dream1995 โพสต์ 2011-2-5 16:00:07

หนุ่นโสดในฝัน

หนุ่มโสดในฝัน
บทที่ 1:
                ผมแต่งตัวดูดีสุดชีวิตเพื่อออกไปเที่ยวยามค่ำคืนหลังจากเลิกจากงานสัมมนาของบริษัท จุด ประสงค์ของการออกจากห้องนอนในโรงแรมที่แสนอบอุ่น มาเผชิญอากาศข้างนอกที่หนาวเหน็บ นอกจากเพื่อการพักผ่อนแล้ว ผมกำลังมองหาประสบการณ์ใหม่ๆให้ชีวิต กับหนุ่มดีๆสักคนที่ผมอาจจะมีโอกาสได้เจอและสานความสัมพันธ์ต่อด้วย
คืน นี้ผมเลือกที่จะมานั่งในร้านกาแฟ เพราะเมื่อวานผมไปดื่มกินในผับมาแล้ว เลยรู้สึกเบื่อที่จะไปอีก การไปผับคนเดียว มันอาจจะดูเป็นเรื่องธรรมดาสำหรับหนุ่มๆ แต่ผมกลับรู้สึกว่ามันเหงา อย่างบอกไม่ถูก
ผม อยู่ในภาวะของการขาดแฟนมากว่า 1 ปี คู่รักคนสุดท้ายเพิ่งโบกมือบ๊ายบายกับผมเมื่อปีที่ผ่านมา ก่อนที่จะถึงปีใหม่ด้วยซ้ำ ผมต้องฉลองความเป็นโสดโดยมีเพียงเพื่อนเท่านั้นที่อยู่รอบกาย ทำให้การเคาน์ดาวน์ของผมไม่เงียบเหงาจนเกินไป ในตอนนี้ ความสัมพันธ์ของผมกับอดีตคนรักไปไกลได้แค่คำว่า "เพื่อน" แม้ผมจะรู้ว่าเขายังคงรักและต้องการผมอยู่ แต่ผมกลับไม่ได้ต้องการเขาในฐานะคู่รักอีกแล้ว
มัน พูดยากนะ ผมอาจจะดูเหมือนคนใจดำ ซึ่งปฏิเสธความรักของเขาอย่างหมดเยื่อใย แต่ความรักอย่างเดียวมันไม่ทำให้เราไปกันได้หรอก มันต้องมีอย่างอื่นผสมผสานอยู่ด้วย นั่นก็คือ ความเข้าใจ การให้เกียรติ และการให้อิสรภาพ ถึงแม้ผมจะอยากมีใครสักคนที่ผมรักและอยากอยู่ใกล้ชิด แต่ขณะเดียวกันผมก็หวงแหนความเป็นส่วนตัวของผมมาก ผมไม่ชอบการผูกมัด หรือ การอยู่ด้วยกันตลอดเวลา ไม่ใช่ว่าพอผมหายไป ก็โทรตามหา คอยตามหวง มันเป็นอะไรที่แย่เกินกว่าจะรับได้สำหรับผม
                ถ้าจะถามว่า ผมรู้สึกแย่ไหม กับ "รัก" ที่ต้องเลิกราอยู่บ่อยๆ ผมขอตอบโดยไม่ต้องคิดว่า "เปล่าเลย" ผมอาจจะเสียใจอยู่บ้าง ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายทิ้ง หรือ เป็นฝ่ายถูกทิ้ง แต่คนที่เป็นเกย์ส่วนใหญ่จะรู้ดีอยู่แล้วว่า ความสัมพันธ์ของพวกเราไม่เคยจีรังยั่งยืน ความรักของเกย์เป็นรักที่ขาดพัฒนาการ เราไม่มีความผูกพันที่ลึกซึ้งเช่นชายรักหญิงทั่วไป ความเป็นจริงเหล่านี้เป็นเรื่องที่พวกเรายอมรับกันตั้งแต่แรก เวลาผมเลิกกับใคร ผมไม่เคยโกรธ หรือ เกลียดชังคนรักของผมสักคน ผมมักจะนึกถึงช่วงเวลาดีๆ ที่เราเคยอยู่ด้วยกัน อะไรก็ตามที่เป็นเรื่องแย่ๆ เป็นเรื่องที่ทำให้ไม่สบายใจ ผมมักจะไม่ค่อยเก็บมาคิดมาจำให้รกสมอง คนที่เลิกกันก็เป็นเพื่อนกันได้นี่นา คุณว่าจริงไหม

                ผม หยุดความคิดคำนึงของผม แล้วถอนสายตาจากภาพที่มองเห็นผ่านกระจกข้างหน้า เมื่อได้ยินเสียงพูดเป็นสำเนียงต่างชาติดังขึ้นข้างๆ พร้อมกับเสียงเก้าอี้ที่ถูกลากออกไป ผมหันไปมองก็เห็นหนุ่มฝรั่งตัวสูงใหญ่ ผมยาวสีทองรวบไว้อย่างลวกๆเป็นหางม้า ผมคงจะทำตาโตอ้าปากค้างกระมัง เพราะผมเห็นหนุ่มคนนั้น หัวเราะและยักคิ้วให้ผม เขาพูดอะไรบางอย่าง ผมมัวแต่อึ้งไม่ทันฟัง เขาเลยต้องพูดซ้ำ จับใจความได้ว่า ที่นั่งในร้านมันเต็ม เหลือเก้าอี้ว่างตรงโต๊ะผมพอดี เขาจะขอนั่งด้วยคนได้ไหม ผมรีบพยักหน้า แล้วก้มลงมองหนังสือที่วางอยู่บนโต๊ะ โชคดีที่ผมหยิบมันติดมือมาด้วย เลยทำให้ผมมีอะไรอย่างอื่นทำนอกจากนั่งเขิน

                ผม ไม่รู้จะบรรยายสถานการณ์ตอนนี้ของผมอย่างไรดี เอาเป็นว่าจะค่อยๆเรียบเรียงเพื่อให้คุณเห็นภาพได้อย่างชัดเจนก็แล้วกัน สมมุติว่า คุณกำลังนั่งเหม่อลอยคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย และหนึ่งในเรื่องที่คุณคิดคำนึงอยู่ก็คือ เรื่องของหนุ่มในฝันที่คุณอยากเจอมากที่สุด คุณกำลังจินตนาการถึงคนๆนั้นอยู่ เค้าโครงของหนุ่มคนนั้น เริ่มปรากฏเป็นรูปร่างชัดเจนในสมองของคุณ ชายหนุ่มต่างชาติผิวขาว หน้าตาหล่อเหลา ตัวใหญ่ ไหล่กว้าง คิ้วเข้ม ตาสีฟ้า ริมฝีปากน่าจูบ คุณค่อยๆเห็นรายละเอียดของเขามากขึ้น เขามีผมยาวสลวยสีทอง มีเรียวหนวดบางๆขึ้นเหนือริมฝีปาก เขาใส่เสื้อกล้าม และนุ่งกางเกงเลสีเปลือกไม้เท้าขาวๆที่มีเล็บ สะอาดๆอยู่ในรองเท้าแตะหูคีบนันยาง สะพายเป้สีทึมๆไว้ใส่ข้าวของกระจุกกระจิก คุณเห็นแม้กระทั่งขนอ่อนที่ขึ้นอยู่ตามแขนของเขา และแล้วภาพที่คุณคิด กลับปรากฏเป็นจริงข้างหน้า พร้อมรอยยิ้มที่เซ็กซี่สุดสุด ยิ้มที่ทำให้คุณเกือบละลายกลายเป็นอากาศธาตุอยู่ตรงนั้น และนั่นแหละทั้งหมดที่ผมเห็น มันทำให้ผมไม่กล้าที่จะหันไปสบตาเขาตรงๆ

                "ผมดูเหมือนตัวประหลาดหรือเปล่า หรือว่าผมแต่งกายไม่เหมาะสมกับที่นี่"
เขา ถามผมด้วยภาษาอังกฤษ ผมส่ายหน้า ไม่เข้าใจความหมายในสิ่งที่เขาพูด เขายิ้มอีก โอพระเจ้าช่วย จะให้ผมทำอะไรก็ยอม ถ้าหากรอยยิ้มนั้นจะมีให้ผมเพียงคนเดียว

                "ผม เห็นคุณมองผม ตั้งแต่ผมเดินอยู่ข้างนอกร้าน จนกระทั่งผมเข้ามาในร้าน คุณก็ยังมองผมผ่านกระจกตรงหน้า ผมก็เลยคิดว่า ผมอาจจะเป็นสิ่งแปลกปลอมของที่นี่"

                ไม่ จริง ผมไม่ได้มองคุณ ไม่...ไม่ใช่... หรือว่าจะใช่ ถ้างั้น คุณก็ไม่ใช่คนในจินตนาการของผมงั้นหรือ ผมเพียงแค่เห็นคุณแล้วเก็บเอามาคิดคำนึงงั้นใช่ไหม นี่ยิ่งน่าอายหนักเข้าไปใหญ่ ผมโต้ตอบกับตนเอง เมื่อรู้ว่าเจ้าสิ่งที่ผมคิดว่ามันเป็นเพียงแค่ภาพในฝัน มันเป็นภาพจริง และตัวตนที่แท้จริงกำลังจับผิดผมได้
                "เปล่า หรอกครับ มันเป็นไปตามธรรมชาติของความอยากรู้อยากเห็น เวลาเราเจอใครที่แตกต่างจากเรา เราก็อดมองไม่ได้ ผมหมายถึงคุณไม่เหมือนพวกเรา ในเรื่องเชื้อชาติและเผ่าพันธุ์น่ะ" ผมตอบเขาไปอย่างนั้น แต่ที่จริงอยากจะบอกว่า "ก็ คุณน่ะ... น่าสนใจน้อยเสียเมื่อไหร่ หล่อเสียยิ่งกว่านายแบบ คนที่เห็นแล้วเมินก็น่าจะไปเช็คประสาทการรับรู้เรื่องความงามได้แล้วมั๊ง"

                เขา หัวเราะกับคำพูดของผม ให้ตายสิ คราวนี้ผมยอมแลกทุกอย่างเลย ถ้าเขาจะหัวเราะแบบนี้กับผมคนเดียวเท่านั้น คนอะไร หัวเราะทั้งปากและตา เวลาที่เขาอยู่ในอารมณ์นี้ โลกสดใสตามเขาไปด้วย

                "แสดง ว่า คนไทยเป็นคนอยากรู้อยากเห็นน่ะสิ เพราะผมโดนมองตลอดเวลาเลย เวลาที่ถูกมองมากๆ ผมจะทำอะไรไม่ค่อยถูก ที่บ้านเมืองผม ไม่มีใครมองถึงขนาดนั้น แต่ที่นี่มองแบบหลายอารมณ์ความรู้สึกมากเลย ผมไม่รู้จะอธิบายอย่างไร บางทีก็รู้สึกเขิน แล้วก็ไม่เป็นส่วนตัวนะ"
เขา เล่าด้วยท่าทีไม่จริงไม่จังนัก ออกจะขำๆกับเหตุการณ์ที่เจ้าตัวประสบมาเสียมากกว่า ผมฟังเขาเล่าอย่างเพลิดเพลิน สำเนียงการพูด และน้ำเสียงของเขาช่างดูดีเหลือเกิน มันดูอบอุ่น และก็ดูขี้เล่น สนุกสนานอยู่ในที เฮ้อ.......... นี่ผมเป็นอะไรไปนะ ผมไม่สามารถจดจ่อกับหนังสือที่อยู่ตรงหน้าได้ เขาเองก็เช่นกัน ผมเห็นเขาถือพ๊อคเก๊ตบุคส์มาเล่มหนึ่ง แต่ไม่ได้เปิดอ่านสักหน้า

