ขนหัวลุก เมื่อเห็นวิญญาณออกจากร่าง
ขนหัวลุก เมื่อเห็นวิญญาณออกจากร่างเมื่อสามปีที่แล้วผมประสบอุบัติเหตุครั้งใหญ่ รถคว่ำบนถนนจากเพชรบุรีเข้าชะอำ ตอนนั้นผมอายุยี่สิบปี กำลังใช้ชีวิตคุ้มค่าอยู่ในมหาวิทยาลัย ทั้งเรียนทั้งเล่นและทำกิจกรรม...อุบัติเหตุครั้งนั้นเกือบคร่าชีวิตผม มันรุนแรงเหลือเกินครับ
เพื่อนผมตายไปสามคน พิการอีกสอง แต่มันก็ให้อะไรบางอย่างแก่ผม นั่นคือ...ความลึกลับของชีวิตหลังความตาย!
ผมจำได้ว่าวันนั้นอากาศแจ่มใสมาก ฟ้าใสสะอาด แดดสวย เราเพิ่งมาจากเขื่อนแก่งกระจาน หลังจากไปค้างที่นั่นคืนหนึ่ง แล้วกำลังจะไปเที่ยวต่อชะอำอีกสักสอง-สามวัน เราจองโรงแรมไว้เรียบร้อยแล้ว ตอนนั้นเป็นเวลาราวห้าโมงเย็น แดดร่มลมตก เราไปรถกระบะของเพื่อนโดยเจ้าของเป็นคนขับ มีเพื่อนผู้หญิงนั่งในรถสี่คน ส่วนผมกับเพื่อนผู้ชายอีกห้าคนนั่งที่หลังกระบะ โต้แดดโต้ลมอย่างสนุกสนาน
ทันใดนั้น ผมได้ยินเสียงร้องเฮ้ย! ใครร้องก็ไม่รู้? แล้วมันก็เกิดขึ้นรวดเร็วมาก เพียงเสี้ยววินาที รถเหวี่ยงอย่างแรง แล้วโลกก็พลิกกลับมาทับตัวผม!
อันที่จริงน่ะไม่ใช่โลกทั้งโลกหรอกครับ แต่เป็นรถกระบะที่เรานั่งมานั่นแหละมันเสียหลักแล้วพลิกคว่ำพังยับเยิน ผมถูกเหวี่ยงหวือลอยสูงขึ้นไปกลางอากาศ แล้วตกวูบลงมากระแทกถนน...ทุกอย่างดับวูบทันที ไม่ทันรู้สึกเจ็บปวดอะไรเลยแม้แต่น้อย เพียงแค่ตกใจและรู้สึกถึงกระแทกอย่างมหาศาลเท่านั้น
ราวกับตกอยู่ในฝันร้าย...
ผมเห็นตัวเองนอนแบ็บคว่ำหน้าอยู่กลางถนน ใบหน้าตะแคงมาทางขวา แขนข้างขวานั้นบิดเบี้ยวผิดรูปอย่างน่าขัน ผมได้แต่ลืมตา บรรยากาศขณะนั้นเหมือนตัวเองหลุดเข้าไปในแดนสนธยา...มันมีแสงสีส้มอมแดงฉาบทุกอย่าง รวมทั้งเพื่อนอีกหลายคนที่นอนจมกองเลือดอยู่บนพื้นถนนเหมือนผม
นั่น...เจ้าอ่ำเพื่อนรัก! ทำไมมันมีสองคน? ผมงงไปหมดแล้วครับ!
