ชักว่าว : อัตตกามกริยาในชาย
ชักว่าว : อัตตกามกริยาในชาย ความจริงปีนี้ก็คงร๎อนพอๆ กับหน้าร้อนปีก่อนๆ นั่นแหละ แต่ทำไมก็ไมํรู๎อดรู๎สึกไม่ได้ว่าหน้าร้อนนี้ช่างร้อนจัดจ้านกว่าทุกปีที่เคยมา ยังดีนะที่พอตกเย็นบ่ายคล้อยแดดร่มลมตกยังพอมีลมว่าวพัดโชยมาทำให้คลายความอบอ่าวได้บ้าง ไอ้หนูข้างบ้านก็เลยเอาว่าวตัวงามที่แต้มสีสันฉูดฉาดวิ่งรอกชักขึ้นไปลอยฉวัดเฉวียนเหินลมบนอยู่กลางอากาศมือของคนชักก็ค่อยๆผ่อนค่อยๆสาว สายป่าน กระตุกขึ้นลง ซ้ายขวา บังคับว่าวให้ติดลมบนเป็นที่เพลิดเพลินเจริญใจ และคงจากอากัปกิริยากระตุกสายป่านของคนชักว่าวนี้แหละ ที่เป็นที่มาของศัพท์สแลงทางเพศอันรู้จักแพร่หลายโดยเฉพาะในหมู่เด็กหนุ่มนมเพิ่งแตกพานที่สิวเม็ดแรกเริ่มขึ้น เป็นที่เข้าใจกันว่า ชักว่าว นั้นหมายถึง การสำเร็จความใคร่ด้วยตนเอง คำนี้ต่อมาก็เลยกลายเป็น คำหยาบหรือ ต้องห้ามไป จะพูดดังๆ ต่อสาธารกำนัลเลยพาลกระดากปากต้องเลี่ยงเป็นช่วยตัวเองบ้างไปสนามหลวง (เพราะว่ามีการแข่งขันกีฬาชักว่าวและมีคนเล่นว่าวกันมากที่นั้น)บ้างจึงค่อยพูดถนัดปากหน่อย ซึ่งก็ล้วนแต่หมายถึงการสำเร็จความใคร่ด้วยตนเองซึ่งตรงกับคำภาษาหมอว่ามาสเตอร์เบชั่น (MASTURBATION) คำว่า มาสเตอร์เบชั่น นั้น ในทางชีววิทยา หมายถึง การจงใจกระตุ้นให้เกิดความรู้สึกทางเพศในตนเองโปรดสังเกตว่า เป็นการกระตุ้นตัวเองเป็นได้ทั้งชายและหญิง ไม่จำกัดว่ากระตุ้นส่วนใดของร่างกายไม่พูดถึงการแข็งตัวขององคชาต และไม่ได้พูดถึงการสำเร็จความใคร่ หรือ ออกาสซึม (ORGASM) ผู้เขียนจึงคิดว่า อัตตกามกิริยา นำจะเป็นคำแปลที่แปลและถูกความสำหรับคำว่ามาสเตอร์เบชั่นมากกวำ การสำเร็จความใคร่ด้วยตนเอง อย่างที่มีผู้นิยมใช้กัน คำแสลง “ชักว่าว” จึงหมายถึง อัตตกามกริยาในชาย ซึ่งได้แก่ การที่ผู้ชายจงใจกระตุ้นให้ตนเองเกิดความรู้สึกทางเพศหรือปลุกกำหนัดในตนเอง ส่วนจะทำอย่างไร กระตุ้นส่วนไหนของร่างกาย จะบรรลุจุดสุดยอดจนสำเร็จความใคร่หรือไม่สำเร็จก็ได้ ขอรวมยอดเรียกเป็น “ชักว่าว” ทั้งสิ้น หากไม่ได้ทำเอง แต่ให้คนอื่นที่เป็นผู้ชายเพศเดียวกันกระตุ้นให้ เราก็ยังอนุโลมว่าเป็นการชักว่าวอยู่แต่เรียกว่าเป็นการ ช่วยชักว่าว หรือ ผลัดกันชักว่าว (MUTUAL MASTURBATION)แต่หากผู้ที่ช่วยกระตุ้นให้นั้นเป็นต่างเพศ คือ เพศหญิง เช่น หมอนวดทำให้แขกขี้เมื่อยที่ไปเที่ยว อาบ อบ นวด นั้นไม่เรียกว่า เป็นการ “ชักว่าว” หรือ อัตตกามกริยา แล้วเพราะไม่ได้ทำด้วยตนเองถือเป็นการเล้าโลมระหว่างชายหญิงเวลามีเพศสัมพันธ์กัน ผู้ชาย ชักว่าว กันมากแค่ไหน ในปี ค.