                เขา ชวนผมพูดคุยต่อ ไม่ได้สังเกตว่าผมกำลังทำอะไร เขาถามผมเกี่ยวกับสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจในเมืองไทย เขาเคยไปเที่ยวทางเหนือ และ อีสานมาแล้ว 2-3 ครั้ง ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่เขาลงใต้ เขาหยอดคำชมว่าเมืองไทยมีสถานที่ท่องเที่ยวสวยงามหลายแห่ง ผู้คนอัธยาศัยไมตรีดี เขาได้รับความช่วยเหลือจากคนไทยหลายคน และก็ถูกเอารัดเอาเปรียบจากคนไทยหลายคนเหมือนกัน
เขาเข้ามาทำงานใน เมืองไทย โดยทำงานเป็นครูสอนภาษาอังกฤษที่สถาบันสอนภาษาแห่งหนึ่ง และยังรับงานเป็นนายแบบและพรีเซ็นเตอร์โฆษณาสินค้าอีกด้วย (ว่าแล้วไหมล่ะ หล่อซะขนาดนี้ จะหลุดรอดสายตาพวกโมเดลลิ่งไปได้อย่างไร) เราคุยกันอย่างออกรส เขาอายุ 25ปี(อ่อนกว่าผมตั้ง 5 ปีแน่ะ) แต่เขาเป็นคนที่มีความคิดอ่านเป็นผู้ใหญ่ มองโลกในแง่ดีอย่างน่าทึ่ง ผมให้คะแนนความหล่อของเขาที่ 15 เต็ม 10 และจากการพูดคุยที่แสนฉลาด มีอารมณ์ขันของเขาอีก 20 คะแนน

                เรา ลาจากกันในค่ำคืนนั้นด้วยความเสียดายอย่างแสนสุดซึ้งของผม ผมอยากจะรู้จักเขาให้มากกว่านี้ แต่ร่างกายของผมกลับไม่เป็นใจ โชคร้ายที่ผมเกิดง่วงและหาวติดๆกันหลายครั้งให้เขาเห็น จนทำให้เขาเกิดเข้าใจผิดคิดว่าผมไม่อยากคุยกับเขา หนุ่มหล่อออกตัวหลายครั้งว่าเขาเป็นนักสนทนาที่ไม่ดีนัก เพราะคนที่คุยกับเขามักจะลงเอยด้วยการอยากหลับทุกที แต่มันไม่จริงเลย ผมเพลียจากการประชุมที่ยาวนานต่างหาก ผลจากการประชุมดึกๆหลายวัน ทำให้ร่างกายผมอ่อนล้าจนฝืนไม่ไหว ผมเศร้าใจเป็นที่สุดที่กำลังจะสูญเสียโอกาสงามๆในการได้คุยกับชายหนุ่มสุด เท่ห์ พรุ่งนี้ผมจะกลับกรุงเทพแล้ว แต่เขาจะอยู่ต่อสักพักก่อนที่จะมาเริ่มงานสอนในเทอมต่อไป เราต่างแลกเบอร์โทรศัพท์กัน เขาสัญญาว่าจะโทรมาหาผม และผมก็ได้แต่แอบหวังว่า เขาจะรักษาสัญญา(อย่างเคร่งครัด)

บทที่ 2
                ผม เกือบหัวทิ่ม เมื่อมีแรงจากมือหนักๆฟาดเข้าที่หัวไหล่ของผม ในขณะที่ผมกำลังเพลิดเพลินกับการวินโดว์ช๊อปปิ้งอยู่ อีกตั้งหลายวันกว่าจะสิ้นเดือน ผมไม่มีเงินมากเพียงพอที่จะฟุ่มเฟือยได้ แต่ความเป็นนักจับจ่ายมือเติบที่มันฝังรากหยั่งลึกในตัวผมมาเนิ่นนาน มันทำให้ผมยอมตามใจตัวเองด้วยการช๊อปด้วยสายตาก็ยังดี
ผมกำลังจด จ่ออยู่กับเจ้าครีมบำรุงผิวยี่ห้อใหม่ ซึ่งบรรยายสรรพคุณว่าช่วยลดริ้วรอยเ[อย่าโพสคำหยาบ]่ยวย่น และทำให้ใบหน้าสดใสปราศจากริ้วรอยหมองคล้ำ ราคาของมันแพงเหลือรับ เพราะเป็นเครื่องสำอางจากเมืองนอก จากคุณสมบัติและ[อย่าโพสคำหยาบ]บห่อที่สวยงาม เกือบจะทำให้ผมฝ่าฟืนกฎเกณฑ์การดำรงชีวิตในช่วงถังแตก ด้วยการควักเงินซื้อมันมา หากผมไม่ถูกขัดจังหวะด้วยเสียง "ป๊าบ" อย่างแรงนั้นก่อน
ผม หันไปมองคนที่ทำร้ายผม ความงุนงงและโมโหถูกแทนที่ด้วยความดีใจ เมื่อเห็นยิ้มกว้างที่ก่อกวนใจผมมาตลอดตั้งแต่กลับจากใต้ลอยอยู่ตรงหน้า "จัสติน"คือชื่อของเขา
                " สวัสดีครับคุณกบ"
เขาทักผมด้วยภาษาไทยแปร่งๆ แต่ชัดแจ๋ว คงจะไปเรียนมาจากที่ไหนสักแห่งแน่
"มาเดินดูเครื่องสำอางไปฝากแฟนหรือครับ"
ประโยคต่อมาเล่นเอาผมอึ้ง นี่เขาพูดจริงหรือพูดเล่น อย่าบอกนะว่าเขาไม่รู้ว่าผมเป็นเกย์

"เปล่าครับ ผมดูไว้สำหรับใช้เอง"
ผมตอบ และคอยดูว่าเขาจะมีปฏิกิริยาอย่างไร เขาเลิกคิ้วมองผม แล้วถามว่า

                "คุณ ก็ใช้เหมือนกันหรือ...... ผมน่ะต้องใช้เป็นประจำเลยล่ะ พวกครีมทั้งหลาย แรกๆก็งงเหมือนกันนะว่าต้องใช้อะไรบ้างก่อนหลัง ผมไม่เคยใช้มาก่อน แต่พี่ๆกระเทยช่างแต่งหน้าแนะนำว่าผมต้องใช้ เพราะมันเกี่ยวข้องกับอาชีพที่ผมทำ"
จัสตินพูดเป็นภาษาอังกฤษกับผม คงจะยังไม่คล่องภาษาไทยพอ

                "เดี๋ยวนี้ผู้ชายก็หันมาใช้เครื่องสำอางกันเยอะนะครับ ผมคิดว่าทุกคนมีสิทธิจะดูแลร่างกายของตนให้ดูดีอยู่เสมอ ไม่ว่าเพศหญิงหรือเพศชาย"
ผมตอบเขาเหมือนตอกย้ำความคิดให้กับตนเองที่ว่า ผู้ชายก็มีสิทธิดูแลเรื่องความงามของผิวพรรณตนเองได้เช่นกัน

                "ใช่ ครับ เดี๋ยวนี้ผู้ชายเราแต่งตัวกันไม่แพ้ผู้หญิงเลย ผมทำงานตรงนี้ ผมรู้ดี เพราะผมเป็นพรีเซ็นเตอร์ และเดินแฟชั่นให้กับเสื้อผ้าบ่อยมาก เอ้อ.......... เดี๋ยวคุณกบจะไปไหนครับ"

                "ผมว่าจะไปออกกำลังกายเสียหน่อย ไปภูเก็ตคราวนั้น ผมเจริญอาหารมากไป รอบเอวเลยขยายมาสัก 2 นิ้วเห็นจะได้"

ผม ไม่ได้พูดเว่อร์ แต่เป็นอย่างนั้นจริงๆ ผมรู้สึกว่าอ้วน เพราะกางเกงที่ใส่มันเริ่มคับ มันทำให้ผมกังวลใจ และไม่มั่นใจ กลัวว่าพุงผมมันจะปลิ้นออกมาจนเกินงามแต่ก็นับว่า พระเจ้ายังเข้าข้างผม ที่ทำให้ผมเกิดมาตัวสูง แข้งขายาว ไหล่กว้าง ความสนใจที่คนอื่นมองมาจึงไปอยู่ที่จุดอื่นหมด แต่ผมก็ไม่ไว้ใจตัวเอง เจ้าพุงนี่มันเคยทำให้ผมขายหน้ามาแล้ว เมื่อมันปลิ้นจนซิบแตก และจำเพาะเกิดกับเดทครั้งแรกกับหนุ่มคนแรกของผมอีกด้วย

"แล้วคุณล่ะ"
ผม ถามเขา ในใจก็นึกหวังว่า เขาน่าจะว่างสักสองสามชั่วโมง ผมจะได้หาทางชวนเขาไปทานอะไรสักหน่อย ผมไม่รีบร้อน ฟิตเนสเดี๋ยวค่อยไปก็ได้ คำตอบของเขาเล่นเอาใจผมห่อเ[อย่าโพสคำหยาบ]่ยว

                " ผมมีสอนในอีก 15 นาทีนี้นะครับ ผมสอนที่ตึกนี้"
เขา บอก ผมเพิ่งนึกได้ ว่าห้างสรรพสินค้าแห่งนี้มีโรงเรียนสอนภาษาอยู่ข้างบน และเขาก็ดูเหมือนจะเคยบอกผมครั้งหนึ่งแล้วที่ภูเก็ตว่าเขาสอนที่สถาบันแห่ง นี้ ทำไมผมถึงได้ลืมมันนะ แล้วห้างฯก็ใกล้กับสถานออกกำลังกายที่ผมไปประจำด้วย ผมนี่ช่างบื้อจริง ปล่อยเวลาให้ผ่านไปตั้งสองอาทิตย์กับการจมอยู่กับความคิดถึงเขา เฝ้าแต่รอคอยให้เขาโทรมาหา ทั้งที่เขาก็อยู่ใกล้ผมแค่เอื้อมนี้เอง

                "ผม สอนจนถึง 3 ทุ่มนะครับ เอ้อหลังจากนั้นผมจะมีเวลาว่างประมาณ 2 ชั่วโมงก่อนจะกลับบ้าน ว่าจะไปนั่งที่ผับไอริสสักหน่อย คุณอยากไปด้วยไหมครับ"

เขา ชวนผมใช่ไหมนี่ หัวใจผมพองโตคับอก แต่แหม ผับไอริสหรือ ผมเคยไปที่นั่น 2-3 ครั้ง ไม่ค่อยชอบสักเท่าไหร่ ผมชอบไปเต้นรำ หรือ ไม่ก็นั่งเงียบๆอ่านหนังสือในร้านกาแฟมากกว่าที่จะไปนั่งฟังเพลงในร้านเหล้า แต่มันอาจจะดีก็ได้มั้ง เพราะครั้งนี้ ผมมีคนที่ถูกใจสุดๆ นั่งเป็นเพื่อน ผมตกปากรับคำโดยไม่ลังเล และให้เหตุผลกับเขาว่า ผมก็ไม่มีอะไรทำหลังจากนั้นเหมือนกัน
อันที่จริงผมโกหก พรุ่งนี้ผมมีนัดประชุมกับเจ้านายตอน 8 โมงเช้า และผมถูกตักเตือนเรื่องการไปสายบ่อยครั้ง ครั้งนี้ผมคงถูกเล่นงานแน่ หากผมไปสายอีก อย่างไรก็ตาม ผมเลือกทำตามหัวใจตนเอง จะพลาดโอกาสนี้ไปได้อย่างไรล่ะ ผมไม่ใช่คนโง่นี่ที่จะทิ้งการเดท (ใช่หรือเปล่านะ) กับหนุ่มหล่อขนาดนี้ แต่ผมก็ไม่ใช่คนไร้ความรับผิดชอบ ผมแอบให้สัญญากับตนเองว่า ผมจะไม่นอนคืนนี้เพื่อที่จะได้ไม่ไปประชุมสาย ผมพยายามเต็มที่ที่จะรักษาสมดุลของชีวิตส่วนตัวและการงาน
            ผม แอบหัวเสียเมื่อเดทของผมกับหนุ่มหล่อไม่เป็นไปตามที่ผมคาดคิด จัสตินไม่ใช่คนเลวร้าย เขาเป็นคนที่ทำให้ชีวิตในยามค่ำคืนเป็นช่วงเวลาที่สนุกสนานด้วยซ้ำ หากว่าเขาจะไม่พาแฟนสาวนางแบบสวยเปรี้ยวมาแนะนำตัวกับผม(ผมรู้แล้วว่าใครเป็นคนสอนภาษาไทยให้กับเขา) เธอชื่อมะนาว ซึ่งก็จี๊ดจ๊าดสมชื่อ
แม่ เจ้าประคุณเลือกอาภรณ์น้อยชิ้นที่สุดเท่าที่จะหาได้กระมังมาปกปิดร่างกาย แค่เธอเดินเข้าผับมา เธอก็เป็นศูนย์รวมของสายตาทุกคู่แล้ว หญิงชายชาวไทยและเทศมองมาที่เธอเป็นตาเดียว ผมรู้สึกขวางหูขวางตานัก
เจ้า หล่อนกล้าใส่มาได้อย่างไรในสถานที่ที่แอร์เย็นฉ่ำขนาดนี้ พอนั่งสักพักก็บ่นหนาว แล้วก็ใช้สิทธิความเป็นแฟนเอาอ้อมแขนของจัสตินเป็นเครื่องป้องกันทำให้ตน เองอบอุ่น ผมไม่อยากจะเชื่อเลย อ้อมกอดนั้น ผมจองอยู่นะ

