รักแรกพบ
ตอนที่ 1: แรกพบ
เรื่องเริ่มขึ้นในเช้าวันหนึ่งกลางเดือนพฤษภาคม เมื่อผมเรียนจบม.3
จึง เข้าเรียนต่อที่ ร.ร.อาชีวะเอกชนชายล้วนแห่งหนึ่ง โดยเลือกที่จะเรียนในด้านสาขาช่างไฟฟ้า วันแรกผมก็ตื่นสายแล้วครับ มัวแต่ฟังวิทยุคลื่น103.5 อยู่จนดึกสมัยนั้นเป็นคลื่นเลิฟเอฟเอ็ม ถ้าใครชอบฟังก็จะรู้ว่าในช่วงดึก จะไม่มีดีเจพูดเลยเปิดแต่เพลงอย่างเดียว
ผมขี่มอเตอร์ไซค์ไปเรียนด้วยความรีบ พอไปถึงก็รู้สึกเคว้ง เพราะว่าไม่รู้จักใครเลย
ตอนเรียนม.ต้นไปเรียนที่ต่างจังหวัดเลยไม่มีเพื่อน พยายามมองหาแถว
ขณะที่กำลังมองอยู่นั้นเองก็ไปสะดุดตากับนักเรียนคนหนึ่ง รูปร่างสูง ขาว
น่ารักดีแฮะ พอดีมันหันมาเลยต้องหลบตากลัวมันรู้ว่าเราแอบมองมันอยู่
“นาย นายคนนั้นน่ะ นายอยู่ช่างไฟห้อง 1 ป่าว”
“นายนั่นแหละ อยู่ช่างไฟใช่ป่าว”
“ครับ ทำไมหรอ”
“เราจำนายได้ ตอนวันมอบตัว มานี่ มาเข้าแถวต่อเรานี่”
ทำไมคนน่ารักขนาดนี้เราเห็นแล้วจำไม่ได้นะ แต่ก็ไม่มีเวลาคิดมากเพราะตอนนั้น
ออดเข้าแถวมันดังแล้วกำลังเตรียมเคารพธงชาติ เสร็จแล้วก็สวดภาวนา
ร.ร.ที่ผมเรียนไม่ได้สวดมนต์นะครับ เพราะเป็นโรงเรียนคริสต์ก็เลยจะสวดภาวนาแทน
คำสวดภาวนาก็จะประมาณว่า “ข้าแต่ท่านนักบุญยวงบอสโก ในขณะที่ท่านมีชีวิตอยู่ในโลกนี้”
อะไรประมาณนี้ละมันก็หลายปีแล้วผมก็จำไม่ค่อยได้ ต่อจากนั้นคุณพ่ออธิการก็จะขึ้นมาอบรม
ระหว่างนี้เองที่ผมหันไปทำความรู้จักกับไอ้คนข้างๆ ที่ปิ๊งอยู่เมื่อกี้
“เฮ้ย นายชื่อรัยวะ เราชื่อกานต์นะ”
“เราชื่อตั้มว่ะ ยินดีที่ได้รู้จักนะเว้ย”
“เออ เช่นกันว่ะ”
ในที่สุดก็ได้รู้ชื่อมันสักที หลังจากนั้นเราก้อคุยกันสารพัดเรื่อง
จนอธิการอบรมเสร็จก้อขึ้นห้องเรียนทีแรกกะว่าจะนั่งกับมันด้วยตอนเรียน
โต๊ะมันตั้งคู่ได้นั่งข้างมันก็ดีสิ แต่แห้วรับประทานครับ มันดันมีเพื่อนมาจากร.ร.เดิมด้วย
มันเลยนั่งด้วยกัน เลยต้องไปจับคู่กับคนอื่น น่าเสียดายจริงๆ
ห้องที่เรียนนั้นมีนักเรียนอยู่ 30 คน โดยมาสเซอร์จะให้จับคู่นั่งกัน พอดีรู้สึกคุ้นหน้าคนนึง
เลยไปขอนั่งด้วย คุยไปคุยมาเลยได้รู้ว่าบ้านมันเองไม่ไกลจากบ้านผมเท่าไหร่
เพื่อนคนนี้ชื่อดา
การเรียนในเทอมแรกไม่มีอะไรมากสบายๆ ผมก็เริ่มตีสนิทกับไอ้ตั้ม
ด้วยการเอาเรื่องเรียนมาบังหน้า
ใจจริงแล้วผมไม่อยากเรียนสายช่างหรอกอยากเรียนสายสามัญมากกว่า
แต่เตี่ยกับอาม้าอยากให้เรียนช่างมากกว่า เลยต้องตามใจท่าน
เลยส่งผลให้ผมโง่มากในวิชาช่าง เขียนแบบ วงจรประมาณนี้
เลยฟอร์มอาศัยไอ้ตั้มติวให้ โดยมีข้อแลกเปลี่ยน คือการที่ผมติววิชาสามัญให้มัน
เพราะผมเองจะคะแนนดีในวิชาภาษาอังกฤษ คณิตฯช่าง วิทย์ฯช่างพวกเนี้ย
จนเริ่มสนิทกันเวลาไปไหนก้อจะมีไอ้ดา ไอ้ตั้ม ไอ้นนท์(เพื่อนเก่าไอ้ตั้ม) และผม
จริงๆแล้วผมเองก็ประกาศตัวนะว่าเป็นเกย์ เพราะผมจีบน้องชายเพื่อนในห้องนี่แหละ
ไปนั่งกินเหล้าบ้านมันประจำน้องมันเรียนม.1 กำลังใสๆน่ารักเลยจีบเล่นๆ
แต่ในห้องไม่มีใครว่าอะไรผมนะครับ เพราะผมมันขาลุยอยู่แล้ว เพื่อนตีกันผมก็ไปกับมัน
กินเหล้า จีบหญิง(แต่ไม่เอาครับ ล่อมาให้เพื่อน) เพื่อนๆมันเลยเฉยไม่ว่ารัยกัน
จนเข้าสู่เทอม 2 ก้อตามประสาโรงเรียนคริสต์ทั่วไป ก็จะมีกิจกรรมเพียบเลย ทั้งกีฬาสี
คริสต์มาสเอย อะไรต่อมิอะไรเยอะแยะไปหมด ตอนนั้นใกล้คริสต์มาส
โรงเรียนผมจัดประกวดดนตรีกัน กลุ่มผมจะเข้าประกวดกัน โดยผมหัดเล่นกีตาร์มาตั้งนานแล้ว
เตรียมจะโชว์ฝีมือมั่ง ทีนี้เกิดมีปัญหาครับ 4 คน มีคนอยากเล่นกีตาร์ 3 คนครับ
โดยไอ้ตั้มบาย เพราะมันเล่นเป็นแต่กลองชุด จริงๆแล้วฝีมือกีตาร์ผมไม่ได้ดีอะไรหรอก
แต่อยากโชว์กะเขามั่ง เลยแย่งกะไอ้ดา ไอ้นนท์
แต่สาเหตุที่ทำให้ผมสละสิทธิ์จากการเล่นกีต้าร์ก้อคือ
วันหนึ่งช่วงพักเที่ยง ขณะที่ผมกำลังขะมักเขม้นซ้อมกีต้าร์นั้นเอง
ไอ้ตั้มมันก็เดินมานั่งคุยด้วย มันถามผมว่า
“กานต์มึงอยากเล่นกีตาร์ขนาดนั้นเลยหรอวะ”
“ป่าวหรอก กูอยากโชว์มั่งดิ มันเท่ห์ดี”
“หรอ กูขออะไรมึงอย่างได้ป่าว”
“อะไรอ่ะ” มันจับมือผมเฉยเลยครับ
“กูอยากให้มึงเลิกเล่นกีต้าร์ว่ะ เดี๋ยวมือมึงด้านหมดกูชอบให้มือมึงนิ่มๆอย่างเนี้ย
เวลามึงนวดต้นคอกูแล้วกูรู้สึกสบายดี กูขอนะ”
เขินดิครับถึงไม่รู้มันคิดอะไรรึเปล่า แหมคนที่ชอบมันเล่นมาจับมืออย่างนี้นะ
แถมขออย่างนี้ด้วย เพราะเวลาเรียนเครียดๆมันชอบให้ผมนวดต้นคอให้ทุกที
บางทีนวดแล้วมันหลับไปก้อมี
“ถ้ามึงขอกู กูให้มึงได้ แล้วมึงจะให้กูทำอะไรล่ะ”
“มึงก็ร้องเพลงดิ เสียงมึงดีนะเว้ย”
“เอาวะ เอาก้อเอา แต่ต้องให้กูเลือกเพลงเองนะ ตามใจคนร้อง”
“ตามสบาย กูยังไงก็ได้เล่นได้ทั้งนั้นแหละ”
สรุปแล้วผมเลยต้องมาเป็นนักร้องจำเป็น ส่วนไอ้ดาเป็นมือกีต้าร์
ไอ้นนท์มือเบส ส่วนไอ้ตั้มมือกลอง
ลงตัวแล้วเย็นนั้นเราเลยนัดซ้อมกันที่ห้องซ้อมดนตรีของโรงเรียนไอ้ดาก้อถามผมขึ้นมา
“กานต์ มึงเลือกได้ยังวะ ว่าจะเอาเพลงอะไร”
“กูเลือกได้แล้ว กูว่าจะร้องเพลง ก่อน ของโมเดิร์นด็อกว่ะ
ส่วนเพลงคริสต์มาสให้ไอ้ตั้มกับไอ้นนท์มันคิดเอาละกัน มันเด็กคริสต์นี่หว่า”
ในการประกวดครั้งนี้เพลงต้องร้อง 2 เพลงนะครับ เป็นเพลงทั่วไป 1 เพลง
อีกเพลงต้องเป็นเพลงเกี่ยวกับเทศกาลคริสต์มาส พอดีไอ้ตั้ม
กะไอ้นนท์มันเป็นคริสต์อยู่แล้วเลยให้มันเลือกกัน
“เฮ้ย เพลงก่อน นี่มอบให้มือกลองรึเปล่า”ไอ้นนท์ถามผมครับ
“ไอ้สันดานนี่ มึงพูดรัยคิดมั่งนะมึง เดี๋ยวคนอื่นได้ยินมันไม่ดีนะเว้ย”
แต่ตอนนั้แอบมองไอ้ตั้ม ผมว่าผมเห็นมันยิ้มนะ คงตาฝาดไปมั้ง
“เออ ว่าแต่มึงเลือกเพลงอะไรกันอ่ะ” ผมถามไอ้ตั้ม
“กูเลือกเพลง......”
ผมจำชื่อเพลงไม่ได้ จำได้แต่เนื้อเพลง เพราะเป็นเพลงที่ตั้มมันสอนผมร้อง
เนื้อเพลงมีอยู่ว่า
“สุขสันต์วันคริสต์มาส โอ้วันที่แสนชื่นบาน
เชิญมาขับเพลงประสาน สรรเสริญองค์พระกุมาร...”
เราซ้อมกันอย่างดี ในที่สุดเมื่อถึงวันคริสต์มาสอีฟ ทีมเราประกวดได้ที่ 2 มา
แล้ววันนั้นไอ้ตั้มก้อเลยชวนพวกผมไปเที่ยวบ้าน ซึ่งอยู่คนละจังหวัดกัน
ผมไปเพราะอยากลองไปเข้าวัด(โบสถ์คริสต์นั่นแหละครับ
คนคริสต์เชาไม่เรียกโบสถ์นะเขาเรียกวัด) กับไอ้ตั้ม ไอ้นนท์ดู เห็นมันบอกว่าสวย
ไปกันเอามอเตอร์ไซค์ไป 2 คันปกติเวลามันมาเรียนกันมันจะนั่งรถเมล์ครับ
ผมเองทีแรกจะซ้อนไปกับไอ้ดา แต่มันไม่ยอม มันบอกว่ามันไม่รู้ทาง
มันจะให้ไอ้นนท์มาขี่มอเตอร์ไซค์พามันไป เลยกลายเป็นว่าผมต้องไปซ้อนท้ายไอ้ตั้ม
จริงๆแอบดีใจนะครับ แหมมันเป็นธรรมดาได้ซ้อนท้ายคนที่เราแอบชอบอยู่
ใครไม่ดีใจก็บ้าแล้ว ตอนซ้อนท้ายไป มันขี่เร็ว ผมก็กลัวตก
เลยเอามือไปเกาะที่จับด้านหลังเบาะ ทีนี้มอเตอร์ไซค์ที่มันขี่เป็นมอเตอร์ไซค์ผู้ชาย
เบาะมันสูง ผมเลยนั่งเกร็ง
“กอดเอวกูไว้ก้อได้ ถ้ากลัวตกอ่ะ ไม่ต้องเกร็งขนาดนั้นหรอก”
“จะดีหรอวะ”
“เอาเหอะน่า กูบอกให้กอดเอว ก้อกอดเอวไปเหอะน่า”
ผมเลยจำใจต้องกอดเอวมัน เอหรือจะว่าเต็มใจก็ไม่รู้ เพราะรถมันเบาะท้ายสูงนะ
เลยเหมือนกอดแนบไปทั้งตัวเลย รู้สึกดีมาก พอถึงบ้านไอ้ตั้ม ไอ้นนท์เห็นเลยแซว
“เฮ้ย ถึงบ้านมันแล้วนะมึง มึงจะกอดจนถึงห้องนอนเลยรึงัย”
“ไอ้เชี้ยนี่รถมันยังจอดไม่สนิทเว้ย ไม่ต้องมาแซวกูเลยนะมึง”
บ้านตั้มทำไร่ครับปลูกพวกหัวหอม มะเขือเทศ อะไรพวกเนี้ย พ่อแม่ดูท่าทางใจดีครับ
ยิ้มเก่ง หน้าไอ้ตั้มนี่ถอดแบบพ่อมันมาเปี๊ยบเลย ยิ้มยังเหมือนกันเลย
พอกินข้าวเย็นเสร็จประมาณ 2ทุ่มกว่า
“ไปสอยดาวกันดีกว่า”
ไอ้นนท์ชวนพวกผมเลยขี่มอเตอร์ไซค์ไปกันคริสต์มาสปีนั้นอากาศหนาวมากกว่าทุกปีครับ
ได้บรรยากาศดี ไปสอยดาว เล่นบิงโก หนูลงรูแล้วก็เกมส์อื่นๆ อีกเพียบ
จนประมาณ 4 ทุ่มกว่าไอ้ตั้มเลยพาไปดูการแสดง เ
กี่ยวกับการประสูติของพระกุมารประมาณเนี้ย พอเที่ยงคืนก็เข้าวัดครับ
สวยมากเลย ดอกไม้และไฟเต็มไปหมด ผมไม่เคยเห็นนี่
ถึงบ้านผมจะใกล้โบสถ์แต่ผมไม่เคยเข้าไปนี่เป็นครั้งแรกเลย
หลังเสร็จพิธี ทุกคนก้อจะเดินเข้าไปที่ถ้ำที่มีตุ๊กตารูปพระกุมารอยู่
ผมก้อเดินตามไปด้วย
“กานต์ เดี๋ยวอยากขอพรอะไรจากพระกุมารก็ขอนะ รู้เปล่า” ตั้มบอก
“แล้วเขาขอกันยังงัยวะ”
“ก็จูบเท้ารูปพระกุมารแล้วอธิษฐานดิ”
“ขอรัยก็ได้หรอ”
“เออ อยากได้รัยก็ขอเอา”
ขณะที่ผมจูบเท้ารูปปั้นพระกุมารนั้น สิ่งที่ผมขอคือ
ขอให้ความรู้สึกดีที่ผมได้รับในวันนี้อยู่กับผมให้นานที่สุด
“มึงขออะไรวะ กานต์” ไอ้ตั้มถามผม
“กูขอ... เรื่องไรกูต้องบอกมึงด้วยล่ะ”
“ไอ้สันดานนี่ หัดมีความลับกับกูหรอ”
“มึงบอกกูก่อนดิ แล้วกูจะบอกมึง”
“กูไม่บอก”
“มึงไม่บอกกู กูก็ไม่บอกมึง”
“จำไว้นะมึง”
แล้วคืนนั้นพวกผม 4 คนนอนกันที่ห้องไอ้ตั้ม กว่าจะกลับถึงบ้านมัน
เกือบตี 3 เข้าไปแล้ว เลยหลับกันเป็นตาย ซกมกด้วยวันนั้นน้ำไม่ได้อาบ
ตอนที่ 2
Last Updated On: 16 มิถุนายน 2550 - 18:51:00
ที่ 2
: การผูกพันของใจ2ใจ
หลังจากคริสต์มาสผ่านไปแล้วก้อต้องกลับมาเรียนอีก
โรงเรียนผมนี่เสียอยู่อย่างโรงเรียนอื่นเขาหยุดยาวจนปีใหม่
แต่พวกผมไม่ได้หยุดครับ ต้องมาเรียนอีกหยุดวันที่ 25 วันเดียว
โคตรเซ็งเลย เรียนไม่กี่วัน ก้อฉลองปีใหม่อีก แล้วจะให้กูมาทำไมวะแค่ไม่กี่วันเอง
พอพ้นปีใหม่แล้วก้องานยุ่งอีกแล้ว
เพราะปลายเดือนมกราคมจะมีงานฉลองคุณพ่อบอสโก
ซึ่งเป็นผู้ก่อตั้งคณะนักบวชที่ดูแลโรงเรียนผม
และถือเป็นงานใหญ่ประจำปีของโรงเรียนผมเลยก้อว่าได้ พวกผมซึ่งเรียนช่างไฟ
จึงต้องรับผิดชอบการประดับไฟในงาน และคอยเก็บเมื่อเลิกงานด้วย
ดังนั้นไอ้พวกที่บ้านอยู่ไกลจึงต้องหาที่นอนในคืนนั้นครับ ไอ้ตั้ม
และไอ้นนท์จึงตกลงกันที่จะมานอนค้างที่บ้านผม
เย็นก่อนวันงานก่อนที่ไอ้ตั้มมันจะกลับบ้าน มันก้อพูดขึ้นมาว่า
“กานต์ พรุ่งนี้มึงเลี้ยงสปายกูหน่อยดิ”
“มึงมีตังค์ก้อซื้อแดกเองดิ มาขอรัยกู”
“ไอ้เคี่ยว เลี้ยงเพื่อนมึงหน่อยไม่ได้ใช่มั้ย”
“เออกูเคี่ยว ไม่ให้มึงแดกหรอก”
มันทำท่าเหมือนงอนผมครับ ผมกะอำไปงั้นแหละ จริงๆแล้วผมกะซื้อมากินอยู่แล้ว
อุ่นเครื่องก่อนไปกินเหล้าต่อตอนกลางคืนที่บ้านไอ้เดียร์ เพื่อนในห้องอีกคน
วันรุ่งขึ้นตอนเย็น ผมก้อซื้อสปายมาด้วยโหลนึงเพราะกินกันหลายคนปรากฏว่าไ
อ้ตั้มงอนครับ มันเลยซื้อของมันมาเองอีกโหล ผมเลยว่ามันไปว่า
“มึงให้กูซื้อ แล้วมึงซื้อมาทำไมเนี่ย”
“ก้อมึงบอกว่ามึงไม่ซื้อไม่ใช่หรอ กูก้อซื้อมาแดกเองดิ กูเบื่อไอ้พวกเคี่ยว”
“เคี่ยวส้นตี...ไรกูก้อซื้อมานี่แล้วไง”
ไอ้นนท์คงรำคาญผมทั้งคู่เลยบอกให้กินด้วยกันทั้งหมดนั่นแหละ
ก้อเลยนั่งกินกันเพื่อรอเก็บไฟในงาน
กว่างานจะเลิกแล้วเก็บไฟเสร็จก้อประมาณเที่ยงคืน
ก้อเลยไปกินเหล้าต่อที่บ้านไอ้เดียร์กัน พอประมาณสักตี 2 กว่าๆ
ผมก้อบอกเพื่อนๆว่าง่วงนอนแล้วจะกลับบ้านไปนอนแล้ว ไอ้เดียร์ก้อสอดขึ้นมาว่า
“ง่วงเป็นเชี่ยนๆ รึเปล่าวะ คืนนี้ที่รักไปนอนด้วยเนี่ย มึงอ่ะ”
“ควายดิ กูไม่เคยคิดทำอย่างงั้นกับเพื่อนกูหรอก แล้วอีกอย่างไอ้นนท์มันก้อนอนด้วย”
แต่ในใจก้อแอบคิดไปว่าถ้ามันเป็นแฟนกูแล้วอีกเรื่องนึงโว้ย
ไอ้นนท์มันได้ทีมันเลยบอกว่า
“เดียร์กูนอนด้วยคนดิ กูไม่อยากไปเป็นก้าง”
“มึงไม่ต้องเรื่องมากเลยไอ้นนท์ จะไปนอนมั้ยบ้านกูน่ะ”
“ไปก้อไป แซวนิดแซวหน่อยทำโมโหกลบเกลื่อน”
“ไอ้เวรนี่ ไม่เลิกนะมึงเนี่ย”
แล้วเพื่อนๆมันหัวเราะกัน จริงๆแล้วระหว่างผมกับไอ้ตั้มในตอนนั้น
ไม่มีอะไรนะครับ ก้อแค่ผมรักมันข้างเดียว
ผมเลยเหมือนจะเทคแคร์มันมากกว่าคนอื่น
ส่วนมันเองเหมือนจะใส่ใจผมมากกว่าเพื่อนคนอื่นเพราะผมดีกับมันงัย
โดยที่ไม่มีอะไรมากไปกว่านั้น เลยเป็นเหตุให้เพื่อนมันชอบเอามาแซวกัน
ผมขี่มอเตอร์ไซค์ซ้อนสามพามันกลับบ้าน
พอมาถึงบ้านผมก้อเอารถมอเตอร์ไซค์เข้าบ้าน
ผมบอกมันสองคนว่าอย่าเสียงดังเดี๋ยวเตี่ยกะม้ากูตื่น เขาต้องไปขายของแต่เช้า
พอขึ้นไปข้างบนไล่ใครก้อไม่มีใครยอมลงมาอาบน้ำ เลยนอนกันมันทั้งยังงั้นแหละ
เตียงในห้องผมมันใหญ่พอสมควร นอนได้ 4 คนสบาย ผมนอนริมนอก
ไอ้ตั้มนอนกลาง ไอ้นนท์นอนริมในเพราะมันนอนดิ้น
ผมหลับไปได้สักพักรู้สึกปวดแขน เลยลืมตามาดูปรากฏว่า
ไอ้ตั้มมันนอนหนุนแขนผมอยู่ โคตรปวดเลย
แต่มองหน้ามันใกล้ๆแล้วน่ารักมากผมเลยเอามือไปลูบหน้าผากมันเล่น
ใจก้อนึกอยากจูบมันนะ แต่ไม่กล้ากลัวเสียเพื่อน
เลยได้แค่ลูบหน้าลูบผมมันเล่น ระหว่างนั้นเอง อยู่ดีๆ
มันลืมตาขึ้นมามองหน้าผมเฉยเลย เล่นเอาสะดุ้ง มันถามผมว่า
“มึงทำรัยวะ”
“ป่าว กูไม่ได้ทำรัย”
“ไม่ทำได้งัย ก้อมึงลูบหน้ากูอยู่”
“กูห่วงมึง อากาศก้อเย็น เสือกถอดเสื้อนอน กูกลัวมึงไม่สบาย”
“ห่วงกูจริงอ่ะ”
“ก้อห่วงดิ มึงเพื่อนกูนะ”
ระหว่างที่ผมพูดนั้น มันก้อจูบหน้าผากผมทีนึง เล่นเอาอึ้งเลยครับ
“มึงทำรัยอ่ะ”
“มึงห่วงกู กูก้อห่วงมึงมั่งดิ”
“บ้าดิ มึงอ่ะเมาแล้ว”
“กานต์ มึงรักกูจริงรึเปล่า”
“สิ่งที่กูทำลงไปทั้งหมดมึงยังไม่เข้าใจอีกหรอ”
แทนคำตอบไอ้ตั้มก้อประกบปากจูบผมทันทีตอนนั้นยอมรับว่างงมาก
แต่ว่ารู้สึกดีนะ ปากมันมีรสหวานมาก คงเพราะเป็นคนที่เรารออยู่มั้ง
แลกลิ้นกันอยู่พักนึง จนมือผมและมันเริ่มอยู่ไม่สุข แต่ก่อนที่จะมีอะไรไปมากกว่านั้น
ไอ้นนท์ดันไอขึ้นมา ทำเอาผละออกจากกันแทบไม่ทัน ผมเลยบอกไอ้ตั้มไปว่า
“ตั้ม อย่าพึ่งเลยนะเดี๋ยวไอ้นนท์ตื่น”
“งั้นมึงต้องกอดกูไว้นะ”
“กูก้อกอดมึงอยู่นี่งัย”
สรุปแล้วเลยอดครับคืนนั้นได้แต่กอดกันจนเช้า พอตื่นขึ้นมา ไอ้ตั้มลุกไปอาบน้ำแล้ว
ผมเลยปลุกไอ้นนท์ให้ไปอาบน้ำ แต่ไม่รู้ไอ้ตั้มมันเป็นอะไร
มันไม่ยอมพูดกับผมเลยจนกระทั่งมันกลับบ้าน
พอมันกลับบ้านไปแล้วผมกลับมานั่งเครียด มันเป็นรัยมันวะ
เมื่อคืนยังกอดกูอยู่เลยแล้วทำไมเช้ามามันไม่พูดอะไรเลยกูทำอะไรผิดวะ
ตอนนั้นอึดอัดใจมากนั่งร้องไห้อยู่ในห้อง เตี่ยม้าเรียกกินข้าวก็ไม่ลงไป
บอกไปว่าไม่หิว ใครจะไปกินลงล่ะ ผมมันประเภทคิดมากอยู่แล้ว
เวลาคิดมากก้อไม่ค่อยบอกใครเพราะที่บ้านผมเป็นคนจีน
ถ้าคนที่เป็นลูกคนจีนจะรู้ดีนะว่าคนจีนจะเลี้ยงลูกเหมือนมันจะมีช่องว่างนะครับ
คือไม่ใช่เขาไม่รักนะ แต่บางทีมันไม่รู้สิครับ มันเป็นความรู้สึกว่าเขาไม่รับฟังเรามั้ง
มีแต่ป้อนคำสั่งให้เราทั้งวันไม่ได้กินอะไรเลยนั่งร้องไห้จนประมาณสี่ทุ่มได้
เสียงโทรศัพท์ในห้องผมดังขึ้น
“สวัสดีครับ ขอสายใครครับ”
“ขอสายคนพูดนั่นแหละ”
ไอ้ตั้มครับ ไอ้ตั้มจริงๆด้วยมันโทรมาหาผมแล้ว
“มีธุระอะไรรึเปล่าครับ”
“ทำไมพูดห่างเหินจังวะ”
“ก้อ...คุณคงไม่อยากคุยกับผมมั้ง เมื่อเช้าคุณจะกลับคุณยังไม่พูดกับผมเลยสักคำ”
“กูคิดอะไรนิดหน่อยว่ะ”
“คิดอะไรล่ะครับ หรือคิดเสียใจที่เมื่อคืนไม่น่าเมาแล้วพูดพล่อยๆ ออกมา”
“กานต์ กูไม่เคยพูดพล่อยๆนะ สิ่งที่กูพูดออกมาจากใจนะ กูไม่เคยคิดหรอกนะ
