นับถอยหลัง...วันโลกจม อีก 20 ปี น้ำทะเลสูง 7 ม.
นับถอยหลัง...วันโลกจม อีก 20 ปี น้ำทะเลสูง 7 ม.
ภัยพิบัติทางธรรมชาติที่เกิดขึ้นถี่ยิบในทั่วทุกมุมโลกในระยะนี้ ปลุกกระแสความตื่นกลัวจากความเชื่อเรื่อง "วันโลกาวินาศ" 21 ธันวาคม 2012 (2555) ให้กลับมาเป็นที่สนใจของคนทั่วโลกอีกครั้ง ล่าสุดเมื่อวันที่ 21 พฤษภาคมที่ผ่านมา เกิดแผ่นดินไหวขนาด 5.9 ริคเตอร์ ในเมืองเวนิช ทางตอนเหนือของประเทศอิตาลี เบื้องต้นได้รับการยืนยันว่า มีผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์ธรณีพิโรธครั้งนี้ไป 3 ศพ
http://www.oknation.net/blog/home/user_data/file_data/201205/28/8713a65c.jpg
ในวันเดียวกันนั้น ไทยเกิดแผ่นดินไหวขึ้นถึง 2 ครั้ง ครั้งแรกเกิดขึ้นเมื่อเวลา 06.43 น. วัดความรุนแรงได้ 2.1 ริกเตอร์ ที่บริเวณ อ.พร้าว จ.เชียงใหม่ ต่อมาเวลาใกล้เที่ยงเกิดแผ่นดินไหวซ้ำขนาด 2.3 ริกเตอร์ ที่ อ.ไทรโยค จ.กาญจนบุรี ซึ่งจุดดังกล่าวอยู่ห่างจากที่ตั้งของเขื่อนศรีนครินทร์เพียง 18 กิโลเมตร แม้แผ่นดินไหวในไทยทั้ง 2 ครั้งจะไม่สร้างความเสียหายทั้งต่อชีวิตและทรัพย์สิน แต่ได้สร้างความหวาดวิตกให้กับคนไทยทั้งประเทศไม่น้อย
นักวิชาการด้านภัยพิบัติทางธรรมชาติหลายคน ต่างพยายามหาคำตอบถึงสาเหตุที่ทำให้เกิดแผ่นดินไหวบ่อยครั้งในระยะนี้ ส่วนหนึ่งสรุปไปในทิศทางเดียวกันว่า สาเหตุน่าจะมาจากสภาวะการเปลี่ยนแปลงของโลกที่เกิดจากปรากฏการณ์น้ำแข็งขั้วโลกละลายhttp://www.oknation.net/blog/home/user_data/file_data/201205/28/871323d0.jpg
ในการเสวนารับมือวิกฤติโลกร้อนและภัยพิบัติใกล้ตัว จัดขึ้นที่หอประชุมเมืองไทยประกันชีวิตเมื่อวันที่ 23 พฤษภาคมที่ผ่านมา นายปรานต์ สยามวาลา นายกสมาคมอุตสาหกรรมเพื่อป้องกันภัยพิบัติ กล่าวไว้อย่างน่าสนใจว่า สภาวะโลกร้อนที่เกิดขึ้นจากการปล่อยก๊าซคาร์บอนขึ้นสู่ชั้น บรรยากาศโลกของมนุษย์กำลังเร่งเร้าให้น้ำแข็งบริเวณขั้วโลกเหนือและใต้ละลายไปอย่างรวดเร็ว คาดว่าภายใน 20 ปีข้างหน้า น้ำแข็งบริเวณขั้วโลกจะละลายไปทั้งหมด ซึ่งจะทำให้ระดับน้ำทะเลเพิ่มสูงขึ้นอีก 7 เมตร และจะไหลมากองรวมกันที่แนวเส้นศูนย์สูตร พื้นดินบริเวณแนวเส้นศูนย์สูตรและใกล้เคียงจะจมน้ำกลายเป็นเมืองบาดาล ซึ่งรวมถึงพื้นที่ส่วนใหญ่ของประเทศไทยด้วยhttp://www.oknation.net/blog/home/user_data/file_data/201205/28/87134a74.jpg