                จัส ตินมีเรื่องมากมายมาพูดคุย ผมรู้สึกทึ่งที่เขาสามารถพูดคุยได้หลายเรื่องตั้งแต่เรื่องการเมือง เศรษฐกิจ กีฬา และแวดวงบันเทิง ผมคิดว่ามันน่าจะเกิดมาจากการอ่าน เขาอ่านหนังสือหลายเล่มมาก บางเล่มก็เป็นเรื่องที่ผมโปรดปราน เรามีหนังสือที่ชอบหลายเล่มเหมือนกัน
ผมจินตนาการภาพหนุ่มหล่อคน นี้ นั่งอ่านหนังสือเพียงลำพัง ในห้องนอน ในห้องสมุด ในสวนสาธารณะ โดยมีแว่นสายตาสุดเท่ห์หนีบอยู่ที่ดั้งจมูกโด่งของเขา เวลาที่เป็นส่วนตัวแบบนี้เขาจะแต่งกายแบบไหนกันนะ ผมเจอเขาครั้งแรกในมาดสุดเซอร์ เห็นอีกทีตอนเย็นในชุดเสื้อเชิ้ตผูกไทด์ กางเกงสแล็ค ซึ่งก็ทำให้เขาดูเท่ห์ไปอีกแบบ
ตอนนี้เขาอยู่ในชุด เสื้อยืดตัวโคร่งและกางเกงขาสั้นแค่เข่า มีหมวกไหมพรมที่ศีรษะ อืมม์................. แต่งฮิบฮอบในผับไอริสซึ่งวันนี้เล่นเพลงบีทเทิ่ลเนี่ยนะ!!! แปลก?? ไม่เข้ากันกับสถานที่ แต่ก็น่ารักแฮะ ผมยิ้มกรุ้มกริ่ม ขณะมีภาพเขาอยู่ในหัว

                แม้ จะรู้สึกเหมือนมีก้างขวางคอ ทำให้ผมกับจัสตินไม่ได้อยู่กันตามลำพัง แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีความสุข จัสตินผูกขาดการพูดคุยกับผมมากกว่าแฟนของเขาเสียอีก ทั้งนี้เพราะคุณมะนาวสาวเปรี้ยว เอาแต่ออดอ้อนให้จัสตินเอาใจ
ผม แอบเห็นท่าทีเบื่อๆของเขา ยามที่ต้องทำตามที่คนรักร้องขอ เวลาที่สาวเจ้าออกความคิดเห็น ก็รู้ได้ทันทีว่ามันสมองของเจ้าหล่อนเล็กกว่าทรวงอกที่เจ้าตัวพยายามเปิด เผยอย่างจงใจเสียอีก ผมกลายเป็นนักสังเกตการณ์ความสัมพันธ์ระหว่างคู่รักไปโดยไม่รู้ตัว แล้วก็รู้สึกละอายใจที่บางครั้งผมก็แอบจับได้ว่าตนเองกำลังแช่งให้ความ สัมพันธ์ของคนคู่นี้พังทลาย

                ดึก แล้ว ผมไม่ยอมหลับตามที่ผมตั้งใจไว้ ผมเปิดคอมพิวเตอร์ ตั้งใจจะแช๊ตพูดคุยกับเพื่อนเกย์ทางอินเตอร์เนต อันเป็นกิจวัตรที่ผมทำมาตลอดในช่วง 1 ปี หลังเลิกรากับแฟน แต่วันนี้ผมกลับไม่มีอารมณ์ใจผมลอยไปถึงพ่อหนุ่มผม ทองตาสีฟ้า คนที่ทำให้ผมหวั่นไหวยามอยู่ใกล้ ผมหลับตาลง อยากจะขังเขาไว้เฉพาะในความคิดคำนึงของผม ผมกลัวว่า ถ้าผมลืมตาขึ้น ผมจะสูญเสียความรู้สึกนึกคิดถึงเขาไป
ผมไม่สามารถได้ชิดใกล้เขาใน โลกของความเป็นจริง เพราะเขามีแฟนแล้ว ที่สำคัญแฟนของเขาเป็นผู้หญิง ซึ่งก็แบ่งแยกรสนิยมทางเพศของเขาชัดเจน เกย์ที่ไปหลงรักผู้ชายแท้ๆอย่างผมมีวิธีเดียวเท่านั้น คือการทำใจ ผมทำได้แค่จินตนาการถึงเขาเท่านั้นซึ่งผมจะสมมุติสถานการณ์อย่างไรก็ได้ และมีเฉพาะในห้วงคำนึงของผมเท่านั้น ที่หนุ่มหล่ออย่างเขาจะคิดถึงผมเช่นเดียวกัน
ตอนที่ 3 : เจอกันโดยบังเอิญอีกแล้ว แต่คราวนี้ได้ดูหนังกันสองต่อสองด้วยล่ะ
บทที่ 3
                ผม รอดจากการถูกตำหนิเรื่องการมาสายไปได้อย่างหวุดหวิด เรื่องของเรื่องคือ ผมดันบังเอิญเผลอหลับไปทั้งๆที่เปิดเครื่องคอมค้างไว้ ตื่นมาอีกทีเกือบ 7 โมง ผมกระโจนเข้าห้องน้ำ และจัดการภารกิจอย่างเร่งด่วน และวิ่งออกมาเรียกแท็กซี่ ผมถึงที่ทำงาน 8 โมงตอนห้องประชุมเปิดพอดี
แต่ ที่แย่ก็คือ ผมฟังการประชุมรู้เรื่องบ้างไม่รู้เรื่องบ้าง เพราะผมแอบหลับในบางช่วง โชคดีที่การประชุมในวันนั้นเป็นการแถลงผลงานของบริษัทรวมถึงเรื่องปลีกย่อย ทั่วไปที่ไม่ค่อยเกี่ยวข้องกับงานของผมเท่าไหร่นัก ผมเลยรอดตัวไป แต่หัวหน้าก็แอบเขม่นนิดหน่อย แต่ทำอะไรผมไม่ได้หรอกครับ เพราะผมไม่ได้ทำผิดอะไรนี่

                ผม ทำงานอย่างเซ็งๆไปจนถึงตอนเย็น และเมื่อรู้สึกว่าพลังในตัวผมกำลังจะหมดไป ผมจึงต้องหาทางชาร์ตไฟให้ตนเองสักหน่อย ผมเลือกการดูหนังเป็นทางเลือกในการปลดปล่อยความเครียด การที่เราเข้าไปนั่งดูหนังสัก 2 ชั่วโมง เข้าไปอยู่ในจินตนาการที่ผู้กำกับภาพยนตร์สรรสร้าง การได้ดูเรื่องราวของผู้คนผ่านการบอกเล่าทางการแสดงอันยอดเยี่ยมของดารา มันทำให้ผมรู้สึกดีขึ้น

                ผมเลือกได้หนังฝรั่งเศสเรื่องหนึ่ง ชื่อภาษาอังกฤษว่า "Love me if you dare" ชื่อ ไทยผมไม่ได้จำ ผมเลิกสนใจมานานแล้วกับการตั้งชื่อหนังฝรั่งของคนไทย เพราะบางครั้งชื่อกับหนังไม่เคยสัมพันธ์กัน และมักจะตั้งชื่อหนังอ้างอิงไปตามตัวแสดงเช่น ถ้าเป็นจูเลีย โรเบิร์ต หนังของเธอจะต้องบานฉ่ำทุกเรื่อง
หรือ ถ้าเป็นท่านผู้ว่าการรัฐอาร์โนลด์ ท่านก็ยังคงเป็นคนเหล็กอยู่วันยังค่ำไม่ว่าท่านจะเปลี่ยนบทบาทเป็นผู้ชาย อุ้มท้อง เป็น ตำรวจที่ปลอมเป็นครูโรงเรียนอนุบาล หรือเป็นซานต้าของลูกๆก็ตาม ไม่รู้คิดกันได้ยังไง คนไทยไม่ได้โง่อย่างที่ท่านคิดนะครับ
                พอ ได้ตั๋วผมก็ไปหาอะไรทานก่อนหนังเข้า ยังมีเวลาเหลือประมาณ 45 นาที ผมคงทานอะไรหนักๆได้สบายๆ ผมเดินเข้าร้านพิซซ่าที่อยู่ข้างโรงหนังลิโด แล้วสั่งปีกไก่มา20 ชิ้น ช่วงนี้พุงผมยังหนาอยู่ (ถึงแม้จะไม่มีใครสังเกต แต่ผมรู้ดี เพราะผมจับมันเป็นประจำ) ผมเลยงดกินพวกแป้งและของหวานทุกชนิด

ขณะ ที่ผมกำลังกินอย่างไม่สนใจใครอยู่นั้น เก้าอี้ข้างๆผมก็ถูกเลื่อนออก แล้วร่างกายสูงใหญ่ก็ก้าวเข้ามานั่ง ผมใจเต้นไม่เป็นส่ำ อะไรกันเนี่ย ผมแทบไม่เชื่อสายตา จัสติน นั่งหน้าเปื้อนยิ้มอยู่ตรงหน้า แล้วเขาก็มาคนเดียวด้วย เขาอยู่ในชุดเสื้อยืดสีขาว หน้าตาเกลี้ยงเกลา หล่อ และเซ็กซี่ชะมัดเลย โอย ผมอยากจะตาย ได้ยินเสียงตะโกน ได้เห็นภาพตัวเองกระโดดโลดเต้นอยู่ในใจ อย่าบอกนะว่านี่เป็นพรหมลิขิต หลายวันมานี้ผมเจอเขาถี่เหลือเกิน

                "ผมเห็นคุณเดินออกมาจากโรงหนัง คุณดูเสร็จแล้ว หรือเพิ่งซื้อตั๋ว"
เขาถาม คราวนี้พูดเป็นภาษาไทยแม้จะเพี้ยนๆไปหน่อย แต่ก็มีความก้าวหน้าขึ้นแยะ ผมคิด

                "อย่างหลัง...... ผมมีเวลานิดหน่อยก็เลยมาทานข้าว ผมไม่อยากให้ท้องมันร้องระงมในขณะที่ผมกำลังเพลินกับภาพบนจอ กลัวไม่สนุกง่ะ"
ผม ตอบเขาเป็นภาษาไทยเหมือนกัน เขาพยายามฟังอย่างตั้งใจ ผมเดาเอาว่าเขาคงจะพยายามทำตัวให้ชินกับภาษา และพยายามหาทางตอบกลับมาเป็นภาษาไทยเช่นกัน แต่ผมอยากจะคิดไปทางตรงข้ามว่าเขาให้ความสนใจในตัวผม (ก็คิดแบบนี้มันสุขดีนี่นา)

