gta163 โพสต์ 2012-3-26 17:01:12

บทความซึ้งๆเกี่ยวกับแม่(รวมๆ)

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย sunce เมื่อ 2012-3-29 23:05

เรื่องดีดี ไม่จำเป็นต้องยาว ...
แม่ผู้แก่เฒ่าเดินไม่ได้คนหนึ่ง เป็นที่รำคาญใจของลูกชายเหลือเกิน
สมัยนั้นยังไม่มีสถานสงเคราะห์คนชรา จึงไม่รู้ว่าจะเอาแม่ไปฝากใครให้เลี้ยงแทน
ชายหนุ่มจึงตัดสินใจแบกเอาไปปล่อยป่าให้อยู่ตามยถากรรม
... ระหว่างทาง แม่ไม่วอนขอ ไม่ถามไม่ว่าอะไร ตั้งใจหักกิ่งไม้ตามทาง เรื่อยไป เข้าป่าลึก
ไกลมากแล้ว ลูกชายวางแม่ลงบนโขดหิน แล้วหันหลังเดินกลับทางเดิมไป ...

ตอนนี้เอง ที่แม่ตะโกนตามหลังลูกชายไปว่า ...
"ลูกเอ๋ย เดินตามรอยกิ่งไม้ที่แม่หักไว้ให้นะจะได้ไม่หลงทาง.




            หัวข้อ : บทความวันแม่
ข้อความ : > > > ... เช้าวันหนึ่ง..ที่โรงพยาบาล...

> > > “ขอให้ชั้นดูหน้าลูกหน่อยได้มั๊ยคะ”คุณแม่คนใหม่เอ่ยขึ้น > > > เมื่อห่อผ้าน้อย ๆอยู่ในอ้อมกอดเธอ > > > เธอค่อยๆคลี่ผ้าที่ห่อออกเพื่อมองใบหน้าเล็ก ๆ กรี๊ด ด ด ด ด....> > > เธอกรีดร้อง หมอต้องอุ้มเด็กออกไปอย่างรวดเร็ว > > > เด็กทารกที่เกิดมา....ไม่มีใบหู

> > > และแล้ว> > > ....กาลเวลาพิสูจน์ว่า....การได้ยินของเจ้าหนูไม่มีปัญหา > > > ปัญหามีเฉพาะสิ่งที่มองเห็นภายนอกคือ....ใบหูที่หายไป

> > > หลายครั้งที่เจ้าหนูกลับจากโรงเรียนแล้ววิ่งมาบอกแม่

> > > ....เธอรู้ว่าหัวใจลูกปวดร้าวแค่ไหน...> > >> > > เจ้าหนูพูดโพล่งออกมาอย่างน่าเศร้า > > > “พวกเด็กตัวโต พวกมันล้อผมว่า “นายตัวประหลาด”

> > > จนกระทั่ง... เจ้าหนูเติบโตขึ้นหล่อเหลา

> > > เป็นที่รักของเพื่อน ๆ เค้ามีพรสวรรค์ในด้านอักษรศาสตร์ วรรณคดี> > > และดนตรี เค้าอาจได้เป็นหัวหน้าชั้น ...> > >> > > แต่เพราะเจ้าสิ่งนั้น...ทำให้เค้าไม่อยากเจอใคร > > > “ลูกต้องพบปะกับผู้คนบ้างนะลูก” > > > แม่กล่าวด้วยความสงสารลูก

> > > .....พ่อของเด็กชายปรึกษากับหมอประจำครอบครัว

> > > และได้รับข่าวดีจากหมอว่า...”ผมสามารถปลูกถ่ายใบหูได้รับถ้ามีผู้บริจาค > > > แต่ใครล่ะจะเสียสละใบหูเพื่อเด็กน้อยคนนี้” คุณหมอกล่าว

> > >

> > > จนกระทั่ง ...2 ปีผ่านไป พ่อบอกกับลูกชาย > > >> > > “ลูกเตรียมตัวไปโรงพยาบาลนะ

