ผิวหน้าบางระเรื่อสีแดงขึ้นทีละนิด แล้วมันก็ดูน่ารักในสายตาของคนมองเอาเสียมากๆ
คิบอมจุดรอยยิ้มนิดหน่อยที่มุมปากของตัวเองที่ได้เห็นปฏิกิริยาน่ารัก แล้วมันก็ทำให้เขานึกรักร่างเล็กในอ้อมแขนมากขึ้นทุกทีๆ ที่ได้มองอย่างใกล้ชิดอย่างนี้ เขารู้ว่าทงเฮรู้สึกถึงความรู้สึกบางอย่างที่เขามีให้ และเขาก็รับรู้ได้ว่าทงเฮก็มีความรู้สึกเดียวกัน เพียงแต่เราต่างไม่ได้พูดมันออกมา
ความผูกพันที่ก่อตัวขึ้นตั้งแต่เด็ก ค่อยๆ แปรเปลี่ยนเป็นความรู้สึกพิเศษจนไม่สามารถแยกจากกันได้
ความรู้สึกพิเศษที่ถูกจำกัดความด้วยคำสั้นๆ และต่างก็รู้ว่าใครเป็นคนที่สำคัญต่อตัวเองที่สุด
นัยน์ตาคมยังคงมองลึกเข้าไปในตาคู่สวยนั้นอย่างมีความหมาย และมันก็ทำให้ทงเฮทนสบตาด้วยต่อไปไม่ไหว หัวใจมันกำลังรัวจังหวะอยู่ในอกอย่างรุนแรง เปลือกตาบางปิดลงช้าๆ เมื่อรับรู้ถึงบรรยากาศบางอย่างที่กำลังห้อมล้อม
หน้าหล่อขยับเข้าไปใกล้ ใกล้เข้าไปอีกจนรู้สึกได้ถึงลมหายใจเข้าออกที่ผ่อนออกมาทางปลายจมูกรั้น ความรู้สึกประหม่ากำลังรุมเร้าทงเฮแต่ก็ตื่นเต้นคละกัน ทว่าความรู้สึกนั้นก็สลายโดยพลันเพราะว่าอยู่ๆ ก็มีแรงกระแทกที่หน้าผากดังโป๊ก
ดวงตาที่ปิดอยู่เปิดขึ้นอย่างรวดเร็วและยกมือขึ้นมาลูบหน้าผากของตัวเองที่โดนหน้าผากของอีกคนโขกเข้ามาอย่างจัง เสียงทุ้มๆ เอ่ยถามคนที่ทำตาเขียวใส่เพราะเขาลอบทำร้ายแบบไม่ให้รู้ตัว
“ฉันรู้นะว่านายคิดอะไรอยู่”
และมันก็ทำให้คนทำตาดุต้องหน้าแดงซ่านขึ้นมาเมื่อคิดไปว่าอีกฝ่ายรู้ทัน
“คิดอะไร เปล่าสักหน่อย”
เสียงงึมงำลอดออกมาจากปากของคนไม่ยอมรับความจริงพลางพลิกตัวหันหนีไปอีกฝั่งแต่ก็ไม่ได้ลุกไปจากอ้อมกอดอุ่นๆ คิบอมจึงถือโอกาสกระชับวงแขนของตัวเองให้แน่นขึ้น วางคางเกยบนไหล่ลาดของคนที่ตัวเองกอดแล้วกระซิบเบาๆ ที่ริมหู
“คิดว่าฉันจะจูบล่ะสิ”
แล้วทงเฮก็ต้องรู้สึกว่าหน้ามันร้อนฉ่าอย่างฉับพลัน เลือดสูบฉีดไปทั้งหน้าและยังลามมาถึงหูจนแดงไปหมด คิบอมเห็นแล้วก็ต้องยิ้มกับตัวเองจนเมื่อยแก้มแล้วกอดทงเฮแน่นๆ อยู่อย่างนั้น
.
.