ศ. 1948 ดร.คินซี่(KINSEY) ได้ทำการศึกษาเรื่อง ชักว่าว ในผู้ชายอเมริกันผิวขาว5,000 คนพบว่า 92 % เคยชักว่าว จนถึงขั้นสำเร็จความใคร่ในจำนวนนี้ 20 % สารภาพว่า เริ่มชักว่าว เป็นตั้งแต่อายุ12 ปี พออายุได้ 15 ปี ก็ชักว่าวกันถึง80 %แล้ว พอเข้าวัยหนุ่มก็แทบไม่มีเว้นเลย และแม้แต่ผู้ชายที่แต่งงานแล้วจำนวนไม่น้อยก็ยังแอบ ชักว่าว อยู่เป็นนิจสิน นี่ขนาดเป็นสถิติ ของเมื่อเกือบ 30 ปีก่อนเมื่อ.....เข้าใจทางเพศวิทยาตลอดจนเสรีภาพทางเพศยังไม่เจริญก้าวหน้าเท่าทุกวันนี้ ปัจจุบันผู้เชี่ยวชาญทางเพศวิทยาบอกเหมือนกันหมดว่า 99 % ของมนุษย์เพศชาย บนโลกนี้ล้วน แต่เคย ชักว่าว ทั้งสิ้นส่วนอีก 1 %ที่เหลือนั้นไม่ใช่ไม่เคยชักว่าวก็ชอบชักเหมือน คนอื่นเขานั่นแหละแต่ขี้อายเกินกว่าจะบอก ความจริงแก่หมอต่างหาก ตั้งแต่น้ำอสุจิ...1 หยดกลั่นมาจากเลือด 500 หยด ....ทำให้สายตาสั้น ทำให้เหงื่อมือเหงื่อเท้า ... ทำให้สติปัญญาเสื่อมถอย...ทำให้สมองไม่ดี ...ทำให้เป็นหัวใจ ...ทำให้เป็นโรคประสาท...ทำให้เป็นโรคล่มปากอ่าว...ทำให้หมดสมรรถภาพทางเพศ หรือล้มไม่ลุก ... ผู้ชายเกิดมามีกระสุนติดตัวมาห้าพันนัดชักว่าวบ่อยๆยิงทิ้งยิงขว้างอีกหน่อยกระสุนหมด ...ทำให้เป็นหมัน....ทำให้น้ำกามไหลไม่หยุด... ทำให้เป็นโรคไต...ฯลฯ แม้แต่คุณหมอท่านหนึ่ง เมื่อรับเชิญไปพูดเผยแพร่วิชาการเรื่องเพศวิทยาทางโทรทัศน์เมื่อไม่นามานี้ก็ได้พูดให้ผู้ฟังจำนวนมากมายทางบ้านถึงผลร้ายของการ “ชักว่าว” ...ความทำนองว่า การสำเร็จ ความใคร่ด้วยตนเองทำให้ประสาทไม่ดี ทำให้เป็นโรคประสาท ยังทำให้สมองเสื่อมสติปัญญาทึบเรียนหนังสือไม่รู้เรื่อง ผลการเรียนตกลงท่านเคยพบหลายรายที่ทำบ่อยเกินไป ทำให้สมองไม่ดี สอบตกซ้ำชั้น หารู้ไม่ว่าคำพูดประโยคนี้จะไปทำให้ พ่อแม่และเด็กอีกหมื่นกี่แสนคนเกิดความเข้าใจผิดเกิดความรู้สึกผิดว่าการ “ชักว่าว” เป็นเรื่องเลวร้าย เหมือนอย่างในศตวรรษก่อนๆ คุณหมอท่านนี้ เป็นศัลยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญการผำตัดระบบทางเดินปัสสาวะของผู้ชาย อาจจะลืมไปว่าการสืบพันธุ์ กับเพศวิทยา นั้นมันคนละเรื่องกันไม่ใช่ว่าเชี่ยวชาญการผำตัดอวัยวะสืบพันธุ์แล้วจะต้องเชี่ยวชาญเรื่องเพศวิทยาไปด้วยยกตัวอย่างง่ายๆ ปาก มีหน้าที่ กินอาหาร ดังนั้น ตั้งแต่ปาก คอหอย ลำไส้เล็กใหญ่ กระเพาะอาหารตลอดจนถึงทวารหนัก จึงเป็นเรื่องของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญทางเดินอาหาร แต่ปากไม่ใช่มีไว้สำหรับกินอย่างเดียวเหมือนกับอวัยวะเพศไม่ได้มีไว้สืบพันธุ์ หรือถ่ายปัสสาวะอย่างเดียว ปากยังใช้พูด ยิ้มร้องเพลง จูบ ทาลิปสติก และอะไรต่อมิอะไรได้อีกตั้งหลายอยำง หากปากนั้นมีปัญหาเรื่องการพูดเช่น เด็กพูดได้ช้า พูดไม่ชัด ติดอ่าง ก็เป็นเรื่องของ จิตแพทย์ หรือ นักบำบัดการพูด ( SPEECH THERAPY) หากปากทาลิปสติก แล้วมีปัญหาไม้รู๎จะใช้ยี่ห้ออะไรสีอะไรจึงจะเหมาะก็เป็นเรื่องของนักเสริมสวย หากทาลิปสติกแล้วแพ้ ก็เป็นหน้าที่ของหมอโรคผิวหนังไปหมอผู๎เชี่ยวชาญทางเดินอาหารไม่จำเป็นต้องมีความเชี่ยวชาญในเรื่องการพูดหรือลิปสติกฉันใด หมอผู้เชี่ยวชาญทางเดินปัสสาวะก็ไม่จำเป็นต้องเชี่ยวชาญในเรื่องเพศวิทยาแต่เมื่อสวมเสื้อครุยของนักวิชาการอันน่าเลื่อมใส พูดอะไรชาวบ้านตาดำๆ ก็ต้องเชื่อหารู้ไม่ว่าได้ไปสร้างปัญหาทางเพศในจิตใจผู้ชมโทรทัศน์คืนนั้นอีกกี่หมื่นกี่แสนคน อย่างนี้ก็จัดเข้าประเภทโรคที่เกิดจากหมอทำเหมือนกันถ้าหากว่า ผู้ชายกว่า 99 เปอร์เซ็นต์ หรือเกือบทุกคนในโลกนี้เคย “ชักว่าว”นักสัตววิทยาได้ยืนยันแล้วว่า สัตว์ชั้นสูงทุกชนิดล้วนแต่มีพฤติกรรมแบบ“อัตตกามกริยา” ทั้งสิ้น ไม่มียกเว้น ไม่ว่าจะเป็นเป็ด ไก่ หมา แมว นก ไม่ต้องพูดถึงลิง ซึ่งเราเคยเห็นมันเล่นจำปีของมันเองอยู่เสมอๆเด็กทุกเพศทุกวัย ตั้งแต่ทารกแรกเกิด ไม่กี่เดือน หนึ่งขวบ สองขวบ สามขวบ เรื่อยไปก็รายงานมากมายยืนยันแล้วว่าเคยพบ ชักว่าว หาความสุขให้ตัวเองเป็นตั้งแต่ยังไร้เดียงสา ถ้าอย่างนั้น “ชักว่าว” จะเป็นเรื่องผิดปกตินำอับอาย ได้อย่างไร ในเมื่อสัตว์ชั้นสูงทุกชนิด ทารกอันแสนจะไร้เดียงสาและผู้ชายเกือบทั้งโลกนี้ต่างก็นิยมกีฬา “ชักว่าว” นี้ทั้งนั้น ในระยะสิบกว่าปีมานี้ ได้มีการศึกษาและวิจัยอย่างกว้างขวาง