> > > พ่อกับแม่หาคนบริจาคใบหูที่ลูกต้องการได้แล้ว...แต่นี่เป็นความลับ”

> > > การผ่าตัดสำเร็จด้วยดี > > > และแล้ว...คนคนใหม่ก็เกิดขึ้น

> > > ....เค้ากลายเป็นผู้มีพรสวรรค์...> > > เป็นอัจฉริยะในโรงเรียน...ในวิทยาลัย> > > จนเป็นที่กล่าวขานกันรุ่นต่อรุ่น

> > > ต่อมาได้แต่งงาน...และทำงานเป็นข้าราชการในสถานทูต

> > > วันหนึ่งชายหนุ่มถามผู้เป็นพ่อว่า > > > “พ่อครับใครเป็นคนมอบใบหูให้ผมมา

> > > ใครช่างให้ผมได้มากมาย แต่ผมไม่เคยทำอะไรเพื่อเค้าได้เลยสักนิด”

> > > “พ่อไม่เชื่อว่าลูกจะตอบแทนเค้าได้หมดหรอกเรื่องนี้..เป็นความลับ > > > เราตกลงกันแล้ว” พ่อตอบ

> > >

> > > หลายปีผ่านไป....มันยังคงเป็นความลับ และแล้ว..วันนึง

> > > วันที่มืดมิดที่สุดผ่านเข้ามา...ในชีวิตลูกชาย

> > > แม่เค้าได้เสียชีวิตลง.. > > > เค้ายืนข้างๆพ่อ...ใกล้!บศพของแม่

> > > พ่อเรียกเค้า > > > “ มานี่สิลูก..มานั่งใกล้ๆนี่..พ่อลูบผมแม่อย่างช้าๆ > > > และนุ่มนวล..ผมสีน้ำตาลแดงถูกเสยขึ้นจนมองเห็น > > > ใบหน้าที่มองดูเหมือนคนนอนหลับ

> > > ...และแล้วสิ่งที่ทำให้ลูกชาย> > > ถึงกับต้องตะลึง.. ............ใบหูของแม่...หายไป

> > >

แม่ไม่มีใบหู...”นี่เป็นคำตอบที่ลูกอยากรู้มาตลอดชีวิต”...พ่อกระซิบผ่านลูกชา> > ย

“แม่บอกพ่อว่าเธอดีใจที่ได้ทำอย่างนี้+ตั้งแต่วันผ่าตัด...เธอไม่เคยตัดผมอีกเ> > ลย

> > > ไม่มีใครมองเห็นว่าเธอไม่สวยจริงมั๊ย?> > >

> > > “ จงจำไว้” สิ่งมีค่าที่แท้จริง > > > ...ไม่ได้อยู่ที่การมองเห็น...หากแต่อยู่ที่สิ่งที่เรามองไม่เห็น

...ความรักที่แท้จริง....ไม่ได้อยู่ที่เราได้ทำอะไรแล้วมีคนรับรู้...หากแต่อยู่> > ู่> > ที่สิ่งที่> > > เรากระทำแล้ว...ไม่มีใครรับรู้> > >

> > > .....ความรัก

> > > บางครั้งไม่จำเป็นต้องพูดพร่ำเพรื่อ...

> > >

> > > ............อ่านบทความนี้แล้วลองกลับมาคิด............

> > >

> > > ถ้าพรุ่งนี้เราตายไปบริษัทสามารถหาคนมาแทนเราได้ภายในไม่กี่วัน

> > >

> > > แต่ครอบครัวเราต้องสูญเสีย และคิดถึงเราไปตลอด

> > >

> > > เราใช้ชีวิตกับการทำงานมากกว่าครอบครัวหรือเปล่า?