เสียงเครื่องยนต์ที่ดังอยู่นอกบ้านที่ทงเฮจำได้ดีว่าเป็นเสียงของอะไรทำให้ร่างเล็กต้องชะโงกหน้าออกไปมองทางหน้าต่าง แต่เมื่อรู้สึกว่าแค่นี้มันทำให้เห็นได้ไม่ชัดเจนถึงต้องเคลื่อนย้ายจากในบ้านมานอกบ้านแทน ร่างเพรียวบางมาหยุดยืนอยู่ตรงสนามหน้าบ้านและมองข้ามรั้วไปที่บ้านหลังติดกัน เห็นร่างสูงที่มักจะทำให้จังหวะหัวใจสั่นคลอนกำลังคุยอยู่กับชายหนุ่มร่างผอมบางใบหน้าน่ารัก
ทงเฮขมวดคิ้วเข้าหากันนิดหน่อยก่อนจะเดินเข้าไปหาเพราะอยู่ตรงนี้เขาไม่ได้ยินเสียงทั้งสองคนที่พูดกัน เนื่องจากเสียงมอเตอร์ไซค์ของคิบอมที่สตาร์ทอยู่นั้นกลบไปหมด ทว่ายังไม่ทันที่ทงเฮจะเดินไปถึงก็เห็นว่าร่างผอมบางที่มาหาเพื่อนข้างบ้านขึ้นซ้อนที่เบาะหลังนั้นแล้ว มือเล็กของคนซ้อนตีที่ไหล่หนาเข้าหนึ่งก่อนจะพูดอะไรบางอย่างที่ทงเฮเดาได้ว่าคงจะเป็นการบอกให้ออกรถได้แล้ว
หน้าหวานเศร้าสลดมองสิ่งที่เกิดขึ้นต่อหน้าต่อตา รู้สึกเจ็บปวดอยู่ในใจที่ต้องเห็นอะไรแบบนี้
นี่คือเหตุผลที่คิบอมไม่ยอมให้เขาซ้อนรถสินะ เพราะต้องการจะให้มันเป็นที่สำหรับคนคนนี้
ทงเฮทิ้งตัวลงกับพื้นสนามโดยไม่สนใจอะไรอีกแล้ว ได้แต่นั่งกอดเข่าเก็บก้อนสะอื้นเอาไว้ในใจ พยายามไม่ให้น้ำตากลั่นตัวออกมาให้มากที่สุด แต่สุดท้ายมันก็คลออยู่ในหน่วยตาจนได้
ฟันซี่เล็กคมกัดกลีบปากบางจนสีชมพูสดกลายเป็นสีซีด รู้สึกโกรธด้วย เสียใจด้วยที่โดนหักหลัง
ทั้งที่ไม่ได้มีความรู้สึกพิเศษก็อย่ามาทำให้คิดเข้าข้างตัวเองได้มั้ยว่ามีใจให้
ทงเฮได้แต่ตัดพ้อคิบอมอยู่ในใจแล้วกอดตัวเองให้แน่นขึ้น ทว่าเพียงไม่นานเสียงเครื่องยนต์ก็ดังอีกครั้งเมื่อคิบอมกลับมาถึงบ้าน เขาจอดรถตรงจุดเดิมเช่นเดียวกับทุกวัน ก่อนสายตาจะสะดุดเข้ากับร่างเล็กที่นั่งกอดเข่าตัวเองอยู่ตรงสนามหน้าบ้าน ทงเฮไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตอนนี้คิบอมกลับมาแล้ว ร่างสูงจึงกระโดดข้ามรั้วที่กั้นระหว่างสองบ้านมาโดยไม่เดินอ้อมมาเข้าทางประตูหน้าบ้านเพราะรู้สึกว่ามันจะช้าเกินไป เขากำลังห่วงว่าคนตัวเล็กเป็นอะไรถึงได้มานั่งอยู่ตรงนี้
“มานั่งทำอะไร”
คนตัวสูงย่อตัวลงไปนั่งยองอยู่ข้างคนที่นั่งกับพื้นอยู่ก่อนแล้ว ทงเฮเหลือบตามองคิบอมนิดหน่อยก่อนจะหมุนตัวหนีไปอีกด้านโดยที่ไม่ยกก้นขึ้นจากพื้น คิบอมเห็นอย่างนั้นก็รู้ว่าคนตัวเล็กกำลังงอนเขาแน่ๆ เลยขยับตัวตามไปด้วย แต่ว่าทงเฮก็หมุนตัวหนีอีก ทำอย่างนี้จนครบรอบวง ซึ่งมันก็ทำให้คิบอมหมดความอดทนแล้วใช้มือใหญ่ๆ จับต้นแขนทั้งสองข้างของทงเฮเอาไว้
“โกรธฉันเรื่องอะไร”
“ไม่รู้”
ทงเฮบอกเสียงห้วนแล้วสะบัดหน้าหนีเพราะว่าหมุนตัวไปทางอื่นไม่ได้แล้ว ทำปากยื่นอย่างงอนๆ ทั้งที่นัยน์ตายังเป็นสีก่ำอยู่ คิบอมเลยเปลี่ยนจากการจับต้นแขนมาเป็นจับใบหน้าน่ารักให้มาสบกันแทนแล้วก็เห็นว่าตาของทงเฮรื้นด้วยน้ำใสๆ มือหนาปัดคราบน้ำนั้นออกก่อนถาม
“ร้องไห้ทำไม”
“ไม่ได้ร้อง”
คนตัวเล็กยังปากแข็งอยู่เหมือนเดิมแล้วยังเม้มปากแน่นราวกับว่าจะไม่พูดอะไรอีกต่อไปแล้ว ท่าทางที่แสดงออกมาของทงเฮทำให้คิบอมต้องยอมทำเสียงอ่อนกว่าเดิม
“ทงเฮ”
“...”