นายปรานต์ กล่าวว่า ปริมาณน้ำที่เพิ่มขึ้นจากการละลายของน้ำแข็งขั้วโลกจะทำให้สภาพน้ำหนักของโลกเปลี่ยนไป โลกจะมีลักษณะที่ผิดเพี้ยนไป คือบริเวณแนวเส้นศูนย์สูตรจะโป่งพอง ส่งผลให้เกิดการเคลื่อนที่ของแผ่นเปลือกโลกถี่ขึ้น เกิดแผ่นดินไหวบ่อยครั้งขึ้น ซึ่งจะเห็นได้จากสถิติการเกิดแผ่นดินไหวในรอบหลายปีที่ผ่านมาพบว่ามีความถี่สูงขึ้นถึงเฉลี่ย 2-3 พันครั้งต่อปี
"ภัยพิบัติที่เกิดขึ้นในปี 54 ทั้งมหาอุทกภัยในไทย สึนามิในญี่ปุ่น คลื่นความร้อนและอากาศที่หนาวเย็นผิดปกติในทั่วทุกมุมโลก เป็นเพียงแค่น้ำจิ้ม แต่ภัยพิบัติครั้งร้ายแรงที่แท้จริงจะเกิดขึ้นในระยะ 20 ปีข้างหน้าที่จะถึงนี้ ทันทีที่น้ำแข็งขั้วโลกละลายหมดโลกจะถึงคราววิบัติ สภาพบรรยากาศโลกจะเปลี่ยนไป เกิดแผ่นดินไหวต่อเนื่อง น้ำจะท่วมพื้นที่ส่วนใหญ่ของโลกคร่าชีวิตคนทั่วโลกไปแทบทั้งหมด" นายปรานต์ ให้ข้อมูล http://www.oknation.net/blog/home/user_data/file_data/201205/28/87137ead.jpg
นายปรานต์อ้างว่า การศึกษาของนักวิชาการด้านภัยพิบัติทั่วโลกยืนยันไปในทิศทางเดียวกันว่า โลกสามารถรองรับประชากรโลกได้ไม่เกิน 2 พันล้านคน แต่ตั้งแต่ปี 2503 เป็นต้นมาประชากรโลกมีมากกว่า 2 พันล้านคน กระทั่งปัจจุบันมีมากกว่า 7 พันล้านคน และมีแนวโน้มว่าภายในปี 2593 หรืออีก 28 ปีข้างหน้าประชากรโลกจะแตะ 9 พันล้านคน เป็นปรากฏการณ์ผู้คนล้นโลก จำนวนประชากรที่เพิ่มขึ้นจะทำให้ก๊าซคาร์บอนเพิ่มสูงขึ้นเป็นเงาตามตัวจนเกินค่าสมดุล สุดท้ายโลกจำเป็นต้องปรับความสมดุลทางธรรมชาติ เกิดปรากฎการณ์น้ำท่วมโลก หรือที่เรียกกันว่า "วันล้างโลก" ในภาพยนตร์แนววิทยาศาสตร์
เฉพาะไทยประเทศเดียว นายปรานต์ ให้ข้อมูลว่า ปัจจุบันมีค่าคาร์บอนไดออกไซน์อยู่ในชั้นบรรยากาศมากกว่า 390 พีพีเอ็ม คาดการณ์ว่าภายในปี 2593 จะมีค่าสูงขึ้นแตะที่ 450 พีพีเอ็ม ซึ่งก๊าซคาร์บอนนั้นจะถูกขับออกจากชั้นบรรยากาศโลกไปร้อยละ 40 ที่เหลืออีกร้อยละ 60 ตกลงสู่ทะเล เร่งเร้าให้โลกร้อนขึ้นอย่างต่อเนื่อง จะเห็นได้ว่า ในปีนี้ไทยมีช่วงที่อากาศร้อนที่สุดวัดได้ถึง 44 องศาเซลเซียส ซึ่งอยู่ในระดับที่ทำให้คนเกิดอาการลมแดด (ฮีสสโตรก) คาดการณ์ว่าอีก 8 ปีข้างหน้าอุณหภูมิจะเพิ่มเป็น 50 องศาเซลเซียส
จึงอยากตั้งคำถามว่าถึงเวลานั้นคนไทยจะอยู่กันอย่างไร?