> > >

> > > ถ้ามากกว่า...มันช่าง..เป็นการลงทุนที่ไม่ฉลาดเลยจริงๆ

> > >

> > > ..............FAMILY

      แม่...ไม่คิดเงิน

เจ้าเด็กชายตัวน้อยของเราเข้าไปหาแม่และส่งกระดาษให้

หลังจากแม่เช็ดมือกับผ้ากันเปื้อนแล้วเธอก็ก้มลงอ่าน

ค่าตัดหญ้า 5 บาท

ค่าทำความสะอาดห้องผมอาทิตย์นี้ 1 บาท

ค่าซื้อของให้แม่ 2.5 บาท

ค่าดูแลน้องชาย 2.5 บาท

ค่าเอาขยะไปทิ้ง 1 บาท

ค่าได้คะแนนดี 5 บาท

ค่ากวาดสนาม 2 บาท

รวมค้างชำระ 19 บาท

เธอหยิบปากกาขึ้นมาพลิกไปด้านหลังแล้วเขียน

เก้าเดือนที่แม่อุ้มท้อง ไม่คิดเงิน

เวลาแม่พยาบาลลูก ไม่คิดเงิน

ของเล่น อาหาร เสท้อผ้า ไม่คิดเงิน

แม้แต่เช็ดน้ำมูกให้ ไม่คิดเงินหรอกจ๊ะลูก

เมื่อรวมทั้งหมดเป็นราคาเต็มของความรัก ไม่คิดเงินเหมือนกัน

เมื่อลูกชายของเราอ่านสิ่งที่แม่เขียน น้ำตาหยดโตก็ไหลออกมา

เขาสบตาแม่และพูดว่า แม่ครับ ผมรักแม่จริงๆนะครับ

แล้วเขาก็เอาปากกา

เขียนหลังสือตัวโตว่า จ่ายหมดแล้ว

แม่จ่ายหมดแล้ว แต่ลูกทอนให้ยังไม่หมด.........



เรื่องดีๆ ของเด็กขี้ขโมย . + * + .

--------------------------------------------------------------------------"อย่าหนีนะ นาย เด็กขี้ขโมย"
เสียงผู้หญิงวัยกลางคนคนหนึ่งตะโกนลั่น พร้อมกับมีเด็กคนหนึ่งกับผู้หญิงอีกคนหนึ่งวิ่งผ่านฉันกับแม่ที่กำลังซื้อเนื้อหมูในตลาดไปอย่างรวดเร็ว ทั้งแม่และฉันหันไปดูทันเห็นหน้าผู้หญิงคนนั้นแค่แวบเดียว แม่ถามฉันว่า

"อ้าว นั่นป้าร้านขายของไม่ใช่เหรอ"

"ใช่จ้ะแม่ แกวิ่งไล่ใครกันละ"

ป้าคนนั้นชื่อว่า 'ป้าหนอม' เป็นแม่ค้าขายของชำสารพัดอย่างในตัวตลาดในอำเภอที่ฉันอยู่ มีฐานะจัดว่าดีกว่าแม่ค้าคนอื่นๆ ในละแวกเดียวกัน และเป็นที่รู้จักกันว่าแกเป็นคนที่ขี้เหนียวอย่างร้ายกาจ แถมปากจัดที่สุดในตลาดอีกด้วย ใครต่อราคาของมากเกินไป หรือถามราคาแล้วไม่ซื้อ ป้าแกจะโวยวายชนิดต้องรีบเผ่นออกจากร้านแทบไม่ทันทีเดียว

เสียงเอะอะดังมากขึ้น ฉันหันไปมองป้าหนอมจับข้อมือเด็กผู้ชายคนหนึ่งอายุประมาณ 12-13 ขวบ ไล่เลี่ยกับฉันซึ่งกำลังดิ้นรนอยู่ และป้าแกกำลังจะลงไม้ลงมือ แม่จึงเดินเข้าไปถาม

"พี่หนอม มีไรหรอคะ"

"ก็ X เด็กเวรนี่นะสิ มันมา ทำทีขอซื้อยาแก้ปวดกับยาธาตุ พอฉันหยิบส่งให้ มันก็วิ่งหนีมาเลย เงินก็ไม่จ่าย"

พูดจบป้าหนอมก็ตบหัวเด็กคนนั้นอย่างแรงหนึ่งที และคงจะมีตามมาอีกหลายทีแน่ถ้าแม่ฉันไม่ห้ามไว้