เพราะถ้ามันเกิดจากความคิดกู กูคงห้ามความคิดกูได้ แต่ที่มันเกิดขึ้นมันเกิดจากใจกู
กูไม่รู้ว่าเพราะอะไร แต่เวลามีมึงอยู่ด้วยกูมีความสุข”
“ตั้ม มึงรู้มั้ย กูรักมึง กูก้อเหมือนมึง กูไม่รู้ว่าเพราะอะไร ที่ผ่านมา มึงนึกว่ากูไม่เจ็บเหรอ
ที่ต้องคิดว่ามึงเป็นแค่เพื่อน กูไม่มีสิทธิ์ในตัวมึง ทั้งที่มึงอยู่แค่นี้ แต่กูก้อกอดมึงไม่ได้”
ผมพูดแล้วก้ออดร้องไห้ไม่ได้
“กานต์ มึงอย่าร้องไห้ดิ มีเพลงนึงที่กูว่ามันคงจะบรรยายความรู้สึกกูได้ดีที่สุด”
แล้วมันก้อร้องเพลงให้ผมฟังครับ เพลง I SWEAR คิดว่าคงรู้จักกันนะครับ
เพลงนี้ผมชอบมากที่สุดเนื้อเพลงก้อคือ
I swear by the moon and the stars in the skys
and I swear like the shadow that's by your side
I see the questions in your eyes I know what's weighing on your mind
You can be sure,I know my part 'cause I stand beside you through the years
you only cried those happy tears and though I make mistakes
I'd never break your heart
And I swear by the moon and the stars in the skys I'll be there
I swear like the shadow that's by your side I'll be there
for better or worse till death do us part
I'll love you with e-ve-ry beat of my heart and I swear
I'll give yoy e-ve-rything I can I'll build your dreams with these two hands
We hate some memories although ours And when just the two of us are there
You won't have to ask if
I still care 'cause there's a time stops the pain
My love won't ache at all
And I swear by the moon and the stars in the skys I'll be there
I swear like the shadow that's by your side I'll be there
for better or worse till death do us part
I'll love you with e-ve-ry beat of my heart and I swear
I swear by the moon and the stars in the skys I'll be there
I swear like the shadow that's by your side I'll be there
for better or worse till death do us part
I'll love you with e-ve-ry beat of my heart and I swear
พอมันร้องจบผมก็เขินดิ เล่นมาร้องให้กูฟังอย่างนี้ เลยยิ้มทั้งน้ำตาเลย
“เอ่อ เพลงก้อ...เพราะดีนะ”
“แล้วมึงเข้าใจความหมายมันมั้ยล่ะ”
“ไม่เข้าใจหรอก...กูโง่”
“ไม่ต้องแกล้งโง่เลยนะ กูรู้ว่ามึงรู้ ตั้งแต่วันนี้ไปมึงเป็นคนของกูแล้วนะ”
นี่มันขอเป็นแฟนกะกูหรอ มันพูดหวานๆ อย่างคนอื่นเขาไม่เป็นรึงัยวะเนี่ย
“เงียบทำไม เข้าใจมั้ย”
“ถ้ากูไม่เข้าใจ...กูก้อบอกมึงไปแล้วละ”
“ดีแล้ว พรุ่งนี้เจอกันที่โรงเรียนนะครับ ที่รัก”
“หา ... ว่าอะไรนะ พูดใหม่ดิ ฟังไม่ถนัด”
“ไม่เอาเว้ย จั๊กกะจี้ปาก แค่นี้นะ”
มันวางสายไปแล้ว ผมนั่งหยิกแก้มตัวเอง กูฝันไปป่าววะเนี่ย
ปรากฏว่าคืนนั้นหลับไม่ลงยิ่งกว่าเดิมอีกครับ ตื่นเต้นจนทำอะไรไม่ถูก
ตอนที่ 3
16 มิถุนายน 2550 - 18:54:00
คำสัญญา
ตื่นเช้ามา วันนี้อากาศโคตรรดี เลยทำไมอะไรมันก้อดูดีไปหมดเลยวะ
ไปโรงเรียนดีกว่า ไปถึงโรงเรียนก้อรีบเอากระเป๋าไปวาง แล้วก้อลงไปกินข้าว
กะลังอารมณ์ดีๆเลยไอ้เดียร์มาแซวกูซะอีก
“มึงเมากัญชาป่ะวะ กูเห็นนั่งยิ้มทำตาเยิ้มมาตั้งนานแล้วนะ คนบ้ารัยวะ แดกข้าวไปยิ้มไป”
“กูอารมณ์ดีเว้ย อย่างมึงอ่ะไม่รู้หรอก”
“อารมณืดีเรื่องรัยวะ รึว่าโดนเปิดบริสุทธิ์ไปเมื่อคืนวันเสาร์”
“อ้าวไอ้สันดานนี่ ลามปาม กูยังซิงอยู่นะมึง”
“เชื่อตายล่ะ”
ก่อนจะคุยรัยกันมากไปกว่านี้พอดีออดเข้าแถวดังเลยสงบศึกกันชั่วคราว
ในใจก้อนึกว่าเดี๋ยวจะต้องล่าให้ไอ้ดาฟังซะหน่อย พอขึ้นห้องไป
อ้าวแล้วไอ้บ้านั่นมานั่งทำรัยอยู่ตรงนั้นวะ
“ตั้ม มึงมานั่งรัยนี่วะ”
“กูก้อมานั่งกะแฟนกูดิ”
“ไหนใครหรอ แฟนมึง น่ารักป่ะชี้ให้กูดูหน่อยดิ”
“มึงไม่ต้องมาฟอร์มเลยนะ” ว่าแล้วมันก้อดึงแขนผมให้นั่งลงคู่กะมัน
“โอ้ย ที่รักจ๋าอย่าทำเค้าแรงสิ เค้าเจ็บนะ 555 จับมือถือแขนกันด้วยนะมึง”
ไอ้ระไอ้เวรเอ้ย มึงเงียบก้อไม่มีใครเขาว่ามึงเป็นใบ้หรอกนะ
ไอ้เชี้ยข้างกูนี่อีกตัวแม่งนั่งยิ้มอยู่ได้ กูอายนะไอ้สาดดด
“เฮ้ยเซอร์เข้าสอนแล้วพวกมึง”
โอ้พระเจ้า ระฆังช่วยกูพอดีเลย ไม่งั้นแม่งแซวกระจายแน่เลยกู รอดตัวไป
“กานต์ ต่อไปนี้นะ มึงต้องกินข้าวกะกูทุกวันนะ”
“ก้อกูก้อกินกะมึงอยู่ทุกวันแล้วงัย”
“กินเสร็จก้อต้องไปกะกูด้วย”
“ไม่เอา กูขี้เกียจเล่นบอลกะมึง กูจะไปเล่นบาสอ่ะ”
“งั้นกูไปเล่นด้วย ปล่อยมึงไปเล่นเดี๋ยวมึงไปคุยกะไอ้หน้าหนูนั่นอีก”
ไอ้หน้าหนูในที่นี้คือรุ่นพี่ครับ อยู่ปี 2 ช่างกลชื่อพี่พลน่ารักโคตรๆ สูงประมาณ 180
ขาวตี๋ เล่นบาสด้วย กะลังจีบอยู่ก่อนที่จะตกลงคบกะไอ้ตั้มนี่แหละ
“อ้อ ไอ้ไอซ์ก้อไม่ต้องคุยกะมันแล้วนะ คนอื่นด้วย มึงมีกูแล้วนะ”
ไอ้ไอซ์นี่น้องไอ้ดรีมค้าบ น่ารักดีก้อเลยจีบ จริงๆแล้วก้อจีบไว้เยอะนะครับ
แต่แบบว่าไม่เน้นเรื่องอย่างว่า เน้นหาคนคุยด้วยอ่ะ ตอนนั้นอ่ะนะ
“คุยเฉยๆ ก้อไม่ได้หรอ”
“ไม่ได้อยากคุยก้อคุยกะกูเนี่ย”
ซวยแล้วมั้ยล่ะกู คิดผิดป่ะวะเนี่ยเอาเพื่อนเป็นแฟนเนี่ย รู้เรื่องกูหมดเลยดิ โอ๊ยกลุ้มใจ
“ก้อได้ งั้นมึงต้องสัญญานะว่ามึงจะไม่มีใคร ถ้าวันไหนมึงผิดสัญญานะ น่าดู”
“เออน่า กูสัญญา”
เพราะคำสัญญาวันนั้นแหละ ที่ทำให้ชีวิตผมเปลี่ยนไป นึกถึงน้ำตาจะไหลแว้ว
ตอนที่ 4
16 มิถุนายน 25
วาเลนไทน์ครั้งแรก
หลังจากตกลงเป็นแฟนมันมาได้ประมาณ 10 กว่าวันก้อพอดีเป็นวันวาเลนไทน์พอดีเลย
ไอ้ผมเองก้อติดนิสัยเล่นเหมือนเด็กๆอ่ะ ก้อไม่รู้เดี๋ยวนี้เด็กมันยังเล่นอยู่รึเปล่า
ก้อคือซื้อสติ๊กเกอร์รูปหัวใจมา แล้วก้อไล่แปะตามปกเสื้อช็อปของเพื่อนในห้องเล่น
แปะไปทั่วคนนั้นมั่ง คนนี้มั่ง แต่พอจะแปะไอ้ตั้มปรากฏว่าสติ๊กเกอร์หมดพอดีครับ
“ไมมึงไม่แปะกูคนเดียววะ”
“โทษที หมดพอดีเลยว่ะ”
“แล้วมึงมีรัยจะให้กูป่ะ”
“ไม่มีหรอก กูลืมเตรียม”
มันก้อทำหน้าเหมือนงอนนะ โคตรสะใจเลย จริงๆแล้วเตรียมให้มันแล้ว
ผมซื้อช็อกโกแลตให้มันครับ ไม่วิเศษอะไรหรอก ก้อแค่ทูโทนของอัลฟี่ธรรมดา
เสร็จแล้วแอบเอาไปเก็บในเป้มัน จนตอนกลางวันมันออกจากช็อปไปล้างมือ
เตรียมกินข้าวกลางวันนั่นแหละ มันถึงเจอทูโทนที่เอาไปซ่อนไว้ให้
“กานต์ กูกินได้ป่ะ”
“ก้อกินไปดิ กูซื้อมาให้มึงกิน มึงกินหมดเดี๋ยวกูซื้อให้ใหม่ก้อได้”
“อืมม์”
“ว่าแต่วันนี้มึงค้างที่นี่ได้ป่ะ”
“โทษทีว่ะ ไม่ได้ขอแม่ไว้”
โหมึงนะ วันนี้วันวาเลนไทน์นะมึงยังไม่มีรัยให้กูเลย กูขอให้อยู่ฉลองกะกู มึงก้อไม่ยอมอยู่
จริงแล้วก้อไม่ได้ฉลองอะไรหรอกครับ วันศุกร์มันเป็นวันเที่ยวเธค เที่ยวคาราโอเกะ
กินเหล้าของพวกผมอยู่แล้ว อย่างที่บอกนะผมมันคนขี้น้อยใจอยู่ด้วยก้อเลยเจ็บลึกๆ
“เป็นไรป่าววะ”
“ป่าวไม่มีรัยหรอกน่า มึงก้อคิดมากไปได้” แต่ในใจกูน่ะร้องไห้ไปแล้วนะมึง
“ไปกินข้าวกันเหอะ กูหิวแล้ว”
“เออ ไปดิ”
พอเลิกเรียนมันบอกว่าต้องรีบกลับบ้าน วันนี้ไม่รอเพราะเดี๋ยวรถเมล์คนเยอะ
ส่วนผมต้องทำความสะอาดช็อปเพราะเป็นเวรพอดี ทำเสร็จก้อไปบ้านไอ้เดียร์
มีนัดกินเหล้ากัน พอเดินเข้าไปถึงเพื่อนมันกินเหล้ากันที่บ้านแม่ไอ้เดียร์
เลยเอาเป้ไปเก็บบ้านไอ้เดียร์ คือว่าบ้านไอ้เดียร์กะบ้านแม่มันจะอยู่ในรั้วเดียวกัน
แต่ว่า คนละหลัง เสร็จแล้วก้อเดินมาที่วงเหล้า
“ว่างัยจ๊ะวันนี้ที่รักไม่อยู่ด้วยหรอจ๊ะ แล้วจะฉลองวาเลนไทน์กะใครล่ะเนี่ย”
ไอ้เดียร์มึงเงียบกูก้อไม่ว่ามึงเป็นใบ้หรอกนะ ผมนึกในใจ
“กูก้อฉลองกะพวกมึงนี่แหละ”
“น่าสงสารจริงๆ อุตส่าห์มีแฟนกะเขาทั้งที แฟนก้อไม่อยู่”
แม่งเอ๊ยจะย้ำกันไปถึงไหนวะ
“กูขอตัวแป็ปนึงนะ”
ผมเดินหนีมานั่งร้องไห้ที่บ้านไอ้เดียร์คนเดียว
นึกในใจมันบอกว่ารักกูแล้ววันนี้มันปล่อยให้กูอยู่คนเดียว
แม่งรักเ[อย่าโพสคำหยาบ]้...รัยอย่างงี้วะ ขณะที่ผมร้องไห้อยู่นั่นเองก้อมีมือมากอดผมจากข้างหลัง
“ทำไมขี้แงจังวะ แฟนใครเนี่ย”
นี่กูคิดถึงมันขนาดหูฝาดเลยหรอวะเนี่ย แต่พอหันกลับไปเป็นไอ้ตั้มจริงด้วย
“ไหนมึงบอกว่า มึงต้องรีบกลับบ้านงัยล่ะ”
“รีบกลับกูก้อไม่ได้เห็นคนขี้แงดิวะ”
“แม่มึงไม่ว่าหรอ”
“กูขอเขาตั้งกะเช้าแล้ว”
“นี่มึงหลอกกูหรอ”
“ก้อวันนี้ มึงแกล้งกูก่อนนี่หว่า”
“กานต์ครับ ตั้มให้กานต์นะทีแรกตั้มจะให้แต่กุหลาบขาวเพราะมันหมายถึงรักนิรันดร์
แต่ตั้มกลัวกานต์ถือ”
มันส่งกุหลาบให้ผมสองดอกสีขาวดอกนึง สีแดงดอกนึง เขินโคตรๆ
เกิดมายังไม่เคยมีใครมาให้กุหลาบอย่างนี้เลย ทีแรกก้องงนะครับ
ว่าทำไมถ้าให้แต่กุหลาบขาวแล้วกลัวผมจะถือ ตอนหลังมารู้จากไอ้นนท์
ว่าปกติแล้ว คนคริสต์เขาใช้กุหลาบขาวกะคนตายอ่ะ
“เฮ้ย สวีทอิ่มยังวะ เหล้าอ่ะ จะแดกมั้ย น้ำแข็งละลายหมดแล้วนะมึง”
ไอ้เดียร์มาแหกปากเรียกไอ้เวรนี่มันเป็นมารจริงๆ
“รู้แล้วเดี๋ยวกูไปแดกเองแหละ”
“ไปเหอะ กานต์เพื่อนมันมาเรียกแล้ว”
แล้วไอ้ตั้มก้อดึงมือผมไปกินเหล้ากัน พอเดินออกมาไอ้เพื่อนเวรก้อตั้งหน้าตั้งตาแซวกันจริงๆ
“มึงกลัวหลงกันรึงัยวะ แค่นี้ต้องจูงมือกันด้วย”ไอ้ดาแซวผม
“ตั้ม มึงเบื่อเมื่อไหร่บอกกูนะเดี๋ยวกูจองต่อ”ไอ้เดียร์พูดขึ้นมาบ้าง
“เสือ...เลย แฟนกูนะมึงห้ามยุ่ง”
“ค้าบพี่ ผมไม่ยุ่งหรอกค้าบ”
กินเหล้ากันได้สักพักก้อเลยตกลงกันว่าจะไปต่อกันที่คาราโอเกะ วันนั้นไปถึงคนแน่นมาก
เลยต้องเข้าห้องวี โดยมากก้อไม่ค่อยได้ร้องหรอก มัวแต่นั่งจับมือกะไอ้ตั้มอยู่อ่ะ
เหล้าก้อกินน้อย กับแกล้มก้อไม่ทัน มากะแฟนโคตรเสียเปรียบเลยโว้ย
พอเสร็จจากคาราโอเกะประมาณตีหนึ่งกว่า เลยเตรียมตัวกลับกัน
“กานต์ วันนี้มึงพาที่รักไปนอนบ้านหรอวะ” ไอ้เดียร์ถามขึ้นมา
“กูก้อว่างั้นแหละ”
วันนี้ไม่มีก้างด้วยไอ้นนท์ไม่ได้มา เสร็จกูล่ะมึง เอรึกูจะเสร็จมันวะ
“งั้นมึงพากูไปเอาเป้ที่บ้านไอ้เดียร์ก่อนดิ”
“เฮ้ย ถ้าไปเอาเป้บ้านกู มึงก้อนอนบ้านกูเลยดิขี่รถไป ขี่รถมา อันตรายนะมึง
รถอ้อยยิ่งเยอะอยู่ช่วงนี้”
“กานต์มึงว่างัยอ่ะ เดี๋ยวเตี่ยกะม้าจะว่าป่าว”
“เขาไม่ค่อยสนใจกูหรอกกูจะไปนอนที่ไหนอ่ะ”
“งั้นสรุปคืนนี้นอนบ้านกูนะ เดี๋ยวกูจะได้แอบดู”
“อ้าวไอ้สาดนี่ กูไม่ใช่ดาราหนังเอ็กซ์นะมึง จะได้มาโชว์ให้มึงดู”
“กูพูดเล่น เดี๋ยวกูยกให้มึงเป็นเรือนหอเลยห้องนึง”
หลังจากกลับมาถึงบ้านไอ้เดียร์ ผมก้อไปอาบน้ำก่อน(เตรียมพร้อมรับศึก หุหุหุ)
ขากนั้นไอ้ตั้มก้อไปอาบน้ำ ระหว่างนั้นผมก้อแกล้งทำเป็นนอน พอไอ้ตั้มอาบน้ำกลับเข้ามาในห้อง
“กานต์ มึงหลับไปยัง”
“.....”
“ไอ้นี่มันหลับไวจังวะ” ไอ้ตั้มก้อปิดไฟแล้วก้อเดินมานั่งข้างๆผม
“ไอ้ขี้เซาเอ้ย นึกจะหลับก้อหลับนะมึงเนี่ย”
“ใครบอกมึงว่ากูหลับล่ะ”
พูดเสร็จผมก้อดึงไอ้ตั้มมาจูบ มันก้อไม่ขัดขืน ระหว่างที่จูบปากกันผมก้อถอดเสื้อมันออก
แล้วก้อไซร้ไปที่ติ่งหูมัน มันพึ่งสระผมมาใหม่ๆ กลิ่นแชมพูยังอยู่เลย ปกติมันเป็นคนผมบาง
แถมตัดสั้น มันเลยชอบใส่เยล ทำเป็นไอ้หัวหนาม
พอผมมันไม่ได้ใส่เยลมันก้อมองแปลกไปอีกแบบนึง ผมขบติ่งหูมันเล่น
“อาว์ กานต์กูเสียวจัง”
ผมไม่ว่างตอบมันหรอก เพราะผมกำลังลากลิ้นลงมาที่ซอกคอมัน
จากนั้นก้อดูดนมมันเล่นสลับซ้ายขวาตอนนี้มันจิกเล็บลงบนหลังผมแล้ว
“กานต์ ตั้มไม่ไหวแล้ว ช่วยตั้มทีนะ”
มันกดหัวผมลงไปหาตั้มน้อยผมเอาจมูกซุกไซร้เล่น รู้สึกถึงความแข็งที่อยู่ใต้กางเกงบอลของมัน
นี่มันเตรียมพร้อมถึงขนาดไม่ยอมใส่กางเกงในเลยหรอวะเนี่ย ผมนึกในใจ
มันเอามือจับหัวผมไว้แน่น ผมเอาปากงับขอบกางเกงบอลที่มันใส่แล้วค่อยๆดึงรูดลงมา
แล้วสิ่งนั้นมันก้อหลุดออกมาเป็นอิสระ ลำตั้งตรงสวย ขาวเหมือนผิวของมัน หั
วยังไม่เปิดเลยครับ ขนาดพอสมควรแต่ไม่รู้ว่าเท่าไหร่เพราะไม่เคยวัดอ่ะ
มันยกสะโพกขึ้นเล็กน้อยแล้วก้อรูดกางเกงออกไปทางปลายเท้า
ผมอยากแกล้งมันก้อเลยไซร้ไปที่ไข่ของตั้มดูดเล่น เสร็จแล้วแหย่ลิ้นไปที่ขาหนีบ
จากนั้นก้อเลียไปที่ต้นขา โดยพยายามที่จะไม่ให้ร่างกายส่วนใดไปสัมผัสกับตั้มน้อย
ตั้มมันดิ้นเหมือนปลาโดนทุบหัว
“กานต์ กูไม่ไหวแล้ว อย่าทรมานกูเลยนะ”
“ตั้มพูดกับกานต์เพราะๆ ก่อนดิครับ”
ผมเล่นแง่หน่อยนึง นึกในใจ มึงอยากให้กูทำ มึงก้อต้องพูดเพราะๆกับกูดิวะ
“ครับ กานต์ครับ ตั้มใจจะขาดแล้ว อย่าทรมานตั้มเลยนะครับ ที่รัก”
ผมเอามือจับตั้มน้อยครับ แล้วก้อรูดเล่นเบาๆ
จากนั้นก้มหัวลงไปหาแล้วเอาลิ้นเลียหัวที่เยิ้มไปด้วยน้ำ[คัน]ของตั้ม
ยิ่งทำให้ตั้มบิดเอวใหญ่ ตั้มพยายามเด้งเอวส่งท่อนเนื้อนั้นเข้ามาในปากผม
ผมห่อปากรับด้วยความเต็มใจ ขณะที่ผมกำลังคาบท่อนลำของตั้มอยู่นั้นเอง
ตั้มก้อครางเสียงดัง พร้อมกับกดหัวผมจนจมูกผมซุกลงไปในดงขนของตั้มพร้อมกับฉีดน้ำอุ่นๆ
เข้าคอผม
“ทำไมเสร็จไวจังวะ”
“ก้อกูไม่เคยนี่หว่า กูไม่เคยมีอะไรกับใครนะเว้ย มึงน่ะคนแรกของกูเลยรู้ป่าว”
มันพูดไปก้อหน้าแดง แทนคำพูดผมเริ่มปลุกอารมณ์มันต่อ จนมันเรื่มแข็งสู้อีกรอบ
“ตั้ม กานต์รักตั้มนะ กานต์จะเป็นของตั้มคนเดียว”
พูดเสร็จผมก้อลุกขึ้นถอดเสื้อและกางเกงออก
“กานต์จะทำอะไรอ่ะ”
“กานต์ก้อจะทำให้ตั้มมีความสุขงัยครับ”
ผมหยิบโลชั่นมาแล้วทาไปที่ท่อนลำของตั้ม พร้อมกับเอามือปั่นเล่น
ตั้มเองก้อเด้งเอวสู้มือผมด้วยความเสียว จากนั้นผมก้อขึ้นไปนั่งคร่อมบนตัวตั้ม
แล้วค่อยๆหย่อนสะโพกลงไป
“ตั้ม แน่นจังเลยครับ”
“อูย กานต์ครับ เจ็บจังเลยครับ มันตอดจังเลย”
“ตั้มครับ เข้าไปจะสุดแล้วครับ อีกนิดเดียว อีกนิดเดียว”
พอผมกดสะโพกลงไปสุด ผมก้ออยู่เฉยสักพักหนึ่งพร้อมกับก้มลงไปจูบตั้ม
“ตั้มครับ รักกานต์นะครับตั้ม”
“ครับ รักกานต์ที่สุดเลยครับ”
เมื่อผมหายจุกแล้วจึงเริ่มยกสะโพกขึ้นลงช้าๆ ตั้มทำหน้าเหยเก
“กานต์ครับ ตั้มเจ็บตรงหัวอ่ะครับ”
“กานต์ก้อเจ็บครับ ตั้มทนหน่อยนะครับเดี๋ยวเราจะได้มีความสุขด้วยกัน”
ผมเริ่มขย่มตัวขึ้นลงด้วยจังหวะที่เร็วขึ้น ขณะเดียวกันก้อดึงตั้มขึ้นมาดูดปาก
แล้วแลกลิ้นกัน ตอนนี้ผมเริ่มเสียวแล้วเลยขย่มเร็วขึ้น
ตั้มเองเริ่มเด้งสวนขึ้นมา มือตั้มก้อจับสะโพกผม เพื่อให้ผมคุมจังหวะเอาไว้
ผมขย่มได้สักพักตั้มก้อผลักผมให้นอนหงายโดยที่ตั้มอยู่ข้างบนแล้วตั้มเริ่มซอยเอว
โดยมือตั้มก้อชักให้ผมไปด้วย ผมเอาขาเกี่ยวเอวตั้มไว้ด้วยความเสียวเต็มที่
“ตั้มครับ ซอยแรงๆ เลยครับ กานต์จะไม่ไหวแล้ว”
“ตั้มก้อเร่งเต็มที่อยู่นี่งัยครับ ตอดดีเหลือกานต์ครับ”
“ตั้มครับ กานต์แตกแล้ว กานต์ไม่ไหวแล้ว”
แล้วผมก้อกระฉูดน้ำรักออกมาจนเต็มหน้าท้องไปหมด
ตอนนั้นผมก้อขมิบก้นรับการซอยจากตั้ม ยิ่งทำให้ตั้มเร่งจังหวะในการซอย
ผมดึงตั้มลงมาจูบปากอีกครั้ง ผมเองก้อไม่รู้เป็นรัยชอบดูดปากกับคนที่มีอะไรด้วยอ่ะครับ