แต่ทงเฮก็ไม่ยอมพูดอะไรเลย เม้มปากของตัวเองอยู่อย่างนั้น คราวนี้คิบอมเลยตัดสินใจปล่อยมือจากแก้มนิ่มๆ ของคนตัวบางแล้วเปลี่ยนมาช้อนร่างคนขี้งอนขึ้นมาในอ้อมแขน ทงเฮรู้สึกตกใจที่คิบอมทำแบบนี้ แต่ก็ยังไม่แสดงท่าทีอะไรออกไปมากนัก ยังรักษาฟอร์มอยู่ ซึ่งคิบอมก็อยากรู้ว่าทงเฮจะทำเก่งไปอีกสักเท่าไหร่
ทงเฮถูกนำมาวางไว้บนเบาะของรถมอเตอร์ไซค์ ก่อนคิบอมจะเข้าไปในบ้านและออกมาอีกครั้งพร้อมกับหมวกกันน็อคสองใบ แต่ว่าทงเฮไม่ได้สนใจจะมองทำหน้าเชิดทั้งที่กำลังสับสนและงุนงงว่าอีกคนกำลังจะทำอะไรกันแน่ แต่ว่าก็โดนหมวกนิรภัยยัดใส่หัวก่อนจะตามด้วยร่างสูงที่มาซ้อนตัวอยู่ด้านหน้าที่เบาะรถ คิบอมไม่พูดอะไรแต่ดึงมือทั้งสองข้างของทงเฮให้มากอดเอวของตัวเองเอาไว้ จากนั้นก็เคลื่อนรถออกไปจากบ้าน
.
.
บรรยากาศยามเย็นแสนสบายกับท้องฟ้าที่กลายเป็นสีส้ม หากไม่มีหมวกกันน็อคสวมอยู่บนหัว เส้นผมคงจะปลิวลู่ลมจนยุ่งเหยิง ทงเฮยังกอดเอวของคิบอมแน่นมาตลอดทาง ค่อยๆ รู้สึกดีขึ้นกับการได้ทำในสิ่งที่ตัวเองต้องการสักที แต่เมื่อนึกไปถึงเจ้าของหน้าตาน่ารักที่เคยนั่งที่เบาะนี้ก่อนเขาแล้วก็ต้องหุบยิ้มฉับ
มอเตอร์ไซค์คันโก๋หยุดลงริมตลิ่งของแม่น้ำฮัน มองเห็นพระอาทิตย์ที่กำลังจะลับขอบฟ้าอย่างพอดิบพอดี คิบอมถอดหมวกกันน็อคสีฟ้าของตัวเองออกแล้ววางเอาไว้บนเบาะรถ ส่วนทงเฮพอเห็นว่าอีกคนทำอย่างนั้นก็เลยทำตามอย่างบ้าง
ตาสองคู่ทอดมองออกไปยังแม่น้ำกว้าง ก่อนร่างที่สูงกว่าจะหันกลับมามองคนตัวเล็ก คิบอมใช้ตาคมกริบจับจ้องใบหน้าหวานของเพื่อนข้างบ้าน จนทงเฮที่รู้ตัวก็รู้สึกร้อนวูบขึ้นมาบนหน้าอย่างฉับพลัน แสร้งหันหน้าหนีเพราะเขายังไม่หายโกรธคิบอมอยู่ดี
“ฉันพามาขับรถเล่นแล้วไง ยังไม่หายโกรธอีกเหรอ”
“...”