          "แล้วคุณล่ะ มาทำอะไรที่นี่" ผมถามกลับ

                "มาดูหนังครับ"
เขา บอกชื่อหนังกับผม โอยไม่อยากเชื่อเลย เราดูหนังเรื่องเดียวกัน รอบเดียวกัน และให้ตายสิ ตั๋วหนังที่เขาถือมา เป็นเลขที่นั่งแถวเดียวกับผมเลย แต่ห่างไปสามที่เอง เขาซื้อใบเดียวด้วย เขาเห็นผมมองด้วยท่าทางเซอร์ไพรซ์สุดขีด เหมือนเขาจะเริ่มรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น จัสตินเอามือตบหน้าผากตัวเอง และหงายหน้าหัวเราะ พูดว่า

          "โลกกลมจริงแฮะ"
เราทั้งคู่เลยหัวเราะให้กับกับความบังเอิญเหลือเชื่อนี้

                "ผม ชอบดูหนังยุโรปมากกว่าหนังอเมริกัน ผมว่าหนังยุโรปจะเป็นหนังที่ให้ทางด้านอารมณ์ความรู้สึก แต่หนังอเมริกันดูสมบูรณ์แบบเกินไป คุณชอบดูหนังประเภทไหนครับ"
เขา ถามผม แต่ผมคิดว่าเขาคงรู้คำตอบจากนัยน์ตาของผมแล้ว อะไรมันจะเหมาะเจาะลงตัวกันขนาดนี้นะ นี่ผมทำอะไรผิดไปหรือเปล่า สวรรค์จึงลงโทษผม ให้ได้เจอกับคนที่สมบูรณ์แบบทุกสิ่งทุกอย่าง คนที่ผมค้นหามานาน คนที่ชอบอะไรเหมือนกัน ในขณะที่พระเจ้าให้ความเป็นชายแท้กับเขา แต่กลับปล่อยให้ผมเป็นเกย์

                เขา สั่งพิซซ่าถาดใหญ่มากิน ผมจ้องมองเขาที่เขมือบพิซซ่าลงกระเพาะด้วยความหิวกระหาย และพยายามมองหาว่าเจ้าพิซซ่าทั้งหมดนั้นลงไปซุกซ่อนที่ตรงไหนในร่างกายของ เขา เพราะเนื้อตัวของเขาเต็มไปด้วยมัดกล้ามและปราศจากไขมัน เขาเชื้อเชิญให้ผมทานด้วยกัน แต่ผมปฏิเสธ และนั่งมองเขาส่งเจ้าพิซซ่าชิ้นสุดท้ายเข้าปาก
เขาทำเวลาอย่างรวด เร็ว แม้จะมีการพูดคุยระหว่างนั้นแทรกก็ตาม เขาเห็นอาการเหวอของผมก็เลยหัวเราะ รีบอธิบายว่า เขากินเร็วติดเป็นนิสัย เพราะตอนอยู่ที่บ้านเขา เขามีกิจกรรมทำหลายอย่าง ทั้งเรียน ทั้งเล่นกีฬา และทำงานหารายได้พิเศษ เขาเกิดมาในฐานะครอบครัวมีอันจะกิน แต่เขาอยากจะทำอะไรด้วยตนเองมากกว่าจะพึ่งพ่อแม่
การ ที่เขาทำอะไรมากมาย ทำให้เขาต้องใช้เวลาในการทำอย่างรวดเร็ว เขาบอกผมว่าในช่วงแรกๆที่เขาอยู่เมืองไทย ห็นอะไรดำเนินไปอย่างช้าๆไม่รีบเร่ง เขาก็อึดอัดคับข้องใจ แต่เมื่อได้เรียนรู้วัฒนธรรมของคนที่นี่ ก็เลยรู้ว่า เราไม่มีความรีบร้อนอะไรขนาดนั้น คนไทยเป็นคนที่ทำอะไรตามสบาย จิตใจเยือกเย็น และมีเมตตากรุณา ความอ่อนช้อย การอ่อนน้อมถ่อมตน แทรกอยู่ในวิถีชีวิตคนไทย ซึ่งทำให้คนไทยเป็นคนที่น่ารัก และอัธยาศัยไมตรีดี

                เรา คุยกันเรื่อยเปื่อยจนได้เวลาหนังเข้า ผมกับเขาแยกกันนั่งตามเลขที่ในตั๋ว เราสองคนเลือกที่นั่งตรงที่มีที่ช่องว่างระหว่างทางเดิน เนื่องจากเราสองคน ขายาวด้วยกันทั้งคู่ การเลือกที่นั่งแบบนี้จะทำให้เหยียดขาได้สบายตัวมากกว่า หลังจากหนังฉายไปได้สัก 10 นาที และไม่มีใครเดินเข้าโรงแล้ว
จัส ตินก็หอบสัมภาระเดินมานั่งข้างผม เขาสบตาผมที่หันมามองและยิ้มให้ ก่อนจะหันไปสนใจกับภาพเคลื่อนไหวตรงหน้า เราไม่คุยอะไรกันจนกระทั่งหนังจบ มีแต่ผมที่ลอบมองสีหน้าด้านข้างของเขา เป็นระยะเมื่อหนังถึงจุดที่ผมประทับใจ ผมแค่อยากจะดูว่า เขาจะทำสีหน้าอย่างไร เขาจะคิดเหมือนผมบ้างไหมแต่หน้าของเขามีเพียงแค่รอยยิ้มระบายบางๆเท่านั้น

                "ผม ว่าเป็นหนังที่ดีนะ แต่บางครั้งผมก็ไม่ค่อยเข้าใจ ทำไมคนสองคนถึงปล่อยให้เกมส์เด็กๆแบบนั้น ครอบงำความคิดและความรู้สึกจนเกิดเป็นเรื่องราวเสียหาย"
ผมพูดกับเขาหลังจากออกมาจากโรงหนังด้วยกัน

                "อืม ม์ ผมว่า เรื่องของความรัก มันบอกไม่ได้หรอกนะว่าต้องเป็นอย่างไรถึงจะสมบูรณ์แบบ สองคนนั้นผูกพันกันตั้งแต่เด็กๆ โดยที่มีเกมส์แผลงๆเป็นตัวเชื่อม เขาทั้งคู่เริ่มเสพติดเกมส์นั้น เพราะมันท้าทาย มันเป็นเหมือนชัยชนะที่มีเหนือฝ่ายตรงข้ามและเหนือตัวเอง ในการปลดปล่อยตัวตนออกจากพันธนาการทางกฎเกณฑ์ต่างๆ และเมื่อคนสองคนที่ชอบความท้าทายเหมือนๆกัน เกิดมารักกันเข้า มันจึงพาทั้งคู่ไปสู่บทเรียนอันเจ็บปวดที่สองคนต้องเผชิญ แม้จะเตรียมตัวเตรียมใจแล้วก็ตาม"

เขา ตอบกลับมาด้วยความคิดของเขา เราสองคนแลกเปลี่ยนความคิด วิพากษ์วิจารณ์กันในแง่มุมต่างๆที่ซ่อนไว้ในภาพยนตร์ ผมรู้สึกมีความสุขที่ได้ดูหนังและพูดคุยกับเขา ผมอยากให้เกิดปาฏิหาริย์แบบนี้ขึ้นอีก แต่ไม่รู้ว่าสวรรค์จะฟังผมไหม

จัสตินขอตัวกลับไปรับมะนาวที่สตูดิโอถ่ายแฟชั่นส่วนผมกลับไปฟิตเนส เพื่อออกกำลังกาย เราแยกทางกันตรงนั้น จัสตินไปพร้อมกับหัวใจของผม ส่วนผมกลับไปแต่ตัว
บทที่ 4
                หลาย วันมานี้งานผมยุ่งมากทำให้ต้องกลับบ้านดึกทุกคืน เพราะต้องทำโปรเจคส์ที่จะนำเสนอเจ้านายให้เสร็จตามกำหนดเวลา การที่ต้องโหมงานหนักทำให้ผมหมดแรง ไม่มีกะจิตกะใจจะไปฟิตเนสหรือทำกิจกรรมใดๆผมลืมแม้กระทั่งจัสตินซึ่งตามปกติเขาจะอยู่ในใจผมเสมอ กลับถึงบ้าน หัวถึงหมอน ก็นอนหลับเป็นตาย

เพื่อนๆ ที่ฟิตเนสเห็นผมหายหน้าไปนาน ก็จะคอยโทรศัพท์หาผมอยู่ตลอดเวลา ในช่วงที่ผมไม่ได้ไปออกกำลังกาย เพื่อนๆบอกว่ามีหนุ่มหล่อมาเป็นสมาชิกใหม่หลายคนมีทั้งคนไทยและคนต่างชาติ ผมเคยนึกเบื่อฟิตเนสแห่งนี้ เนื่องจากรับสมาชิกเข้ามาเป็นจำนวนมากทำ ให้บางครั้งปริมาณเครื่องเล่น และห้องออกกำลังกายไม่เพียงพอต่อจำนวนคนที่เข้ามาใช้บริการ ช่วงหลังๆผมจะเข้าตอนดึกซะเป็นส่วนใหญ่ เพราะคนจะน้อย ไม่ต้องเข้าคิวคอยลิฟท์ แย่งเครื่องเล่น แย่งตู้ล๊อกเกอร์ หรือห้องน้ำกับใคร ผมจะมีเวลาออกกำลังกายไปจนกว่าคลับจะปิดตอนตีหนึ่ง

                แต่ ในความพลุกพล่านของจำนวนสมาชิกที่นับวันจะเพิ่มมากขึ้น ก็มีส่วนดีตรงที่ มีหนุ่มหล่อๆ นายแบบ ดารา หรือพวกนักธุรกิจคนทำงาน เข้ามาใช้บริการเป็นจำนวนมาก(ซึ่ง 99 % ของผู้ชายที่เป็นสมาชิกที่ฟิตเนสแห่งนี้เป็นเกย์) ผมกับเพื่อนๆจะใช้เวลาในชั้นของเวจเทรนนิ่งเสียเป็นส่วนใหญ่ ทั้งบริหารร่างกายและบริหารสายตาอย่างที่บอกตั้งแต่แรก

                วันนี้ ผมสามารถทำงานได้เสร็จลุล่วงตามกำหนดเวลา ดังนั้นผมจึงสามารถที่จะไปยิม หลังจากที่ไม่ได้ไปเสียนาน ผมไม่ได้โทรบอกเพื่อนๆ เพราะกะจะเข้าไปยกเวจสักหนึ่งชั่วโมงก่อน เมื่อไหร่ก็ตามที่อยู่กับเพื่อน เวลาของผมจะหมดไปกับการพูดคุยและการกินเสียมากกว่า ในช่วงเวลาที่กล้ามเนื้อหดหาย และพุงขยายอย่างนี้ ไม่คบหาเพื่อนจะดีที่สุด

                ผม กำลังนอนออกกำลังกายเพื่อบริหารกล้ามเนื้อหน้าอกอยู่บนม้ายาว ผมต้องการให้มันเฟิร์มขึ้นและดูแข็งแรงกว่าเดิม ในขณะที่ผมกำลังหลับหูหลับตาใช้สองแขนดันเจ้าบาร์เบลที่ผมใส่น้ำหนักเข้าไป เกือบสามสิบปอนด์ขึ้นเหนือหน้าอก ใบหน้าแสนคุ้นก็ชะโงกมาจ้องหน้าผมทางด้านเหนือหัว ผมเกือบทำบาร์เบลหลุดกระแทกอก หากไม่มีสองมือสะอาดสะอ้านเอื้อมมาช่วยประคองไว้ได้ทัน จัสตินอุทานคำขอโทษ หยิบบาร์เบลมาวางพาดตรงที่เก็บ และเอื้อมมาฉุดมือผมให้ลุกขึ้น