ผมว่ามันรู้สึกดีนะ
“กานต์ครับ ตั้มจะเสร็จแล้ว ที่รักครับไม่ไหวแล้ว”
“ตั้มออกในตัวกานต์เลยนะครับ กานต์รักตั้มนะครับ”
ตั้มกระแทกมาอีกสองสามทีแล้วผมก้อรู้สึกถึงสายน้ำที่พ่นเข้ามาในตัวผม
ตั้มกอดผมไว้แน่นเราจูบปากกันอีกที หลังจากนั้นตั้มก้อพลิกตัวลงนอนด้านข้าง
แล้วเราก้อหลับกันไปในอ้อมกอดของกันและกันด้วยความเพลีย
ตอนที่ 5
16 มิถุนายน 2550 - 19:07:00
ปรับเปลี่ยน
หลังจากวันนั้นแล้ว ระหว่างผมกับไอ้ตั้มก้อรู้สึกผูกพันกันมากขึ้น
พอดีเป็นช่วงใกล้ปิดเทอม ก้อจะมีการอบรมฟื้นฟูจิตใจประจำปีอ่ะครับ
โดยเขาจะแยกระหว่างเด็กคริสต์กับเด็กที่นับถือศาสนาอื่น
แต่ไอ้ตั้มมันอยากให้ผมไปกะมันอ่ะดิ
“มึงไปกะกูดิว้า”
“บ้าหรอ มึงจะให้กูไปด้วยเนี่ยนะ กูเด็กพุทธนะมึง”
“ไม่เป็นรัยหรอก มึงก้อไปขอพ่ออธิการดิ บอกว่ามึงจะมาเรียนคำสอน จะเข้าคริสต์”
“โห มันตั้งใจเกินไปเปล่ามาเปลี่ยนเอาตอนนี้ เดี๋ยวในห้องมันแซวตายเลย”
“เอาเหอะน่า”
“ไม่เอา ปีหน้าแล้วกัน ปีนี้มันกระชั้นไป จะไปไม่กี่วันแล้วนะ”
“งั้นมึงไปขอพ่ออธิการกะกูก่อน ว่าจะเรียนคำสอน”
“เออ ไปก้อไป”
สรุปเลยต้องไปหาคุณพ่อกะมันครับ ไม่งั้นเดี๋ยวมันงี่เง่า
พอเข้าไปคุณพ่อก้อถามว่าทำไมถึงอยากมาเรียนคำสอน
ดีว่าผมสนิทกะมันจนรู้อะไรบ้างนะเนี่ย ผมเลยบอกไปว่าผมศรัทธาในแม่พระครับ
คุณพ่อเลยให้มาเรียนคำสอนกับคุณพ่ออ่ะ แล้วพอดีแกก้อเลยถามว่าฟื้นฟูจิตใจ
จะไปกะเด็กคริสต์รึเปล่า ผมเลยบอกไปว่ายังไม่ไปเพราะยังไม่ค่อยได้ศึกษามา
คุณพ่อก้อไม่ว่าอะไร แต่ไอ้คนข้างๆผมนี่ดิ เสือกชกขาผมเฉยเลย
พอออกมาจากห้องพ่ออธิการมันก้อเปิดฉากทันที
“พ่อเขาให้มึงไป แล้วทำไมมึงไม่ไปวะ”
“ก้อกูบอกแล้วงัย ปีหน้าค่อยไป กูไม่หนีมึงไปไหนหรอกน่า”
“มึงไม่อยากไปกะกูหรอ”
“บ้าดิ กูก้ออยากไป แต่คนอื่นมันแซวเอา แค่นี้กูก้อยอมมากแล้วนะ”
“เออ ก้อได้”
จริงๆแล้วเหตุผลที่ผมไปกะเด็กพุทธอ่ะ เพราะมันมีอะรัยที่ต้องเคลียร์นิดหน่อยครับ
ก่อนหน้าที่ผมจะคบกะไอ้ตั้ม ผมเคยจีบเด็กช่างกลปี 1 ด้วยกันไว้คนนึงชี่อไอ้ระครับ
หน้าตาก้อไทยๆแต่ขาว แล้วก้อเล่นบาสด้วย (คุณสมบัติสำคัญเลยนะเนี่ย ไม่รู้เป็นไร
โคตรชอบเลยคนเล่นบาสเนี่ย)
แล้วพอถึงวันเดินทางก้อเตรียมของมาเพียบเลย ปีนั้นโรงเรียนพาไปที่บ้านเยเนซาเรธ
แหลมผักเบี้ยเพชรบุรี อะรัยก้อดีนะ เสียแต่ว่ามันเหม็นคาวของทะเลอ่ะ
มันใกล้กับหมู่บ้านประมงแถวหาดเจ้าอ่ะครับ พอไปถึงเซอร์ก้อให้พักตามห้อง
ห้องใครห้องมัน เป็นเรือนนอนยาวๆอ่ะ แต่ก้อสะอาดนะ ระหว่างที่จัดที่นอนอยู่
ไอ้ดามันก้อพูดขึ้นมาว่า
“กานต์ ทำไมมึงไม่ไปกะไอ้ตั้มอ่ะ”
“กูเป็นเด็กพุทธ จะให้กูไปกะมันได้งัยอ่ะ”
“มึงไม่ต้องมาฟอร์ม ไอ้ตั้มมันเล่าให้กูฟังแล้ว เรื่องที่เข้าไปหาอธิการกันอ่ะ”
“กูกลัวพวกมึงแซวกันอ่ะดิ”
“แล้วมึงนึกว่ามึงไม่ไปแล้วจะรอดหรอวะ 555”
เออไอ้เวรแซวกันเข้าไปเหอะ จัดของเสร็จก้อออกไปร่วมกิจกรรมอ่ะ
มีรัยบ้างก้อจำไม่ค่อยได้ มันนานแล้ว (เพราะตอนนี้แก่แล้ว หุหุหุ)
พอเสร็จกิจกรรมเขาปล่อยให้เตรียมเข้านอนพอดีเห็นไอ้ระมันเดินคนเดียว
ทางริมหาดเลยแอบไปหามันหน่อยอ่ะครับ
“ระ รอกูด้วยดิ”
“มาทำไมวะ มีธุระอะรัย”
“โกรธกูหรอ อย่าโกรธกูเลยนะ กูรักไอ้ตั้มอ่ะ แล้วกูก้อไม่คิดว่ามันจะเป็นไปได้อ่ะ”
“พอมันเป็นไปได้ มึงก้อเลยลืมกูเลยใช่ป่ะ”
“ป่าวนะ มึงยังเป็นเพื่อนกูนะ นะนะนะ”
ต้องใช้ลูกอ้อนครับ มันจะได้ใจอ่อน ผมไม่ชอบอ่ะคับ คนเคยคุยแล้วมาทำเหมือนไม่รู้จักเนี่ย
“เออ ก้อได้ แต่กูขอรัยอย่างนึงนะ”
“รัยอ่ะ”
มันดึงผมเข้าไปกอดเฉยเลย มารมณ์ไหนวะ
“ถ้าเลิกกะมันแล้ว มาคบกะกูนะ”
ยังไม่ทันที่ผมจะตอบอะไรก้อพอดีมีเสียงดังขึ้นมา
“มึงทำรัยกันวะ”
ตอนที่ 6 : ความลับในใจ
“มึงทำไรกันน่ะ”
พอผมหันไปปรากฏว่าไอ้เดียร์มันมายืนอยู่ข้างหลังผม
หน้าตามันเหมือนมีอะไรในใจอ่ะ
“ป่าว กูมาคุยกะไอ้ระเฉยๆ”
“เฉยห่ารัยวะ กอดกันด้วย กูจะฟ้องไอ้ตั้ม”
เอาล่ะสิกู จะทำงัยดีวะเนี่ย หันไปมองหน้าไอ้ระ
ไอ้ระก้อพยักหน้าทำนองว่าไปเคลียร์กะเพื่อนมึงเอาละกัน โห ไอ้เวร
ถ้าไม่เพราะมึงมากอดกูมันจะเป็นเรื่องมั้ยเนี่ย ผมเลยเดินไปหาไอ้เดียร์ แล้วก้อพูดกะมัน
“กูไม่ได้มีรัยกะไอ้ระนะเว้ย กูรักไอ้ตั้มคนเดียวจริงๆ”
“มึงไม่ต้องบอกหรอก เอาเป็นว่ากูเชื่อมึงละกัน”
ผมเลยกอดคอไอ้เดียร์แล้วเดินกลับห้อง โดยที่ไม่ลืมจะหันไปยิ้มให้ไอ้ระก่อน
ตอนที่เดินไปผมก้อบอกกะไอ้เดียร์ว่า
“เดียร์ มึงจะไม่บอกไอ้ตั้มใช่ป่ะ เรื่องเมื่อกี้อ่ะ กูขอบใจมึงนะ”
“มึงนึกว่ากูจะทำร้ายมึงได้หรอวะ”
“แหงอยู่แล้ว กูเป็นเพื่อนกะมึงนี่หว่า มึงจะทำกูได้หรอ”
เสร็จแล้วเลยเดินเข้าที่พักกัน พอไปถึงไอ้พวกเวรนั่นกะลังจั่วกันอยู่พอดีเลย
ผมเลยเข้าไปแจมกะมัน เล่นได้สักพักเซอร์ก้อมาไล่ให้ปิดไฟนอนได้แล้ว
พอเข้านอนไอ้ดามันก้อมากระซิบถามผม
“กานต์มึงสังเกตป่ะ พักนี้ไอ้เ[อย่าโพสคำหยาบ]้...เดียร์มันเป็นรัยวะ ดูมันหงอยไปนะ”
“หรอ กูไม่เห็นสังเกต มันก้อปกตินี่หว่า มึงคิดมากไปป่าว”
“ไม่รู้เหมือนกันว่ะ กูมันขี้สงสัยมากไปมั้ง เออ นอนเหอะ เดี๋ยวเช้าลุกไม่ไหว”
อีกสองวันที่อยู่ที่แหลมผักเบี้ย ไม่กล้าไปคุยกะไอ้ระมาก แอบคุยนิดหน่อยอ่ะ
กลัวไอ้เดียร์มันไปฟ้องไอ้ตั้ม เดี๋ยวเป็นเรื่อง ขี้เกียจมานั่งตอบคำถามมัน
พอกลับมาอาทิตย์ต่อมาเด็กคริสต์ก้อไปอบรม หลังจากนั้นก้อมีสอบไฟนอล
ตอนที่สอบไฟนอลกัน ก้อเลยนัดไปเที่ยวหลังสอบ เพราะสอบเสร็จแล้วยังต้องทำงานผลัดอีกอ่ะ
มันก้อเหมือนมาเรียนนี่แหละ แต่ไม่ได้นั่งเรียน ต้องลงช็อปไปทำงาน
เลยนัดกันไปเที่ยวบ้านไอ้เอ็ดเพื่อนในห้อง ประมาณ 10กว่าคนอ่ะ ก้อไปรถไฟกันครับ
เอากีต้าร์ไปด้วย เฮฮากันเต็มที่ ก้อเหมือนเดิมอ่ะ ไอ้ตั้ม ไปด้วย
แล้วจะไปจีบใครเอาข้างหน้าได้มั้ยเนี่ย หุหุหุ จริงๆแล้วผมก้อรักไอ้ตั้มมากนะครับ
แต่มันเป็นนิสัยอ่ะ เห็นคนน่ารักแล้วอดใจไม่ค่อยได้อยากรู้จักอะ
ตอนที่ 7 : หวาน(1)
พอถึงเช้าวันที่นัดกัน ผมก้อไปเจอกะพวกเพื่อนที่สถานีรถไฟ
วันนั้นพวกผมไปกัน 12 คน ก้อมีผม ไอ้ตั้ม ไอ้ดา ไอ้นนท์ ไอ้เดียร์
ไอ้เอ็ด ไอ้คม ไอ้สันต์ ไอ้ชัย ไอ้ยา ไอ้นพ และก้อไอ้คุง
พอมาพร้อมกันก้อซื้อตั๋วรถไฟได้เที่ยว 11 โมงกว่า
พอขึ้นรถไฟได้พวกผมก้อรีบไปตู้หลังสุดเลย มันนั่งสบายดีอ่ะ
ไม่ค่อยมีคนเท่าไหร่ นั่งกว่าจะถึงหัวหินนะโคตรเมื่อยเลย
ดีว่านั่งร้องเพลงเพลินๆเลยพอทำเนา พูดถึงกีต้าร์นะขอเผาเพื่อนหน่อยเหอะ
เพื่อนๆเคยเจอแบบผมมั้ย คนบ้าอะไรก้อไม่รู้มันเล่นกีต้าร์โคตรเก่งเลยนะ
ไม่ต้องมีคอร์ด ไม่ต้องดูอะไรเลย มึงร้องมาละกัน กูเล่นได้ แต่อย่าให้มันร้องนะ
สุดยอด ขนาดให้มันไล่คีย์ธรรมดายังเพี้ยนเลยอ่ะ ไอ้ดาเพื่อนผมเองครับ
นั่งร้องไปกินเหล้าไปนิดหน่อยอ่ะ แก้เบื่อบนรถไฟ
พอไปถึงหัวหินก้อไปบ้านไอ้เอ็ด เพราะวันนี้ออกไปเกาะไม่ทันแล้ว
เหนื่อยด้วยขี้เกียจไปต่อ นอนพักกันก่อนคืนนึง
พอออกไปหาอะรัยกินกันที่ตลาดหัวหินนะ ของโคตรแพงเลย เห็นราคาแล้ว
โห นี่มันขายกะตั้งตัวกันเลยป่าววะเนี่ย พอกินเสร็จไปเดินเล่นกันริมหาด
กะจะไปสวีทกะไอ้ตั้มซะหน่อย เสือกตามกันมาเป็นขโยงเลยอ่า
เลยเดินเล่นกันมันทั้งกลุ่มน่ะแหละ แล้วก้อเอาเหล้ามานั่งกิน ร้องเพลงกันริมหาด
จนประมาณตี 2 มั้งถึงกลับบ้านไอ้เอ็ดกัน ไปถึงก้อหลับเป็นตายครับ
ทำรัยไม่ได้เพราะนอนรวมกันทั้งหมด ในห้องโถงบ้านมันอ่ะ
ขืนยัดเข้าไปในห้องมันนะห้องระเบิดพอดี
เช้ามาก้อรีบขนสัมภาระ วันนี้จะไปเป็นชาวเกาะ มันเรียกว่าเกาะอะไรผมก้อจำไม่ได้แล้วอ่ะ
จำได้แต่ว่าเป็นเกาะที่คนเรือเขาจะมาหลบมรสุมกันที่นี่ มันมีแหล่งน้ำจืด มีที่พักนะ
แต่พวกผมเอาเต็นท์ไปกันเอง เตรียมอาหารเตรียมของไปเพียบ
กะจะไปค้างกันสัก 2 คืน นั่งเรือไปพักใหญ่ๆก้อไปถึงเกาะ มันก้อสวยดี ไม่มีคนด้วย
พอไปถึงก้อรีบกางเต็นท์เลย ผมกะไอ้ตั้มก้อเลือกมุมที่มันไกลคนอื่นหน่อย
(เดี๋ยวเสียงไปรบกวนชาวบ้านเขา หุหุหุ) กางเต็นท์เสร็จไอ้พวกบ้าพลังมันชวนไปเตะบอลกันอ่า
โห นี่มึงจะไม่พักเลยรึงัยว้า นั่งเรือมา แป็ปเดียวจะเล่นแล้ว ไอ้ตั้มดิ
เสือกบ้าจี้ไปเล่นกะพวกมันด้วย เลยตามเลยวะ เล่นบอลเสร็จก้อล้างตัวกินข้าวกัน
แล้วก้อเลยงีบไปอ่ะ เมื่อคืนไม่ค่อยได้นอนง่วงโคตรๆเลย
พอแดดร่มหน่อยมันจะเล่นน้ำทะเลกันอีกแล้วมันบ้าพลังอะรัยกันหนักหนาวะ
ผมเลยบายอ่ะ ขี้เกียจเล่น บอกเดี๋ยวกูทำกับแกล้มรอพวกมึงละกัน มึงไปเล่นกันเหอะ
ไอ้ตั้มเลยขออยู่เป็นเพื่อน ไอ้พวกนั้นเลยโห่กันใหญ่เลย พอมันเลิกเล่นก้อเย็นแล้วอ่ะ
มันล้างตัวกันเสร็จก้อมานั่งกินเหล้าร้องเพลงกัน สักพักผมก้อสะกิดชวนไอ้ตั้ม
ไปนั่งเล่นที่ริมทะเลกัน มีผ้าห่มไปผืนนึง
“ตั้ม มึงรู้ป่ะ กูรอวันนี้มานานแล้วนะ วันที่กูจะได้นั่งดูดาวข้างมึงเนี่ย”
“หรอ นั่งดูอย่าเดียวหรอ”
“มึงจะให้กูทำรัยอ่า ไอ้ทะลึ่ง”
“มึงดิทะลึ่ง กูแค่จะทำงี้โว้ย”
มันดึงผมให้ซบไปที่ไหล่มัน แล้วมันก้อหอมที่ผมของผม
“หัวเหม็นว่ะ”
“อ้าวไอ้นี่อย่ามามั่ว กูพึ่งอาบน้ำสระผมตอนทำกับข้าวเสร็จนะมึง เหม็นก้อไม่ต้องดม”
ผมแกล้งทำเป็นยกหัวออก เลยโดนมันล็อกคออ่ะ
“โอ๋ๆ กูแหย่เล่น แค่นี้ทำงอน”
“ไม่รู้ มึงเหม็นเดี๋ยวกูกลับไปแดกเหล้ากะไอ้เ[อย่าโพสคำหยาบ]้...พวกนั้นก้อได้”
“มึงนี่ ทำไมขี้งอนจังวะ” มันดึงมือผมให้นั่งลง
“กูขี้งอน กูไม่ดีอย่างงี้แหละมึงรับได้มั้ยล่ะ รับไม่ได้ก้อไม่ต้องรับ”
“กูรับไม่เป็นว่ะ เป็นแต่รุก”
“ไอ้บ้า มึงเนี่ยพูดอะรัยวะ”
“ก้อมันจริงนี่หว่า”
ผมก้อเลยกอดเอวมันไว้อ่ะ จริงๆแล้วไม่ได้งอนหรอกแกล้งแหย่มันไปงั้นแหละ
เสร็จแล้วเลยแอบหอมแก้มมันไปทีนึง
“ตั้ม มึงรู้อะไรป่าว กูรักมึงมากนะ กูไม่ใช่คนดีอะไรหรอกนะ
กูไม่มีอะไรดีพอที่จะสู้กับใครเขาได้หรอกนะ กูมีก้อแค่ใจกูเท่านั้นแหละ
ที่กูมั่นใจว่ามันจะไม่แพ้ใคร”
“อืมม์ กูรู้ เพราะกูรู้งัย กูถึงคบกับมึง”
“กูบอกมึงไว้ก่อนนะ กูไม่ชอบคนโกหก มีอะไรก้อบอกกูตรงๆทุกเรื่องนะ
ในเมื่อกูกะมึงจะคบกัน ต่อไปนี้ก้อไม่มีอะรัยต้องมาปิดบังกัน โอเคป่าว”
“รู้แล้วน่า”
มันเอามือมาขยี้หัวเล่นอีกแล้ว ไอ้เวรนี่ชอบเล่นหัวจริงๆเลย
นั่งคุยกันจนเสียงไอ้พวกนั้นมันเงียบไป ก้อเลยคิดว่าถึงเวลานอนกันสักที
ก้อเลยชวนไอ้ตั้มกลับไปนอนกัน พอเดินไปถึงเต็นท์ เปิดเข้าไปทั้งผมกะไอ้ตั้มตกใจทั้งคู่
ตอนที่ 8 : หวาน(2)
พอเดินไปถึงเต็นท์ เปิดเข้าไปทั้งผมกะไอ้ตั้มก้อตกใจทั้งคู่
ไอ้เดียร์มันมานอนอยู่ในเต็นท์ได้ไงวะ ผมเข้าไปเขย่าตัวมัน
“ไอ้เดียร์ ไอ้เวรนี่ มึงมานอนรัยนี่ มึงไปนอนเต็นท์มึงดิวะ”
“กูจะนอนกะพวกมึงอ่า กูนอนด้วยแค่นี้ไม่ได้หรอวะ”
“แล้วกูกะไอ้ตั้มจะนอนงัยวะ”
“ก้อเบียดๆเอาเด่ะ”
ผมหันไปมองหน้าไอ้ตั้ม ไอ้ตั้มมันเลยดึงมือผมออกมา ออกไปนั่งที่เสื่อหน้าเต๊นท์
“เดี๋ยวก้อสว่างแล้ว นั่งเล่นเรื่อยๆ ก้อได้ ไม่เป็นรัยหรอก ปล่อยมันเหอะ มันกำลังเมา”
“มึงยังไม่ได้นอนไม่ใช่หรอ กูยังได้งีบไปแล้วนะ”
“ก้อเดี๋ยวกูก้อนอนงัย”
“อ้าว มึงจะให้กูนั่งคนเดียวหรอวะ”
“ป่าวกูก้อจะนอนข้างนอกนี่แหละ กานต์ กูขอนอนหนุนตักมึงได้ป่ะวะ”
“ก้อ... ได้ดิ”
“เกาคางให้กูด้วยนะ”
“โห มึงนี่ได้ทีเอาใหญ่เลยนะ”
“ยังไม่ได้เอา กลางแจ้งเดี๋ยวฟ้าผ่า แค่เกาคางพอ โอ๊ย !”
ผมดึงจมูกมันดิ ไอ้นี่ชอบพูดเล่นจริงๆ วันนี้กูอดเลย เพราะไอ้เวรในเต็นท์ทีเดียวเลย
“นอนได้แล้ว เดี๋ยวกูเกาคางให้ หลับซะเดี๋ยวโทรมนะมึง”
“ค้าบ”
ผมนั่งเกาคางไปก้อมองหน้ามันไป เวลามันหลับนี่ก้อน่ารักดีนะ เหมือนเด็กดีอ่ะ
เห็นมันหลับตาพริ้ม ปากบางสีชมพู โอ๊ย ! อดใจไม่ไหวแล้วโว้ย ผมเลยก้มลงไปจูบมัน
แล้วก้อแลกลิ้นกันอยู่พักนึง มันก้อยังไม่ลืมตานะ
“กูน่ารัก ขนาดอดใจไม่ไหวเลยหรอวะ”
“แหวะ มึงหลงตัวเองไปป่าว กูเมาหรอก กูถึงทำลงไปอ่ะ”
“งั้นดูดิ สร่างยัง”
มันโน้มคอผมลงไปจูบอีกรอบ ผมรักมันมากเลยนะเนี่ย มันจะรู้มั้ย
“ตั้ม กูรักมึงมากนะ แต่มึงจำไว้นะ ถ้าวันไหนมึงทำให้กูต้องเจ็บปวดใจ กูจะทำให้มึงเจ็บปวดใจยิ่งกว่าที่มึงทำกะกูอีก”
“โห มึงโหดจังอ่ะ มึงจะฆ่ากูรึงัย มึงทำกูได้ลงคอหรอวะ”
“กูไม่ทำรัยมึงหรอก และกูก้อไม่มีวันที่จะทำร้ายมึงได้หรอกน่า”
“แหงอยู่แล้ว กูน่ารักและก้อดีขนาดนี้ มึงทำกูไม่ลงหรอกใช่มะ”
“เออ! รู้ดีนักนะมึง”
ผม ผลักหัวมันเล่น มันเลยหันเอาหัวมาซุกที่หน้าท้องผม มันเป่าที่ท้องผมด้วยอ่ะ แล้วก้อจั๊กกะจี้เอวผม ไอ้บ้านี่มันชอบแกล้งจริงๆเลย ผมก้อเลยจั๊กกะจี้เอวมันคืนมั่ง เลยหัวเราะดังลั่นกันทั้งคู่เลย
“เฮ้ย! มึงจะหวานกันอีกนานมั้ย กูจะนอน กูเลี่ยนแย่แล้ว” ไอ้เดียร์ตะโกนออกมาจากในเต๊นท์
“ไอ้สาด กูต้องมานั่งข้างนอกนี่ก้อเพราะมึงไม่ใช่หรอ ยังไม่สำนึกอีกนะ”
“มึงออกไปเอง กูบอกแล้วให้นอนเบียดด้วยกัน ช่วยไม่ได้”
“ช่างมันเหอะน่า เกาคางกูต่อดิ”
ไอ้ตั้มมันดึงมือผมไปเกาคาง ผมเลยสงบปากกะไอ้เดียร์ก่อนแต่นึกในใจว่ามึงอย่าให้ถึงทีกูนะ
นั่งไปสักพักผมเองก้อง่วงนะ มันใกล้สว่างแล้วอ่ะ เลยสัปหงก
“มึงนอนมั่งดิ”
“อ้าวมึงไม่ได้หลับหรอ”
“กูหลับไปแล้ว พอตื่นมาก้อเห็นมึงสัปหงกอยู่อ่ะ”
“ไม่เป็นรัยหรอก เดี๋ยวก้อสว่างแล้ว”
“น่า นอนด้วยกันดิ หนุนแขนกูก้อได้”
“อืมม์ ก้อได้”
ผมเลยล้มตัวลงนอนข้างๆ หนุนแขนนอนมองหน้ามัน มันหลับตานะ แต่เสือกยิ้มด้วยอ่ะ
“มองคนหล่อหรอมึงอ่ะ”
“บ้าดิ กูมองตีนกามึง เวลายิ้มน่ะแหละ คนบ้ารัยวะ ตีนกาขึ้นแล้ว”
“พูดงี้กะกูหรอ”
มันเลยกอดผมแน่นเลยอ่ะ อบอุ่นดีจังเลย การได้นอนอยู่ในอ้อมกอดมันเนี่ย
ผมเผลอหลับไปเมื่อไหร่ก้อไม่รู้ รู้สึกตัวอีกทีตอนเหมือนมีใครเอาอะไรมาเขี่ยที่หลัง
อ้าวไอ้ดาเองนี่หว่า เอาไม้มาเขี่ยกูทำไมวะ
“ทำเ[อย่าโพสคำหยาบ]้...รัยมึงวะ กูไม่ใช่หนอนแก้วนะมึง มาเขี่ยอยู่ได้ กูจะนอน”
“ชิบหา... กูนึกว่าตายทั้งคู่ กอดกันกลมเลยนะมึง ไม่อายฟ้าดินเลยนะ”
“อายเ[อย่าโพสคำหยาบ]้...รัยล่ะ กูไม่ได้เอากันนี่ กูนอนกอดกันเฉยๆ”
“แล้วทำไมมึงไม่เข้าไปนอนในเต็นท์วะ มาโชว์พวกกูอยู่เนี่ย”
“นอนบ้ารัยอ่ะ ไอ้สันดานเดียร์มันมาแย่งที่นอนพวกกูอ่ะดิ กูถึงต้องมานอนข้างนอกเนี่ย”
“ไอ้เอ็ด เมื่อคืนไอ้เดียร์ไม่ได้ไปนอนกะมึงหรอวะ” ไอ้ดาตะโกนถาม
“ไม่รู้กูเมา หลับไปก่อน”
“เออ ดี กูสองคน เลยต้องนอนตากน้ำค้างข้างนอกนี่อ่ะนะ”
ผมบ่นไปตามเรื่องตามราว
“ช่างมันเหอะ จะบ่นไปทำไมล่ะ”
ไอ้ตั้มเอามือมาขยี้หัวอีกแล้วอ่า ตามันก้อยังไม่ยอมลืมนะ ไอ้นี่ขี้เซาเอาเรื่อง
“ไอ้บ้า กูไม่ใช่เด็กนะ ทำยังกะกูเป็นเด็ก”
“มึงน่ะ เด็ก”
“ไม่จริง กูโตแล้ว กู 15 แล้วนะ อ่อนกว่ามึงแค่ปีเดียวเอง”
“ขี้งอนเงี้ยะ ขี้บ่นเงี้ยะ ชอบเถียงเอาชนะเงี้ยะ มึงว่าไม่ใช่นิสัยเด็กหรอ โอ๊ย!”