และจริงจังในเรื่องเพศวิทยาและพบว่า การชักว่าว นอกจากจะไม่เป็นอันตรายต่อร่างกายและจิตใจไม่ว่าในทางใดแล้ว ตรงกันข้ามชักว่าว ยังทำให้สุขภาพกายและจิตใจดีขึ้นอีกด้วย พูดง่ายๆ คือ การ “ชักว่าว” นั้นนอกจากไม่มีโทษแล้วยังมีแต่คุณประโยชน์ โดยเฉพาะในแง่ลดความกดดันทางเพศและทำให้สุขภาพจิตใจดีขึ้น ดังนั้นใครอยาก“ชักว่าว” ผู้เขียนขอเชิญให้ปฏิบัติด้วยความมั่นใจและสบายใจอย่าได้มีความวิตกกังวล หรือสงสัยอะไรอีกเลย สิ่งเดียวที่ทำให้การชักว่าว ซึ่งเป็นของดีมีประโยชน์แถมไม่ต้องซื้อต้องหานี้ กลายเป็นของไม่ดี ก็คือ การเชื่อผิดๆ ที่ทำให๎รู้สึกว่าบาปรู้สึกผิด กลัวจะทำให้เสียสุขภาพต่างหาก ที่ทำให้เด็กหนุ่มๆหลายคนกลายเป็นคนไม่เชื่อมั่นในตนเองคิดว่าตนเป็นคนตัณหาจัด ลามกจกเปรต กลายเป็นคนมีปมด้อย มีบุคลิกภาพผิดปกติ มีปัญหาทางเพศเมื่อโตขึ้นหรือแต่งงาน และหลายคนถึงกับฆ่าตัวตายเพราะรังเกียจตัวเองที่ไม่อาจเลิก “ชักว่าว” ได้ แปลกที่ว่าแม้ผู้ชายแทบทั้งโลกนี้นิยมการชักว่าว แต่ก็มีน้อยคนที่จะไม่มีอคติกับมันแม้แต่ปัจจุบันในยุคที่สังคมยอมรับ เรื่องเพศวิทยามากขึ้นและเปิดเผยขึ้น การชักว่าวก็ยังเป็นเรื่องที่ผู้คนไม่ค่อยยอมพูด ถึงเพราะยังมีความรู้สึกว่า ชักว่าว เป็นเรื่องลามกจกเปรตเป็นเรื่องบัดสีบัดเถลิง เป็นเรื่องน่าอับอายขายหน้าหากใครรู้เข้า ผู้ชายส่วนใหญ่ให้เขายอมรับว่าโกหกหลอกลวง หรือมีปัญหาทางเพศอย่างอื่น ยังจะง่ายกว่าที่จะให้เขายอมรับว่า ชอบเล่นนกเขาของตัวเองแปลกคนจริง ชอบเล่นแต่ไม่ชอบยอมรับ เมื่อเร็วๆ นี้ โรเบอร์ท ซอเรนสัน ได๎ศึกษาวัยรุํนทั่วอเมริกาและพบว่าบรรดาชายหนุ่มที่นิยมกีฬา ชักว่าวทั้งหลายมีเพียง 45 % ยอมรับว่ามีความรู้สึกผิด วิตกกังวล หรือ ไม่สบายใจ เกี่ยวกับการชักว่าวของตน ทำไมถึง รู้สึกผิด ต่อ การชักว่าว อันนี้ต้องโทษว่าพ่อแม่ปู่ย่าตายาย สั่งสอนไม่ดี ครูบาอาจารย์อบรมไม่ถูก และหมอทั้งหลายแนะนำผิดๆ ทั้งนี้เพราะตั้งแต่สมัยดึกดำบรรพ์มาแล้วที่มนุษย์มีความเข้าใจผิดในเรื่องชักว่าว ทุกยุคทุกสมัยล้วนแต่ประณามว่าเป็นเรื่องไม่ดี เป็นเรื่องต้องห้าม เริ่มตั้งแต่สมัยโบราณศาสนายิวสาบแช่งคนที่ ชักว่าว ว่าเป็นบาปร้ายแรง เพราะไปทำลายชีวิตของเชื้ออสุจิ อันเป็นของล้ำคำที่พระเจ้ามอบให๎แก่มนุษย์ไว้สืบเผ่าพันธุ์เป็นการทำลายของขวัญจากพระผู้เป็นเจ้าเป็นการทำลายชีวิต เป็นการไม่เคารพพระผู้เป็นเจ้าศาสนาคริสเตียน ยิ่งสาปส่งใหญ่เลยว่า การ ชักว่าว เป็นการผิดศีลธรรมอย่างมหันต์ เป็นเรื่องวิตถารผิดธรรมชาติครั้นมาถึงศตวรรษที่ 18 บรรดาหมอและนักวิทยาศาสตร์ก็พลอยสวมรอยผสมโรงกันประณามการชักว่าวหนักข้อเข้าไปใหญ่ ที่นี้สารพัดจะสรรมาว่า เรียกว่าร้อยโรคพันโรคยกมาให้เป็นความผิดของชักว่าว หมด ตั้งแต่ สิว ไปจนถึง วิกลจริต...หลังค่อม...ไหล่หุบ....ผอมแห้งแรงน้อย...อ่อนเปลี้ยเพลียแรง...นอนไม่หลับ...เรี่ยวแรงไม่มี...ไม่มีราศี...แววตาไม่แจ่มใส...ท้องเฟ้อเรอเปรี้ยว...แผลในกระเพาะ...หมดสมรรถภาพทางเพศ...ปัญญาอ่อน...มะเร็งที่องคชาต...ฯลฯ ทั้งนี้เพราะบรรดาหมอในสมัยนั้น สังเกต เห็นผู้ป่วยในโรงพยาบาลโรคจิต ชักว่าวกันบ่อยๆ ก็เลยเหมาว่าการชักว่าว ทำให้คนเป็นบ้า หารู้ไม่ว่าบรรดานิสิตนักศึกษาในมหาวิทยาลัยก็นิยมกีฬานี้เช่นเดียวกันเพียงแต่ว่าแอบทำกระมิดกระเมี้ยนกว่า เลยไม่มีใครรู้เท่านั้นเอง ตอนกลางศตวรรษที่ 19 อันเป็นยุคที่ศาสนามีอิทธิพลต่อชีวิตผู้คนอย่างมาก ในเรื่องชักว่าว นี้นอกจากเป็นความผิดแล้ว หากถูกจับได้ยังต้องถูกลงโทษอย่างรุนแรงด้วย เช่นเวลาจะนอนก็ถูกเอาโซ่ตรวนผูกมือทั้งสองกับเสาเตียง เพื่อป้องกันไม่ให้ ชักว่าวหรือร้อยหนังหุ่มปลายด้วยเส้นลวด หรือ ใส่วงแหวนที่มีหนามไว้รอบองคชาติ มีบางรายถูกทำโทษอย่างทารุณโหดร้ายถึงขั้นตอน หรือ ตัดองคชาตทิ้งไปก็มี มาถึงต้นศตวรรษที่ 20 คือ ค.ศ. 1909 มีหมอสองคนช่วยกันเขียนหนังสือสำหรับเด็กขึ้นมาเล่มหนึ่งชื่อ เรื่องนำรู๎สำหรับเด็ก (WHAT A BOY SHOULD KNOW) ซึ่งขายดิบขายดีมากในสมัยนั้นได้แนะนำเด็กเกี่ยวกับการ ชักว่าว ไว้ว่า “...หากเล่นวิตถารกับนกเขาจนน้ำออกมาละก็ร่างกายจะเหี่ยวเฉาลง เด็กชายคนนั้นก็จะรู้สึกอ่อนเปลี้ยเพลียแรงไม่สดชื่นแจ่มใสอีกต่อไปจะกลายเป็นเด็กเหนื่อยง่าย สายตาจะไม่ดี ใบหน้าจะซีดเซียวไม่มีสีเลือด ท้องจะอืด และไม่ถ่ายอุจจาระซึ่งผลก็คือ จะมีสิงฝ้าด่างดำตามใบหน้า นอกจากนี้ การชักว่าว ยังจะทำให้กลายเป็นเด็กที่นิสัยไม่ดีไว้ใจไม่ได้ ขี้ปดและขี้โกง ค.