“ทงเฮ”
มือกว้างดึงมือเล็กกระตุกเบาๆ ให้คนงอนหันมาสนใจบ้าง แต่ทงเฮก็ยังหน้าบึ้งมองออกไปในเวิ้งน้ำ ไม่ยอมที่จะสบตากับคนที่พยายามง้ออยู่เลย คิบอมมองทงเฮที่เอาแต่นิ่ง นิ่ง แล้วก็นิ่งก่อนจะสูดหายใจเข้าปอดลึกๆ เขาเดินมาบังหน้าทงเฮเพื่อไม่ให้เห็นแม่น้ำที่อยู่ตรงหน้าอีกและพูดออกมาอย่างชัดถ้อยชัดคำ
“ถ้าไม่ยอมมองหรือว่าพูดกับฉันอีก ฉันจะจูบนายจริงๆ นะ”
แต่ถึงคิบอมจะข่มขู่ไปอย่างนั้นทงเฮก็ไม่กลัว แม้ในใจจะรู้สึกใจเต้นหน่อยๆ กับคำขู่นั้น แต่ว่าเขาคิดว่าคิบอมไม่มีทางทำอย่างนั้นแน่นอน ทว่าครั้งนี้ทงเฮก็คิดผิด เพราะว่ามือหนาช้อนหน้าเรียวสวยขึ้นก่อนจะแตะกลีบปากลงไปประทับเนื้อนิ่มสีเชอร์รี่เบาๆ ทงเฮรู้สึกว่าหัวใจมันกระหน่ำเต้นกว่าเดิม ดังตึงๆ จนแน่นไปทั้งอก
คิบอมออกแรงดูดดึงริมฝีปากบางที่กำลังเชยชิมอยู่เบาๆ ให้รับรู้ถึงรอยประทับจากเขาก่อนจะถอนออกมา หัวใจของเขาเองก็สั่นรัวไม่แพ้ทงเฮเหมือนกัน
“บอกแล้วว่าฉันจะทำจริงๆ”
หลังจากผละออกมาแล้วคิบอมก็พูดเสียงเข้ม ไม่ใช่เพราะต้องการข่มทงเฮ แต่เป็นการข่มหัวใจตัวเองเสียมากกว่า เขามองหน้าหวานของเพื่อนข้างบ้านที่อยู่ตรงหน้าก่อนจะเลื่อนมือไปจับมือบางเอาไว้ ขณะที่ทงเฮทำอะไรไม่ได้สักอย่างนอกจากเม้มริมฝีปากตัวเอง ร่องรอยที่คิบอมแนบทับมายังทิ้งรอยอุ่นๆ และสัมผัสที่พาให้ใจวาบหวิวเอาไว้สนิทแน่น
“จะฟังฉันได้รึยัง”
“จะพูดอะไรก็พูดมาสิ”
คราวนี้ทงเฮยอมที่จะปริปากออกมาบ้างแล้วทำให้คิบอมยิ้มออกมา เขาแกล้งแซวเมื่อรู้สึกว่าสถานการณ์ในตอนนี้เริ่มดีขึ้น
“กลัวโดนฉันจูบอีกเหรอ”
“คนบ้า ใครใช้ให้นายมาจูบฉัน”
“ก็นายอยากไม่ยอมฟังฉันเองนี่นา”
“...”