ผม กัดจมูกมันเลยครับ หมั่นไส้ ว่ากูดีนักใช่มั้ย แล้วก้อเลยรีบลุกไปล้างหน้าล้างตาเตรียมหาอะรัยกินกันอ่ะ ขืนไม่รีบลุกชิ่งมาเดี๋ยวมันแกล้งเอาอีก
ตอนที่ 9 : เพื่อนกันนะ
หลังจากล้างหน้าล้างตาแล้ว ผมก้อมาต้มน้ำไว้เผื่อใครมันจะชงกาแฟหรือโอวัลติน
ส่วนผมก้อกินโอวัลติน แล้วก้อชงกาแฟให้ไอ้ตั้มมัน
“ไอ้ตั้ม ระวังเป็นเบาหวานนะเว้ย มึงกินกาแฟที่ไอ้กานต์ชงอ่ะ” ไอ้เดียร์แซว
“เบาหวานก้อเบาหวาน กูชงให้แฟนกูกิน คนไม่มีแฟนอย่างมีงอิจฉาล่ะสิ”
ไอ้เดียร์หงอยเลยอ่ะ เดินหนีออกไปเลย นี่กูพูดรัยผิดป่ะวะเนี่ย
“ว่ามันแรงไปป่าว ไปง้อมันหน่อยดิ” ไอ้ตั้มกระซิบบอกผม
“กูไม่ได้ผิดนะ มันแซวกูก่อนอ่ะ”
“ไปหน่อยเหอะวะ พักนี้มันยิ่งเครียดๆ อยู่” ไอ้ดาเสริมอีกคน
เอาก้อเอาวะ กูไม่ได้ผิดซะหน่อยต้องมาง้อมันอีก ลุกเดินตามมันไปไอ้บ้านี่มันเดินไปไหนมันวะ
ผมเดินตามไปจนไปเจอมันนั่งอยู่ที่ริมโขดหินคนเดียวอ่ะ มันหันหน้าออกไปทะเล
ผมเลยไปนั่งข้างมัน
“โกรธกูหรอวะ ขอโทษนะ กูปากไม่ดีเอง มึงเป็นงี้กูใจไม่ดีเลยอ่ะ”
“กูไม่โกรธมึงหรอก กูบอกมึงแล้วงัย กูไม่มีทางทำร้ายมึงหรอกน่า
กูไม่ทำให้มึงไม่สบายใจหรอกน่า”
“แล้วมึงเป็นเ[อย่าโพสคำหยาบ]้...รัยวะ พักนี้มึงหงอยไป”
“มึงเคยสังเกตกูด้วยหรอวะ”
“สังเกตดิ มึงก้อเป็นเพื่อนกูนะเว้ย”
หุหุหุจะบอกว่าจริงแล้วไอ้ดามันสังเกตเห็นตะหากก้อเกรงใจ เลยรับสมอ้างไป
เอาหน้าหน่อยนึงว่ากูสนใจเพื่อนรักเพื่อนนะเว้ย
“รึมีงไปแอบรักใครวะ ไอ้ห่านี่ ไม่ยอมบอกกันเลยนะ อุบเงียบนะมึง”
“ก้อกูไม่กล้าบอกใคร เพราะเขาคงไม่เคยมองกูหรอก กูก้อแค่รักเขาข้างเดียว”
“ใครวะ เดี๋ยวกูไปฉุดมาให้เอาป่ะ 555”
“บ้าดิมึง ถ้าเขาจะมาก้อต้องมาเพราะรักกูเว้ย ไม่ใช่มาเพราะโดนบังคับ”
“โห พระเอกน่าดูเลยมึงเนี่ย ใครคือผู้โชคดีคนนั้นวะ บอกกูหน่อยได้เปล่า”
“โชคดีรึโชคร้ายไม่รู้ เอาเป็นว่าวันไหน ถ้ากูจะบอกเขา กูจะให้มึงรู้คนแรกเลย”
“มึงสัญญานะ กูต้องรู้เป็นคนแรกนะ”
“เออ มึงได้รู้คนแรกแน่นอน”
มันพูดพร้อมกับยิ้มขึ้นมา ค่อยยังชั่วหน่อย ไอ้นี่ก้ออารมณ์แปรปรวนจริงเลยวะ
เอาใจมันหน่อย เดี๋ยวมันงอนอีก เพื่อนมันจะหาว่าเราไม่สนใจเพื่อน สนใจแต่แฟน
หุหุหุ แต่จริงๆแล้ว พออยู่กะไอ้ตั้มไม่รู้เป็นรัยลืมเพื่อนหมดเลยอ่า โดนมันด่ากันเป็นปรระจำ
แหมมันก้อน่าจะเข้าใจกันบ้างนะ คนมันมีแฟนอ่ะ ก้อไม่ได้ลืมเพื่อนเมื่อไหร่เนอะ
ผมลุกขึ้นยืนดึงมือไอ้เดียร์ลุกขึ้น
“ไป ไปได้แล้วเดี๋ยวไอ้พวกนั้นมันห่วงกัน”
“เออ ไปดิ”
มันกอดคอผมแล้วก้อเดินกลับไป ระหว่างทางผมก้อแซวมันมั่ง แหย่มันมั่ง มันก้อหัวเราะ
ไม่เหลือท่าทางเศร้าเลย พอเดินไปถึงไอ้ตั้มมันก้อมองหน้าผม กูทำรัยผิดป่ะวะเนี่ย
นึกขึ้นได้ ไอ้เดียร์มันกอดคอกูอยู่นี่หว่า เลยเอามือไอ้เดียร์ออก แล้วก้อเดินเข้าไปหาไอ้ตั้ม
“โหรัยวะ อุตส่าห์เดินไปปลอบกู พอกลับมาเจอที่รักปุ๊ป ทิ้งกูเลยหรอ”
“อ้าว มึงนี่ ก้อมึงก้อมีคนที่มึงแอบชอบแล้วนี่หว่า กูก้อต้องมาหาที่รักกูดิวะ”
แม่มมึงดูหน้ามันดิ ทำหน้ายังกะตูด กูกอดคอกะไอ้ดาก้ออกบ่อยยังไม่เห็นแม่งมีอาการงี้เลย
นี่มันเป็นห่ารัยอีกเนี่ย
“เป็นรัยวะ”
“ป่าว”
“มึงอย่าทำงี้ดิ กูใจไม่ดีนะ”
“......”
“เป็นเ[อย่าโพสคำหยาบ]้...รัย มึงอ่ะ กูเครียดแล้วนะ”
มันหันหน้ามาแล้วยิ้มเฉยเลย
“กูล้อมึงเล่น กูอยากรู้มึงจะทำยังงัย”
“ไอ้บ้านี่ มึงมาให้กูต่อยมึงเลยนะ ไอ้สันดานนี่ สนุกนักรึงัย”
ผมไล่ต่อยมันไปรอบๆ ไอ้เวรพวกนั้นเลยหัวเราะกันใหญ่เลย
วิ่งไล่กันพักนึงมันก้อผลักผมลงไปในทะเลอ่ะ ก้อเลยเล่นน้ำกันไปเลย
ไอ้พวกนั้นเลยวิ่งตามกันลงมาเล่นน้ำด้วยกันทั้งกลุ่ม
ตอนที่ 10 : ดึกแล้ว
พอเล่นน้ำกันเสร็จก้อขึ้นมาหารัยกินกัน ไปที่เกาะนั้นมันดีนะเงียบดีอ่ะ
แต่มันไม่ค่อยมีรัยให้ทำ ไปไหนก้อไม่ได้ เหมือนโดนเอามาปล่อยเกาะ
ตกเย็นก้อเตรียมตั้งวงอีกละ แต่วันนี้ไม่กล้าชิ่งไปไหน เดี๋ยว มันมีมารเข้าไปแย่งที่ในเต็นท์อีก
วันนี้อารมณ์ดีเลยขอโชว์ลูกคอหน่อย หุหุหุ เลยร้องเพลงตามคำขอของเพื่อนๆอ่ะ
เมาแล้วซ่าส์ก้องี้และ มันขอกันเรื่อยนะ แต่ผมสังเกตว่าไอ้เดียร์ทำไมมันเงียบจังวะ
แต่ไม่นึกว่าจะมีรัยงัย เพราะปกติมันเป็นคนเงียบๆอยู่แล้ว แหกปากกันไปสักพักนึง
"เฮ้ย กานต์ กูขอเพลงมั่งดิวะ" ไอ้เดียร์พูดขึ้นมาอ่ะ
"ขอมาเลยคับพี่ เดี๋ยวจัดให้ ขอเลยซิจ๊ะโดน"
"กูขอดึกแล้ว ของไฮดร้าว่ะ"
"นักดนตรีว่างัยครับ เล่นจบมั้ย"
"มึงร้องจบ กูก้อเล่นจบอ่ะครับ"
"ตามคำขอครับ ดึกแล้ว นะครับ"
ดึกแล้ว
ข่มตานอนแต่หัวใจ รุมเร้า
ออกมายืนหาดาว ช่วย ปลอบใจ
ดึกแล้ว วุ่นใหญ่ ใจร้อนรน
อยู่ไหน
อยากจะรู้ตอนนี้เธอ อยู่ไหน
หลับสบายหรือไร ช่วย บอกกัน
เอ่ยถาม พระจันทร์ บอกฉันที
เขาคงนอนหลับอยู่
ไม่รู้ ไม่สน ใจ
ฉันเดียวดาย
ก็ใครคิดถึงเธอ
แค่เพียงเอ่ยความในใจ
บอกเธอ ให้รู้ ไป
เริ่มอย่างไร ไม่กล้าพอ
อยากขอ
ฝากดวงดาวทำให้ใจ เธอรู้
ว่ามีใครเฝ้าดู ได้ แต่คอย
ได้ไหม วานหน่อย ช่วยฉันที
ช่วย บอกเธอ
เขาคงนอนหลับอยู่
ไม่รู้ ไม่สน ใจ
ฉันเดียวดาย
ก็ใครคิดถึงเธอ
แค่เพียงเอ่ยความในใจ
บอกเธอ ให้รู้ ไป
เริ่มอย่างไร ไม่กล้าพอ
อยากขอ
ฝากดวงดาวทำให้ใจ เธอรู้
ว่ามีใครเฝ้าดู ได้ แต่คอย
ได้ไหม วานหน่อย ช่วยฉันที
ช่วย บอกเธอ
พอร้องเสร็จหน้าม๋าก้อกรี๊ดกันตรึม เลยโค้งหัวเหมือนนักแสดงมืออาชีพสะหน่อย
แต่ไอ้ตั้มดิเสือกแซวขึ้นมาอีก
"โห หน้าก้อแก่ ยังร้องเพลงเก่าได้อีก"
"เออ ไอ้หน้าใหม่ ไอ้คนหน้าไม่มีตีนกา มึงดีทุกอย่างคนเดียวแหละ"
ระหว่างที่กำลังทะเลาะกันอยู่ไอ้เดียร์เสือกร้องไห้ขึ้นมาเฉยเลยอ่ะ งงดิ มันเป็นรัยมันวะ
รึอินในพลังเสียงกู
"เดียร์มึงเป็นรัยวะ มีรัยบอกกูนะ รึมึงคิดถึงคนที่มึงแอบชอบอยู่วะ"
"กู... กูนอนกะมึงสองคนด้วยได้ป่ะคืนนี้ กูกลุ้มใจว่ะ อยากคุยกะพวกมึง"
ชิบหา...แล้ว นี่มึงจะเป็นมารกูทุกคืนเลยรึงัยเนี่ย กูมาพักผ่อนนะเว้ย
กูกะมันไม่ได้มีรัยกันตั้งกะวาเลนไทน์แล้วนะ นึกได้แต่ในใจอ่ะ ไม่กล้าพูด
หันไปหาไอ้ตั้ม ก้อเสือกพยักหน้า มึงไม่รู้รึงัย ว่าเวลาอยู่ด้วยกันมันไม่ค่อยมีนะไอ้สาด
"ได้ดิวะ เพื่อนไม่สบายใจกูจะขัดได้งัยวะ"
"นี่มึงจะให้กูนอนคนเดียวอีกแล้วหรอวะ" ไอ้เอ็ดถาม
"มึงก้อมานอนด้วยกันดิ กูอยากคุยกะพวกมัน"
"ไม่ต้องเลย แค่นี้พวกกูก้อแทบจะต้องขี่กันอยู่แล้ว" ผมบอก
"ไม่มีใครนอนมึงก้อขี่กันอยู่ดีล่ะวะ"
ไอ้สันดานดา มึงนี่กูเผลอเปิดแผลไม่ได้เลยนะเนี่ย กะซวกกูจริง
สักพักไอ้เดียร์มันก้อเดินเข้าเต็นท์ไปก่อน อดอีกแล้วหรอวะกู
ก้อนั่งกันไปสักพักก้อเลยแยกย้ายกันเต็นท์ใครเต็นท์มัน
ก่อนเข้าเต็นท์ผมตุ๊ยท้องไอ้ตั้มเบาๆไปทีนึง
"ทำกูทำไมอ่ะ"
"ตั้งแต่มานี่ ยังไม่มีโอกาสเลยนะมึงอ่ะ ใจร้าย"
"แล้วมึงกล้าไล่มันป่ะล่ะ"
"หึ ใครจะไปกล้าวะ"
"งั้นก้อไม่ต้องบ่นไปนอนไป เด็กน้อย"
ผมหันขวับดิ ว่ากุเด็กอีกแล้วนะ มึงเนี่ยมันคงรู้อ่ะ
ว่าเคืองเลยกอดแล้วก้อดันให้เข้าเต็นท์ไป
พอเข้าไปถึงในเต๊นท์ปรากฏว่าไอ้เดียร์หลับไปแล้ว
แล้วมันจะมานอนกะกูทำไมวะเนี่ยเซ็งสาดเลย
เลยให้ไอ้ตั้มนอนกลางผมนอนริมอีกข้างนึง เอ
จริงๆแล้วไอ้เดียร์ก้อเมาหลับไปแล้วมันคงไม่รู้เรื่องแล้วล่ะ
แผนชั่วร้ายเลยเกิดขึ้นในหัวอ่ะ ผมเลยจูบปากตั้มมันดิ
"อืมม์ ไอ้เดียร์มันนอนอยู่ด้วยนะ"
"จูบเฉยๆ"
"จูบเฉยๆ แล้วมือล้วงลงไปทำไมอ่ะ อย่าดิเสียวน้า''
ตอนที่ 11 : ความเงียบ
“จูบเฉยๆ แล้วมือล้วงลงไปทำไมอ่ะ อย่าดิเสียวน้า”
“แล้วตั้มไม่ชอบหรอครับ ถ้าไม่ชอบกานต์จะได้เลิก”
“...”
“ว่างัยครับ ให้เลิกป่ะ”
แทนคำตอบ ไอ้ตั้มก้อกดหัวผมลงไป แต่เพราะสถานการณ์ไม่ค่อยอำนวยเท่าไหร่
ก้อเลยแค่ดึงกางเกงบอลพร้อมกะกางเกงในมันลงมาที่เข่าอ่ะ พอรูดลงก้อเห็น
ท่อนเนื้อของไอ้ตั้มชูคอขึ้นมา ผมเอามือรูดหนังหุ้มลงไป
แล้วค่อยๆเอาลิ้นเลียไปที่หัวไอ้ตั้มถึงกับจิกหัวผมแน่นเลย
พร้อมกับพยายามเด้งเอวส่งท่อนเนื้อนั้นให้เข้ามาในปากของผม
ผมห่อปากและก้อพยายามเก็บฟันเพื่อที่ตั้มจะได้ไม่รู้สึกเจ็บอ่ะ
ตอนนั้นผมทั้งดูดทั้งเอาลิ้นดุนที่หัว ตั้มถึงกับครางออกมาเบาๆ
คงเพราะกลัวไอ้เดียร์ตื่นมั้ง มันเลยไม่กล้าครางเสียงดัง
สัก พักผมก้อถลกเสื้อยืดตั้มขึ้นแล้วเลื่อนตัวไปเลียที่หัวนมของตั้ม มือก้อชักให้ตั้มไปด้วย มือตั้มเองก้ออยู่ไม่สุขแล้ว เริ่มล้วงมาที่ท่อนเนื้อของผมเหมือนกัน ตั้มรูดกางเกงผมลง จากนั้นก้อรูดท่อนเนื้อของผมเล่น ยิ่งทำให้ผมเร่งความเร็วลิ้นที่ตวัดไปตามตัวและหัวนมของตั้มเร็วขึ้น ตั้มเลยดึงผมขึ้นไปจูบปากอ่ะ ขริงๆแล้วโคตรเสียวเลยนะ แต่ไม่กล้าส่งเสียงกลัวไอ้เดียร์ตื่น ระหว่างที่ดูดปากกันอยู่ไอ้ตั้มก้อถอนปากออกแล้วบอกผมว่า
“กานต์ ตั้มจะแตกแล้ว กินน้ำตั้มนะ”
ผม ก้อก้มลงไปพร้อมกับดูดท่อนเนื้อพร้อมเร่งฝีปาก สักพักนึงผมรู้สึกถึงการกระตุกของท่อนเนื้อที่อยู่ในปากผม พร้อมกับตั้มก้อกดหัวผมแนบลงไป ผมกลืนกินน้ำรักของตั้มจนหมด มันเป็นน้ำของคนที่ผมรักจริงๆ ตั้มนอนหอบหายใจแรงอยู่ พอผมจูบปากกับตั้มตั้มก้อเอามือสาวท่อนเนื้อของผมพร้อมกับดูดผมที่ซอกคอ จากนั้นก้อเลื่อนมาดูดหัวนมผมทั้งสองข้าง ตั้มจะวนเวียนอยู่แถวซอกคอผมบ่อยมาก จนในที่สุดผมก้อแตกคามือตั้มนั่นเอง จากนั้นเราสองคนก้อเอากางเกงในนั่นแหละครับเช็ดทำความสะอาด เพราะเดี๋ยวก้อเช้าแล้ว จากนั้นเราก้อนอนกอดกัน
พอ ตื่นเช้ามาผมก้อลุกไปล้างหน้าอาบน้ำตามปกติ จากนั้นก้อมานั่งต้มน้ำ ขณะที่นั่งต้มน้ำไอ้คุงมันลุกออกมาจากเต็นท์เดินผ่านไปจะไปล้างหน้า ผมเห็นมันหันมามองหน้าผม เหมือนจะถามอะไรสักอย่างแต่มันก้อไม่ถาม มันเดินไปมุดเข้าไปในเต็นท์ไอ้ดากะไอ้นนท์ สักพัก ไอ้สองตัวนั้นมันก้อชะโงกหน้าออกมามองผม ผมก้อนึกในใจว่ามันมองรัยมันวะ
“มึงมองรัยกูวะ”
“เมื่อคืนไอ้เดียร์นอนเต็นท์พวกมึงป่าววะ”
“ก้อนอนดิ ไม่งั้นมันจะไปนอนไหนอ่ะ”
“นี่มึงหมู่กันเลยหรอวะ”
“หมู่เ[อย่าโพสคำหยาบ]้...รัย มึงพูดให้เคลียร์ดิ”
“ก้อ...เมื่อคืนมึงทำรัยกันอ่ะ”
“ทำห่ารัย กูก้อนอนปกติ”
“ปกติบ้านมึงดิ คอแม่งเป็นจ้ำขนาดนั้น หัดโกหกพวกนะมึง หลักฐานคาตา”
ชิบหา...นี่คอกูแดงจริงหรอวะเนี่ยรีบวิ่งเอากระจกมาดูดิครับ มันแดงจริงด้วยอ่ะ
ไอ้ตั้มมันดูดเมื่อคืนแน่ ไอ้บ้าเอ๊ย ชัดขนาดนี้ ใครไม่เห็นก้อตาบอดแล้ว
“บ้า แมลงกัดกูเว้ย”
“แมลงไหนล่ะจ๊ะ แมลงตั้ม รึแมลงเดียร์”
“อ้าวมึง พูดงี้ไอ้เดียร์มันเสียนะ กูกะมันเป็นแค่เพื่อนนะเว้ย
ก็ไม่เคยคิดอย่างนั้นกะมันสักนิดเดียว”
“เออ มึงเลิกพูดกันได้แล้ว เดี๋ยวกานต์มันจะเสีย เกิดไอ้ตั้มมันเข้าใจผิดขึ้นมา
กูน่ะเป็นแค่เพื่อนของมันเท่านั้นแหละ”
นี่กูพูดรัยผิดอีกป่ะวะ มันงอนกูอีกแล้วหรอ
“เดียร์ มึงเป็นรัยวะ”
“กูไม่เป็นรัย กูเบื่อโว้ย ได้ยินป่าวกูเบื่อ”
งงดิ มันเกี่ยวรัยกะกูด้วยวะเนี่ย ไอ้ตัวต้นเรื่องเพิ่งงัวเงียขี้ตาตื่นออกมาจากเต็นท์
ออกมาได้ก้อร้องหากาแฟ มึงรู้มั้ยเนี่ยกูทะเลาะกันเพราะมึงเนี่ย
ว่าแต่ไอ้เดียร์มันโวยวายเรื่องอะรัยมันวะ สรุปงานกร่อยเลยรีบเก็บของอ่ะ
เพราะเดี๋ยวเรือจะมารับแล้ว จะได้กลับบ้านแล้ว ตลอดทางที่นั่งเรือมา
ไอ้เดียร์ไม่ยอมพูดกะใครเลย ใครถามอะรัยก้อไม่ตอบ มันนิ่งจนกลับถึงบ้านอ่ะ
มันเป็นบ้ารัยมันอีกวะ ปวดกบาลอีกแล้ว
ตอนที่ 12 : อารักขเทวดา
กลับมาจากหัวหินเที่ยวนั้น พอเริ่มเข้าทำงานผลัดในวันแรกๆ
ไอ้เดียร์ก้อยังไม่ยอมพูดกะใคร จนผ่านไปประมาณ 2-3 วันมันถึงยอมพูดกะพวกผม
แต่ไม่ว่าใครจะถามสาเหตุมันก้อไม่พูดอะไร มันบอกแค่ว่ามันเครียดเท่านั้น
ผมเองก้อไม่ได้ใส่ใจที่จะเซ้าซี้ถามมันเท่าไหร่ เพราะในเมื่อมันบอกว่าถึงเวลามันจะบอกเอง
ก้อเลยไม่กวนใจมันอ่ะ
ช่วงนั้นชีวิตผมก้อมีเรื่องให้วุ่นวาย ต้องไปเรียนคำสอนกะคุณพ่ออธิการทุกวัน
หลังจากทำงานเสร็จ ยังดีที่ตั้มมันมีจิตสำนึกว่าที่เราต้องมาลำบากเนี่ยตามที่มันขอร้อง
มันเลยรอกลับบ้านพร้อมกันทุกวัน พอหมดงานผลัดแล้วก้อปิดเทอมจริงๆสักที
ระหว่างนั้นมีเจอกะมันบ้าง ตั้มมักจะขี่มอเตอร์ไซค์มาหาแล้วชวนไปขี่รถร่อนกัน สนุกไปวันๆ
พอเปิดเรียนผมต้องไปอยู่กะเด็กคริสต์เต็มตัวแล้ว ทั้งเรียนคำสอนในวันพฤหัส
เข้ามิสซาในวันศุกร์ ยังดีมีไอ้ตั้มกะเพื่อนในห้องที่เป็นคริสต์นี่แหละ
ที่คอยสอนผมสวดบทภาวนาต่างๆ สอนร้องเพลง แต่โดยมากจะให้ไอ้ตั้มสอน
ก้อสนุกดีนะ บ้านไอ้ตั้มจะเป็นคนที่เคร่งศาสนาพอสมควร ผมไม่เคยสังเกตก่อนหน้านั้นเลยนะ
ว่ามันจะสวดภาวนาก่อนกินข้าวและหลังกินข้าวด้วย จนมันมาบังคับให้ผมสวดด้วย
แต่บทภาวนาที่ผมคิดว่าเป็นความทรงจำที่ดีที่สุดระหว่างผมกับมันคงเป็นบทอารักขเทวดา
ผมยังจำวันที่มันสอนผมสวดครั้งแรกได้เลย คืนนั้นเราคุยโทรศัพท์กันอยู่พอใกล้จะเลิก
“กานต์ คืนนี้มึงอย่าลืมสวดก่อนนอนด้วยนะ”
“สวดรัยมั่งอ่ะ”
“สวดข้าแต่พระบิดา วันทามารีอา ข้าแต่อารักขเทวดาแล้วก้อสิริพึงมีก้อได้”
“ข้าแต่อารักขเทวดา สวดไม่เป็นอ่ะ สอนหน่อยดิ”
“อ้าว กูยังไม่เคยสอนหรอ”
“เออดิ ไม่มีใครสอนกูนี่บทนี้อ่ะ”
“เออๆ สวดงี้นะ ข้าแต่อารักขเทวดา พระเป็นเจ้าทรงพระกรุณามอบข้าพเจ้าไว้ในอารักขาของท่าน โปรดส่องสว่างพิทักษ์รักษาและคุ้มครองข้าพเจ้าตามทางแห่งความรอด ณ คืนนี้ด้วยเถิด อาแมน”
จากนั้นมันก้อให้ผมหัดสวดทวนจนจำได้
“ตั้ม อารักขเทวดานี่คืออะไรหรอวะ”
“อารักขเทวดาคือ เทวดาที่พระเจ้าส่งมาให้ดูแลมนุษย์ มนุษย์ทุกคนจะมีอารักขเทวดาประจำตัว
ของตัวเองงัย”
“หรอ งั้นกูไม่ต้องสวดหรอกมั้ง”
“ทำไมล่ะ”
“ก้อกูอยากให้มึงเป็นอารักขเทวดาของกูดิ กูไม่ต้องสวด คุยกันอยู่ทุกคืนแล้วนี่”
หยอดมันดื้อๆนี่แหละ นานทีจะมีโอกาสหวาน หุหุหุ
“กูเขินเป็นเหมือนกันนะมึง อีกอย่างกูเป็นคน ไม่ใช่เทวดานะเว้ย”
“ก้อกูอยากให้มึงเป็นอ่ะ มึงจะได้คอยอยู่ข้างกูงัย”
คืนนั้นหลับไปก้อเลยฝันถึงอารักขเทวดาส่วนตัวด้วยดีใจจริงๆ
ตอนที่ 13 : แปรเปลี่ยน
ชีวิตผมในตอนนั้น โคตรมีความสุขเลย มีอะไรมากมายให้ทำ
ซึ่งก็เพลินดี มันเป็นความจริงนะ ที่ว่าเวลาที่เรามีความสุขมักจะผ่านไปอย่างรวดเร็วเสมอ
ช่วงนั้นมัวแต่เพลินกับกิจกรรมต่างๆที่เข้าไปร่วมกับกลุ่มเยาวชน
จนผมไม่ทันสังเกตว่ามันเริ่มมีอะไรบางอย่างที่เปลี่ยนไป
เพราะการเป็นนักขับทำให้ผมต้องใช้เวลาไปกับการซ้อมเป็นส่วนใหญ่
นอกจากนี้ยังต้องเรียนคำสอนด้วย ยิ่งใกล้ช่วงคริสต์มาสเข้ามา
ผมยิ่งต้องซ้อมเพลงนพวาร และเพลงที่ใช้ในพิธีตื่นเฝ้า
ซึ่งเป็นสาเหตุที่ผมไม่สามารถไปเข้าวัดที่บ้านไอ้ตั้มเหมือนปีที่แล้วได้
ผมพึ่งบอกมันเมื่อเหลือเวลาอีกไม่ถึงครึ่งเดือนตอนที่มันถาม
"กานต์ ปีนี้มึงไปเข้าวัดกะกูป่าว"
"ไปไม่ได้อ่ะ กูต้องเป็นนักขับอ่ะดิ"
"อืมม์ ไม่เป็นไร"
"มึงมาเข้าวัดกะกูดิ นะ นะ นะ"
"ไม่ได้หรอก กูต้องเข้าวัดกะที่บ้านกูดิ"
"เออ ไม่เป็นไรหรอก กูชวนดูเผื่อมึงจะมาได้ มาไม่ได้ก็ไม่เป็นไร"
จริงๆแล้วระหว่างผมกับมัน การมีอะไรกันนั้นมันไม่ค่อยสะดวก
เพราะทั้งเวลาและสถานที่ไม่ค่อยอำนวย จึงแทบนับครั้งได้เลย บางทีเดือนละครั้ง
บางทีก้อไม่มีเลย แต่ผมไม่ได้สนใจในเรื่องนี้
ความคิดของเราคือเซ็กส์มันไม่ใช่คำตอบของทุกสิ่ง แค่ได้อยู่ใกล้กันก้อมีความสุขแล้ว
ในช่วงหลังคริสต์มาสมา ผมกับไอ้ตั้มเริ่มคุยโทรศัพท์กันน้อยลง
มันบอกว่าผมน่าจะพักผ่อนให้มากๆ จนบางที มันแทบไม่โทรมา
ตอนนั้นคิดแต่ว่ามันคงไม่ว่างเพราะเวลาที่อยู่โรงเรียนมันจะเหมือนปกติทุกอย่าง
ยังคงเอาใจ และหยอกล้อกับผมเหมือนเดิม
"ตั้ม งานพ่อบอสโกปีนี้มึงมาค้างบ้านกูป่ะ"
"กูคงไม่มางานว่ะ เพราะไม่ต้องทำไฟนี่ปีนี้อ่ะ"
"หรอ เออ กูถามไปงั้นแหละ เผื่อมึงจะมา"
ทำไมมันถึงไม่มาวะ ผมเองได้แต่คิดในใจไม่พูดออกไป
มันเป็นนิสัยผมอยู่แล้วที่จะไม่เอ่ยปากออกมา แต่มักจะคิดเอาเอง
(นิสัยนี้ไม่ดีนะครับ แต่ทุกวันนี้ก้อยังเลิกไม่ได้)
ปีนั้นผมเลยต้องไปเมานอนกลิ้งอยู่บ้านไอ้เดียร์กะเพื่อนๆ
เซ็งโคตรพ้นงานพ่อบอสโกมา ในที่สุดก็ถึงวันที่รอคอย วาเลนไทน์ซะที
แต่วาเลนไทน์ปีนั้นตรงกับวันเสาร์พอดี
แต่ผมเองยังไม่ได้ถามไอ้ตั้มว่าวาเลนไทน์นี้มันจะมาหารึเปล่า
เพราะคิดว่ายังไงมันคงมาแหละน่า
วันนั้นเป็นวันศุกร์13 พอดี(โคตรซวยเลยอ่า ผมเชื่อเลยนะไอ้เรื่องเนี้ย)
ผมเตรียมการ์ดให้มันใบนึง การ์ดทำเองโดยเอากุหลาบที่มันให้เมื่อปีที่แล้วที่
ทับแห้งเก็บใส่โหลไว้มาทำ มันเหลือแต่กลีบแล้ว เลยนำมาติดการ์ด เป็นการ์ดใบเล็ก
เตรียมเอาไว้ซ่อนในกระเป๋าตังค์มัน ปกติผมไม่ชอบรื้อกระเป๋าตังค์คนอื่น
เพราะมันดูเสียมารยาทเรื่องนี้เพื่อนผมจะรู้กันดี
นี่คือสาเหตุที่จะเอาไปซ่อนที่กระเป๋าตังค์ไอ้ตั้มมัน
มันต้องเซอร์ไพรส์แน่นอน เวลาดำเนินการตามแผนคือตอนพักเที่ยง
"กานต์ เดี๋ยวกูไปเช้าห้องน้ำก่อนนะ"
"เออ ไปเหอะกูฝากเยี่ยวด้วยละกัน"
พอมันไปผมก็หยิบกระเป๋าตังค์มันมา กะจะเอาการ์ดใส่ก่อนที่มันจะกลับมา
แต่พอผมเปิดกระเป๋าตังค์ของมัน ผมเห็นรูปผู้หญิงคนนึง หน้าตาน่ารัก
เลยหยิบออกมาเมื่อพลิกกลับไปดูหลังรูป
ข้อความที่อ่านมันทำให้รู้สึกเหมือนมีคนเอาค้อนมาทุบหัว
ทำไมมันมึนไปหมดอย่างนี้ ข้อความนั้นเขียนว่า "ให้ตั้มนะ with love แนน"
ผมเอารูปนั้นเก็บเข้าที่เดิมตอนนั้นมือมันสั่นทำอะไรไม่ถูกในหัวมีแต่คำถาม
แนนคือใคร แล้วทำไมผมไม่รู้อะไรเลย พอตั้มกลับมาก้อเลยชวนมันไปเดินเล่น
ตอนที่เดินไปข้างบ้านพักพ่ออธิการผมเริ่มชวนมันคุย
"ตั้ม มีอะไรจะบอกกูป่ะ"
"ไม่มีอะไรนี่ ทำไมหรอ"
"งั้นกูถามอะไรมึงหน่อยได้ป่ะ"
"ถามมาดิ กูตอบมึงได้ทุกเรื่องแหละกูไม่ปิดมึงอยู่แล้ว"
"แนน คือใคร"
"........"