"ตายแล้วพี่หนอม อย่าถึงกับลงไม้ลงมือกันเลยนะ แล้วนี่จะทำไงต่อ"

แม่รีบตัดบทเพราะเห็นว่าเรื่องราวชักจะไปกันใหญ่

"เรียกตำรวจมาเอามันไปเข้าคุกนะสิ เสียนิสัย พ่อแม่ไม่สั่งสอน ยังเด็กตัวแค่นี้ก็ริจะเป็นขโมยซะแล้ว ต่อไปก็คงต้องปล้นเขากินหละ"

ฉันสะกิดแม่ทันทีพร้อมกับมองพลางส่ายหัวน้อยๆ ทำนองว่าอย่าไปยุ่งดีกว่า แม่มองฉันแล้วมองเด็กคนนั้น ซึ่งท่าทางเหมือนกำลังจะร้องไห้ แม่นิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วหันไปพูดกับป้าหนอมว่า

"อย่าให้ถึงอย่างนั้นเลยนะพี่หนอม เด็กมันคงอยากซื้อยาแต่ไม่มีเงินนะ เอาเป็นว่าฉันจ่ายให้ละกันนะ กี่บาทกันละ"

ในที่สุดเรื่องก็จบลง โดยการที่แม่ยอมจ่ายเงินค่ายาแก้ปวดกับยาธาตุ แล้วแม่ก็จูงเด็กคนนั้นออกมาจากตลาด แต่ป้าหนอมยังไม่วายเตือนแม่

"ใจดีกับเด็กขี้โขมยแบบนี้ ระวังจะเสียใจทีหลังนะเธอ"

แม่ไม่ได้ตอบอะไร แต่พอเดินห่าง จากร้านพอสมควรแล้วก็ถามว่า

"ทำไมหนูขโมยของป้าเขาละ"

เด็กคนนั้นเงยหน้าที่เต็มไปด้วยน้ำตาขึ้นมองแม่ แล้วตอบสะอึกสะอื้นว่า

"แม่ผมปวดท้องมากเลยครับ แล้วแม่ก็ไม่มีเงินไปหาหมอ ผมก็เลยต้อง..."

แม่มองหน้าเด็กคนนั้นอยู่ครู่หนึ่ง แล้วยื่นผลไม้ที่ซื้อมาให้เด็กคนนั้นถุงหนึ่ง แล้วบอกว่า

"ทีหลังอย่าโขมยของใครนะ ถ้าไม่มีเงินมาขอเงินน้าไปซื้อก็ได้นะ น้าชื่อสมพรเปิดร้านเย็บผ้าอยู่ใกล้ๆ นี่เอง ถามคนแถวนี้ก็ได้ รู้จักน้าแทบทุกคนเลยแหละ เอ้า...เอา ส้มไป ฝากคุณแม่ซิ คนป่วยนะต้องกินผลไม้มากๆ จะได้หายไวๆ รู้มั้ย"

แม่เสริมพร้อมกับยิ้ม เด็กคนนั้นอึ้งอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่จะรับส้มพร้อมกับพูดขอบคุณแม่แล้วเดินจากไป

หลังจากนั้นพอกลับมาถึงบ้าน ฉันก็ถามแม่ทันที

"ทำไมแม่ต้องช่วยเด็กคนนันด้วยละ รู้จักกันหรอจ้ะ"

แม่ยิ้ม แล้วตอบฉันว่า

"ไม่รู้จักหรอก แต่แม่เห็นเด็กคนนั้นรับจ้างหาบขนมขายอยู่แถวบ้านเราน่ะลูก แต่แกคงจำแม่ไม่ได้หรอก แม่ซื้อขนมแกอยู่ไม่กี่ครั้งเอง"

"แต่นั่นก็ไม่ใช่เหตุผลที่จะต้องช่วยเหลือเขาถ้าเขาเป็นขโมยนี่แม่"