ศ. 1945 ในหนังสือ คู่มือลูกเสือ (THE BOY SCOUT MANNUAL) ซึ่งขายเป็นล้านๆเล่ม แพร่หลายไปทั่วโลก ก็มีการเตือนให้บรรดาลูกเสือทั้งหลายระวังถึงความเลวร้ายของการชักว่าว และในสมัยเดียวกันนี้ ใครที่จะสอบเข้าโรงเรียนนานเรือของอเมริกา หากจับได้ว่าเคยชักว่าว จะไม่ได้รับเลือกทันทีเลย แม้แต่หลังสงครามครั้งที่สองในขณะที่วิทยาการแพทย์แขนงอื่นๆ เจริญก้าวหน้าสุดขีดผู้คนทั่วไป (รวมทั้งบรรดาหมอทั้งหลายด้วย)ก็ยังพกความเชื่อผิดๆ เรื่อง ชักว่าว นี้ไว้มากมายคงต้องใช้เวลาอีกนานปีกว่าที่สังคมจะเข้าใจ และยอมรับความจริงอันนี้ และก่อนจะถึงวันนั้นก็คงจะยังมีเด็กชาย ชายหนุํม และผู้ชายอีกจำนวนมากที่ต้องทนทุกข์ทรมานด้วยความเข้าใจผิดๆและเชื่อผิดๆ อันนี้ หน้าร้อนปีนี้ ขอเชิญชวนทุกท่านหาความเพลิดเพลินบันเทิงใจด้วยการชักว่าวกันให้สำราญเบิกบานในกันเถิดเผื่อจะได้คลายความหงุดหงิดจากอากาศที่แสนจะอบอ้าวนี้เสียบ้างและไม่ต้องกลัวว่าจะปฏิบัติมากเกินไปเพราะพฤติกรรมทางเพศนั้นหากมากไปหรือน้อยไปก็จะมีกลไกอัตโนมัติปรับให้พอดิบพอดีอยู่เสมอ เช่น ถ้าไม่ได้ระบาย สะสมความรู้สึกทางเพศอัดอั้นไว้นานๆ น้ำอสุจิที่ถูกสร้างโดยลูกอัณฑะและนำมาเก็บไว้ในถุงเก็บอสุจิก็จะเต็มพอถุงเต็มก็จะไปกระตุ้นเตือนทำให้เกิดความต้องการทางเพศมากขึ้น และหากยังไม่ได้มีการระบายปลดปล่อยด้วยการชักว่าวหรือมีเพศสัมพันธ์ ตกกลางคืนก็จะมีการฝันเปียกหลั่งน้ำอสุจิที่คั่งค้างออกมาหากมีการปลดปล่อยบ่อยเกินไปเช่น ชักว่าวติดๆ กันวันละหลายๆ ครั้ง ลูกอัณฑะสร้างน้ำอสุจิไม่ทัน ถุงเก็บอสุจิก็ไม่เต็มร่างกายก็จะมีกลไกจำกัดตัวเอง ด้วยการมีความต้องการทางเพศน้อยลง องคชาตแข็งตัวน้อยลงทำให๎ชักว่าว น้อยลงไปเอง อีกประการหนึ่ง ความต้องการทางเพศของแต่ละคนนั้นไม่เท่ากัน บางคนต้องอยำงน้อยวันละหนึ่งทุกวัน ถึงจะไม่หงุดหงิด บางคนสามวันครั้ง บางคนเดือนละครั้งก็สบายแล้ว เหมือนกับกินข้าวนั่นแหละบางคนมื้อละจานยังไม่อิ่ม บางคนละเลียดข้าวไม่กี่ช้อนอิ่มเสียแล้ว จึงไม่มีมาตรฐานว่าเท่าไรจึงจะพอดีขึ้นอยู่กับต้องการของแต่ละคนที่ไม่เท่ากัน เพศชาวบ้าน ในหมอชาวบ้าน ครั้งแรกเกิดนี้ ก็เห็นจะต้องขอจบลงด้วยการอวยพรให้ท่านผู้อ่านจงมีความสุขมากๆจากการ “ชักว่าว” ถ้วนทุกคนสาระเต็มเปี่ยมเลยครับขอบคุณครับ ขอบคุณครับผม
หน้า:
[1]