"กูถามว่า แนน คือใคร"
"เป็นเพื่อนของเพื่อนกู"
"แล้วทำไม มึงต้องมีรูปมันในกระเป๋าตังค์ด้วย ที่เขียนหลังรูปมันหมายความว่าอะไร บอกกูมาสิ"
"........"
"โอเคครับ ผมเข้าใจแล้ว ที่ผ่านมาระหว่างผมกับคุณ
มันเป็นแค่เพราะความโง่ของผมกับความเหงาของคุณ ผมคิดไปเองข้างเดียว
มันถึงได้เกิดขึ้นขอโทษนะครับ ที่รบกวน ต่อไปนี้ระหว่างผมกับคุณ
ถือซะว่าเราไม่เคยรู้จักกันมาก่อนแล้วกันนะครับ"
จากนั้นผมเดินออกไป ตอนนั้นมันเจ็บมากน้ำตาไหลไม่หยุดเลย
ตั้มพยายามเรียกผม แต่ผมไม่กล้าหันไปมอง กลัวใจตัวเอง กลัวจะใจอ่อนกับคำแก้ตัว
เพราะใจยังรักมันอยู่มาก ผมไปนั่งร้องไห้อยู่ที่ข้างสนามบาสคนเดียว ตอนที่กำลังร้องไห้อยู่นั้น
"กานต์ กูขอโทษมึงนะ" ไอ้นนท์มันเดินเข้ามาหาผม
"มึงมาขอโทษกูเรื่องอะไร"
"เรื่องแนน กูรู้ตั้งนานแล้ว แต่กูไม่กล้าบอกมึง"
"หรอ แล้วมึงรู้สึกดีมั้ย ที่เห็นกูเป็นควายอ่ะ กูไม่เคยได้รู้อะไรเลยใช่มั้ย"
ผมลุกเดินหนีไอ้นนท์ขึ้นไปห้องเรียน ไปถึงห้องเรียนเลยขนของทั้งหมดที่โต๊ะ
ซึ่งตอนนั้นไอ้ตั้มนั่งอยู่ที่โต๊ะ เดินไปหาไอ้ดา ตอนนั้นหน้าผมมันคงแย่มากจนไอ้ดาตกใจ
"กานต์ มึงเป็นไรวะ ใครทำอะไรมึง"
"ไม่มีอะไร กูจะย้ายกลับมานั่งกับมึง"
"อ้าว แล้วมึงไม่นั่งกับไอ้ตั้มล่ะ"
"ใครวะ กูไม่รู้จัก กูไม่เคยแม้แต่จะรู้จักมันเลยสักวินาทีเดียว มึงเป็นเพื่อนกูนะ
กูไม่มีใครแล้วนอกจากเพื่อนเท่านั้น"
ผมฟุบลงไปร้องไห้ที่โต๊ะ ถ้าใครเคยจะรู้ว่าการร้องไห้เหมือนจะขาดใจ
มันทรมานแค่ไหน ตอนนั้นถึงร้องไห้แต่ก้อไม่มีเสียง ได้แต่กลั้นสะอื้นเอาไว้
ในหัวมีแต่คำว่า ทำไม ทำไม และทำไม ไอ้นนท์เดินเข้ามา
ไอ้ดาเลยหยิบของมันส่งให้แล้วไล่ให้มันไปนั่งกับไอ้ตั้ม
ตลอดบ่ายวันนั้นเลยไม่ได้เรียนเลยโดยไอ้ตั้มบอกกับเซอร์ว่า
ผมไม่สบายแต่ไม่อยากลงไปห้องพยาบาล ขอนอนฟังในห้องดีกว่า
พอเลิกเรียนผมก้อเดินไปบ้านไอ้เดียร์กับพวกเพื่อนๆ ไอ้ตั้มกับไอ้นนท์เดินตามมาด้วย
แต่ผมไม่มองหน้ามันเลย ตอนนั้นพวกเพื่อนคงรู้สึกแล้วว่ามีอะไรแปลกไป
ทุกทีผมกับไอ้ตั้มจะต้องคุยหัวเราะกันไปตลอด แต่วันนั้น ถ้ามันเดินเข้ามาทางไหน
ผมจะเดินหนีไปอีกทางไม่ยอมเข้าใกล้มันเลย แถมยังเงียบไปตลอดทางจนถึงบ้านไอ้เดียร์
ตอนที่ 14 : เคยบอกว่ารักกัน
มาถึงบ้านแม่ไอ้เดียร์เลยตั้งวงกินเหล้ากัน ไอ้เดียร์มันถามขึ้นมา
"ตั้ม วันนี้มึงไม่กลับบ้านหรอวะ"
"เดี๋ยวกูกลับ อีกแป็ปนึง"
"มีอะไรไม่เข้าใจกัน ก็เคลียร์กันให้ดีนะ เดี๋ยวกูจะพลอยอดดูหนังสดอีก"
ตอนนั้นผมไม่พูดไม่ด่าไอ้เดียร์สักคำ ผมมองมันด้วยสายตาที่เฉยมาก
มันคงรู้แล้วล่ะว่า ไม่ใช่เรื่องเล็กแน่นอน เพราะปกติผมไม่ใช่คนที่โกรธง่าย
ถ้าโกรธถึงที่สุดแล้วผมจะไม่พูดอะไรเลย มีแต่เงียบและเฉย
"กานต์ มึงแดกกับมั่งก้อได้ แดกแต่เหล้ากูไม่ทันมึงนะเว้ย"
ไอ้คุงพยายามพูดให้ตลก แต่ตอนนั้นผมไม่รู้สึกดีเลย
"ดา มึงเล่นกีต้าร์ดิกูอยากร้องเพลง"
"จะร้องเพลงรัยอ่ะมึง"
ตอนนั้นหนังเรื่องจักรยานสีแดงกำลังดังเลยนะ ผมดูประมาณ 5 รอบได้มั้ง
"กูจะร้องเพลงเคยบอกว่ารักกันของพี่เสก"
"เออ เออ เดี๋ยวกูเล่นให้"
ไอ้ดามันเกากีต้าร์ ส่วนผมก้อร้องเพลงพร้อมกับน้ำตาที่ไหลลงมา
เคยบอกว่ารักกัน
เธอไม่เข้าใจ กับความห่วงใย ที่ให้เธอ
ทุกทีที่เจอ เธอช่างทำหมางเมิน
เจ็บในหัวใจ ช่างปวดร้าว เหลือเกิน
ทุกครั้ง ที่เห็นเธอเดิน อยู่กับใคร
บอกฉันซักคำ ว่าไม่รักฉันจะไป
หากเธอมีใครคนนั้น ที่ดีกว่า
บอกฉันซักคำ ว่าไม่รักฉันจะลา
ไม่อยากเสียน้ำตา ให้กับเธอ อีกต่อไป
เคยบอกว่ารักกัน เคยบอกว่าฉันดี
ทำอย่างนี้ ไม่ให้รักยังไงไหว
ก็หลอกให้รักเธอ จนแทบจะบ้าตาย
แต่สุดท้ายก็ทิ้งฉันไป อยู่กับเขา
ปล่อยให้ฉัน ร้องไห้คนเดียว
เจ็บทนทรมาน อีกนานสักเท่าไร
กับหัวใจ ที่เธอ แกล้งทำเป็นว่าแคร์
ไม่รักไม่ว่าอะไร ไม่ต้องมาดูแล
ปล่อยลอยแพ หัวใจฉันเลย
บอกฉันซักคำ ว่าไม่รักฉันจะไป
หากเธอมีใครคนนั้น ที่ดีกว่า
บอกฉันซักคำ ว่าไม่รักฉันจะลา
ไม่อยากเสียน้ำตาให้กับเธอ อีกต่อไป
เคยบอกว่ารักกัน เคยบอกว่าฉันดี
ทำอย่างนี้ ไม่ให้รักยังไงไหว
ก็หลอกให้รักเธอ จนแทบจะบ้าตาย
แต่สุดท้าย ก็ทิ้งฉันไป อยู่กับเขา
เคยบอกว่ารักกัน เคยบอกว่าฉันดี
ทำอย่างนี้ ไม่ให้รักยังไงไหว
ก็หลอกให้รักเธอ จนแทบจะบ้าตาย
แต่สุดท้ายก็ทิ้งฉันไป อยู่กับเขา
ปล่อยให้ฉัน ร้องไห้คนเดียว
ตอนนั้นไม่ไหวแล้วมันเหมือนจะอ้วกด้วย ไม่ใช่เมานะ แต่มันเครียดมาก
เลยบอกพวกนั้นว่าขอตัวแล้ววิ่งไปที่บ้านไอ้เดียร์
นั่งร้องไห้ไปก้อนึกไปปีที่แล้วกูมาอยู่ตรงนี้แล้วร้องไห้ปีนี้กูกลับมาร้องไห้ตรงนี้อีกแล้ว
ชีวิตกูมันจะไม่มีทางมีความสุขเลยใช่มั้ย ขณะที่ร้องไห้ก้อมีมือมากอดจากข้างหลัง
"กานต์ ตั้มขอโทษนะ"
ผมหันกลับไปยิ้มให้มัน เป็นยิ้มที่ต้องใช้ความพยายามมากที่สุดในชีวิต
"ไม่โกรธตั้มแล้วใช่ป่ะ"
"โกรธเรื่องอะไรครับ ผมกับคุณไม่เคยรู้จักกัน ผมจะโกรธคุณได้ยังไง
ผมมีสิทธิ์อะไรครับที่จะไปโกรธคนที่ไม่รู้จักกัน"
"กานต์ ตั้มรักกานต์นะฟังตั้มมั่งสิ"
"เรา อ้อไม่ใช่ ผมกับคุณไม่เคยรู้จักกันมาก่อน คุณจะมาบอกว่ารักผมได้ยังไง"
"กานต์ ตั้มรักกานต์จริงๆนะ" มันกอดผมแน่น
"ปล่อยครับ ผมกับคุณไม่รู้จักกันมาก่อน ทำแบบนี้ไม่ดีนะครับ"
".........."
"ปล่อยครับ ปล่อย กูบอกให้มึงปล่อยกูไง ในเมื่อมึงไม่รักกูแล้ว มึงจะขังกูไว้ทำไม
ปล่อยกูเถอะ ในเมื่อคนที่มึงเลือกไม่ใช่กู มึงจะทรมานกูทำไม
รึต้องให้กูขาดใจตายลงไปต่อหน้ามึง มึงถึงจะพอใจ"
ตอนนั้นผมโวยวายเสียงดังจนพวกเพื่อนต้องวิ่งมาดูกัน
มันเลยดึงไอ้ตั้มออกไปแล้วบอกให้กลับไปก่อน ให้ผมสงบลงกว่านี้แล้วค่อยมาคุยกัน
ไอ้ตั้มกับไอ้นนท์ก้อเลยกลับบ้าน ที่เหลือกินเหล้าเสร็จเลยแยกย้ายกันกลับบ้าน
ไม่ได้ไปเที่ยวที่ไหนต่อ ผมไม่อยากกลับบ้านเลยนอนบ้านไอ้เดียร์
ตั้งแต่ไอ้ตั้มกลับไป ผมเอาแต่ร้องไห้ไม่หยุด จนกระทั่งเข้านอน
"กานต์ มึงไม่เหนื่อยหรอวะ ร้องไห้อย่างเนี้ย"
"........."
"พอเหอะ ร้องตั้งนานแล้วนะมึง เดี๋ยวก็ขาดใจจริงๆหรอก"
"มึงไม่เป็นกู มึงไม่รู้หรอกว่า การรักใครสักคน มันทรมานแค่ไหน"
"มึงรู้ได้ไงว่ากูไม่รู้ กูรู้ดี กูรู้มาตั้งนานแล้วด้วย"
"ไม่จริง มึงไม่รู้หรอก"
"มึงนั่นแหละที่ไม่รู้ มึงไม่เคยรู้เลย ทำไมมึงต้องรักคนที่เขาไม่แคร์มึงด้วย
ทำไมคนที่รัก คนที่รอมึงอยู่ตรงนี้ มึงไม่เคยมองกลับมาเลย"
"หมายความว่าไง"
"หมายความว่ากูรักมึงน่ะสิ"
ไอ้เดียร์ก้อโถมขึ้นมาทับบนตัวผม พยายามไซร้ซอกคอผม
"ไอ้สาดปล่อยกู มึงจะทำร้ายใจกูอีกรึไง"
แต่มันก็ไม่ยอมเลิกตอนนั้นผมเหนื่อยไม่ใช่กายนะครับ
แต่เป็นใจที่มันล้ามากเกินไปผมเลยนอนเฉย ปล่อยให้น้ำตาไหลลงมาเป็นทาง
ไอ้เดียร์เห็นผมไม่ดิ้นมันเลยหยุดพอเห็นผมร้องไห้มันกอดผมแน่น
"ทำไม คนที่มันไม่เห็นค่ามึง มันมีความสำคัญขนาดนั้นเลยหรอวะ"
ใช่สิ คำพูดไอ้เดียร์ทำให้ผมคิด เมื่อมันไม่เห็นค่าของเรา เมื่อมันทำให้ผมเจ็บ
มันก็ต้องเจ็บมากกว่าผม ในเมื่อมันบอกว่ารัก ก็จะทำให้มันเจ็บและจำไปตลอด
สิ่งที่ตัดสินใจทำลงไปนั้น เหมือนกับการวัดดวง เพราะผมไม่รู้เลยว่ามันจะเจ็บจริงรึป่าว
ตอนนั้นรู้แต่ว่าวิธีไหนที่ทำให้มันเจ็บปวดได้ผมจะทำ
"เดียร์ มึงรักกูจริงรึเปล่า"
"กู...กูมองมึงมาตั้งนานแล้ว แต่มึงมองแต่มันไม่เคยมองกูเลย"
ผมเอามือโอบคอไอ้เดียร์ ดึงมันลงมาจูบ แล้วผมก็พลิกตัวมันให้ลงไปอยู่ข้างล่าง
ตอนที่ 15 : เพื่อนใหม่
เอามือโอบคอไอ้เดียร์ ดึงมันลงมาจูบ แล้วผมก้อพลิกตัวมันให้ลงไปอยู่ข้างล่าง
ผมเริ่มขบที่ติ่งหูของไอ้เดียร์ จากนั้นก้อซุกไซร้ไปตามร่างกายของเดียร์
"กานต์ กูเสียว กูรักมึงที่สุดเลยนะมึงรู้มั้ย"
ตอนนั้นผมไม่กล้ามองหน้าไอ้เดียร์มัน เพราะผมยังคงน้ำตาไหลอยู่ใจผมเอง
รู้สึกผิดที่ทำแบบนี้ แต่ตอนนั้นความแค้นใจมันมากกว่า ทำให้ผมไม่คิดถึงใจคนที่มันรักผม
ผมใช้ปากให้ไอ้เดียร์โดยที่ไอ้เดียร์ก็ใช้ปากให้ผมด้วย จากนั้นเราหลับไปทั้งคู่ จนถึงตอนเช้า
"กานต์ กูรักมึงนะ คบกะกูเถอะนะ"
"อย่าเลยกูไม่มีค่าพอสำหรับมึงหรอก" ผมยิ้มแล้วตอบไอ้เดียร์
"มึงยังลืมมันไม่ได้หรอวะ"
"กูไม่รู้จักมันมาตั้งแต่ต้นแล้ว ต่อไปนี้กูอยากมีอะไรกับใครกูก็จะมี
กูจะทำในสิ่งที่กูพอใจ ตัวของกู ร่างกายของกู"
ไอ้เดียร์กอดผมแล้วร้องไห้
"ทำไม มึงหยุดที่กูไม่ได้หรอวะ กูรักมึงนะ"
"กูขอบใจ ที่มึงรักกู แต่เก็บความรักของมึงให้คนที่เขาดีกว่ากูเถอะ
กูไม่มีค่าพอหรอกนะเดียร์ ขอบใจนะ"
ผมหอมแก้มมัน แล้วลุกขึ้นเตรียมกลับบ้าน ตอนนั้นรู้สึกผิดเหมือนกัน
แต่ว่าอย่างที่บอกครับ เมื่ออยู่กับคนที่เรารักแล้วมีแต่เสียน้ำตา
กับอยู่กับคนที่รักเราแต่หัวใจด้านชา ผมขออยู่คนเดียว ขอมีอิสระดีกว่า
ที่ผ่านมาเคยคิดว่ารักแท้จะมีจริง แต่ที่สุดแล้วมันก็เป็นเพียงเรื่องเพ้อฝัน
ความพยายามที่จะปีนข้ามกำแพงสูง เพราะหวังที่จะพบกับสิ่งที่สวยงาม
โดยที่เราไม่รู้เลยว่าหลังกำแพงนั้นมันคือเหวลึกที่ไม่มีก้น
เมื่อผมรอดมาได้ผมจะไม่โง่ตกลงไปในเหวนั้นอีก
ระหว่างที่ขี่มอเตอร์ไซค์กลับบ้าน ผมนึกในใจวันนี้จะไปที่ไหนดี
เพราะไม่อยากอยู่บ้านไม่อยากรับโทรศัพท์จากมัน ผมยังไม่พร้อม
พอกลับเข้าบ้านม้าก้อบอกว่าไอ้ตั้มโทรมาหาตั้งหลายรอบแล้ว
ผมเลยบอกม้าว่าวันนี้จะไปค้างบ้านไอ้ดาจะไปทำรายงาน ม้าก็ไม่ว่าอะไร
พออาบน้ำเสร็จเลยรีบออกไปเดี๋ยวมันโทรมาก่อน
พอไปถึงบ้านไอ้ดา ผมชวนไอ้ดาออกไปหาข้าวกินกัน เพราะตอนนั้นบ่ายมากแล้ว
ไอ้ดาเลยชวนไปรับแฟนมันด้วย แฟนมันชื่อพิมพ์ เลยโอเคไปรับก็ไปรับ
พอไปถึงพิมพ์กำลังนั่งอยู่กับเพื่อนอีกคนซึ่งผมรู้ชื่อทีหลังว่าชื่อปุ๊ก
เธอทั้งสองคนนี่แหละที่ทำให้ชีวิตผมเปลี่ยนไป
"พิมพ์ พิมพ์ เพื่อนดาชื่ออะไรวะ หน้าตาน่ารักดี นายชื่ออะไร เราชื่อปุ๊กนะ"
ปุ๊กมันยิ้มหวานให้ผมเต็มที่ คงนึกว่าผมจะหลงเสน่ห์มันมั้ง
เพราะมันเป็นผู้หญิงที่หน้าตาดีใช้ได้เลยนะครับ ถ้าผมเป็นผู้ชายก็คงชอบ
มันขาวสวยหมวยอึ๋มครบสูตรนี่นา แต่เสียใจครับไม่นิยมบริโภคอาหารทะเล
"ชื่อกานต์ครับ ยินดีที่ได้รู้จักครับ ปุ๊ก"
"กานต์มีแฟนยังคะ เป็นแฟนกับปุ๊กมั้ย"
ทั้งผม พิมพ์และไอ้ดามองหน้ากัน แล้วหัวเราะขึ้นมาพร้อมกัน
"หัวเราอะไรกัน บอกมั่งสิ ปุ๊กพูดอะไรผิดหรอ"
"คือว่า ปุ๊กฟังพิมพ์นะ 555 กานต์น่ะมันไม่ชอบปุ๊กหรอก เพราะมันเป็นเกย์"
"จริงดิ งั้นดีเลย ควงกะเราละกันนะ เราอยากมีคนควงไปขี่รถร่อนอ่ะ"
"อ้าว แล้วปุ๊กไม่มีแฟนหรอ"
"มีดิ แต่ไปร่อนกะแฟนไม่สนุกสิ จีบหนุ่มไม่ได้ รู้จักกานต์ก็ดี จะได้ไปจีบหนุ่มด้วยกัน"
"อืมม์ เอางั้นก็ได้"
ข้อตกลงในวันนั้นทำให้ผมเปลี่ยนชีวิตและความคิดไปเลย
ถ้าผมไม่รู้จักไอ้พิมพ์กับไอ้ปุ๊กผมอาจจะไม่ไปไกลกว่านั้นก็ได้
ตอนที่ 16 : เบส
หลังจากที่กินข้าวกันเสร็จพวกเราตกลงกันที่จะไปบ้านไอ้ดา
เพราะบ้านไอ้ดาพ่อแม่มันไม่อยู่ มอเตอร์ไซค์มีสองคัน ไอ้ดาขี่คันนึงแฟนมันซ้อนไป
ส่วนปุ๊กต้องมานั่งซ้อนกับผม ผมรอให้มันขึ้น มันก็ยืนอยู่
“ไม่ขึ้นล่ะ จะได้ไป”
“นายขยับไปหน่อยดิ เราจะนั่งข้างหน้า”
“อ้าว จะขี่เองหรอ”
“เปล่า นายขี่นั่นแหละ แต่เราจะนั่งหน้า”
“เฮ้ย จะดีหรอ”
“เออน่า เดี๋ยวดีเองเชื่อเหอะน่า”
ตอนนั้นต้องเลยตามเลย แต่นึกในใจ ขี่รถท่านี้ มันเหมือนเป็นผัวเมียกันมากกว่า
ผู้หญิงที่ไหนมันจะให้ผู้ชายซ้อนหลังถ้าไม่ใช่ผัวมันเอง แล้วมันจะจีบหนุ่มได้หรอวะเนี่ย
ระหว่างทางที่ขี่รถไปบ้านไอ้ดานั้นเอง พอดีมีเด็กนักเรียนหอนอกของโรงเรียนชายล้วน
ซึ่งก้อเป็นโรงเรียนในคณะเดียวกับโรงเรียนผมนั่นแหละแต่ว่า
โรงเรียนนี้เป็นโรงเรียนสายสามัญเดินมากลุ่มนึง
“กานต์ นายขี่เข้าไปหาเด็กกลุ่มนั้นดิ เดี๋ยวเราจัดการเอง”
ผมเลยขี่เข้าไป ตามที่ปุ๊กมันบอก
“เอ่อ เธอ เธอคนที่ตัวสูงๆน่ะ เธอชื่ออะไรหรอ”
“ผมหรอ เบสครับ”
“เราชื่อปุ๊กนะ ส่วนนี่เพื่อนเราชื่อกานต์”
“เธออยู่หอไหนหรอ”
“ผมอยู่หอเซอร์........ครับ”
“เพื่อนเราเขาขอเบอร์หอเธอได้มั้ย พอดีเพื่อนเราเขาชอบเธอน่ะ”
“ครับ 032221XXX นะ ขอแล้วโทรมาด้วยแล้วกันนะครับ”
เหอ เหอ เกิดมายังไม่เคยหน้าด้านเข้าไปขอเบอร์กะใครมาก่อนนะ
แต่โรงเรียนนี้มันมีชื่ออยู่แล้วถ้าไม่เป็นเกย์หรือกะเทย มันก็ต้องเสร็จเกย์เสร็จกะเทยอ่ะ
แต่ยอมรับเรื่องหน้าด้านของไอ้ปุ๊กจริงๆ พอขี่รถออกมาจากกลุ่มเด็กพวกนั้นแล้ว
“ปุ๊ก แกกล้าได้ไง บ้าป่าวเอาชื่อเราไปอ้างขอเบอร์มันเฉยเลย”
“แล้วจะคุยกับมันมั้ย ถ้าไม่คุยเดี๋ยวเราโทรไปเอง”
“คุยดิ เอาชื่อเราไปอ้างแล้ว ไม่คุยก้อเสียเปรียบตาย”
“นึกว่านายจะไม่คุย”
ไม่คุยได้งัย ในเมื่อเบสมันน่ารักดี ก้อตรงเสปคผมอ่ะนะ ขาว ตี๋ สูง
เพื่อนมันจัดมาให้ทั้งที เลยสนองหน่อย ผมมันแพ้พวกตี๋ๆครับ
ไอ้เราลูกจีนแต่หน้าไม่มีเค้าจีนเลย พี่สาวยังหมวยมั่ง เรานี่ไปทางไหนหมดไม่รู้
พอขี่รถไปถึงบ้านไอ้ดา มีพวกไอ้เดียร์ ไอ้คุง ไอ้ชัย แล้วก้อไอ้นพมาอยู่ด้วย
เพราะบ้านไอ้ดาพ่อแม่มันใจดี ชอบให้ลูกพาเพื่อนมาบ้าน พ่อมันนี่ยิ่งดีใหญ่
ชอบหาหนังโป๊มาให้ลูกกะเพื่อนลูกดูกัน แถมเป็นนักดนตรีด้วยไอ้ดา
เล่นกีต้าร์เก่งก้อน่ากลัวจะได้มาจากพ่อมัน
“ปุ๊ก แกไปไหนมากะกานต์อ่ะ”
“อ้าวชั้นสองคนมันคนโสด ไม่มีแฟนอยู่ด้วยอย่างแก พวกชั้นก้อไปหาเบอร์หนุ่มๆมาสิ”
“อะไร ไปไม่ยอมชวน โอ๊ย”
พิมพ์มันพูดยังไม่ทันจบดี โดนไอ้ดาตบหัวไปทีนึง
คือว่าทั้งสองสาวนี้เธอเป็นผู้หญิงที่เจ้าชู้มาก ประมาณว่าชอบจีบหนุ่มๆไปทั่ว
แต่ไม่ใช่มันจะเอากับเขาทุกคนนะ แต่เหมือนมันจีบเพื่อความพอใจมั้ง