ฉันถามต่อ แม่มองหน้าฉันแล้วพูดว่า

"แม่เชื่อว่าเด็กที่เคยหาเงินด้วยตัวเองมาก่อนตั้งแต่อายุเท่าๆ กับลูก จะต้องเป็นเด็กที่มีความรับผิดชอบ รู้คุณค่าของเงินทุกบาททุกสตางค์ว่ากว่าจะได้มามันเหนื่อยยากขนาดไหน และคนที่มีความรับผิดชอบนะ จะไม่มีทางขโมยของใครนอกจากจะจำเป็นจริงๆ เมื่อเขาไม่มีทางอื่นให้เลือกแล้วเท่านั้น"

ฉันฟังแล้วก็ถามแม่ต่อว่า

"แล้วต่อไปถ้าเขามาขอเงินแม่ไปซื้อยาอีก แม่จะให้เขารึเปล่า"

"ให้สิลูกถ้ามันไม่มากไม่มายอะไร"

"แล้วแม่ไม่เสียดายเงินหรอ บ้านเราก็ไม่ได้ร่ำรวยเหมือนบ้านป้าหนอมเขานะแม่"

"ถึงแม่จะไม่มีเงินทองมากนัก แต่การที่ได้ช่วยเหลือคนที่กำลังลำบากน่ะ มันทำให้แม่มีความสุข แล้วยังได้บุญอีกด้วยนะ แค่นี้แม่ก็พอใจแล้ว ไม่อยากได้อะไรตอบแทนหรอก"

แล้วแม่ก็พูดต่ออีกว่า

"จำไว้นะลูก คนเรานะ ต้องรู้จักให้อภัยและให้โอกาสคนอื่นแก้ตัวเสมอ อย่างเด็กคนนั้น..แม่มั่นใจว่าแกทำไปเพราะรักคุณแม่ของแกจริงๆ แม่ถึงช่วยแกเอาไว้"


แล้วแม่ก็พูดต่อว่า
"ลูกอาจจะบอกว่าขโมยเป็นสิ่งที่ผิด ใช่...แม่ไม่เถียง แต่บางครั้งคนเราก็ต้องมองด้านอื่นๆ บ้าง อย่าคิดแต่เรื่องทรัพย์สินเงินทอง ตอนนี้ลูกอาจจะยังฟังไม่เข้าใจ แต่แม่เชื่อว่าสักวันลูกจะเข้าใจเองแหละ"
หลังจากนั้น ฉันกับแม่ก็หันไปคุยเรื่องอื่นๆ กันต่อ ฉันเองไม่เคยคิดเรื่องนี้อีกเลย จนเหตุการณ์หนึ่งเกิดขึ้น ทำให้ฉันต้องย้อนกลับมาคิดถึงเรื่องนี้อีกครั้งทั้งน้ำตาว่าคำพูดของแม่ในครั้งนี้ถูกต้องที่สุดจริงๆ
หลังจากนั้นฉันเรียนจบระดับปริญญาตรีจากสถาบันราชภัฏแห่งหนึ่งในตัวจังหวัด แล้วฉันก็ได้งานทำในโรงงานแห่งหนึ่งในตัวจังหวัดนั้นเอง เงินเดือนก็พอประมาณ สามารถเลี้ยงดูแม่ได้โดยไม่ขัดสนนัก ฉันก็เลยขอร้องให้แม่หยุดรับจ้างเย็บผ้า เพราะอยากให้แม่พักผ่อนบ้างหลังจากทำงานหนักมาเกือบ 20 ปีเพื่อส่งฉันเรียน แม่ยอมปิดร้าน แต่ก็ยังรับงานเล็กๆ น้อยๆ ของเพื่อนบ้านมาทำบ้างโดยไม่คิดเงิน แม่บอกว่าถ้าไม่ได้ทำอะไรเลยจะรู้สึกเบื่อ ฉันก็เลยต้องยอมตามใจแม่
ฉันทำงานอยู่ประมาณ 2-3 ปี แม่ก็เริ่มรู้สึกไม่สบาย เริ่มจากปวดหัวบ่อยขึ้น ช่วงแรกๆ ไม่กี่วันก็หาย หลังจากนั้นก็เริ่มเป็นนานขึ้นเรื่อยๆ ฉันบอกให้แม่ไปหาหมอ แล้วฉันก็พาแม่ไปหาหมอในเมือง หมอบอกว่าไม่เป็นอะไรมาก แค่ทำงานหนักมากเกินไป หมอให้ยามาชุดหนึ่งพร้อมกำชับให้พักผ่อนมากๆ จะได้หายเร็วๆ