                อัน ที่จริงผมควรจะโกรธนะ เพราะการโผล่เข้ามากะทันหันในช่วงที่ออกกำลังกายโดยมีอุปกรณ์ที่หนักอึ้ง นอกจากจะเป็นการเกะกะขวางทางแล้ว อาจจะก่อให้เกิดอันตรายกับผู้เล่นอีกด้วย แต่เมื่อเห็นหน้าตาสำนึกผิดของเขา ผมกลับโมโหเขาไม่ลง การที่ได้เห็นเขาในสถานที่คุ้นเคยของตนเองแบบนี้ ทำให้ผมทั้งดีใจและแปลกใจ ดูเหมือนว่าเขาจะเข้าใจความคิดของผม เขาเลยออกตัวขึ้นมาว่า

"ผมได้รับเกียรติให้มาเป็นสมาชิกถาวรที่นี่มาเล่นได้ 2-3 ครั้งแล้ว แต่ผมไม่ยักจะเห็นคุณ"
ภาษาไทยของเขาก้าวหน้าไปอีกขั้นหนึ่งแล้ว

                "ช่วงนี้ผมยุ่งน่ะ งานเยอะ คุณล่ะ ช่วงนี้ไม่มีงานเดินแบบหรือ"

                "ก็มีบ้างนะ แต่ไม่มากอย่างแต่ก่อนแล้วล่ะ ผมไม่ค่อยชอบงานเดินแบบเท่าไหร่ก็เลยปฏิเสธไป แต่ผมชอบถ่ายโฆษณามากกว่านะ ไม่รู้สิ……. อาจจะยังทำใจให้ชินไม่ได้กับการเดินบนแคทวอล์ค ผมไม่ค่อยชอบให้ใครมาคอยจ้องมอง อย่างที่บอก ผมไม่มั่นใจ มันไม่เป็นส่วนตัว ผมอยากมีชีวิตอย่างคนธรรมดามากกว่า จะทำอะไรก็ได้ เป็นคนดังแล้วอยู่ในสายตาผู้คนตลอดเวลา มีดีอยู่เรื่องเดียว คือคุณจะมีอำนาจต่อรองในเรื่องส่วนแบ่งรายได้เท่านั้นเอง"

เขา พูดด้วยท่าทีจริงจัง ผมแอบเห็นความเหงาในดวงตาคู่นั้นของเขา แต่ก็เพียงแว่บเดียว เพราะมันกลับมาฉายประกายกล้า แล้วเขาก็กลับมาร่าเริงตามปกติ ผมเสียอีกที่เฝ้าถามตัวเองว่า อะไรกันนะที่ทำให้หนุ่มเพอร์เฟคคนนี้เกิดเศร้าขึ้นมา เรื่องงานหรือเรื่องเกี่ยวกับคนรัก...เดาไม่ออกเลย

                "แฟนคุณไม่ได้มาด้วยหรือ" ผมถามเขา ใจริษยา แต่พยายามปั้นเสียงให้ร่าเริง ส่วนหูก็อยากได้ยินเรื่องทำนองที่ว่า "ก็เลิกกันแล้ว" ซึ่งโชคร้าย ผมไม่ได้ยินอะไรแบบนั้น

                "เขาไปถ่ายแบบที่เนปาลน่ะ ผมไม่ได้ไปด้วย เพราะผมมีคิวถ่ายแบบลงหนังสือวันมะรืนนี้"
ไม่ เลวแฮะกับน้ำเสียงเนือยๆที่ได้ยิน แสดงว่ามีอะไรบางอย่างที่ส่อเค้าว่าจะมีพายุในวันข้างหน้าอย่างแน่นอน อย่างนี้ค่อยมีกำลังใจหน่อย

                "คุณออกกำลังกายใกล้จะเสร็จหรือยังครับ"
เขา ถามผม ผมพยักหน้า เขาเลยชวนผมไปยังห้องเปลี่ยนเครื่องแต่งกายชายชั้นล่าง เขาเฉลยในตอนที่ลงลิฟท์มาด้วยกันก่อนที่ผมจะคิดลามกเลยเถิดไปมากกว่านั้น

                "คนเยอะจัง"

ผมรู้ว่าเขาอยากจะพูดว่า "คนมองเขาเยอะจัง" ทำไมผมถึงรู้นะเหรอ ง่ายมากเลย
จัสตินผู้หล่อเหลา นายแบบโฆษณาหน้าใหม่ ขวัญใจเกย์และสาวๆ แค่เดินไปเดินมา บนชั้น 19คนก็มองจนตาปลิ้น โดยเฉพาะชั้นนี้ เป็นชั้นที่โดยมากคนที่ใช้บริการจะเป็นผู้ชาย (เกย์ 99%) ดังนั้นแน่นอนว่า เขาต้องตกเป็นเป้าสายตาจากหนุ่มน้อยหนุ่มใหญ่ และสาวๆแน่นอน
ยิ่ง มายืนอยู่กับชายหนุ่มหน้าตาธรรมดาอย่างผมด้วย คนยิ่งเพ่งรัศมีการมองมาที่เราทั้งคู่กันใหญ่ ด้วยสายตาสำรวจตรวจสอบว่าไอ้เบื๊อกที่ยืนอยู่ข้างหนุ่มรูปงามคนนี้เป็นใคร กัน เขาเองก็คงจะเห็นเหมือนกับผม ว่าเราถูกลอบมอง และมองอย่างซึ่งๆหน้า
ผมนั้นปลื้มสุดฤทธิ์ แต่เขาคงเซ็งสุดขีด เพราะหมอนี่ ท่าทางจะมีโลกส่วนตัวเยอะน่าดู แล้วไม่รู้จะมาเป็นนายแบบทำไม เอ้อ...เงินคงดีมั้ง โธ่เอ๊ย คนขี้งก ผมค่อนขอดเขาในใจอย่างแค้นเคืองนิดหน่อยที่เขาดับความปรารถนาของผม

จัส ตินเก็บข้าวของออกจากล๊อคเกอร์โดยไม่ยอมอาบน้ำ เขาหันมาเห็นผมทำท่าละล้าละลังในผ้าขนหนูพันกายผืนเดียว ทั้งอยากอาบน้ำชำระร่างกาย และอยากออกไปพร้อมกับเขาตอนนี้ แม้จะต้องไปแยกกันตรงล๊อบบี้ก็ตาม หัวใจของผมมันร่ำร้องอยากอยู่ใกล้เขาให้นานที่สุด ผมถามเขาว่า ไม่อาบน้ำหรือ เขาบอกว่าเขาต้องรีบไปทำธุระ เดี๋ยวไปอาบในที่พักของเขาก็ได้ ผมได้แต่ส่งสายตาล่ำลาจัสติน แล้วเข้าไปตีอกชกหัวในห้องน้ำที่ไม่ยอมตามเขาไป

ผม เจอจัสตินในสภาพเมาได้ที่ในผับแถวถนนข้าวสาร เขานั่งอยู่เงียบๆที่เคาน์เตอร์ ท่าทางสะลึมสะลือ ผมยาวสีทองที่เคยรวบไว้เป็นประจำหลุดลุ่ยยุ่งเหยิง เขาอยู่ในชุดเสื้อยืดสีเข้ม กางเกงยีนส์ รองเท้าบูท โชคดีที่ผมไม่เจอเขาในสภาพขี้เหล้าจอมโวยวาย หรือ ชายเปื้อนอ้วก มันทำให้ผมสามารถรับสถานการณ์นี้ได้โดยไม่ลำบาก

วันนี้ ผมเลิกงานเร็วก็เลยมาที่ยิมตั้งแต่ 4 โมงเย็น ส่วนจัสตินมาทีหลังผมประมาณ 20 นาที เราออกกำลังกายด้วยการยกเวทหนึ่งชั่วโมง แล้วเขาก็บอกกับผมว่าเขานัดกับมะนาวที่ผับแถวถนนข้าวสาร เขาต้องรีบไป เขาไม่ยอมอาบน้ำอีกเช่นเคย ตอนหลังผมจึงได้ทราบคำตอบว่า เขาไม่ชอบอาบน้ำที่นี่ เพราะมีคนชอบแอบมองเขา มีอยู่ครั้งหนึ่งเขากำลังอาบน้ำเพลินๆ มีเกย์คนหนึ่งเดินเข้ามาอาบน้ำร่วมด้วย และเอ่ยปากขอมีอะไรกับเขา เขาโกรธมากจนเกือบจะชกหน้าชายโรคจิตคนนั้น แต่ก็ยับยั้งชั่งใจเสียก่อน ได้แต่ไล่ตะเพิดไป นับจากนั้นเขาก็ไม่เคยอาบน้ำที่นี่อีกเลย ผมฟังแล้วก็ค่อนข้างเห็นใจจัสติน ที่เป็นอย่างนี้ก็เพราะความที่เขาหล่อล่ำบาดตา และเร้าใจเสียเหลือเกิน ยิ่งเป็นนายแบบดาวรุ่งอย่างนี้ ใครจะไม่อยากเห็นเขาตอนเปลือยเล่า ผมเองก็ยังอยากเห็นเลย เอ นี่ผมเข้าข่ายคนโรคจิตด้วยหรือเปล่านะ

หลัง จากนั้นประมาณสามชั่วโมง ผมกำลังจะกลับบ้านอยู่แล้ว โทรศัพท์ของผมก็ดังขึ้น จัสตินโทรมา เป็นครั้งแรกตั้งแต่เขาได้เบอร์โทรศัพท์ผมไป เขาขอให้ผมไปนั่งเป็นเพื่อนเขา เพราะเขารู้สึกแย่ และกำลังต้องการเพื่อนอย่างมาก เสียงของเขาบ่งบอกถึงความเหงา ผมคิดว่าเขาน่าจะกำลังมีปัญหาอะไรบางอย่าง ผมไม่รู้ว่าต้นตอมันคืออะไร เกิดจากมะนาวหรือไม่ ความรู้สึกของผมบอกว่า ผมควรจะไปอยู่ที่นั่นเป็นเพื่อนเขา ในยามที่เขาไม่มีใคร

ตอน ที่ผมไปถึง มะนาวไม่ได้อยู่กับเขา จัสตินไม่ได้พูดอะไร ผมก็ไม่อยากถาม ผมประคองเขาขึ้นรถไปส่งที่คอนโดตามทางที่เขาบอก ซึ่งก็หลงอยู่หลายครั้ง เพราะเขาพูดไม่ทันได้รู้เรื่องแล้วก็หลับไป ยามที่คอนโดจำเขาได้ จึงช่วยผมประคองเขามาที่ห้อง เพราะผมคนเดียวแบกเขาไม่ไหว จัสตินตัวหนักเหลือเกิน ตอนแรกผมกะจะทิ้งเขาไว้ที่ห้องคนเดียว แต่เห็นสภาพเขาแล้วก็ทำไม่ลง ผมเอาผ้าชุบน้ำเช็ดตัวเขา ทั้งๆที่อยากจะฉวยโอกาสเปลื้องผ้าปลุกปล้ำทำมิดีมิร้าย แต่ผมก็หักห้ามใจไม่ให้ทำ ผมไม่อยากทำลายความรู้สึกดีงามที่เขามีต่อผมลง ตอนนี้เขาเห็นผมเป็นเพื่อนที่เขาไว้ใจ เป็นเพื่อนที่เขาจะนึกถึงเวลาที่เขามีความทุกข์ แค่นี้ก็เพียงพอแล้วสำหรับผม