เหมือนว่ามันเก่งอะไรประมาณเนี้ย เพราะถ้ามันมั่วเพื่อนผมคงไม่คบด้วยหรอก
แต่มันเหมือนแรดนะ แต่จริงๆแล้วมันหวงตัวกันพอสมควร ผมเลยงง
ว่ามันอะไรกันวะเนี่ยแต่ไม่แปลกนะ ผมเจอมาเยอะไอ้ประเภทที่มองข้างนอกเรียบร้อย
แต่ข้างในนี่เน่าสนิท
“ไป ไปกานต์ เราว่าไปโทรหาเบสกันดีกว่า ดายืมโทรศัพท์หน่อยนะ”
ปุ๊กมันดึงผมเข้าไปโทรศัพท์ มันกดเบอร์เสร็จส่งโทรศัพท์มาให้ผม ผมถือสายสักครู่ก้อมีคนมารับสาย
“สวัสดีครับ หอเซอร์.......ครับ”
“ครับขอสายเบสหน่อยครับ”
“สักครู่ครับเดี๋ยวไปตามให้”
“กลับมายัง อยู่เปล่า”
ปุ๊กรีบถาม ผมพยักหน้าแทนคำตอบ
“ฮัลโหล เบสพูดครับ”
“ครับ กานต์พูดนะ”
“อ๋อครับ นึกว่าจะไม่โทรมาซะอีก”
“โทรสิครับ ขอเบอร์เบสมาแล้วจะไม่โทรได้ไงล่ะ”
จากนั้นผมกับเบสก้อคุยกัน ทำให้รู้ว่าเบสเป็นคนกรุงเทพ
แต่พ่อให้มาเรียนที่นี่โดยให้มาอยู่หอ ตอนนี้เรียนอยู่ม.5 เราคุยกันประมาณครึ่งชั่วโมง
แล้วก่อนที่ผมจะวางสายนั้น
“พรุ่งนี้กานต์มาเที่ยวที่หอเบสสิครับ”
“จะดีหรอ เซอร์ไม่ว่าหรอครับ”
“เซอร์เขาไม่ค่อยอยู่หรอก ถึงอยู่ก้อไม่ว่าอะไรหรอกครับ มานะ”
“งั้น เดี๋ยวเย็นๆ กานต์เข้าไปหาเบสละกัน”
“จะรอนะครับ อย่าให้รอเก้อนะ”
“ครับผม ไม่รอเก้อหรอกน่า”
พอผมวางสายปุ๊บ ปุ๊กมันก้อซักผมใหญ่ว่าคุยอะไรกันมั่ง
ผมเลยเล่าให้มันฟังพร้อมกับชวนมันไปเป็นเพื่อนวันพรุ่งนี้ด้วย มันโอเค
จากนั้นเราเดินออกไปหาเพื่อนที่นั่งเล่นกันอยู่หน้าบ้าน
“นี่ กานต์ มันจีบหนุ่มได้แล้วนะ พรุ่งนี้มีนัดด้วย” ไอ้ปุ๊กรีบรายงาน
“จริงหรอ น่ารักป่ะไปด้วยดิอยากเห็นหน้า” พิมพ์รีบขอตามไปด้วย
ตอนนั้นทั้งไอ้ดาและเพื่อนคนอื่นๆ มันมองหน้าผมกัน ผมรู้มันคงสงสัยว่าทำไม
เพราะเมื่อวานนี้ผมยังร้องไห้จะเป็นจะตายอยู่เลย
โดยเฉพาะไอ้เดียร์ผมต้องทำเป็นไม่เห็นสายตาที่มันมองมา
มันมีคำถามมากมายในสายตาของมัน แต่ผมยังไม่พร้อมที่จะตอบ
“เออ ดา มึงกะพิมพ์ไปด้วยกันดิ กูเขินๆยังไงไม่รู้ถ้าไปกะปุ๊กสองคนอ่ะ”
“ได้ ได้ เดี๋ยวกูกะพิมพ์ไปเป็นเพื่อน”
“เออ ขอบใจ เดี๋ยวกูเข้าห้องน้ำแป๊บนะ”
ผมรีบเดินหนีไปเข้าห้องน้ำ ตอนนั้นผมไม่กล้าสบตากับไอ้เดียร์
เพราะผมรู้ว่าผมเลวเกินกว่าที่จะสู้หน้ามัน พอผมจะเปิดประตูห้องน้ำออกมา
ผมก็ถูกผลักเข้าไปในห้องน้ำอีกครั้ง
ตอนที่ 17 : รักของเพื่อน
พอผมจะเปิดประตูห้องน้ำออกมา ผมถูกผลักเข้าไปในห้องน้ำอีกครั้ง
เป็นไอ้เดียร์ที่ผลักเข้ามา
"ทำไม มึงต้องไปคบกับคนอื่น มึงคบกับกูไม่ได้หรอวะ"
"เดียร์ กูรักมึงเหมือนเพื่อน กูไม่อยากทำร้ายมึง
ขอให้มึงรู้ไว้แล้วกันว่าสิ่งที่กูทำลงไปกับคนอื่น มันไม่ได้เกิดจากความรัก
แต่กูต้องทำ เพราะกูมีความจำเป็น"
"ความจำเป็นอะไร มึงบอกกูสิ กูขอร้อง ให้กูได้รู้ได้มั้ย"
"อย่าเลยว่ะ เอาเป็นว่าขอให้มึงรู้ไว้แล้วกัน ไม่ว่าใครจะเกลียดกูยังงัย
กูขอให้มึงอย่าเกลียดกูก้อแล้วกัน เพราะกูไม่เหลือใครแล้ว กูมีแต่เพื่อนเท่านั้น"
ตอนนั้น น้ำตาที่มันหยุดไหลไปมันกลับมาอีกครั้ง เดียร์มันกอดผมเอาไว้
ทำไม ทั้งที่เราไม่อยากจะเป็นคนอ่อนแอแล้ว แต่มันหยุดไม่ได้ น้ำตามันไหลลงมา
"กานต์ แล้วเรื่องระหว่างกูกับมึงเมื่อคืนล่ะ"
"กูทำลงไปเพราะกูรักมึงนะ แต่กูรักมึงแบบเพื่อน อะไรที่ทำแล้วมึงมีความสุข
กูจะยอมทำ คนอย่างกูไม่มีค่าอะไรพอหรอก มึงอย่ามาจมอยู่กะกูเลยนะ
คนที่เขาได้จากกูไปมากกว่ามึงเขายังไม่เคยใส่ใจเลย"
"คืนนี้ มึงไปค้างบ้านกูได้มั้ย"
"ได้สิ กูไปค้างกับมึงก้อได้ กูว่าเราออกไปเหอะเดี๋ยวพวกนั้นมันสงสัย"
ขณะที่เดินออกมาผมคิดเรื่อยเปื่อย ตอนนั้นผมไม่เชื่อแล้วว่ามันจะมีใครที่รักจริง
คบกันไป ไม่มันเบื่อเราก้อต้องเราเบื่อมัน ในเมื่อมันไม่มีความรักจริงๆอยู่
ทำไมเราจะต้องไปทุ่มเทอะไรอีก มีแต่ความรักของเพื่อนเท่านั้นที่ผมว่ามันมั่นคง
ไม่เปลี่ยนแปลงง่ายๆ
ในเมื่อมันไม่มีความรักจริงแล้ว ก่อนที่มันจะเบื่อเรา เราก้อต้องเบื่อมันก่อน ทิ้งมัน
ก่อนที่มันจะทิ้งเรา เมื่อไม่อยากเจ็บก้อจงอย่าเอาใจไปผูกอยู่กับใคร
ขนาดคนที่เรามอบให้มันทุกสิ่งทุกอย่าง ถือว่ามันคือทุกอย่างในชีวิต
แต่แล้ววันนึงเหมือนมันเป็นคนที่เราไม่เคยรู้จักเลย ความผูกพันที่ผ่านมาไม่เคยมีค่าพอ
ให้มันรับรู้ ให้มันเข้าใจ
"กานต์ เป็นไรหน้าตาไม่ค่อยดีเลย" ปุ๊กถาม
"ไม่เป็นไรหรอก เครียดนิดหน่อย พอดีเมื่อวานพึ่งอกหักมาน่ะ"
"จริงดิ ใครมันทำเพื่อนเรา บอกมา เดี๋ยวไปจัดการเอง"
"ช่างมันเถอะ อย่าไปสนใจมันเลย"
"เออ เดี๋ยวเราหาหนุ่มให้จีบเอง อย่าไปสนใจเลย ผู้ชายมีเยอะแยะ
น่ารักอย่างนายกลัวจะไม่มีแฟนรึไง"
"555 อย่างเราเนี่ยนะ น่ารัก เมารึเปล่าปุ๊ก"
"เอาเหอะน่า เชื่อเราดิ"
"แล้ววันนี้จะเอาไงเนี่ย ไปไหนดี"
"ไปขี่รถร่อนดีกว่า ขี้เกียจเที่ยว"
ผมเสนอ ทุกคนเลยตกลงกันตามนั้น ประมาณตี 1 ผมไปส่งปุ๊กที่บ้าน
จากนั้นก้อไปค้างที่บ้านไอ้เดียร์
"กานต์ มึงรู้มั้ย กูเคยคิดว่า ทำไม กูถึงอยากอยู่ใกล้อยากดูแลมึงก้อไม่รู้สินะ
มึงจำคำพูดกูไว้นะ กูไม่มีทางทำร้ายมึงได้"
"กูรู้ กูขอบใจที่มึงรักกูนะ ทำไมกูถึงไม่รู้ก่อนที่กูจะรู้สึกกับคนคนนั้น
กูไม่กล้าคบกะมึงเพราะกูรู้ใจกูดี ไม่ใช่กูรังเกียจมึงนะ"
"แค่มึงรับรู้ความรู้สึกกู กูก้อดีใจแล้วล่ะ"
ผมกอดไอ้เดียร์ไว้ ผมดีใจที่มีคนที่รักผมมากขนาดนี้ แต่ทำไมผมถึงรักมันไม่ได้
ทำไมนะการที่เราจะลืมใครสักคนมันยากเย็นขนาดนี้ ถึงใจอยากจะรักมันแต่มันทำไม่ได้
ไม่อยากให้มันต้องมาเจ็บทีหลัง เพราะเราไม่สามารถให้มันทั้งใจได้ ใจที่มีให้คนคนนึงไปแล้ว
ถึงมันจะไม่เห็นค่า แต่เราก้อไม่รู้จะเรียกคืนมายังงัย
บางคนเคยบอกว่าใจมันอยู่ที่เรานี่แหละไม่ได้ไปไหน แต่เราไม่เรียกหามันเอง
มันเลยซ่อนตัวอยู่
คืนนั้นเดียร์กอดผมแล้วเราก็หลับไปด้วยกันทั้งคู่ รักที่ผมมีให้มัน
ถ้ามันเปลี่ยนให้มากกว่านั้นได้ผมคงไม่เสียใจมาถึงทุกวันนี้
บางทีถ้าเรารู้ว่าชีวิตคนเรามันสั้นนัก แป็ปเดียวก้อจบลงแล้ว คืนนี้เมื่อเราหลับตาลง
เราไม่มีทางเลยที่จะรู้ว่าพรุ่งนี้ เราจะได้ลืมตาขึ้นมาอีกรึเปล่า
เพราะฉะนั้นขอให้ทุกคนทำดีต่อกันไว้นะครับ สำหรับผมสิ่งที่ผ่านมา
มันเป็นเรื่องที่กลับไปแก้ไขไม่ได้แล้ว มีแต่ปัจจุบันที่บางทีอดีตมันยังตามมาอยู่
ตอนที่ 18 : เราเป็นแฟนกันนะ
ตื่นเช้าขึ้นมา ไอ้เดียร์ยังไม่ตื่น ผมเลยลุกขึ้นมานั่งมองหน้ามัน ทำไม
คนที่เรารักกับคนที่รักเรามันถึงไม่เป็นคนเดียวกันนะ
ถ้าคนที่นอนข้างหน้าผมตอนนี้เป็นคนที่ผมรัก ผมคงมีความสุขมากกว่านี้
ทำไมคำสัญญาที่มันให้ไว้เป็นแค่ลมปากที่มันพูดออกมาโดยไม่ตั้งใจงั้นหรอ
ตลอดเวลาที่ผ่านมามันไม่เคยรักผมเลยใช่มั้ย
ตอนนั้นผมเครียดมากจนอดร้องไห้ออกมาไม่ได้ต่อหน้าคนอื่นผมจะต้องเข้มแข็ง
ผมไม่อยากเป็นคนแพ้ แต่คนที่รู้ว่าผมทุกข์เพียงใดก้อเห็นจะมีแต่ไอ้ดาและไอ้เดียร์เท่านั้น
ซึ่งผมไว้ใจกล้าที่จะร้องไห้ให้มันเห็น
“กานต์ มึงร้องไห้อีกแล้วหรอ เงียบนะ อย่าคิดมากดิวะ”
เดียร์มันคงได้ยินเสียงผมสะอื้น ยิ่งมันดีกับผม ผมยิ่งรู้สึกว่าตัวเองไม่มีค่าพอ
ที่จะรับความรักจากมัน ตอนที่ผมร้องไห้อย่างน้อยยังมีไหล่ของมันให้ผมได้พิง
ทำให้ผมไม่รู้สึกว่าโลกนี้ไม่เหลือใคร อย่างน้อยมันยังอยู่เคียงข้างผม
ผมอยากให้มันกอดผมไว้นานๆ แต่กลัวว่าจะยิ่งทำให้มันเจ็บมากไปกว่านี้
ถ้ามันมีใครที่จะต้องเจ็บ ขอให้เป็นผมที่เจ็บเอง ดีกว่าที่จะดึงมันมาเจ็บด้วย
“เดียร์ กูขออะไรมึงอย่างนึงได้มั้ย”
“อะไรล่ะ”
“ขอให้มึงรักกู...แค่เพื่อนคนนึงได้มั้ย กูไม่อยากให้มึงมาเจ็บเพราะกู”
“กูไม่เคยเจ็บ ไม่เคยเสียใจเลยนะ ตั้งแต่วันที่กูรู้ว่ากูรักมึง อาจจะมีน้อยใจบ้าง
แต่กูไม่เคยเสียใจ และกูจะรอมึงคนเดียวนะ”
“กูขอร้องนะเดียร์ มึงอย่าทำให้กูรู้สึกเลวมากไปกว่านี้เลย กู....กูรักมึงไม่ได้จริงๆ”
“ไม่เอา ไม่ร้องไห้นะกานต์ มึงอยากให้กูเป็นอะไร กูก้อจะเป็นให้มึงตามต้องการ อย่าร้องไห้นะ”
“เดียร์มึงรู้มั้ย มึงคือเพื่อนรักของกูนะ”
“เออ กูรู้น่า ไปล้างหน้าไป เดี๋ยวหาข้าวกินได้กลับบ้าน”
“ครับผม ไอ้เพื่อนรัก”
ผมกลัวถ้ามันรักผมมากกว่าเพื่อน วันนึงผมอาจจะต้องเสียมันไป
เพราะความเลวของผม แต่ถ้ามันเป็นเพื่อนของผม ความรักความห่วงใย
ความเป็นเพื่อนมันจะไม่มีวันเปลี่ยนไปได้
หลังจากกินข้าวเสร็จผมก้อกลับบ้าน มาถึงบ้านม้าเริ่มบ่นเรื่องไม่ค่อยอยู่บ้าน
วันๆมัวแต่ไปทางนู้นที ทางนี้ที รู้ว่าม้าห่วงนะครับ แต่ตอนนั้นมันหงุดหงิดยังไงไม่รู้
เหมือนอารมณ์ประมาณว่ารู้แล้วน่าไม่ต้องมาบ่นหรอก
แล้วม้ายังบอกอีกว่าไอ้ตั้มโทรมาหาหลายรอบแล้ว มีอะไรหนักหนาโทรอยู่นั่นแหละ
ให้โทรกลับไปหามันด้วย รู้สึกเบื่อๆเลยเดินหนีขึ้นห้องนอนแล้วยกหูโทรศัพท์ออก
แล้วนอนฟังเพลง เลิฟเอฟเอ็มมันเป็นบ้าอะไรไม่รู้เปิดแต่เพลงอารมณ์ประมาณอกหัก
เลยนอนร้องไห้อีกแล้ว เอาวะร้องไห้ให้พอ เดี๋ยวเย็นนี้มีนัดจะต้องมีความสุขมากแน่ๆ
ประมาณ 5 โมงเย็นเลยลงมาอาบน้ำล้างหน้าล้างตา แต่งตัวเตรียมไปตามนัด
“กานต์ลื้อ จะไปไหนอีก”
“โห ม้าไปแป็ปเดียวแหละน่า เดี๋ยวก้อมา”
“เค้าเป๋ แป็ปเดียว ลื้อเคยคิดจะอยู่บ้านมั่งมั้ย”
“ม้า จะบ่นให้ได้อะไร กานต์เบื่อจะฟังแล้วนะ ไปแล้ว”
ผมรีบขี่มอเตอร์ไซค์ออกมาพร้อมกับเสียงให้พรอีกยาวเหยียดไล่หลัง ทำไมวะ
กูต้องมีแต่เรื่องไม่สบายใจตลอดเลย อยากหลับไม่อยากตื่นมารับรู้อะไรอีกแล้ว
เหนื่อยเหลือเกิน ขี่รถไปถึงบ้านไอ้ดา ไอ้ดากับพิมพ์รออยู่แล้ว เลยไปรับไอ้ปุ๊กกัน
"กานต์ เราไม่มั่นใจนะว่าปุ๊กมันจะไปด้วยได้รึเปล่า”
“อ้าว ทำไมล่ะ”
“วันนี้วันเกิดพี่บุ๋ม พี่สาวมัน แล้วพี่มันไม่ชอบให้มันไปไหนมาไหนกับผู้ชายด้วยสิ”
เอาล่ะสิ มันจะเบี้ยวกูรึเปล่าวะ คงไม่หรอกมั้ง มันรับปากแล้วนี่ พอไปถึงบ้านปุ๊ก
มันรีบลากผมเข้าไปในบ้านทันที
“พี่บุ๋ม วันนี้ปุ๊กออกไปข้างนอกแป็ปนะ ไปธุระกะเพื่อน”
“แล้วนั่นใคร จับมือเข้ามาน่ะ”
“เพื่อนปุ๊กเอง ไม่ต้องคิดมากนะ มันชอบผู้ชาย มันไม่ได้มาจีบปุ๊กหรอก”
“หวัดดีครับ/ค่ะพี่บุ๋ม”
พวกผมสามคนสวัสดีพี่สาวปุ๊ก
“เออ ดูเหมือนผู้ชายปกติ ไม่น่าเป็นกะเทยเลยนะ”
แป่ว นี่กูเหมือนกะเทยหรอเนี่ย
“เขาไม่เรียกกะเทยพี่บุ๋ม เขาเรียกเกย์ มันไม่ใช่สาวขนาดนั้น”
“เออ เรียกรัยก้อช่างมันเหอะ เดี๋ยวคืนนี้ตามไปที่คาราโอเกะแล้วกัน ไปทั้งหมดนี่แหละ
วันนี้วันเกิดพี่ไปเที่ยวด้วยกัน ห้ามเบี้ยวนะ”
“ครับ/ค่ะ”
โหย ตอนพี่บุ๋มมองนะเหมือนจะกินเลยอ่ะ โคตรดุเลยนะ แต่พอพูดก็ใจดีนี่หว่า
แต่ไอ้ปุ๊กบอกว่าดุมาก เคยตีมันเกือบตายตอนจับได้ว่ามันแอบสูบบุหรี่
เป็นเราคงตีมันเหมือนกันแหละวะ เป็นผู้หญิงดันริสูบบุหรี่
ออกมาจากบ้านปุ๊กรีบตรงไปหอเบส ตอนนั้นยังไม่รู้หรอกหอไหนยังงัยแต่อย่างที่บอก
สองสาวเธอชำนาญทางเพราะเข้ามาจีบหนุ่มบ่อย
พอไปถึงเบสกำลังนั่งเล่นอยู่ที่กำแพงหน้าหอกับเพื่อนๆพอดีเลย
กำแพงมันเป็นกำแพงเตี้ยประมาณเอวเอง กันอะไรไม่ได้หรอก
ไม่รู้เหมือนกันจะสร้างไว้ทำไมแค่นั้น
“หวัดดีครับเบส”
“ครับ นึกว่าจะไม่มาซะแล้วนะเนี่ย รอนานจัง”
“โห บอกว่ามาก้อมาดิ พอดีรอปุ๊กอยู่อ่ะ”
“เข้าไปนั่งเล่นข้างในก่อนดิกานต์ ปุ๊ก แล้วก้อเอ่อ”
“ดากับพิมพ์เพื่อนกานต์เอง”
“ครับ ยินดีที่ได้รู้จัก เบสครับ”
จากนั้นเบสพาพวกเราเข้าไปนั่งเล่นที่ห้องดูทีวีในหอ พวกเด็กหอมันไปเที่ยวตลาดกันหมด
เพื่อนเบสก็กลับหอไปแล้ว นั่งคุยสักพักไอ้ดาก็บอกว่าเดี๋ยวจะไปซื้อของแป็ปนึง
พิมพ์กับปุ๊กเลยขอตามไปด้วย นี่จะทิ้งกูไว้คนเดียวหรอวะ กูเขินนะ พอมันออกไปแล้ว
ผมเงียบเพราะไม่รู้จะเริ่มคุยยังไง ตอนนั้นมันยังไม่ค่อยประสีประสาเท่าไหร่
“กานต์ เป็นรัยเปล่า เงียบจัง ไม่เห็นคุยกะเบสเลย”
“เปล่า เบสคุยมาดิ กานต์คุยไม่ค่อยเก่ง”
“งั้นเรามาผลัดกันถามนะกานต์ถามอะรัยเบส เบสก็ตอบ เบสถามอะรัยกานต์กานต์ก็ตอบเบส
โอเคป่ะ”
“ครับผม”
“งั้น เบสถามกานต์ก่อนนะ กานต์ชอบเบสตรงไหนหรอ”
เอาล่ะสิกู กูจะตอบว่าอะไรดีวะเนี่ย
“ก็...ไม่รู้ดิ มันชอบอ่ะ บอกไม่ถูก”
“หรอ งั้นกานต์ถามไรเบสอ่ะ”
“แล้ว...เบส คิดยังงัยกับกานต์ล่ะ”
“อืมม์ ถ้ากานต์ชอบเบส เบสคบด้วยคงมีความสุขน่ะสิ”
“ขอบคุณครับ”
“ขอบคุณ เรื่องอะไรอ่ะ”
“ก็เบสยอมเป็นแฟนกานต์แล้วนี่”
“ใครบอก โมเมเอาเองแล้ว”
“กานต์ไปยังเดี๋ยวพี่บุ๋มรอนานนะ”
เสียงปุ๊กตะโกนเข้ามาเรียก
“เบสครับ เดี๋ยวกานไปก่อนนะ ไม่รู้ละ ถือว่าเบสตกลงแล้วนะ พรุ่งนี้กานต์มาหานะครับ”
เสร็จแล้วก็รีบออกมา ปุ๊กนั่งรอที่รถแล้ว เลยไปหาพวกพี่บุ๋มที่คาราโอเกะกัน
ไปถึงคนเยอะมากญาติไอ้ปุ๊กเต็มห้องวีเลย 10 กว่าคนได้ เข้าไปเลยไปนั่งกันมุมห้องขณะ
ที่กำลังนั่งกินอะไรเพลินๆอยู่ พอดีไปสะดุดตากับเด็กคนนึงอายุน่าจะประมาณ 14
หน้าตาน่ารักตาโต เหมือนกบเลย ชอบ อยากทำความรู้จักน่ากลัวต้องให้เพื่อนปุ๊กช่วยอีกแล้ว
ตอนที่ 19 : หลายใจ
“ปุ๊ก ปุ๊ก เด็กตาโตๆที่นั่งอยู่ตรงนั้นใครหรอ”
“ไหนอ่ะ อ๋อ ไอ้บูม หลานเราเอง นายชอบหรอ”
“เออ อยากรู้จัก น่ารักดี”
“เดี๋ยวจัดการให้ บูม เอาไมค์อันนั้นมาให้อี๊ปุ๊กทีดิ”
ไอ้น้องบูมลุกเดินมา พอมองใกล้ๆแล้วมันน่ารักดีนะครับตาโต ปากบาง จมูกโด่งรับกับหน้า
รูปร่างกำลังดี เห็นแล้วน่าฟัดเป็นที่สุด หุหุหุ
“บูม นี่เพื่อนอี๊ปุ๊กนะ พี่กานต์ พี่ดา”
“หวัดดีครับ พี่กานต์ พี่ดา”
เสียง น่ารักดีอ่ะ เสียงเด็กกำลังแตกหนุ่ม น้องบูมมันเรียนที่เดียวกับเบสด้วย แต่บูมเรียนอยู่ ม.2 ปีหน้าจะขึ้นม.3 คุยกันก้อถามเรื่องเรียนบ้าง เรื่องอื่นบ้าง