หลังจากกินยาตามที่หมอสั่ง อาการปวดหัวของแม่ก็หายไป ฉันเริ่มสบายใจขึ้น แต่หลังจากไปหาหมอได้ประมาณหนึ่งเดือน แม่ก็เริ่มกลับมาปวดหัวอีก คราวนี้เป็นหนักมากกว่าครั้งที่แล้ว ยาที่เคยกินแล้วได้ผลมาก่อนก็ไม่ได้ผลเลย ฉันกังวลใจมาก พอถามหมอ หมอก็บอกว่าต้องไปตรวจที่โรงพยาบาลในกรุงเทพฯ เพราะว่าเครื่องไม้เครื่องมือพร้อมกว่าโรงพยาบาลต่างจังหวัด

หลังจากนั้นฉันรีบพาแม่ไปกรุงเทพฯ ทันที ไปยังโรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่ง หลังจากหมอตรวจแล้วบอกว่ามีเนื้องอกในสมองต้องผ่าตัดโดยด่วน หากปล่อยทิ้งไว้อาจไปทับเส้นประสาททำให้เป็นอัมพาตได้ หรือถ้าผ่าตัดไม่ทันก็อาจร้ายแรงถึงขั้นเสียชีวิต ฉันตกใจมากขอให้หมอผ่าตัดให้ทันที แต่หมอบอกว่าโรงพยาบาลที่มีหมอผ่าตัดสมองที่มีความพร้อมที่จะผ่าตัดเนื้องอกในสมองเป็นอีกโรงพยาบาลหนึ่ง ซึ่งมีชื่อเสียงมากกว่า ดังนั้นหมอจึงต้องส่งตัวคนไข้ไปยังโรงพยาบาลนั้น ฉันก็ตกลง

หลังจากถูกส่งตัวมายังโรงพยาบาลดังกล่าวแล้ว แม่ก็ถูกส่งตัวเข้าห้องผ่าตัดทันที ขณะที่ฉันรออย่างกังวลใจอยู่ด้านนอก ทั้งเรื่องอาการป่วยของแม่ และจากคำพูดของหมอที่ทิ้งท้ายไว้ก่อนส่งตัวแม่มาที่โรงพยาบาลแห่งนี้ หมอบอกให้ทำใจไว้บ้าง เพราะการผ่าตัดสมองเป็นการผ่าตัดที่เสี่ยงมาก โอกาสที่คนไข้จะเสียชีวิตมีมาก แม้การผ่าตัดจะประสบความสำเร็จก็ตาม อีกเรื่องก็คือค่าใช้จ่ายในการผ่าตัดสมองค่อนข้างสูง เป็นหลักแสนบาท เมื่อรวมกับค่ายา ระหว่างพักฟื้น คิดแล้วน่าจะต้องใช้เงินราวๆ ห้าแสนบาท

ฉันได้ยินแล้วแทบลมจับ ฉันจะไปหาเงินห้าแสนบาทมาจากไหน ลำพังเงินเก็บของฉันกับแม่ยังมีไม่ถึงห้าหมื่นบาทเลย แต่ยังไงฉันก็ต้องรักษาแม่ให้หาย ส่วนเรื่องเงินไว้คิดทีหลัง

หลังการผ่าตัดเสร็จสิ้นลง เป็นโชคดีของแม่ที่การผ่าตัดประสบผลสำเร็จ และไม่มีอาการแทรกซ้อนใดๆ ทางโรง พยาบาลบอกให้พักฟื้นประมาณหนึ่งเดือนก็สามารถไปพักฟื้นที่บ้านได้ ทางโรงพยาบาลแจ้งรายการค่าใช้จ่ายทั้งหมดมาให้ฉัน ปรากฎว่าเป็นเงินจำนวนไม่ถึงหนึ่งพันบาท เป็นค่าติดต่อประสานงานเท่านั้น

ฉันแปลกใจมาก จึงสอบถามกับนางพยาบาล นางพยาบาลบอกว่าคุณหมอที่เป็นคนผ่าตัด และเป็นเจ้าของไข้บอกไม่ให้คิดเงินกับฉันและแม่ โดยที่ทางโรงพยาบาลก็ไม่ทราบสาเหตุ ฉันจึงขอพบคุณหมอคนนั้นเพื่อขอบคุณ นางพยาบาลบอกว่าหลังจากเสร็จคุณหมอก็ถูกส่งตัวไปต่างประเทศทันทีเพื่อศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับการผ่าตัดสมองที่อเมริกา แต่คุณหมอได้ฝากจดหมายไว้ให้ฉันกับแม่ โดยกำชับกับทางโรงพยาบาลให้ฝากให้ฉันพร้อมกับใบเสร็จค่าใช้จ่ายอื่นๆ ของทางโรงพยาบาลในวันที่แม่สามารถออกจากโรงพยาบาลได้

เมื่อกลับถึงบ้าน ฉันกับแม่ก็เปิดอ่านจดหมายของคุณหมอคนนั้น เมื่ออ่านจบทั้งฉันและแม่ก็ร้องไห้ออกมาพร้อมกัน เนื้อความในจดหมายมีดังนี้

'ข้าพเจ้านายแพทย์เดชา ทองวิจิตร แพทย์ผู้ผ่าตัด นางสมพร ภู่จันทร์ ขอสรุปค่าใช้จ่ายในการผ่าตัดทั้งหมดดังนี้

ค่าผ่าตัด 0 บาท
ค่ายาทั้งหมด 0 บาท
ค่าใช้จ่ายอื่นที่เหลือ 0 บาท
รวมเป็นเงินทั้งหมด 0 บาท

ป.ล. ค่าใช้จ่ายทั้งหมดได้รับแล้ว เมื่อยี่สิบปีก่อนด้วยยาแก้ปวด ยาธาตุ ส้มหนึ่งถุง

ขอให้สุขภาพแข็งแรงไปอีกนานๆ นะครับคุณน้า

นายแพทย์เดชา ทองวิจิตร [/si


มานี่สิลูก แม่มีอ่ะไรจะสอน (^-^)

แม่คงสอนให้ลูกฉลาดไม่ได้
ลูกต้องเรียนรู้และฉลาดด้วยไหวพริบและกึ๋นของลูกเอง
แม่คงสอนให้ลูกเรียนเก่งไม่ได้
ลูกต้องอยากรู้อยากเข้าใจในบทเรียนด้วยตัวของลูกเอง
แม่คงสอนให้ลูกเกรดสี่ทุกวิชาไม่ได้
เพราะแม่เองก็ไม่เคยได้เกรดสี่สักวิชา แฮ่ๆ

แม่อยากให้ลูกคิด และมองโลกในแง่ดี
อย่าคิดว่าใต้ฟ้านี้มีแต่เรื่องทำไม่ได้ เป็นไม่ได้
หัดคิดให้เป็นบวกไว้แหละดี

แม่อยากให้ลูกหัดฝัน
เมื่อไรลูกฝันเป็น ไม่ว่าจะเป็นใฝ่ฝัน หรือความฝัน
ลูกจะรู้ว่าโลกนี้มันน่าอยู่เพียงไหน

แม่อยากให้ลูกพูดแต่เรื่องดี พูดแต่เรื่องสวยงาม
จงเป็นคนสุดท้ายที่ให้ร้ายคนอื่น
และจงเป็นคนแรกที่ให้กำลังใจ และชื่นชม

แม่อยากให้ลูกทำเรื่องแปลกๆ
ลูกไม่จำเป็นต้องเดินตามชีวิตประจำวันของใคร
อย่าเก็บความคิดแปลก เพียงเพราะเห็นว่ามันไม่เหมือนใคร