ผม หลับรวดเดียวถึงเช้าที่โซฟาในห้องรับแขก จัสตินเป็นคนมาปลุกผม เขาอาบน้ำโกนหนวดโกนเคราสะอาดเอี่ยม ผมปล่อยสยายระบ่า เนื้อตัวหอมกรุ่นไปด้วยแชมพูและครีมอาบน้ำ เขาแต่งกายด้วยชุดลำลองอยู่บ้านสบายๆ กางเกงผ้ายืดรูดเอวสีเทากับเสื้อกล้ามสีเดียวกัน ตาเจ้ากรรมของผมดันไปตกต้องที่กลางลำตัวเขาโดยสัญชาติญาณพอดี จึงได้สังเกตเห็นว่าเขาไม่ได้ใส่กางเกงในด้วย ช่างรักอิสระเสียจริง จัสตินถือถาดอาหารเช้า ซึ่งประกอบด้วย กาแฟ ขนมปังปิ้ง ไข่กวน และไส้กรอก มาให้ผม ส่วนเจ้าตัวยกชามซึ่งใส่คอนเฟลกซ์และผลไม้จำพวกกล้วยหอม สับประรด แตงโม และนมครึ่งชามมานั่งทานข้างๆ

"ขอบคุณนะที่พาผมมาส่งจนถึงบ้านได้ ขอบคุณที่ไม่ทิ้งกัน"
เขา ยิ้มให้ผมอย่างจริงใจ ผมยักไหล่ ทำเป็นว่าไม่ใช่เรื่องสลักสำคัญอะไร คนที่เป็นเพื่อนก็ต้องทำอย่างนี้ทั้งนั้น ผมต้องจิกเท้าตัวเองไว้ที่พื้น เพราะกลัวว่าจะหลุดคำพูดที่ว่า ผมยินดีและเต็มใจเป็นอย่างยิ่งที่จะช่วยเหลือคุณอยู่แล้ว

"ผมกับมะนาวเลิกกันเมื่อคืน เธอเจอคนใหม่ที่เธอคิดว่าเหมาะสมกับเธอที่สุดตอนที่ไปเนปาลเมื่อสองอาทิตย์ที่ผ่านมา"
อยู่ๆเขาก็เปิดเผยเรื่องราวรักร้าวของเขาให้ผมฟัง

"ผม ไม่รู้ว่าควรจะเสียใจหรือโล่งใจดี จริงๆแล้ว ความสัมพันธ์ระหว่างเราก็ไม่ค่อยราบรื่นเท่าใดนัก เธอชอบที่จะเป็นจุดสนใจของผู้คน แต่ผมชอบความสันโดษมากกว่า ชีวิตของเธอในแต่ละวันผ่านไปอย่างรวดเร็ว ในขณะที่ชีวิตของผมเป็นไปอย่างช้าๆ ผมไม่ชอบความยุ่งยากวุ่นวาย ผมชอบความเรียบง่ายและสงบสุข ยิ่งคบกันไป ก็ยิ่งรู้สึกว่าเรามีอะไรที่แตกต่างกันมากขึ้นทุกที เราจึงเห็นพ้องต้องกันว่าการแยกทางกันน่าจะเป็นคำตอบที่ดีที่สุดสำหรับเรา ตอนนี้ "

ถึง ตรงนี้ ผมควรจะดีใจ ฮาเลลูย่าใช่ใหม ผมควรจะเริงร่า ผาสุก ที่เขาเลิกกันไปเสียได้ตามความต้องการของผม แต่เปล่าเลย ผมไม่ได้รู้สึกยินดีปรีดากับสิ่งที่ได้ยิน ผมกลับมีความรู้สึกหดหู่ไปกับเขาด้วย ความรักนี่ก็แปลกนะ เดี๋ยวมันก็มา เดี๋ยวมันก็ไป บางทีมันก็ทำให้เรามีความสุข บางครั้งก็จ่อมจมอยู่กับความทุกข์และความสิ้นหวัง อย่างไรก็ตาม เราทุกคนที่เคยผ่านช่วงเวลาเหล่านั้นมา อย่างน้อยก็มีความสุขในช่วงหนึ่ง

"แย่ จังนะ ผมวางแผนว่า จะใช้ช่วงเวลาสุดสัปดาห์นี้กับเขาที่เกาะกูด ผมจองสถานที จองที่พักไว้แล้วด้วย จะยกเลิกก็ไม่ได้ ผมยังไม่รู้ว่าจะพาใครไปดี"
เขาหันมาจ้องผม ตาเป็นประกาย

" เฮ้ คุณล่ะ คุณว่างหรือเปล่า เราไปเที่ยวกันตามประสาหนุ่มโสดกันไหม"
ผม ลอบยิ้มด้วยดวงตาสุขสม นึกขอบคุณพระเจ้าเป็นพันครั้งที่ดลจิตดลใจให้เขาอยากชวนผมไปด้วย ไม่ว่าเราจะไปในฐานะใดก็ตาม ผมต้องมีความสุขอย่างแน่นอน แต่ผมก็จำต้องสงวนท่าที ไม่วิ่งไล่งับความรู้สึกของตนเองจนดูหมดค่า

"ผมขอเช็คตารางเวลาของผมก่อนได้ไหม"

ผมหยิบปาล์มออกมาจากกระเป๋า แล้วเปิดไปที่ monthly planner ไล่ตารางไปจนถึงสุดสัปดาห์นี้

" โชคดีแล้วล่ะ ผมไม่มีนัดที่ไหนเลย" ผมบอกเขา

จัส ตินยิ้มกว้าง แล้วสรุปเอาว่า ผมนั่นเองที่ต้องไปเที่ยวตามลำพังกับเขา ผมล่ะอยากแปลงร่างเป็นเสือสมิงเสียเหลือเกิน จะได้กลืนกินเขาไว้ทั้งตัว ช่างไม่รู้บ้างเลยหนอ ว่าผมจะต้องอดกลั้นความรู้สึกตนเองขนาดไหนที่อยู่ใกล้หนุ่มหล่อขนาดนี้ แต่ไม่มีสิทธิ์ที่จะครอบครองตัวเขา

เฮ้อ..... ผมไม่เข้าใจตนเองเลย ว่าทำไมถึงอยากอยู่กับเขามากมายขนาดนี้นะ แล้วนี่ผมจะแสดงอาการออกนอกหน้าจนเขาจับได้หรือเปล่า แล้วถ้าเขารู้ เขาจะรังเกียจผมไหม .....ตอบตกลงไปแล้ว แต่ผมก็มานั่งกังวลใจ คิดไปคิดมาจนปวดหัวไปหมด แต่ช่างมันเถอะ ไม่อยากคิดแล้ว อย่างน้อยความสัมพันธ์ของเราก็คืบหน้าไปมากกว่าเดิมแล้วล่ะ

"ผมได้รับเกียรติให้มาเป็นสมาชิกถาวรที่นี่มาเล่นได้ 2-3 ครั้งแล้ว แต่ผมไม่ยักจะเห็นคุณ"
ภาษาไทยของเขาก้าวหน้าไปอีกขั้นหนึ่งแล้ว

                "ช่วงนี้ผมยุ่งน่ะ งานเยอะ คุณล่ะ ช่วงนี้ไม่มีงานเดินแบบหรือ"

                "ก็มีบ้างนะ แต่ไม่มากอย่างแต่ก่อนแล้วล่ะ ผมไม่ค่อยชอบงานเดินแบบเท่าไหร่ก็เลยปฏิเสธไป แต่ผมชอบถ่ายโฆษณามากกว่านะ ไม่รู้สิ……. อาจจะยังทำใจให้ชินไม่ได้กับการเดินบนแคทวอล์ค ผมไม่ค่อยชอบให้ใครมาคอยจ้องมอง อย่างที่บอก ผมไม่มั่นใจ มันไม่เป็นส่วนตัว ผมอยากมีชีวิตอย่างคนธรรมดามากกว่า จะทำอะไรก็ได้ เป็นคนดังแล้วอยู่ในสายตาผู้คนตลอดเวลา มีดีอยู่เรื่องเดียว คือคุณจะมีอำนาจต่อรองในเรื่องส่วนแบ่งรายได้เท่านั้นเอง"

เขา พูดด้วยท่าทีจริงจัง ผมแอบเห็นความเหงาในดวงตาคู่นั้นของเขา แต่ก็เพียงแว่บเดียว เพราะมันกลับมาฉายประกายกล้า แล้วเขาก็กลับมาร่าเริงตามปกติ ผมเสียอีกที่เฝ้าถามตัวเองว่า อะไรกันนะที่ทำให้หนุ่มเพอร์เฟคคนนี้เกิดเศร้าขึ้นมา เรื่องงานหรือเรื่องเกี่ยวกับคนรัก...เดาไม่ออกเลย

                "แฟนคุณไม่ได้มาด้วยหรือ" ผมถามเขา ใจริษยา แต่พยายามปั้นเสียงให้ร่าเริง ส่วนหูก็อยากได้ยินเรื่องทำนองที่ว่า "ก็เลิกกันแล้ว" ซึ่งโชคร้าย ผมไม่ได้ยินอะไรแบบนั้น

                "เขาไปถ่ายแบบที่เนปาลน่ะ ผมไม่ได้ไปด้วย เพราะผมมีคิวถ่ายแบบลงหนังสือวันมะรืนนี้"
ไม่ เลวแฮะกับน้ำเสียงเนือยๆที่ได้ยิน แสดงว่ามีอะไรบางอย่างที่ส่อเค้าว่าจะมีพายุในวันข้างหน้าอย่างแน่นอน อย่างนี้ค่อยมีกำลังใจหน่อย

                "คุณออกกำลังกายใกล้จะเสร็จหรือยังครับ"
เขา ถามผม ผมพยักหน้า เขาเลยชวนผมไปยังห้องเปลี่ยนเครื่องแต่งกายชายชั้นล่าง เขาเฉลยในตอนที่ลงลิฟท์มาด้วยกันก่อนที่ผมจะคิดลามกเลยเถิดไปมากกว่านั้น

                "คนเยอะจัง"

ผมรู้ว่าเขาอยากจะพูดว่า "คนมองเขาเยอะจัง" ทำไมผมถึงรู้นะเหรอ ง่ายมากเลย
จัสตินผู้หล่อเหลา นายแบบโฆษณาหน้าใหม่ ขวัญใจเกย์และสาวๆ แค่เดินไปเดินมา บนชั้น 19คนก็มองจนตาปลิ้น โดยเฉพาะชั้นนี้ เป็นชั้นที่โดยมากคนที่ใช้บริการจะเป็นผู้ชาย (เกย์ 99%) ดังนั้นแน่นอนว่า เขาต้องตกเป็นเป้าสายตาจากหนุ่มน้อยหนุ่มใหญ่ และสาวๆแน่นอน
ยิ่ง มายืนอยู่กับชายหนุ่มหน้าตาธรรมดาอย่างผมด้วย คนยิ่งเพ่งรัศมีการมองมาที่เราทั้งคู่กันใหญ่ ด้วยสายตาสำรวจตรวจสอบว่าไอ้เบื๊อกที่ยืนอยู่ข้างหนุ่มรูปงามคนนี้เป็นใคร กัน เขาเองก็คงจะเห็นเหมือนกับผม ว่าเราถูกลอบมอง และมองอย่างซึ่งๆหน้า
ผมนั้นปลื้มสุดฤทธิ์ แต่เขาคงเซ็งสุดขีด เพราะหมอนี่ ท่าทางจะมีโลกส่วนตัวเยอะน่าดู แล้วไม่รู้จะมาเป็นนายแบบทำไม เอ้อ...เงินคงดีมั้ง โธ่เอ๊ย คนขี้งก ผมค่อนขอดเขาในใจอย่างแค้นเคืองนิดหน่อยที่เขาดับความปรารถนาของผม