“เออ บูมเนี่ยพอดีเลย ต่อไปนี้นะ เวลาเลิกเรียนพิเศษตอนเย็น อี๊ฝนให้พี่กานต์ไปรับบูมกลับบ้านแล้วกันนะ เพราะช่วงนี้อี๊ต้องทำธุระอย่างอื่นด้วย”
“ไม่ดีมั้ง อี๊ฝนจะให้บูมไปกวนพี่กานต์ พี่เขาจะว่างหรอ เดี๋ยวบูมเดินกลับบ้านเองก้อได้ กว่าบูมจะเลิกเรียนพิเศษตั้ง 5 โมงนะ”
“กานต์ ตอนเย็นนายไปรับบูมได้ป่าว”
“ได้สิ ตอนเย็นว่างอยู่แล้ว เอางี้นะพี่รอรับบูมที่ร้านน้ำแข็งไส ตรงข้ามวัดคริสต์แล้วกันนะ”
“เอางั้นหรอครับ ก็ได้ครับ ขอบคุณพี่กานต์ครับ”
ใจ อยากจะบอกว่าขอมากกว่าคำว่าขอบคุณได้ป่าว แต่เดี๋ยวมันส่ออาการมากไป ที่ไม่นัดรับมันหน้าโรงเรียนกลัวเจอเบสด้วย กลัวแห้วทั้งสองทาง ให้อะไรมันเรียบร้อยก่อน แล้วค่อยว่ากันใหม่ พอเลิกจากคาราโอเกะกันปุ๊กชวนชี่รถร่อนรอบตลาดสักรอบนึงก่อนเข้าบ้าน ดีว่าตอนนั้นน้ำมันไม่แพงนะ ไอ้เรื่องขี่รถร่อนในตลาดมันเลยไม่เปลืองเท่าไหร่
“บูม กลับกะอี๊ป่าว”
“ไปยังไงอ่ะอี๊ปุ๊ก”
“รถกานต์นี่แหละ อัดสามไป”
“ครับ เดี๋ยวบูมบอกแม่ก่อนนะ”
พอ น้องบูมเดินกลับมา ปุ๊กบอกให้น้องบูมนั่งหน้า หุหุหุ มันรู้มั้ยเนี่ยมันกำลังจะทำให้หลานมันกลายเป็นเหยื่อเรานะเนี่ย พอบูมนั่งตอนนั้นมองแต่คออย่างเดียวเลย มีความรู้สึกว่าคอมันน่ากัดดี โอ๊ยเห็นแล้วอยากฟัดมากๆ แต่ต้องควบคุมอาการไว้ก่อน เดี๋ยวน้องมันตกใจ ขี่รถร่อนกัน วันนั้นวันอาทิตย์ เลยไม่ค่อยมีใครเพราะปกติวันที่เด็กตลาดจะขี่รถร่อนกันเยอะจะเป็นวันศุกร์ วันเสาร์มากกว่า ตลาดมันเลยเงียบๆ พอส่งปุ๊กกับบูมเสร็จแล้วกลับเข้าบ้านอาบน้ำนอน ก่อนนอนผมไม่ลืมที่จะยกหูโทรศัพท์ออก ขี้เกียจรับสาย
ตื่นขึ้นมาตอนเช้า ผมต้องนั่งทำใจอยู่พักนึง ไม่อยากไปเรียน ไม่อยากเจอหน้ามัน
กลัวอดร้องไห้ไม่ได้ จะทำยังไงดีวะ กูจะหลบมันยังไงดี พอดีนึกขึ้นได้เรายังมีไอ้ระนี่หว่า
เอามากันได้นี่ เลยรีบอาบน้ำแต่งตัวไปโรงเรียนแต่เช้า เพราะระมันอยู่หอในถ้าช้ามันจะกินข้าว
เราต้องรอกว่าจะกินข้าวเสร็จ พอไปถึงรีบไปหน้าหอหาไอ้ระ วานเพื่อนมันไปตามมาให้
“ระ ไปกินข้าวเช้ากับกานต์หน่อยดิ”
“วันนี้ทำไมพูดอ้อนจัง แล้วแฟนกานต์ล่ะ”
“ไม่มี กานต์โสดแล้ว นะ นะอยากกินข้าวกับระนะ”
“ได้ เดี๋ยวระไปบอกเพื่อนก่อน กานต์รอตรงนี้นะ”
“อืมม์ รออยู่นะ เร็วด้วย หิวจะแย่แล้ว”
“รู้แล้ว”
พอระออกมา เลยเดินไปโรงอาหารกันตอนนั้นเพื่อนในห้องก้อมีมามั่งแล้ว
แต่ไม่ได้เข้าไปนั่งกับมัน ผมเลือกนั่งโต๊ะในสุด เพราะขี้เกียจนั่งกับเพื่อน
กลัวเดี๋ยวไอ้ตั้มมามันจะต้องมานั่งด้วย เอางี้แหละวะดีที่สุดแล้ว
“ระ ต่อไปนี้ระต้องมากินข้าวกะกานต์ทุกวันนะ ทั้งเช้าและก้อเที่ยงด้วย ได้ป่าว”
“ทำไมอ่ะ”
“ก็...กานต์อยากอยู่ใกล้ๆระ อยากกินข้าวกับระอ่ะดิ”
“”จริงดิ อย่าหลอกกันนะ”
“ไม่หลอกหรอกน่า กานต์อยากอยู่ใกล้ๆระน้า เชื่อกานต์นะ”
“อ่ะ เชื่อก็ได้ งั้นระจะกินข้าวกับกานต์ทุกวันเลย”
“ขอบคุณครับ”
ตอนนั้นนึกเหมือนกันว่าผมไม่น่านั่งมุมนี้เลย เพราะมันเห็นทางเข้าโรงอาหารพอดี
ไอ้ตั้ม ไอ้นนท์ แล้วก็ไอ้เดียร์เดินมาพอดีเลย มันมองมา แต่ผมทำเป็นไม่เห็น
คุยหัวเราะกับไอ้ระ ทำเหมือนมีกันแค่ 2 คน
“กานต์ เดี๋ยวระไปซื้อน้ำให้นะ กานต์กินน้ำอะไรดี”
“ครับ อะไรก็ได้ ระซื้อมากานต์กินได้หมดแหละ”
“แป็บนึงนะ”
พอระเดินออกไป ไอ้ตั้มมันเดินเข้ามาหาผม
“ทำไม ต้องมานั่งกินข้าวกับมันด้วย”
“.......................”
“ถามว่าทำไม”
“กูจะกินกับใคร เกี่ยวอะไรกับมึงด้วย มึงเป็นพ่อกูรึไง”
“ทำไมต้องทำอย่างนี้ด้วย”
“ทำมัย กูกินข้าวกะแฟนกู กูผิดเหรอ”
“มึงเป็นแฟนกันตั้งแต่เมื่อไหร่”
“เป็นเมื่อไหร่ มึงจะรู้ทำไม”
“กานต์ น้ำได้แล้ว”
ผม รับแก้วจากมือไอ้ระ ทำเหมือนไอ้ตั้มไม่มีตัวตนอยู่ตรงนั้น ในเมื่อมันทำผมได้ ผมก็ทำมันได้เหมือนกัน ผมคุยกับไอ้ระ หัวเราะกันสองคน จนไอ้ตั้มเดินกลับไปที่โต๊ะ
“มันมาคุยอะไรกับกานต์”
“สนใจทำไมอ่ะ ตอนนี้กานต์มีระคนเดียวนะ ไม่มีใครหรอก”
ตอน นั้นรู้สึกผิดเหมือนกันนะ แต่มันไม่มีใครรักกันจริงหรอกน่า โกหกมั่งช่างมันเถอะ มันไม่รู้ก้อเรื่องของมัน รึถึงมันรู้มันคงไม่รู้สึกอะไร แค่สนุกๆแค่นั้นเอง คิดอะไรมาก พอดีออดเข้าแถวดังเลยต้องไปเข้าแถวเตรียมลงช็อป
“ระ ตอนพักเที่ยงรอกานต์ที่หน้าช็อปนะ เดี๋ยวกานต์มาหา”
“อืมม์ เดี๋ยวรอที่หน้าช็อปนะ”
“ครับ”
วันนั้นลงช็อป ดีที่อยู่คนละแผนกกับมันไม่งั้นเครียดตายเลย พอพักเที่ยงก้อรีบออกมาจากช็อป
ไอ้ตั้มมันยืนรออยู่ข้างหน้าช็อป
“คุยอะไรด้วยหน่อยดิ”
“มีอะไรต้องคุย ไม่มีแล้ว หมดแล้ว”
“กูบอกว่าคุยแป็บนึงงัย”
มันไม่ฟังเสียงลากผมไปข้างบ้านพักอธิการทันที
ตอนที่ 20 : รักงั้นหรอ
“ปล่อยกู กูจะไปกินข้าว”
“มึงต้องฟังกูก่อน กูรักมึงนะกานต์”
“งั้นรูปที่อยู่ในกระเป๋าตังค์มึง มันเป็นสิ่งแสดงถึงความรักที่มึงมีให้กูล่ะสิ”
“มึงฟังกูมั่งสิ”
“กูไม่ฟัง กูไม่เชื่อมึงแล้ว เมื่อมึงโกหกกูแล้ว กูจะไม่เชื่อมึงอีกต่อไป ในเมื่อมึงเริ่มนับหนึ่ง
ต่อไปก็จะต้องมี สอง สาม สี่ เรื่อยไป”
“ทำไมมึงไม่มีเหตุผลเลยวะ”
“การมีเหตุผลของมึงคืออะไร คือกูต้องทำเป็นไม่รู้ว่ามึงกำลังจะทิ้งกูงั้นหรอ”
“กูไม่เคยพูดเลยนะว่าจะเลิกกับมึง”
“แล้วที่มึงทำคืออะไร กูบอกมึงแล้ว ว่ากูไม่ชอบคนโกหก มึงจำเอาไว้ มึงทำให้กูเจ็บเท่าไหร่
มึงต้องเจ็บมากกว่ากู”
ตอนนั้นมันเจ็บมาก ทำมัยมันจะต้องทำอย่างนี้กับกูด้วยวะ ผมเดินออกมา
ไม่อยากเห็นหน้ามันอีกแล้ว ใจนึงยังรักมันมาก ลึกๆก้อดีใจกับคำพูดที่มันบอกว่ายังรักเรา
แต่อีกใจนึงก้อคอยบอกคอยเตือนว่าสิ่งที่มันทำล่ะ นั่นหรอ คือความรักที่มันบอก
“โห มาช้าจัง ระหิวแล้วนะเนี่ย”
“โทษที พอดีเก็บของอยู่น่ะ”
“กานต์ไม่สบายเปล่า สีหน้าไม่ค่อยดีนะ”
“ปวดหัวนิดหน่อยน่ะ ไปกินข้าวกันดีกว่า ระหิวแย่แล้วนี่”
พอเดินไปถึงโรงอาหารตอนนั้นนักเรียนดูบางตาลงไปแล้ว คงเพราะมัวไปทะเลาะกับไอ้ตั้มอยู่
ตอนที่เดินเข้าไปกับไอ้ระ พวกเพื่อนในห้องที่ยังนั่งกินข้าวอยู่มันมองมา
คงสงสัยว่าทำมัยไม่เดินมากับไอ้ตั้ม เพราะตอนนั้นคนที่รู้เรื่องผมทะเลาะ
กับไอ้ตั้มยังมีเฉพาะคนในกลุ่มผม
“เดี๋ยวระไปซื้อข้าวให้นะ”
“อืมม์ งั้นเดี๋ยวกานต์ไปซื้อน้ำละกัน เดี๋ยวนั่งโต๊ะนี้นะ”
พอผมซื้อน้ำเสร็จเลยเดินมานั่งรอไอ้ระ พอระซื้อข้าวกลับมาระหว่างที่นั่งกินข้าว เราคุยกัน
ระ พยายามถามถึงสาเหตุที่ผมเลิกกับตั้ม แต่ผมบอกไปว่าถ้ายังอยากคุยกะผมให้เลิกถามเรื่องนี้ เพราะผมไม่อยากพูดถึง
“กานต์ เดี๋ยวกินข้าวเสร็จไปเล่นบาสกันป่ะ”
“หึ ไม่เอาอ่ะ ลงช็อปก้อเหนื่อยแล้ว ขี้เกียจเล่น ไปอ่านหนังสือห้องสมุดดีกว่า”
“อืมม์ ตามใจ ดีเลยระได้ไปหารายงานด้วย”
สรุปเลยไปช่วยระหาหนังสือทำรายงาน พอบ่ายกลับเข้าช็อป
มีความรู้สึกว่าหัวใจมันห่อเ[อย่าโพสคำหยาบ]่ยวยังไงก้อไม่รู้ บอกไม่ถูกรู้สึกเบื่อมาก
อยากที่จะไปให้พ้นตรงนั้นความรู้สึกนั้น ตอนเย็นเลิกเรียน เดินออกมาพร้อมไอ้ดา
กะไอ้เดียร์ และเพื่อนคนอื่นๆ ระหว่างนั้นไอ้ตั้มกับไอ้นนท์ก้อเดินตามมา
“กานต์ เดี๋ยวนั่งเล่นบ้านกูก่อนป่ะ”
“โทษทีว่ะ เดียร์พอดีกูมีนัดอ่ะ”
“อ้าว นัดกับใครวะ”
“กูก็นัดกับเด็กกูมั่งดิ ตามประสาคนโสด”
“อ๋อ ที่ชื่อเบสอ่ะนะ คนที่มึงไปจีบมาวันนั้นอ่ะหรอ”
“เออ วันนี้กูว่าจะไปชวน เบสไปกินข้าว แต่ว่าเดี๋ยวกูต้องไปรับน้องบูมก่อนด้วย”
“โอ้โห เพื่อนกูนี่ เสน่ห์แรงไม่เบานะเว้ย”
จริงๆ ไม่อยากให้เดียร์มันพูดถึงเรื่องนี้หรอก ไม่ใช่เกรงใจไอ้ตั้มนะแต่ไม่อยาก
ทำร้ายความรู้สึกเดียร์มากกว่า เพราะไม่มีใครรู้เรื่องระหว่างผมกับมัน
ที่มันพูดคงต้องการให้ไอ้ตั้มได้ยิน ที่จริงมันอยากให้ผมกลับมาดีกับไอ้ตั้ม
มันรู้ว่าผมรักไอ้ตั้มมาก แต่มันเองก้อรู้ว่าผมแค้นมากแค่ไหน
มันเลยไม่กล้าบอกให้ผมดีกับไอ้ตั้มโดยตรง
“เออกูกะไอ้ดาไปก่อนนะ นี่สี่โมงกว่าแล้ว เดี๋ยวกูไปรับน้องไม่ทัน”
“เออ พรุ่งนี้เจอกันนะ”
ระหว่างที่ขี่มอเตอร์ไซค์กลับบ้านกะไอ้ดา ไอ้ดามันถามขึ้นมา
“มึงทำยังงี้ มึงมีความสุขหรอวะ”
“สุขสิ มึงดูหน้ากูสิ กูยิ้มอยู่เนี่ย”
“กานต์ มึงเป็นเพื่อนกะกูนะ กูรับฟังมึงได้ทุกอย่าง มึงเป็นยังไง มึงนึกว่ากูดูไม่ออกหรอวะ”
“ดูออก แล้วมึงจะถามกูทำไมล่ะ กูแค่ไม่อยากแพ้”
“นี่มันไม่ใช่เรื่องแพ้ชนะ นะเว้ย”
“ไม่รู้ดิ ในเมื่อมันมีคนอื่น กูก้อจะมีมั่ง เมื่อมันทำกูเจ็บ กูไม่ยอมเจ็บคนเดียวหรอก”
“แล้วมึงคิดว่ามันคุ้มหรอวะ”
“กูบอกแล้ว กูทำให้มันได้ทุกอย่าง เมื่อมันทำกูเจ็บ กูก็จะทำทุกอย่างเพื่อให้มันเจ็บได้เหมือนกัน”
วันนี้เอาแค่นี้ก่อนละกันนะครับไว้พรุ่งนี้เช้ามาอัพให้ใหม่
อ่านแล้วอย่าลืมเม้นแล้วก็โหวตบล็อกให้นะครับเม้นกันเยอะๆเลยนะครับไม่งั้นเดี๋ยวไม่มีกำลังใจมาอัพ
มาอัพให้แล้วนะคับ ตอนที่21-25
ตอนที่ 21 : เพชร
“เออ ว่าแต่ กูต้องไปรอรับน้องบูมกะมึงด้วยป่ะเนี่ย”
“ไม่ต้องเลย กูไปส่งมึงก่อน มึงก็ไปรับพิมพ์มา เดี๋ยวไปกินข้าวกัน”
“กินที่ไหนอีกอ่ะ”
“ยังไม่รู้ แต่จะไปรับเบสไปกินด้วย”
“อ่ะนะ แล้วปุ๊กล่ะวะ”
“เดี๋ยวกูรับมา พอถึงหอเบสให้มันย้ายไปนั่งกะมึงดิ”
“โห แล้วมึงจะเอาพวกกูไปด้วยทำไมวะเนี่ย”
“เออน่า กูยังไม่ชิน เดี๋ยวอีกหน่อยมึงก็ไม่ต้องมาแล้ว ทนแป็ป”
“อ๋อ นี่มึงคิดจะถีบหัวพวกกูส่งแล้วหรอวะเนี่ย”
“มึงจะเอางัยวะชวนไปก็บ่น พอบอกว่าเดี๋ยวไม่ต้องไปแล้ว ยังมาบ่นกูอีก”
“กูไม่เอางัยหรอก แต่มึงอย่าปิดกูแล้วกัน มีรัยก็บอก เพื่อนกันนะเว้ย”
“เออ ขอบใจ”
พอส่งไอ้ดาที่บ้านแล้วผมรีบเข้าบ้านอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้ามารอน้องบูมที่ร้านน้ำแข็งไส นั่งรอได้สักพัก
เด็กนักเรียนเริ่มทยอยออกมาจากโรงเรียนกัน
“พี่กานต์มารอบูมนานยังครับ”
“ไม่นานหรอก พี่พึ่งมานั่งเมื่อสักพักนี่เอง บูมกินไรมั้ย”
“ไม่เอาอ่ะครับ กลับช้าเดี๋ยวโกว่าเอา แค่ปกติอี๊ปุ๊กชวนไปร่อน โกยังบ่นซะ
นี่อี๊ปุ๊กไม่ได้มารับเองด้วยบ่นตายเลย”
“ครับ งั้นกลับกันเลยดีกว่า”
รอได้ครับ เด็กมันน่ารัก รอนิดรอหน่อยรีบร้อนมากไป เดี๋ยวน้องบูมมันตกใจ พอพาบูมไปส่งถึงบ้าน
ผมเลยนั่งรอไอ้ปุ๊กกลับจากเรียนพิเศษ ระหว่างที่นั่งรอโดนพี่บุ๋มซักประวัติ
พี่บุ๋มเป็นสาวแก่ไม่มีสามีไม่มีลูก และค่อนข้างจะหวงน้องสาวมาก เพราะพ่อแม่ตายตั้งแต่ปุ๊กยังเด็ก
พี่บุ๋มเป็นคนเลี้ยงมา ผมเลยขอพี่บุ๋มว่าเดี๋ยววันนี้จะไปหาอะไรกินกัน
พี่บุ๋มไม่ว่าอะไรแต่ห้ามมาส่งเกินสามทุ่ม เพราะพรุ่งนี้ต้องไปเรียน พอปุ๊กกลับมา
มันรีบเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วออกมากะผม
“กานต์ นายขอยังงัยวะ พี่บุ๋มถึงยอมให้เราออกมากะนายง่ายๆเนี่ย”
“ป่าว คุยปกติ แล้วบอกว่าจะพาแกออกมากินข้าว พี่บุ๋มก็ให้”
“รู้เปล่า ปกติพี่บุ๋มไม่ค่อยให้เราไปไหนกะคนอื่นง่ายๆหรอกนะ มีแต่ไอ้พิมพ์นี่แหละ
ตอนนี้มีแกอีกคน กล่อมยังไงวะเนี่ย”
“เด็กดีก็อย่างงี้แหละ พี่เขาดูออก”
“ดีตายแหละ ว่าแต่จะกินไรเนี่ย”
“ไปบ้านไอ้ดาก่อน แล้วเดี๋ยวค่อยไปหอเบสกัน จะกินไรค่อยว่ากัน”
“อ๋อจะไปกินข้าวกับผู้ชาย แล้วจะลากพวกชั้นไปทำไม”
“ไปเป็นเพื่อนหน่อยดิ แกก็ได้ไปดูหนุ่มด้วยงัย”
“เออ ได้นี่เห็นว่าเป็นแกนะ ตอบแทนที่พาออกมาจากบ้านได้”
จากนั้นพอไปหาไอ้ดาเลยออกมาหอเบสกัน มาถึงเบสมันนั่งอยู่ที่เดิมที่กำแพงนั่นแหละ
กำลังนั่งคุยกับเพื่อนมัน หน้าตาน่ารักดี ผิวคล้ำไปหน่อย มีจอนด้วย ดูดีเหมือนกัน
“นึกว่าจะไม่มาหาอีกแล้วนะเนี่ย กานต์”
“มาดิครับ รีบมาจะแย่แล้ว เบสกินข้าวยัง”
“ยัง รอกานต์อยู่”
“จริงดิ หิวยังเนี่ย กานต์มาช้าไปป่าว”
“ไม่หรอกพึ่งหกโมงกว่าเอง ปกติเบสกินประมาณทุ่มกว่านั่นแหละ”
“อ๋อ ครับ แล้วกินไรกันดี”
“แล้วแต่ พวกกานต์อยากกินไรกันอ่ะ”
“งั้นไปกินผัดไทแยกหัวแตกละกัน”
“อยู่ที่ไหนอ่ะ เบสไม่ใช่คนที่นี่นะ”
“เอาน่า เดี๋ยวก็รู้เอง ว่าแต่เพื่อนเบสไปกินด้วยป่ะเนี่ย”
เบสหันไปคุยกะเพื่อน ซึ่งก็ตกลงไปด้วย เลยให้ปุ๊กไปนั่งกับไอ้ดา ส่วนเบสกะเพื่อนมานั่งกับผม
ระหว่างทางเบสเอามือมาจับเอว ผมรู้สึกหยิวๆยังไงไม่รู้ ชอบจังเลยมีคนน่ารักมาซ้อนท้ายมอเตอร์ไซค์เนี่ย
ระหว่างที่นั่งกินผัดไทเลยรู้ว่าเพื่อนเบสชื่อเพชรเป็นเด็กกรุงเทพเหมือนกัน แต่อยู่คนละหอ
ผมฃอบมองหน้าเพชรนะมันคมดีอ่ะ แต่ไม่กล้ามองมากเดี๋ยวเบสสังเกตเห็น แต่ว่าตอนที่ผมมองหน้าเพชร
เพชรเหมือนจะรู้ตัว จะหลบตาผม ไม่กล้ามองตอบ ชอบจริงๆ เวลาที่มองใครแล้วไม่กล้าสู้สายตา มันสนุกนะที่ได้แกล้งอ่ะ
เสร็จแล้วเลยไปส่งไอ้ปุ๊กที่บ้าน จากนั้นก็แยกกัน ไอ้ดาไปกับพิมพ์ ผมไปส่งเบสกับเพชรที่หอ โดยแวะส่งเพชรก่อน
ค่อยไปนั่งคุยกับเบสหน้าหอ ตอนนั้นเริ่มมืดแล้ว
“อืมม์ เบสรู้ป่ะ กานต์คิดถึงเบสมากเลยนะ”
“เบสเนี่ยนะ กานต์จะมาคิดถึงเบสทำมัยล่ะ”
“ก็เบสน่ารักนี่ จริงๆนะ”
“พูดอย่างนี้กะคนอื่นบ่อยล่ะสิ”
“ไม่จริงอ่ะ กานต์ไม่เคยพูดกะใครเลยน้า”
“ครับ เชื่อครับ”
“วันนี้มืดแล้ว เดี๋ยวกานต์กลับบ้านก่อนดีกว่า แต่ว่าก่อนกลับกานต์ขอรัยเบสอย่างได้ป่ะ”
“ขออะรัยล่ะ”
ผมจับมือเบสขึ้นมาจูบทีนึง ตอนนั้นเบสคงเขิน ผมเดาเอานะ จากท่าทางและสีหน้าที่เห็นไม่ค่อยชัด
“เล่นอะไรอ่ะ”
“มือหอมจังเลย เมื่อไหร่กานต์จะได้จูบตรงอื่นนอกจากมือน้า”
“บ้าดิ ไว้เจอกันพรุ่งนี้นะ”
“ครับ ฝันถึงกานต์บ้างนะครับ เบส”
กลับมาถึงบ้านม้าเริ่มบ่นด้วยประโยคเดิมประมาณว่าไม่ค่อยอยู่บ้าน
โอ๊ยขี้เกียจฟังเดินหนีไปอาบน้ำขึ้นห้องฟังเพลงดีกว่า พอดีโทรศัพท์ดังแต่รับไม่ทันม้ารับก่อน
ดีว่าเป็นไอ้ดาโทรมา เลยบอกม้าว่ารับสายบนห้องแล้ว