แม่อยากสอนให้ลูกกล้าแดด กล้าฝน
เพราะภายใต้ไออุ่นของดวงอาทิตย์ลูกจะได้รับวิตามินดี
และภายใต้ฟ้าที่มีฝน มันจะทำให้ลูกร้องไห้โดยไม่มีใครเห็นน้ำตา

แม่อยากสอนให้ลูกออกกำลังกายทุกวัน
อย่างน้อยคนเราก็ต้องเคลื่อนไหวทะมัดทะแมง
ลูกได้ออกแรงเสียบ้าง ลูกจะแข็งแกร่งไม่อ่อนแอ

แม่อยากให้ลูกยิ้ม และอยู่กับโลกด้วยความรัก
ยิ้มอาจจะไม่ชนะทุกสิ่ง ยิ้มมากๆอาจจะดูเหมือนคนบ้า
แต่มันก็ดีกว่าหน้าบึ้งหน้างอเป็นไหนๆ

แม่อยากสอนให้ลูกรู้จักอดทน
ลูกต้องเรียนรู้ว่าลูกไม่มีทางได้ทุกๆอย่างที่ลูกหวังไว้
อดทนและอย่าได้เสียกำลังใจ
อย่าท้อและขอให้เริ่มใหม่อย่างมีพลัง

แม่อยากสอนให้ลูกเข่ยงขาขึ้นให้สูง
ไม่มีอะไรที่สูงไปกว่าสองมือเราจะเอื้อมคว้า
เพียงแค่ว่าเรายืนยันที่จะไม่ยืนอยู่กับที่

แม่อยากสอนให้เจ้ามีความสุข
แต่อย่าลืมทุกข์ด้วยล่ะลูก
คนที่ไม่เคยมีความทุกข์ เขาสุขจริงๆไม่เป็นหรอก เจ้าเอย

ไอคิวมันติดมาแต่บนฟ้าลูกจ๋า
ไม่ฉลาดก็มีความสุขได้ไม่ต้องห่วง
อย่าน้อยใจถ้าตามใครเขาไม่ทัน
อย่าเสียขวัญถ้าเราช้ากว่าใครๆ

อีคิวมันต้องหาเองบนโลกนี้ลูกเอ๋ย
ไม่ฉลาดก็น่ารักและมีความสุขได้
อย่ากลัวที่จะเปลี่ยนแปลงปรับปรุง
ลูกมีกำลังใจเป็นถุงจากแม่ ไม่ต้องกลัว..


ลูกรัก...

ถึงแม้คนโบราณจะสอนกันว่า "อันอ้อยตาลหวานลิ้นแล้วสิ้นซาก แต่ลมปากหวานหูไม่รู้หาย" ดังนี้ก็ตาม แต่ลูกควรระวังคำพูดของคนอื่นโดยเฉพาะคำพูดหวานๆ น้ำคำหวานๆของคนบางคนก็ทำให้เราเมาได้เหมือนกัน พอเมาแล้วก็ทำให้หลงเสียรู้เสียท่า บางครั้งถึงกับเสียเงินเสียทองให้เขาอย่างที่ไม่น่าจะเสียเพราะไปเชื่อคำหวานของเขา ข้อนี้ให้ลูกพิจารณาให้ดี ใครมาพูดจาหวานๆ ยกยอว่าเราดีอย่างนั้นเก่งอย่างนี้ ลูกต้องระวังไว้ก่อน อย่างเพิ่งไปหลงใหลได้ปลื้มกันคำพูดของเขา ลูกจะได้ไม่เสียใจภายหลัง ปลาที่ตายไปส่วนหนึ่ง เพราะถูกเขา "ยกยอ" ขึ้นมา ถ้ามันไม่ติด "ยอ" มันก็ไม่ตาย เรื่องเป็นอย่างนี้ ลูกจึงควรระวัง จะถูก "ยกยอ" แล้วตายไปเหมือนปลา

vera โพสต์ 2012-3-29 23:00:12

ขอบคุณมากๆคับ
หน้า: [1]
ดูในรูปแบบกติ: บทความซึ้งๆเกี่ยวกับแม่(รวมๆ)