จัส ตินเก็บข้าวของออกจากล๊อคเกอร์โดยไม่ยอมอาบน้ำ เขาหันมาเห็นผมทำท่าละล้าละลังในผ้าขนหนูพันกายผืนเดียว ทั้งอยากอาบน้ำชำระร่างกาย และอยากออกไปพร้อมกับเขาตอนนี้ แม้จะต้องไปแยกกันตรงล๊อบบี้ก็ตาม หัวใจของผมมันร่ำร้องอยากอยู่ใกล้เขาให้นานที่สุด ผมถามเขาว่า ไม่อาบน้ำหรือ เขาบอกว่าเขาต้องรีบไปทำธุระ เดี๋ยวไปอาบในที่พักของเขาก็ได้ ผมได้แต่ส่งสายตาล่ำลาจัสติน แล้วเข้าไปตีอกชกหัวในห้องน้ำที่ไม่ยอมตามเขาไป

ผม เจอจัสตินในสภาพเมาได้ที่ในผับแถวถนนข้าวสาร เขานั่งอยู่เงียบๆที่เคาน์เตอร์ ท่าทางสะลึมสะลือ ผมยาวสีทองที่เคยรวบไว้เป็นประจำหลุดลุ่ยยุ่งเหยิง เขาอยู่ในชุดเสื้อยืดสีเข้ม กางเกงยีนส์ รองเท้าบูท โชคดีที่ผมไม่เจอเขาในสภาพขี้เหล้าจอมโวยวาย หรือ ชายเปื้อนอ้วก มันทำให้ผมสามารถรับสถานการณ์นี้ได้โดยไม่ลำบาก

วันนี้ ผมเลิกงานเร็วก็เลยมาที่ยิมตั้งแต่ 4 โมงเย็น ส่วนจัสตินมาทีหลังผมประมาณ 20 นาที เราออกกำลังกายด้วยการยกเวทหนึ่งชั่วโมง แล้วเขาก็บอกกับผมว่าเขานัดกับมะนาวที่ผับแถวถนนข้าวสาร เขาต้องรีบไป เขาไม่ยอมอาบน้ำอีกเช่นเคย ตอนหลังผมจึงได้ทราบคำตอบว่า เขาไม่ชอบอาบน้ำที่นี่ เพราะมีคนชอบแอบมองเขา มีอยู่ครั้งหนึ่งเขากำลังอาบน้ำเพลินๆ มีเกย์คนหนึ่งเดินเข้ามาอาบน้ำร่วมด้วย และเอ่ยปากขอมีอะไรกับเขา เขาโกรธมากจนเกือบจะชกหน้าชายโรคจิตคนนั้น แต่ก็ยับยั้งชั่งใจเสียก่อน ได้แต่ไล่ตะเพิดไป นับจากนั้นเขาก็ไม่เคยอาบน้ำที่นี่อีกเลย ผมฟังแล้วก็ค่อนข้างเห็นใจจัสติน ที่เป็นอย่างนี้ก็เพราะความที่เขาหล่อล่ำบาดตา และเร้าใจเสียเหลือเกิน ยิ่งเป็นนายแบบดาวรุ่งอย่างนี้ ใครจะไม่อยากเห็นเขาตอนเปลือยเล่า ผมเองก็ยังอยากเห็นเลย เอ นี่ผมเข้าข่ายคนโรคจิตด้วยหรือเปล่านะ

หลัง จากนั้นประมาณสามชั่วโมง ผมกำลังจะกลับบ้านอยู่แล้ว โทรศัพท์ของผมก็ดังขึ้น จัสตินโทรมา เป็นครั้งแรกตั้งแต่เขาได้เบอร์โทรศัพท์ผมไป เขาขอให้ผมไปนั่งเป็นเพื่อนเขา เพราะเขารู้สึกแย่ และกำลังต้องการเพื่อนอย่างมาก เสียงของเขาบ่งบอกถึงความเหงา ผมคิดว่าเขาน่าจะกำลังมีปัญหาอะไรบางอย่าง ผมไม่รู้ว่าต้นตอมันคืออะไร เกิดจากมะนาวหรือไม่ ความรู้สึกของผมบอกว่า ผมควรจะไปอยู่ที่นั่นเป็นเพื่อนเขา ในยามที่เขาไม่มีใคร

ตอน ที่ผมไปถึง มะนาวไม่ได้อยู่กับเขา จัสตินไม่ได้พูดอะไร ผมก็ไม่อยากถาม ผมประคองเขาขึ้นรถไปส่งที่คอนโดตามทางที่เขาบอก ซึ่งก็หลงอยู่หลายครั้ง เพราะเขาพูดไม่ทันได้รู้เรื่องแล้วก็หลับไป ยามที่คอนโดจำเขาได้ จึงช่วยผมประคองเขามาที่ห้อง เพราะผมคนเดียวแบกเขาไม่ไหว จัสตินตัวหนักเหลือเกิน ตอนแรกผมกะจะทิ้งเขาไว้ที่ห้องคนเดียว แต่เห็นสภาพเขาแล้วก็ทำไม่ลง ผมเอาผ้าชุบน้ำเช็ดตัวเขา ทั้งๆที่อยากจะฉวยโอกาสเปลื้องผ้าปลุกปล้ำทำมิดีมิร้าย แต่ผมก็หักห้ามใจไม่ให้ทำ ผมไม่อยากทำลายความรู้สึกดีงามที่เขามีต่อผมลง ตอนนี้เขาเห็นผมเป็นเพื่อนที่เขาไว้ใจ เป็นเพื่อนที่เขาจะนึกถึงเวลาที่เขามีความทุกข์ แค่นี้ก็เพียงพอแล้วสำหรับผม

ผม หลับรวดเดียวถึงเช้าที่โซฟาในห้องรับแขก จัสตินเป็นคนมาปลุกผม เขาอาบน้ำโกนหนวดโกนเคราสะอาดเอี่ยม ผมปล่อยสยายระบ่า เนื้อตัวหอมกรุ่นไปด้วยแชมพูและครีมอาบน้ำ เขาแต่งกายด้วยชุดลำลองอยู่บ้านสบายๆ กางเกงผ้ายืดรูดเอวสีเทากับเสื้อกล้ามสีเดียวกัน ตาเจ้ากรรมของผมดันไปตกต้องที่กลางลำตัวเขาโดยสัญชาติญาณพอดี จึงได้สังเกตเห็นว่าเขาไม่ได้ใส่กางเกงในด้วย ช่างรักอิสระเสียจริง จัสตินถือถาดอาหารเช้า ซึ่งประกอบด้วย กาแฟ ขนมปังปิ้ง ไข่กวน และไส้กรอก มาให้ผม ส่วนเจ้าตัวยกชามซึ่งใส่คอนเฟลกซ์และผลไม้จำพวกกล้วยหอม สับประรด แตงโม และนมครึ่งชามมานั่งทานข้างๆ

"ขอบคุณนะที่พาผมมาส่งจนถึงบ้านได้ ขอบคุณที่ไม่ทิ้งกัน"
เขา ยิ้มให้ผมอย่างจริงใจ ผมยักไหล่ ทำเป็นว่าไม่ใช่เรื่องสลักสำคัญอะไร คนที่เป็นเพื่อนก็ต้องทำอย่างนี้ทั้งนั้น ผมต้องจิกเท้าตัวเองไว้ที่พื้น เพราะกลัวว่าจะหลุดคำพูดที่ว่า ผมยินดีและเต็มใจเป็นอย่างยิ่งที่จะช่วยเหลือคุณอยู่แล้ว

"ผมกับมะนาวเลิกกันเมื่อคืน เธอเจอคนใหม่ที่เธอคิดว่าเหมาะสมกับเธอที่สุดตอนที่ไปเนปาลเมื่อสองอาทิตย์ที่ผ่านมา"
อยู่ๆเขาก็เปิดเผยเรื่องราวรักร้าวของเขาให้ผมฟัง

"ผม ไม่รู้ว่าควรจะเสียใจหรือโล่งใจดี จริงๆแล้ว ความสัมพันธ์ระหว่างเราก็ไม่ค่อยราบรื่นเท่าใดนัก เธอชอบที่จะเป็นจุดสนใจของผู้คน แต่ผมชอบความสันโดษมากกว่า ชีวิตของเธอในแต่ละวันผ่านไปอย่างรวดเร็ว ในขณะที่ชีวิตของผมเป็นไปอย่างช้าๆ ผมไม่ชอบความยุ่งยากวุ่นวาย ผมชอบความเรียบง่ายและสงบสุข ยิ่งคบกันไป ก็ยิ่งรู้สึกว่าเรามีอะไรที่แตกต่างกันมากขึ้นทุกที เราจึงเห็นพ้องต้องกันว่าการแยกทางกันน่าจะเป็นคำตอบที่ดีที่สุดสำหรับเรา ตอนนี้ "

ถึง ตรงนี้ ผมควรจะดีใจ ฮาเลลูย่าใช่ใหม ผมควรจะเริงร่า ผาสุก ที่เขาเลิกกันไปเสียได้ตามความต้องการของผม แต่เปล่าเลย ผมไม่ได้รู้สึกยินดีปรีดากับสิ่งที่ได้ยิน ผมกลับมีความรู้สึกหดหู่ไปกับเขาด้วย ความรักนี่ก็แปลกนะ เดี๋ยวมันก็มา เดี๋ยวมันก็ไป บางทีมันก็ทำให้เรามีความสุข บางครั้งก็จ่อมจมอยู่กับความทุกข์และความสิ้นหวัง อย่างไรก็ตาม เราทุกคนที่เคยผ่านช่วงเวลาเหล่านั้นมา อย่างน้อยก็มีความสุขในช่วงหนึ่ง

"แย่ จังนะ ผมวางแผนว่า จะใช้ช่วงเวลาสุดสัปดาห์นี้กับเขาที่เกาะกูด ผมจองสถานที จองที่พักไว้แล้วด้วย จะยกเลิกก็ไม่ได้ ผมยังไม่รู้ว่าจะพาใครไปดี"
เขาหันมาจ้องผม ตาเป็นประกาย

" เฮ้ คุณล่ะ คุณว่างหรือเปล่า เราไปเที่ยวกันตามประสาหนุ่มโสดกันไหม"
ผม ลอบยิ้มด้วยดวงตาสุขสม นึกขอบคุณพระเจ้าเป็นพันครั้งที่ดลจิตดลใจให้เขาอยากชวนผมไปด้วย ไม่ว่าเราจะไปในฐานะใดก็ตาม ผมต้องมีความสุขอย่างแน่นอน แต่ผมก็จำต้องสงวนท่าที ไม่วิ่งไล่งับความรู้สึกของตนเองจนดูหมดค่า

"ผมขอเช็คตารางเวลาของผมก่อนได้ไหม"

ผมหยิบปาล์มออกมาจากกระเป๋า แล้วเปิดไปที่ monthly planner ไล่ตารางไปจนถึงสุดสัปดาห์นี้

" โชคดีแล้วล่ะ ผมไม่มีนัดที่ไหนเลย" ผมบอกเขา

จัส ตินยิ้มกว้าง แล้วสรุปเอาว่า ผมนั่นเองที่ต้องไปเที่ยวตามลำพังกับเขา ผมล่ะอยากแปลงร่างเป็นเสือสมิงเสียเหลือเกิน จะได้กลืนกินเขาไว้ทั้งตัว ช่างไม่รู้บ้างเลยหนอ ว่าผมจะต้องอดกลั้นความรู้สึกตนเองขนาดไหนที่อยู่ใกล้หนุ่มหล่อขนาดนี้ แต่ไม่มีสิทธิ์ที่จะครอบครองตัวเขา

เฮ้อ..... ผมไม่เข้าใจตนเองเลย ว่าทำไมถึงอยากอยู่กับเขามากมายขนาดนี้นะ แล้วนี่ผมจะแสดงอาการออกนอกหน้าจนเขาจับได้หรือเปล่า แล้วถ้าเขารู้ เขาจะรังเกียจผมไหม .....ตอบตกลงไปแล้ว แต่ผมก็มานั่งกังวลใจ คิดไปคิดมาจนปวดหัวไปหมด แต่ช่างมันเถอะ ไม่อยากคิดแล้ว อย่างน้อยความสัมพันธ์ของเราก็คืบหน้าไปมากกว่าเดิมแล้วล่ะ