สุดท้ายทงเฮก็สิ้นท่าได้แต่เงียบปากและเป็นผู้ฟังที่ดี หน้ายังคงแดงไม่หาย และหัวใจก็ยังเต้นเร็วไม่เพลาลงเลย
“ตอบฉันได้รึยังว่าโกรธอะไร”
คิบอมถามคำถามเดิมอีกครั้งเพราะไม่อยากให้ทงเฮมีเรื่องไม่พอใจเขา มันแน่นอนอยู่แล้วว่าเขาต้องห่วงความรู้สึกของทงเฮที่สุด ซึ่งทงเฮก็ต้องง้างปากของตัวเองพูดออกมา
“ก็นายออกไปข้างนอกกับใครมาล่ะ”
คำตอบทำให้คนโดนถามกลับต้องคิด คิบอมมุ่นคิ้วเข้าหากันหน่อยๆ ก่อนจะร้องอ๋อออกมาเมื่อนึกออกแล้ว เขาไม่คิดว่านั่นจะเป็นสาเหตุที่ทำให้ทงเฮโกรธ
“นั่นน่ะ เพื่อนที่เรียนห้องเดียวกับฉัน ชื่อฮยอกแจ เจ้าหมอนั่นมันเป็นลูกเจ้าของร้านสี แล้วก็มีพรสวรรค์เรื่องการดีไซน์ด้วย”
“แล้วมันเกี่ยวกันยังไง”
ทงเฮไม่เข้าใจเลยสักนิดกับสิ่งที่คิบอมตอบมา จับประเด็นไม่ถูกและผูกกันไม่ได้กับเหตุผลที่ทำให้คิบอมต้องให้คนที่ชื่อฮยอกแจซ้อนท้ายมอเตอร์ไซค์ ทั้งที่เขาอยากจะเป็นคนแรกที่ได้นั่งตรงนั้น แต่กลายเป็นคนอื่น คิบอมไม่สนใจความรู้สึกของเขาเลยสักนิด คิดแล้วก็ต้องหน้าหงิกงออีกรอบ คิบอมเลยต้องรีบอธิบาย
“ฉันวานให้เขาช่วยอะไรนิดหน่อยแล้วเขาก็เอาของมาส่ง ทีนี้เขาก็เลยให้ช่วยไปส่งที่ป้ายรถหน่อยขี้เกียจเดินออกไป ฉันเห็นว่าเขาอุตส่าห์ช่วยทำของให้ก็เลยไปส่ง”
“นายให้คนอื่นซ้อนรถของนายก่อนที่ฉันจะได้ขึ้น”
หน้าสวยเปลี่ยนเป็นโกรธขึ้นมา ถึงเหตุผลของคิบอมจะฟังขึ้น แต่เขาก็อยากให้คิบอมรู้ว่าเขาไม่พอใจและมีความต้องการแบบไหน แต่พอได้ฟังอย่างนั้นแทนที่เจ้าตัวจะรู้สึกผิดกลับยิ้มออกมาบางๆ ทำให้ทงเฮต้องนิ่วหน้าหนักไปกว่าเดิม
“ทงเฮ” คิบอมเรียกเสียงอ่อนและอ้อนนิดๆ ก่อนจะจับร่างเล็กหมุนตัวกลับหลังไปที่มอเตอร์ไซค์ที่จอดอยู่ด้านหลัง “เห็นนั่นมั้ย”
“อะไร”
ทว่าทงเฮตอบเสียงห้วนกลับไป คิบอมจึงต้องบอกให้ชัดๆ ว่าสิ่งที่เขาอยากให้ทงเฮมองคืออะไร
“บนเบาะรถนั่นน่ะ”
พอบอกไปอย่างนั้นแล้วทงเฮก็มองตาม เห็นว่าเป็นหมวกันน็อคสีฟ้ากับสีเหลืองที่เขาและคิบอมวางเอาไว้คู่กัน บนหมวกกันน็อคนั้นด้านข้างจะเป็นวงกลมสีขาว และมีตัวเลขอยู่ บนหมวกสีฟ้าเป็นตัวเลข 12 และบนหมวกสีเหลืองเป็นเลข 9 อีกทั้งบนพื้นที่อื่นๆ ที่เป็นสีฟ้าก็ถูกลายเส้นหนาๆ สีขาวตัดกันไปมา
ทงเฮรู้ว่าสีเหลืองเป็นสีที่ตัวเองชอบ และสีฟ้าก็เป็นสีที่คิบอมชอบ แต่ไม่เข้าใจถึงความหมายของตัวเลขนั้นว่าคืออะไร แล้วทำไมของเขาต้องเป็นเลข 9 และคิบอมต้องเป็นเลข 12 ด้วย คิบอมจึงจูงมือทงเฮให้เดินไปที่เบาะรถด้วยกันแล้วยื่นหมวกกันน็อคสีเหลืองให้ทงเฮไปถือเอาไว้ ส่วนตัวเองถือสีฟ้า
“ลองมองดีๆ สิว่ามันมีอะไรอยู่”