ร่างหนึ่งของเจ้าอ่ำนอนอยู่ ท่อนบนมันแหงนขึ้นสู่ฟ้า แต่ท่อนล่างตั้งแต่เอวลงมากลับคว่ำลงนั้น ดูคล้ายตุ๊กตาที่ถูกบิด ตาของมันลืมค้างว่างเปล่า...ปากกับจมูกมีเลือดทะลักออกมามากมาย...และนั่น! อ่ำอีกร่างหนึ่งกำลังนั่งอยู่ข้างล่างบนพื้น เหมือนเป็นเจ้าหน้าที่มูลนิธิที่กำลังมาเก็บศพ...ท่าทางของอ่ำจะเข้าใจอย่างเต็มที่ว่าเกิดอะไรขึ้น เขาหันมาเห็นผมมองอยู่ก็เลยยิ้มให้แล้วพูดว่า "กูตายแล้วว่ะ! เออ...แปลกดี ไม่เจ็บเลยนะ"
ผมจำได้ทุกคำพูด มันติดหูติดตาจนทุกวันนี้ และผมก็พยักหน้าทั้งๆ ที่ยังนอนอยู่ท่าเดิม "เออ! ไม่เจ็บจริงๆ แต่กูลุกไม่ได้อย่างมึง"
อ่ำเดินมานั่งข้างผมแล้วมองปราดไปทั่วร่าง ก่อนจะบอกว่า
"ฝากไปบอกแม่กูด้วยนะ ว่ากูไม่เป็นไรเลย สบายดี"
เราคุยกันเหมือนปกติ แล้วมองไปยังเพื่อนอีกหลายคนที่กระจัดกระจายกันไปคนละทิศละทาง...นอกจากอ่ำแล้วยังมี ป๊อปกับพจน์ ที่แยกออกเป็นสองร่างเหมือนกัน พวกเขาทั้งสามเดินสำรวจไปทั่วที่เกิดเหตุ ไม่มีท่าตื่นเต้นตกใจที่เห็นตัวเองตายอย่างสยดสยอง ต่างมองร่างเดิมของตัวเองเหมือนมองเสื้อผ้าฉีกขาดรุ่งริ่งที่ต้องถอดทิ้ง และไม่มีวันจะนำมาสวมใส่ได้อีก
นาทีต่อมา ผมเห็นว่าบนถนนไม่ได้มีแต่พวกผมเท่านั้นที่นอนบาดเจ็บ ร้องโอดโอยกันอยู่ แต่ยังมีอีกนับร้อยร่าง แขนขาขาดก็มีครับ ในใจผมนึกทันทีว่าเป็นวิญญาณของผู้ที่เคยประสบอุบัติเหตุตรงนี้มาก่อน บางคนไม่รู้และไม่ยอมรับว่าตัวเองตายแล้ว ก็ยังนอนทุรนทุรายเจ็บปวดทรมานอยู่อย่างนั้น!
ภาพสุดท้ายที่ผมเห็นคือ อ่ำและพจน์เดินตามคนกลุ่มหนึ่งไป คนกลุ่มนั้นแต่งตัวเหมือนหมอครับ มองดูอบอุ่นน่าเคารพนับถือ ผมเห็นแล้วก็หายห่วงเลย เพราะรู้ดีว่าคนกลุ่มนั้นมารับ และมาปกป้องคุ้มครองเพื่อนๆ ของผม
...มารู้สึกตัวอีกทีตอนมาฟื้นที่โรงพยาบาล...คราวนี้ละมันเจ็บปวดมากจริงๆ เจ็บไปทั้งตัว แต่ก็ยังดีกว่าเฟิร์น-เพื่อนผู้หญิงของผมที่เธอไม่รู้สึกเจ็บปวดเท่าไหร่ แต่มันเป็นเพราะกระดูกสันหลังเธอหัก และกลายเป็นอัมพาตไปเรียบร้อย!
ผมน้ำตาไหล และลืมความเจ็บปวดของตัวเองไปเลยเพราะสงสารเธอมาก
สำหรับญาติๆ ของอ่ำ ป๊อปและพจน์ ผมไม่อายที่จะเล่าเรื่องที่ผมเห็นให้พวกเขาฟัง ไม่มีใครว่าผมเพ้อเจ้อหรือประสาทหลอนเพราะช็อกจากอุบัติเหตุ
หลายคนเชื่อว่าผมเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นจริงๆ ในอีกมิติหนึ่ง อย่างน้อยเรื่องนี้ก็ทำให้พ่อแม่ของเพื่อนๆ ที่ตายรู้สึกดีขึ้นบ้าง ที่รู้ว่าความตายนั้น ลูกๆ ของเขาไม่ทรมาน และยังมีชีวิตอยู่ในอีกโลกหนึ่ง...มีคนดูแลให้อย่างดี!
หน้า:
[1]