"ผมได้รับเกียรติให้มาเป็นสมาชิกถาวรที่นี่มาเล่นได้ 2-3 ครั้งแล้ว แต่ผมไม่ยักจะเห็นคุณ"
ภาษาไทยของเขาก้าวหน้าไปอีกขั้นหนึ่งแล้ว

                "ช่วงนี้ผมยุ่งน่ะ งานเยอะ คุณล่ะ ช่วงนี้ไม่มีงานเดินแบบหรือ"

                "ก็มีบ้างนะ แต่ไม่มากอย่างแต่ก่อนแล้วล่ะ ผมไม่ค่อยชอบงานเดินแบบเท่าไหร่ก็เลยปฏิเสธไป แต่ผมชอบถ่ายโฆษณามากกว่านะ ไม่รู้สิ……. อาจจะยังทำใจให้ชินไม่ได้กับการเดินบนแคทวอล์ค ผมไม่ค่อยชอบให้ใครมาคอยจ้องมอง อย่างที่บอก ผมไม่มั่นใจ มันไม่เป็นส่วนตัว ผมอยากมีชีวิตอย่างคนธรรมดามากกว่า จะทำอะไรก็ได้ เป็นคนดังแล้วอยู่ในสายตาผู้คนตลอดเวลา มีดีอยู่เรื่องเดียว คือคุณจะมีอำนาจต่อรองในเรื่องส่วนแบ่งรายได้เท่านั้นเอง"

เขา พูดด้วยท่าทีจริงจัง ผมแอบเห็นความเหงาในดวงตาคู่นั้นของเขา แต่ก็เพียงแว่บเดียว เพราะมันกลับมาฉายประกายกล้า แล้วเขาก็กลับมาร่าเริงตามปกติ ผมเสียอีกที่เฝ้าถามตัวเองว่า อะไรกันนะที่ทำให้หนุ่มเพอร์เฟคคนนี้เกิดเศร้าขึ้นมา เรื่องงานหรือเรื่องเกี่ยวกับคนรัก...เดาไม่ออกเลย

                "แฟนคุณไม่ได้มาด้วยหรือ" ผมถามเขา ใจริษยา แต่พยายามปั้นเสียงให้ร่าเริง ส่วนหูก็อยากได้ยินเรื่องทำนองที่ว่า "ก็เลิกกันแล้ว" ซึ่งโชคร้าย ผมไม่ได้ยินอะไรแบบนั้น

                "เขาไปถ่ายแบบที่เนปาลน่ะ ผมไม่ได้ไปด้วย เพราะผมมีคิวถ่ายแบบลงหนังสือวันมะรืนนี้"
ไม่ เลวแฮะกับน้ำเสียงเนือยๆที่ได้ยิน แสดงว่ามีอะไรบางอย่างที่ส่อเค้าว่าจะมีพายุในวันข้างหน้าอย่างแน่นอน อย่างนี้ค่อยมีกำลังใจหน่อย

                "คุณออกกำลังกายใกล้จะเสร็จหรือยังครับ"
เขา ถามผม ผมพยักหน้า เขาเลยชวนผมไปยังห้องเปลี่ยนเครื่องแต่งกายชายชั้นล่าง เขาเฉลยในตอนที่ลงลิฟท์มาด้วยกันก่อนที่ผมจะคิดลามกเลยเถิดไปมากกว่านั้น

                "คนเยอะจัง"

ผมรู้ว่าเขาอยากจะพูดว่า "คนมองเขาเยอะจัง" ทำไมผมถึงรู้นะเหรอ ง่ายมากเลย
จัสตินผู้หล่อเหลา นายแบบโฆษณาหน้าใหม่ ขวัญใจเกย์และสาวๆ แค่เดินไปเดินมา บนชั้น 19คนก็มองจนตาปลิ้น โดยเฉพาะชั้นนี้ เป็นชั้นที่โดยมากคนที่ใช้บริการจะเป็นผู้ชาย (เกย์ 99%) ดังนั้นแน่นอนว่า เขาต้องตกเป็นเป้าสายตาจากหนุ่มน้อยหนุ่มใหญ่ และสาวๆแน่นอน
ยิ่ง มายืนอยู่กับชายหนุ่มหน้าตาธรรมดาอย่างผมด้วย คนยิ่งเพ่งรัศมีการมองมาที่เราทั้งคู่กันใหญ่ ด้วยสายตาสำรวจตรวจสอบว่าไอ้เบื๊อกที่ยืนอยู่ข้างหนุ่มรูปงามคนนี้เป็นใคร กัน เขาเองก็คงจะเห็นเหมือนกับผม ว่าเราถูกลอบมอง และมองอย่างซึ่งๆหน้า
ผมนั้นปลื้มสุดฤทธิ์ แต่เขาคงเซ็งสุดขีด เพราะหมอนี่ ท่าทางจะมีโลกส่วนตัวเยอะน่าดู แล้วไม่รู้จะมาเป็นนายแบบทำไม เอ้อ...เงินคงดีมั้ง โธ่เอ๊ย คนขี้งก ผมค่อนขอดเขาในใจอย่างแค้นเคืองนิดหน่อยที่เขาดับความปรารถนาของผม

จัส ตินเก็บข้าวของออกจากล๊อคเกอร์โดยไม่ยอมอาบน้ำ เขาหันมาเห็นผมทำท่าละล้าละลังในผ้าขนหนูพันกายผืนเดียว ทั้งอยากอาบน้ำชำระร่างกาย และอยากออกไปพร้อมกับเขาตอนนี้ แม้จะต้องไปแยกกันตรงล๊อบบี้ก็ตาม หัวใจของผมมันร่ำร้องอยากอยู่ใกล้เขาให้นานที่สุด ผมถามเขาว่า ไม่อาบน้ำหรือ เขาบอกว่าเขาต้องรีบไปทำธุระ เดี๋ยวไปอาบในที่พักของเขาก็ได้ ผมได้แต่ส่งสายตาล่ำลาจัสติน แล้วเข้าไปตีอกชกหัวในห้องน้ำที่ไม่ยอมตามเขาไป

ผม เจอจัสตินในสภาพเมาได้ที่ในผับแถวถนนข้าวสาร เขานั่งอยู่เงียบๆที่เคาน์เตอร์ ท่าทางสะลึมสะลือ ผมยาวสีทองที่เคยรวบไว้เป็นประจำหลุดลุ่ยยุ่งเหยิง เขาอยู่ในชุดเสื้อยืดสีเข้ม กางเกงยีนส์ รองเท้าบูท โชคดีที่ผมไม่เจอเขาในสภาพขี้เหล้าจอมโวยวาย หรือ ชายเปื้อนอ้วก มันทำให้ผมสามารถรับสถานการณ์นี้ได้โดยไม่ลำบาก

วันนี้ ผมเลิกงานเร็วก็เลยมาที่ยิมตั้งแต่ 4 โมงเย็น ส่วนจัสตินมาทีหลังผมประมาณ 20 นาที เราออกกำลังกายด้วยการยกเวทหนึ่งชั่วโมง แล้วเขาก็บอกกับผมว่าเขานัดกับมะนาวที่ผับแถวถนนข้าวสาร เขาต้องรีบไป เขาไม่ยอมอาบน้ำอีกเช่นเคย ตอนหลังผมจึงได้ทราบคำตอบว่า เขาไม่ชอบอาบน้ำที่นี่ เพราะมีคนชอบแอบมองเขา มีอยู่ครั้งหนึ่งเขากำลังอาบน้ำเพลินๆ มีเกย์คนหนึ่งเดินเข้ามาอาบน้ำร่วมด้วย และเอ่ยปากขอมีอะไรกับเขา เขาโกรธมากจนเกือบจะชกหน้าชายโรคจิตคนนั้น แต่ก็ยับยั้งชั่งใจเสียก่อน ได้แต่ไล่ตะเพิดไป นับจากนั้นเขาก็ไม่เคยอาบน้ำที่นี่อีกเลย ผมฟังแล้วก็ค่อนข้างเห็นใจจัสติน ที่เป็นอย่างนี้ก็เพราะความที่เขาหล่อล่ำบาดตา และเร้าใจเสียเหลือเกิน ยิ่งเป็นนายแบบดาวรุ่งอย่างนี้ ใครจะไม่อยากเห็นเขาตอนเปลือยเล่า ผมเองก็ยังอยากเห็นเลย เอ นี่ผมเข้าข่ายคนโรคจิตด้วยหรือเปล่านะ

หลัง จากนั้นประมาณสามชั่วโมง ผมกำลังจะกลับบ้านอยู่แล้ว โทรศัพท์ของผมก็ดังขึ้น จัสตินโทรมา เป็นครั้งแรกตั้งแต่เขาได้เบอร์โทรศัพท์ผมไป เขาขอให้ผมไปนั่งเป็นเพื่อนเขา เพราะเขารู้สึกแย่ และกำลังต้องการเพื่อนอย่างมาก เสียงของเขาบ่งบอกถึงความเหงา ผมคิดว่าเขาน่าจะกำลังมีปัญหาอะไรบางอย่าง ผมไม่รู้ว่าต้นตอมันคืออะไร เกิดจากมะนาวหรือไม่ ความรู้สึกของผมบอกว่า ผมควรจะไปอยู่ที่นั่นเป็นเพื่อนเขา ในยามที่เขาไม่มีใคร

ตอน ที่ผมไปถึง มะนาวไม่ได้อยู่กับเขา จัสตินไม่ได้พูดอะไร ผมก็ไม่อยากถาม ผมประคองเขาขึ้นรถไปส่งที่คอนโดตามทางที่เขาบอก ซึ่งก็หลงอยู่หลายครั้ง เพราะเขาพูดไม่ทันได้รู้เรื่องแล้วก็หลับไป ยามที่คอนโดจำเขาได้ จึงช่วยผมประคองเขามาที่ห้อง เพราะผมคนเดียวแบกเขาไม่ไหว จัสตินตัวหนักเหลือเกิน ตอนแรกผมกะจะทิ้งเขาไว้ที่ห้องคนเดียว แต่เห็นสภาพเขาแล้วก็ทำไม่ลง ผมเอาผ้าชุบน้ำเช็ดตัวเขา ทั้งๆที่อยากจะฉวยโอกาสเปลื้องผ้าปลุกปล้ำทำมิดีมิร้าย แต่ผมก็หักห้ามใจไม่ให้ทำ ผมไม่อยากทำลายความรู้สึกดีงามที่เขามีต่อผมลง ตอนนี้เขาเห็นผมเป็นเพื่อนที่เขาไว้ใจ เป็นเพื่อนที%E

maimuang777 โพสต์ 2011-3-3 16:27:19

ขอบคุณครับ

ธรรม โพสต์ 2011-3-12 15:38:18

ขอบคุณนะครับ

angiejole โพสต์ 2011-6-16 16:36:09

สนุกมากๆๆๆค่ะ

John001 โพสต์ 2011-6-17 01:01:53

หรอยจังฮู้พี่บ่าว:loveliness:

blackart โพสต์ 2011-8-4 14:03:58

ขอบจายหลายๆๆ

bolero โพสต์ 2011-8-14 11:44:18


ขอบคุณครับผม

derm โพสต์ 2018-8-9 10:49:16

ว่าว สนุกจัง ขอบคุณครับ

lekthai โพสต์ 2018-8-12 09:13:31

สนุกดีครับ ขอบคุณ

naeXnote โพสต์ 2020-9-7 21:45:23

ขอบคุณครับ

nooloveguy โพสต์ 2020-9-7 22:18:17

{:5_119:}

daisuke338 โพสต์ 2022-6-9 01:10:14

ขอบคุณครับ
หน้า: [1]
ดูในรูปแบบกติ: หนุ่นโสดในฝัน