ทงเฮมุ่นคิ้วมองหมวกกันน็อคในมือของตัวเอง ตอนแรกไม่เข้าใจและออกจะเวียนหัวกับเส้นสีขาวที่อยู่บนนั้น ลองพลิกไปพลิกมาแล้วก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดี ทว่าเมื่อหมุนจนกลายเป็นมุมที่มองจากด้านบนทงเฮก็พบอะไรบางอย่างและมันก็ทำให้ต้องยิ้มออกมาอย่างกลั้นไม่ไหว
หน้าหวานๆ ของเด็กหนุ่มหันไปมองเพื่อนข้างบ้านที่ตัวเองแอบมีใจให้ ซึ่งคิบอมก็ยิ้มกลับมาอย่างเต็มที่เพราะคิดว่าทงเฮคงเจออะไรบางอย่างที่เขาอุตส่าห์ให้ฮยอกแจจัดการให้แล้ว
“เข้าใจรึยัง”
ทงเฮพยักหน้าหงึกๆ อย่างดีใจ พลางชะโงกไปมองหมวกสีฟ้าที่อยู่ในมือคิบอมก็เห็นข้อความที่คล้ายๆ กัน แต่ก็ยังสงสัยเกี่ยวกับตัวเลข
“แล้วเลข 9 กับเลข 12 นี่ล่ะ”
“นี่เหรอ?” คิบอมพลิกหมวกในมือของตัวเองนิดหน่อยเพื่อหันตัวเลขนั้นไปทางทงเฮ “ฉันเกิดวันที่เท่าไหร่ล่ะ”
“ยี่สิบเอ็ด ทำไมล่ะ”
“แล้ววันนึงมีกี่ชั่วโมง”
“ก็ยี่สิบสี่ไง”
ทงเฮได้แต่งงว่าคิบอมกำลังถามอะไรเพี้ยนๆ อยู่ ไม่เข้าใจเลยสักนิดถึงความหมายแฝงของมัน คิดยังไงก็คิดไม่ออก และมันก็ไม่น่าจะเกี่ยวข้องกับเลข 12 ตรงไหน แต่คิบอมก็เฉลยให้เข้าใจ
“ถึงวันนึงจะมียี่สิบสี่ชั่วโมง แต่นาฬิกามันมีถึงแค่เลข 12 เลข 12 ก็เปรียบเหมือนฉัน ที่ไม่ว่าเข็มนาฬิกาจะเดินผ่านเลขไหนในสิบสองเลขนี้ คนที่สำคัญที่สุดสำหรับฉันก็คือนาย”
แล้วทงเฮก็ต้องร้อนไปทั้งแก้ม หัวใจเร่งจังหวะซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนไม่กล้าจะมองหน้าคนที่เป็นเจ้าของประโยคนั้น ปากบางพร่ำเบาๆ
“แล้วเลข 9 ล่ะ”
“เลข 9 ก็คือนายไง ส่วนเต็มเติมที่จะทำให้กลายเป็นฉันอย่างเต็มตัว” คิบอมบอกชัดๆ ก่อนจะค่อยๆ ขยับตัวเข้าหาร่างเล็กที่ก้มงุดซ่อนหน้าแดงก่ำเอาไว้ เสียงทุ้มเปรยออกมาอย่างแผ่วเบาให้เข้าใจได้ชัดเจนยิ่งขึ้น “สิบสองบวกเก้าเป็นยี่สิบเอ็ด”
ตอนนี้ทงเฮรู้สึกเหมือนว่าตัวเองไม่เป็นตัวเองสักเท่าไหร่ เพราะควบคุมอะไรไม่ได้สักอย่าง พยายามกลั้นยิ้มเอาไว้ก็ทำไม่ได้ พยายามระงับความตื่นเต้นดีใจก็ทำไม่ได้อีก บังคับไม่ให้เผลอใจล่องลอยไปไกลกับคำเหล่านี้ก็ทำไม่ได้เลย ราวกับร่างกายกลายเป็นของคนอื่นไปชั่วคราว ซึ่งคิบอมก็ใช้ช่วงเวลานี้กระซิบข้างหูทงเฮอีกครั้ง
“รู้ใช่มั้ยว่าฉันรู้สึกยังไงกับนาย”
“ไม่...ไม่รู้”
แม้ว่าประโยคก่อนหน้าจะบอกหมดแล้วว่าคิบอมรู้สึกยังไงอย่างไม่ปิดบัง แต่ก็ไม่กล้าที่จะสรุปความเอาเอง อยากได้ยินชัดๆ ว่าความรู้สึกนั้นเรียกว่าอะไร เป็นสิ่งที่ใช้คำนิยามเดียวกับที่เขารู้สึกอยู่รึเปล่า
“เหตุผลที่ฉันยังไม่ยอมให้นายซ้อนรถฉันก็เพราะอย่างนั้นแหละ”
“...”