ไม่ใช่เฉพาะก๊าซคาร์บอนไดออกไซน์ที่เพิ่มสูงขึ้น ปรากฏการณ์น้ำแข็งขั้วโลกละลายยังเพิ่มปริมาณของแก๊สบีเทนที่ปนเปื้อนมากับน้ำทะเลและตามแหล่งน้ำต่างๆ เนื่องจากปกติแก๊สบีเทนจะตกผลึกเกาะกุมอยู่กับน้ำแข็งขั้วโลก โดยนายปรานต์ ตั้งข้อสังเกตุว่า นับตั้งแต่น้ำแข็งขั้วโลกละลายจำนวนมากในรอบหลายปีที่ผ่านมา เกิดปรากฏการณ์สัตว์น้ำตายเป็นเบือในหลายประเทศ ซึ่งนั้นคือสัญญาณเตือนที่เห็นได้ชัด
"องค์การอาหารโลกคาดการณ์ว่าอีก 5 ปีข้างหน้าจะเกิดสงครามแย่งชิงอาหารกระจายไปทั่วทุกมุมโลก สาเหตุเป็นเพราะภัยทางธรรมชาติที่ทำลายพื้นที่ทางการเกษตรทำให้แหล่งผลิตอาหารได้รับความเสียหาย ทุกวันนี้ก็เกิดขึ้นแล้วที่ซูดาน ขณะที่น้ำท่วมใหญ่เมื่อปลายปีที่แล้วในไทยพื้นที่ทางการเกษตรเสียหายไปกว่า 2 หมื่นตารางกิโลเมตร ผู้คนจำนวนกว่า 13.6 ล้านคนได้รับผลกระทบ และยังส่งผลมาถึงภาวะข้าวยากหมากแพงที่กำลังเกิดขึ้นในไทยช่วงเวลานี้" นายปรานต์ ขยายความ
ภัยพิบัติทางธรรมชาติที่จะสร้างความเสียหายร้ายแรงให้กับประเทศไทยนั้น นายปรานต์ บอกว่า ไทยโดยเฉพาะกรุงเทพมหานคร เสี่ยงจะล่มสลาย เพราะแผ่นดินไหวรุนแรงในระยะไกล เช่นเดียวกับที่เคยเกิดขึ้นในแม็กซิโกซิตี้เมื่อหลายปีก่อน โดยแนวแผ่นเปลือกโลก 4 จุดในมหาสมุทรอินเดีย และอีก 1 จุดตรงใกล้เกาะฟิลิปปินส์จะเป็นตัวแปรสำคัญ หากเกิดแผ่นดินไหวรุนแรงในบริเวณนี้แรงสั่นไหวจะแผ่มาถึง กทม.ซึ่งตั้งอยู่บนดินอ่อน ที่เรียกว่าตะกอนปากแม่น้ำจะเพิ่มความรุนแรงขึ้น 14 เท่า
"คนเมืองกาญจน์กลัวกันมากหากแผ่นดินไหวเกิน 7 ริกเตอร์เกิดขึ้นตรงแนวรอยเลื่อนบริเวณนั้นอาจทำให้เขื่อนพังน้ำจะท่วมเมืองในเวลาไม่นาน แต่ผมว่าคนกรุงเทพฯควรวิตกมากกว่าเพราะหากแผ่นดินไหวรุนแรงตรงจุดนั้นจริง กรุงเทพฯถล่มไปทั้งเมือง ตึกที่สูงกว่า 5 ชั้น ราบเป็นหน้ากลอง ตึกสูงกว่า 5 พันตึกในกรุงเทพไม่มีเหลือ" นายปรานต์ กล่าว
http://www.oknation.net/blog/home/user_data/file_data/201205/28/87137a80.jpg
ข้อมูลดังกล่าวสอดคล้องกับ รศ.ดร.เสรี ศุภราทิตย์ ผอ.ศูนย์พลังงานเพื่อสิ่งแวดล้อมอุทยานสิ่งแวดล้อมนานาชาติสิรินธร ยอมรับว่า หากเกิดแผ่นดินไหวรุนแรงในฝั่งทะเลอันดามันจะทำให้เกิดคลื่นยักษ์สึนามิสูงมากกว่า 10 เมตร พัดถล่มจังหวัดชายฝั่งทะเลอันดามันได้ภายใน 2-3 ชั่วโมง ซึ่งจะสร้างความเสียหายร้ายแรงเช่นเดียวกับปี 2547 หากเกิดบริเวณใกล้กับเกาะฟิลิปปินส์อาจทำให้เกิดคลื่นสูงประมาณ 1 เมตร พัดเข้าชายฝั่งทะเลอ่าวไทยซึ่งความเสียหายจะน้อยกว่าทางฝั่งอันดามัน แต่หากเกิดแผ่นดินไหวรุนแรงตรงแนวรอยเลื่อนสะแกง ซึ่งห่างจากกรุงเทพฯ ไม่กี่ร้อยกิโลเมตร กรุงเทพฯอาจจะถล่มทั้งเมืองซ้ำรอยแม็กซิโกซิตี้ได้
กว่าจะถึงวันนั้น...วันนี้ เราเตรียมพร้อมรับมือภัยพิบัติกันหรือยัง?
น่ากลัวจังเลย ขอบคุณสำหรับข้อมูลครับ
น่ากลัวนะครับถ้าเกิดขึ้นจริงๆ โลกกำลังถูกธรรมชาติเอาคืน
หน้า:
[1]