“ฉันจะให้คนที่ฉันรักซ้อนรถได้ยังไงถ้าหากว่าหมวกกันน็อคมันยังไม่เสร็จ”
ทงเฮรู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างรื้นอยู่ภายในใจ มันทำให้ใจชุ่มฉ่ำเต็มตื้นจนหุบยิ้มไม่ได้ ที่คิบอมไม่ยอมให้เขาซ้อนรถสักทีเพราะคิบอมคิดถึงเขา เพราะเป็นห่วงเขา และมันทำให้เขามีความสุขยิ่งกว่าอะไร
ทงเฮยิ้มกว้างแล้วเงยหน้าขึ้นสบตากับคิบอม มองเห็นความจริงใจที่สะท้อนออกมาจากแววตาคู่สีดำนั้นแล้วก็เป็นฝ่ายขยับตัวเข้าไปใกล้คนตัวสูงบ้างและกระซิบเสียงแผ่ว
“ขอบคุณนะที่ห่วงฉัน ฉันงี่เง่าเองแหละที่เอาแต่โวยวาย” ริมฝีปากบางเม้มเข้าหากันนิดหน่อย สูดลมหายใจเข้าลึกๆ หนึ่งครั้งก่อนจะเอื้อนคำที่อยู่ลึกสุดของหัวใจ “ฉันก็รักนายนะ”
แขนยาวข้างที่ว่างจากการถือหมวกนิรภัยรวบร่างเพรียวบางตรงหน้าเข้ามากอด แล้วก้มลงหอมแก้มนิ่มๆ นั้นให้ผิวเนียนนุ่มนั้นต้องร้อนขึ้นมา ทงเฮดันตัวคิบอมออกช้าๆ ก่อนจะบอกทั้งที่หน้าเป็นสีแดงแปร๊ด
“ไปขับรถเล่นต่อกันเถอะ เดี๋ยวค่ำซะก่อน”
คิบอมส่งยิ้มให้ทงเฮแล้วก็ตามใจคนตัวเล็กแต่โดยดี มือกว้างวางหมวกสีฟ้าของตัวเองลงกับเบาะรถ ก่อนจะฉวยหมวกสีเหลืองในมือบางมาเพื่อจะใส่ให้ แต่ทงเฮก็ยกมือขึ้นมากันเอาไว้
“คิบอมน่ะ ต้องใส่ใบนี้ ส่วนฉันน่ะ ใบนั้นต่างหาก”
ทงเฮบอกพลางจับหมวกสีเหลืองแล้วยื่นขึ้นไปใส่ให้คนตัวโตกว่าด้วยรอยยิ้ม ซึ่งก็ทำให้คิบอมยิ้มไม่หุบเหมือนกันเพราะคำพูดคำจาที่น่ารักของคนตัวเล็ก มือใหญ่ยื่นมือไปหยิบหมวกสีฟ้าที่เพิ่งวางบนเบาะไปเมื่อครู่มาใส่ให้คนตัวบาง จากนั้นก็ไปนั่งที่รถและสตาร์ทก่อนที่ร่างเล็กจะขึ้นไปนั่งคร่อมแล้วกอดเอวหนาเอาไว้
รถมอเตอร์ไซค์คันเท่เคลื่อนตัวออกไปจากริมแม่น้ำฮันเพื่อเข้าสู่ท้องถนน พร้อมกับคนสองคนที่มีรอยยิ้มปริเต็มแก้ม ความสุขอบอวลและลู่ไปกับสายลม ทว่าไม่ได้ทำให้ความรู้สึกนั้นตกหล่นรายทาง
ความสุขที่ใจสองใจสื่อถึงกัน และหมวกกันน็อคสองใบที่มีตัวหนังสือระบุอยู่บนนั้น
สีฟ้า... ‘ของคิบอม’
สีเหลือง... ‘ของทงเฮ’
END
ขอบคุณครับ. ขอบคุณครับ ขอบคุณครับ
หน้า:
[1]