“เออ มีไรวะคิดถึงกูรึไงกลับบ้านปุ๊ปโทรหากูเนี่ย”
“เออ กูคิดถึงมึง”
“ไอ้สันดานนี่ เสือ_พูดเล่น มีไรก้อว่ามา”
“แล้วอบรมปีนี้ มึงจะไปยังไง”
เออจริงด้วย ลืมสนิทเลย ว่าจะต้องไปอบรมกับเด็กคริสต์ โอ๊ยจะทำยังไงวะเนี่ย
“ไม่รู้ดิ คงต้องไปกะเด็กคริสต์อ่ะ”
“แล้วมึงจะไหวหรอ ไปกะเด็กพุทธดีกว่ามั้ง”
“แล้วมึงจะให้กูบอกคุณพ่อยังงัย บอกว่ากูเลิกกะมันแล้ว เลยเลิกความคิดที่จะเข้าคริสต์หรอ บ้าดิ”
“งั้นจะทำไง”
“กูก็อยู่กะไอ้บอย ไอ้หนึ่งดิ”
“เออ อย่าเครียดมากละกัน ร้องไห้ให้มันน้อยหน่อยนะ”
“ครับ คุณพ่อ ลูกรู้แล้วครับ”
“ไอ้สาดนี่ คนเป็นห่วงนะมึง”
“เออ ขอบใจมาก เพื่อน”
ไอ้บอยกับไอ้หนึ่งเป็นเด็กประจำครับ เรียนห้องเดียวกันนี่แหละ ตอนที่มันรู้ว่าผมจะเรียนคำสอน
มันคอยช่วยผมประจำ ยังไงลากมันมาเป็นเพื่อนคงได้แหละน่า
ที่จริงเมื่อกี้ตอนไอ้ดาบอกคิดถึงก็ตกใจเหมือนกันนะ เพราะสนิทกะมันมาก
ถึงขนาดว่าเคยนอนใส่แต่กางเกงในอย่างเดียวด้วยกันมาแล้ว แต่ไม่เคยมีอะไรกัน
ผมเองยังงงตัวเองเหมือนกัน ว่าทำไมถึงไม่คิดอะไรกะมัน ทั้งที่มันไม่ใช่คนขี้เหร่
ผมว่าคงเป็นเพราะคำว่าเพื่อนมั้ง ที่มันทำให้ผมไม่คิดอะไรมากไปกว่านั้น อ้อ ต้องจำให้ขึ้นใจ
ก่อนนอนอย่าลืมยกหูโทรศัพท์ออก จากนั้นก็ฟังเพลงจนหลับไป
ตอนที่ 22 : ดอนบอสโก เขาตะเกียบ
หลังจากวันนั้นมาอีกอาทิตย์นึงก็ถึงวันที่จะต้องไปอบรมแล้ว เซ็งชีวิตจังเลย
เวลาอาทิตย์นึงตอนนั้นไม่มีอะรัยมาก ความคืบหน้ากับเบสคือ ได้หอมแก้มแล้ว ส่วนไอ้น้องบูม
มันยังหวงตัวอยู่เลยต้องใจเย็นๆ เดี๋ยวน้องมันจะตกใจ
แต่ที่น่าห่วง คงเป็นตัวเราเอง ปีนั้นโรงเรียนพาไปที่บ้านพักดอนบอสโก เขาตะเกียบ หัวหิน
ระหว่างทางที่นั่งรถไป ได้แต่นึกในใจ ทำไมเวลาที่คนเรามีความสุขเรามักจะลืมความทุกข์นะ
รึว่าจริงๆแล้วโลกนี้มันไม่เคยมีความสุขอยู่หรอก มีแต่ความทุกข์ เพียงแต่ว่าจะทุกข์มาก
หรือว่าทุกข์น้อย พอทุกข์น้อย เราพากันสมมุติเรียกมันว่าความสุข เราถึงไม่เคยรู้สึกเลย
ว่าความสุขมันเป็นยังไง มีแต่ความทุกข์ที่มันอยู่เป็นเพื่อนเราตลอดเวลา
นั่งคิดเรื่อยเปื่อยไปตลอดทางจนถึงเขาตะเกียบ
“บอย หนึ่ง มึงมานี่ก่อนดิ”
“ทำไมวะ ไม่รีบเอาของไปจองที่ก่อนหรอ”
“ก็...เดี๋ยวก่อนดิ ไม่ต้องรีบหรอกขึ้นไปท้ายๆ ดีกว่า กูไม่อยากนอนข้างมัน”
“เออ งั้นเดี๋ยวค่อยขึ้น”
พอขึ้นไปที่พักมันจะเป็นห้องยาว มีห้องน้ำอยู่ด้านซ้าย ด้านขวา
เหลือบไปเห็นไอ้ตั้มกะไอ้นนท์มันเลือกที่นอนตรงกลางพอดี เลยชวนไอ้บอย
ไอ้หนึ่งไปนอนริม ให้มันนอนซ้ายขวา คิดมากไปเปล่าวะเนี่ย ทำยังกะจะมีใครมาปล้ำ
พอจัดของเสร็จแล้วต้องลงไปร่วมกิจกรรม เริ่มจากการละลายพฤติกรรม ระหว่างที่เล่นเกม
พยายามไม่เฉียดเข้าไปใกล้มัน ทำไมนะ ยิ่งไม่อยากเจอยิ่งต้องอยู่ใกล้
ตกกลางคืนจะมีกิจกรรมยอดฮิตของบ้านดอนบอสโกเขาตะเกียบ
เซอร์จะแจกกระป๋องให้พร้อมไอ้ช้อนขุดอ่ะนะ ให้ออกไปหาปูลมกัน ไม่รุ้ว่าจะมีคนรู้จักกันเยอะรึเปล่า
ปูลมจะเป็นปูตัวเล็กสีขาวๆ จะอยู่ในรูตามริมหาดปากรูมันจะมีทรายเป็นเม็ดอยู่
วันนั้นเป็นครั้งแรกที่เคยหา โดยมีบอยกะหนึ่งไปด้วยกันมีไฟฉายไปอันนึง
คอยฉายไปแล้วจะเห็นปูมันวิ่งสีขาวสะท้อนแสงไฟ เมื่อเห็นมันลงรูเราต้องเอาช้อนที่มีนั่นแหละขุดลงไป
แล้วคอยจับ ปูลมที่ได้จะเอาไปชุบแป้งทอด ก่อนทอดต้องแกะกระดองแล้วล้างมันปูออกก่อน
เขาบอกว่าถ้าไม่ล้างมันปู ท้องจะเสียเวลาที่กินเข้าไป จริงๆอยากลองนะว่ามันจะจริงรึป่าว
ถ้าใครเคยลองช่วยบอกทีละกัน ระหว่างที่กำลังขุดหาปูกัน
ผมไม่ได้สังเกตว่าไอ้บอยกะไอ้หนึ่งมันหายไปตอนไหน รู้สึกตัวอีกทีเมื่อได้ยินเสียง
“กานต์ นี่เราไม่มีทางที่จะพูดดีกันได้แล้วใช่มั้ย”
“บอกแล้วไง มันหมดไปแล้ว มันหมดไปตั้งแต่วันนั้นแล้ว ขอตัวนะ ไม่มีอะไรจะพุดแล้ว”
ในใจนึกเคืองไอ้สองคนนั่น ทำไมมันทิ้งเราไว้เฉยเลย พอไปเจอมันสองคน
แทนที่เราจะเป็นฝ่ายว่ามัน มันกลับเป็นฝ่ายมาว่าเราอีกว่าทำไมไม่ฟังเหตุผลไอ้ตั้มบ้าง
ความรู้สึกตอนนั้นคือทำไมไม่มีใครคิดถึงใจเราบ้างว่ามันเจ็บแค่ไหน
“ถ้าพวกมึงคิดว่ากูเป็นคนผิด กูก้อไม่ว่าอะไร แล้วแต่พวกมึงละกัน”
“กานต์ กูไม่ได้หมายความว่ามึงผิดนะ แต่มึงน่าจะฟังมันบ้างดิวะ”
“ฟังหรอให้กูฟังอะไร ที่มันพูดมาเคยมีความจริงบ้างมั้ย กูขอร้อง ถ้ามึงยังอยากคบกะกู
อย่าเอ่ยถึงเรื่องของมันอีก กูไม่อยากฟัง”
“เออ ไม่ฟังก็ไม่ฟัง”
พอเลิกคุยเรื่องไอ้ตั้มแล้วก้อเดินกลับมาที่บ้านพัก ทำปูกัน แต่ตอนนั้นไม่มีอารมณ์สนุกเลย
ทำไมจะต้องมานั่งเครียดด้วยวะ คงเพราะไม่มีใคร
ตอนนั้นถ้ามีระอยู่ด้วยรึมีใครที่จีบไว้อยู่คงจะไม่เหงาเท่านี้ ทั้งที่อยู่ท่ามกลางคนเยอะแยะ
แต่ทำไมเหมือนมีเราอยู่คนเดียว รู้สึกเบื่อๆเลยเดินขึ้นไปล้างตัวแล้วนอนอยู่เงียบๆคนเดียว
อยากอยู่กับตัวเอง อยากรักตัวเองให้มากกว่านี้ ตอนนั้นน้ำตามันไหลออกมาเอง
ทำไมเราต้องรักมันมากขนาดนี้ ทำไมถึงลืมมันไม่ได้ ทั้งที่มันทำเราเจ็บมากขนาดนี้
ตอนที่ 23 : Love is sharing
คืน นั้นนอนร้องไห้ไปจนหลับไปเมื่อไหร่ไม่รู้ มารู้ตัวอีกที ตอนเช้ามืด ลุกขึ้นมายังไม่มีใครตื่น เลยออกไปเดินเล่นดีกว่า เดินเล่นให้ลมมันพัดเผื่อว่าอะไรมันจะดีขึ้น
“ตื่นแต่เช้าเลยหรอลูก”
“ครับ อรุณสวัสดิ์ครับ คุณพ่อ”
นึกว่าใคร ที่แท้คุณพ่ออธิการน่ะเอง ท่านคงออกมาเดินเล่นตอนเช้าเหมือนกัน
“มีอะไรรึเปล่า พ่อว่าพักนี้ ลูกไม่ค่อยร่าเริงเหมือนเมื่อก่อนเลยนะ”
“ไม่มีอะไรมากหรอกครับ พอดีผมแค่มีเรื่องที่ไม่สบายใจนิดหน่อยครับ”
“กานต์ ลูกเชื่อในแม่พระใช่มั้ย”
“ครับ คุณพ่อ”
“ถ้าอย่างนั้นลูกลองขอแม่พระดูสิ เผื่อว่าปัญหาของลูกมันจะมีทางออก”
“ครับ ผมจะลองดูครับ”
“วันนี้ตอนเย็น พ่อจะทำเทเซ่ ลูกช่วยเตรียมเพลงทีนะ”
“ครับ เดี๋ยวผมเตรียมให้ครับ”
หลัง จากนั้น คุณพ่อพาเดินกลับมาที่บ้านพัก ผมเลยเดินขึ้นไปบนห้องตอนนี้พวกเพื่อนๆ ตื่นนอนกันเกือบหมดแล้ว ผมเดินเข้าไปหาไอ้บอยกับไอ้หนึ่ง
“ไปไหนมาวะกานต์”
“กูไปเดินเล่นมา ที่ชายหาดอ่ะ”
“โหไม่ปลุกกูเลย กูจะได้ไปดูพระอาทิตย์ขึ้นมั่ง”
“ดูทำไม พระอาทิตย์ที่ไหนมันก็เหมือนกัน ไม่ใช่ว่าที่นี่จะมีพระอาทิตย์ขึ้นพร้อมกันสองดวงเมื่อไหร่”
“อ้าว มีแรงกวนตี...แล้วหรอวะ”
“กูไม่ได้เป็นอะรัยซะหน่อย”
“แล้วเมื่อคืนนี้หมาตัวไหนนอนร้องไห้จนหลับน้ำตาเปียกหมอนวะ”
บอยกระซิบถาม
“ไม่รู้ มันตายไปแล้วเว้ย ตอนนี้มีแต่หมาที่ร่าเริงเว้ย”
“เออ กูจะพยายามเชื่อดู”
“บอย มึงเล่นกีต้าร์ทีได้ป่าว พอดีคืนนี้พ่อเขาจะทำเทเซ่อ่ะ”
“หึ กูเล่นเป็นแต่ออร์แกนอ่ะดิ กีต้าร์กูไม่ถนัดไม่บอกไอ้นนท์ล่ะ”
“หึ กูไม่พูดกะมันอ่ะ”
“เรื่องอะไรอีกล่ะมึง”
“ก็...มันเป็นเพื่อนกะไอ้นั่นอ่ะดิ”
“มึงบ้าป่าว แล้วมึงไม่ใช่เพื่อนมันรึไง เดี๋ยวกูบอกมันเอง โอเคนะ”
เลยตามเลย ในเมื่อบอยมันบอกให้ จริงแล้วไม่ได้โกรธไอ้นนท์มากหรอกนะ แต่ด้วยทิฐิมั้ง
เลยไม่ยอมไปพูดกะมันก่อน
หลังอาหารเช้าวันนั้นมีการแบ่งกลุ่มเพื่อแบ่งปันพระวาจากัน ไม่รู้ว่าโชคชะตาเล่นตลกอะไร
ทำให้ผมต้องไปอยู่กลุ่มเดียวกับไอ้ตั้ม ก่อนเริ่มคุณพ่ออธิการนำสวดภาวนา
หลังจากนั้นก็ร้องเพลงจงแสวงหา จากนั้นคุณพ่อให้ผมเป็นคนเลือกบทอ่าน
โดยวิธีการเลือกคือ นำพระคัมภีร์มาแล้วอธิษฐานจากนั้นเปิดไปหน้าไหนได้
ให้เลือกข้อความที่อ่านแล้วประทับใจมากที่สุด
ตอนนั้นผมอธิษฐาน ขอให้มีทางออก ในเรื่องที่ผมรู้สึกว่ากำลังประสบกับความทุกข์ใจอยู่
เมื่อผมเปิดไปก็เป็นจดหมายจากนักบุญเปาโลถึงชาวโครินธ์ฉบับที่ 1 ข้อความที่ประทับใจนั้นมีอยู่ว่า
“เมื่อข้าพเจ้ายังเป็นเด็ก ข้าพเจ้าพูดอย่างเด็ก คิดอย่างเด็ก ใคร่ครวญหาเหตุผลอย่างเด็ก
แต่เมื่อข้าพเจ้าเป็นผู้ใหญ่ ข้าพเจ้าก็เลิกอาการเด็กเสีย
เพราะว่าบัดนี้เราเห็นสลัวๆเหมือนดูในกระจก แต่เวลานั้นจะได้เห็นหน้ากันชัดเจน
เดี๋ยวนี้ข้าพเจ้ารู้แต่ส่วนหนึ่ง แต่เวลานั้นข้าพเจ้าจะรู้แจ้งเหมือนได้รู้จักข้าพเจ้าแล้วด้วย
ดังนั้นยังตั้งอยู่สามสิ่ง คือความเชื่อ ความหวังใจ ความรัก แต่ความรักใหญ่ที่สุด”
“กานต์ ลูกเข้าใจความหมายของบทอ่านตอนนี้มั้ย”
“ไม่ค่อยแน่ใจครับ คุณพ่อ”
“ความรัก คืออะไร ความรักคือ การแบ่งปัน Love is sharing ความรักคือการให้
กานต์ ความรักที่พระทรงมอบให้มนุษย์นั้น เป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่นะลูก คำว่าความรัก
ไม่จำเป็นที่จะต้องมีความสัมพันธ์กันทางกาย ขอเพียงความสัมพันธ์กันทางใจ ความรักนั้นเป็นสิ่งที่ดี ....”
จริงๆแล้วคุณพ่อท่านอธิบายมากกว่านี้แต่ผมเองจำไม่ค่อยได้เพราะมันนานมากแล้ว
ตอนนั้นผมไม่ได้คิดเลยว่าคุณพ่อท่านต้องการที่จะสื่ออะไรบางอย่างถึงผม
ผมเองก็ยังไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมถึงเปิดเจอบทอ่านหน้านั้น บางทีคำแนะนำที่ดีที่สุด
เรากลับไม่ได้ให้ความสำคัญ เป็นเราเองที่ผลักไสสิ่งสำคัญที่สุดในชีวิตของเราออกไปเอง
เป็นเราที่ทำลายสิ่งที่พยายามสร้างมันขึ้นมา ทำไมคนเราถึงไม่รู้ตัวกันเลย เวลาที่ทำลายสิ่งที่สำคัญลงไป
ตอนที่ 24 : Taize
ในช่วงบ่ายผมต้องเตรียมเพลงเทเซ่ ตั้งแต่ที่ผมรู้เรื่องไอ้ตั้มแล้ว ไม่ได้พูดกับไอ้นนท์เลย
นี่เป็นครั้งแรกที่กลับมาพูดด้วย แต่ผมพยายามไม่สนใจที่จะคุยเรื่องอื่น
ที่พูดกะมันก็มีแค่เรื่องเพลงที่จะใช้ และซ้อมนิดหน่อย
"กานต์ มึงหายโกรธกูยัง" ไอ้นนท์ถามระหว่างทีกำลังซ้อมเพลงอยู่
"ถ้ากูยังไม่หาย กูคงไม่มานั่งซ้อมเพลงกะมึงหรอก"
"แล้วไอ้..."
"ไม่ต้องพูดถึงมัน ถ้ามึงยังอยากให้กูคุยกะมึง หยุดซะ"
"เออ ก้อได้วะ"
คืนนั้นมีการทำเทเซ่ เทเซ่จะเป็นการภาวนาอย่างหนึ่งที่ผมชอบมาก เพราะมันจะเรียบง่ายดี
มีการร้องเพลง มีการอ่านบทอ่าน และรำพึงภาวนา
ตอนที่ทำเทเซ่นั้นผมอดคิดถึงเรื่องของไอ้ตั้มไม่ได้ไม่รู้สิ เวลาที่ผมอยู่เงียบๆ
ผมมักจะนึกถึงมันเสมอ ทำไมเราถึงรักคนคนนึงได้มากมายขนาดนี้ ความรักนี่แปลกดีนะ
รสชาติของมันมีทั้งรสหวานและรสขม เป็นรสชาติที่โลดโผน ใครที่ไม่เคยคงจะไม่เคยรู้
ส่วนใครที่เคยแล้วคงจะเข้าใจว่ามันเป็นอย่างไร
พอเริ่มคิดก็เริ่มร้องไห้ ทุกครั้งที่คิดถึงเรื่องเก่าๆ จะต้องร้องไห้ทุกครั้ง ภาพเก่าๆ
ที่เคยใช้เวลาด้วยกันมันผ่านเข้ามาในหัว แต่ต้องรีบระงับความรู้สึกนั้น เพราะยังไม่เสร็จพิธี
เดี๋ยวจะต้องร้องเพลงอีก การฝืนทำเป็นไม่รู้สึกนี่มันช่างทรมานเหลือเกิน
"เป็นไรเปล่าวะ"
"กูไม่เป็นไรหรอก กูแค่คิดอะไรนิดหน่อย"
"ไหวนะมึงอ่ะ"
"เออน่า"
ตอนทำเทเซ่เสร็จ รู้สึกไม่สบายใจเลยเดินไปหาคุณพ่ออธิการ เพื่อไปคุยกับท่าน
เพราะวันพรุ่งนี้จะกลับแล้วคงจะหายทรมานสักที อย่างน้อยถ้าไม่เห็นหน้า มันคงทรมานน้อยกว่านี้
พอคุยกับคุณพ่อเสร็จเลยกลับขึ้นไปนอนพรุ่งนี้จะต้องไปดูงานก่อนกลับกัน ที่โรงงานเหล็กที่บางสะพาน
โดยแวะไปทำมิสซาที่บ้านแสงอรุณก่อน พอกลับมาถึงบ้านรู้สึกดีใจมากที่พ้นมาได้สักที
เข้าไปในบ้านเสร็จ เอาเสื้อผ้าออกจากกระเป๋า นอนหลับไปตื่นนึง ตื่นมาอีกทีทุ่มกว่าแล้วเลยอาบน้ำ
ตั้งใจจะไปหาเบส พอออกจากบ้านมาขี่รถไปหอเบสเพราะวันนี้ตั้งใจแล้วที่จะไปหาคนเดียว
"เบส เบสอยู่มั้ย"
"อ้าวกานต์ เข้ามาดิ วันนี้ไม่กลัวเบสแล้วหรอ กล้ามาคนเดียว"
"ใครกลัวเบสล่ะ เบสออกจะน่ารักขนาดเนี้ย"
"ครับ ขอบคุณครับ พูดบ่อยเดี๋ยวก็ลอยกันพอดี"
"เบสกินข้าวยัง ไปหาไรกินกันดีกว่า"
"ไปดิ ไปกินอะไรดีล่ะ"
"งั้นเดี๋ยววันนี้กานต์ พาไปกินก๋วยเตี๋ยวรูละกัน"
"กานต์พาไปกินที่ไหน เบสก็ไปที่นั่นแหละ"
"กานต์เป็นคนขี่มอเตอร์ไซค์นี่นา ถ้าเบสไม่ไป กานต์คงต้องปล่อยเบสลงเดินเองอ่ะนะ"
"โห ใจร้ายกับเบสขนาดนั้นเลยหรอ"
"กานต์เป็นคนพาไป เบสต้องตามใจกานต์ดิครับ"
"ได้ครับ ตามใจกานต์ก็ได้"
หลังจากนั้นเราก้อไปกินก๋วยเตี๋ยวรูกัน สาเหตุที่เรียกก๋วยเตี๋ยวรูเนี่ย
เพราะว่ามันอยู่ในซอยของซอยอีกที มันเหมือนเป็นรูเข้าไปอ่ะครับ
คนทั่วไปเขาเลยเรียกกันก๋วยเตี๋ยวรู ขายตั้งแต่ช่วงค่ำถึงประมาณตี2 – ตี3
ประมาณว่าเที่ยวเสร็จก็แวะมากินได้ สะดวกดี
พอกินก๋วยเตี๋ยวเสร็จ ผมพาเบสไปนั่งเล่นริมน้ำกัน พอไปถึงที่นั่งมันเต็มหมดแล้ว
ดีเหมือนกันเพราะตรงที่นั่งมันสว่างมากเกินไป เลยชวนเบสเดินลงไปตามขั้นบันไดลงท่าน้ำ
เพราะไม่มีใคร แถมไฟส่องไปไม่ค่อยถึง บรรยากาศดี ลมพัดสบาย
"เบส กานต์ขอจับมือเบสหน่อยได้ป่ะ"
"เอาดิ ไม่ได้ห้ามนี่"
"ครับ ขอบคุณครับ"
ระหว่างที่นั่งจับมือเบสนั้น ผมเอาหัวไปซบบ่าเบส จริงๆอยากให้เบสซบนะ แต่ว่ามันสูงกว่า
เลยดึงมันมาซบไม่ถนัด ต้องซบมันเอง ตอนนั้นยังอดคิดถึงไอ้ตั้มไม่ได้อีก มันเป็นอะไรนักหนา
ทำมันต้องนึกถึงมันตลอดเลย เลยตัดสินใจอยากที่จะลืมมันให้ได้
ผมหันไปโน้มคอเบสลงมาประกบปากจูบเบส โดยที่เบสเองยังไม่ทันตั้งตัว
ตอนที่ 25 : คนไร้ค่า
หลังจากผมดึงเบสลงมาจูบ พอถอนปากออก เบสก็หลบตาผม
“เบส โกรธกานต์หรอครับ ที่กานต์ทำแบบนี้”
“เปล่า ใครโกรธล่ะครับ”
“งั้น กานต์จูบอีกทีได้ป่ะ”
“ตรงนี้อ่ะหรอ”
“อืมม์ ไม่มีใครเห็นหรอก นะ ถ้าไม่โกรธก็ต้องยอมดิครับ”
“ได้ครับ นี่เห็นว่าเป็นกานต์นะ”
ผมจูบเบสอีกทีเราแลกลิ้นกัน มือผมเริ่มอยู่ไม่สุขแล้วล่ะ ลูบไปทั่วหลังเบส ผมกัดไปที่คางเบสเบาๆ
เบสเองเอามือมาจิกที่หัวไหล่ผม พร้อมส่งเสียงครางออกมาเบาๆ
“กานต์อย่า เบสเสียว”
ตอนนั้นอยากทำอะไรก็ได้เพื่อให้ลืมไอ้ตั้ม ผมเอามือเลิกเสื้อเบสขึ้นมา
ซุกหน้าลงไปที่ท้องน้อยของเบส ผมพึ่งสังเกตเห็นนะครับ ว่าหน้าท้องเบสแถวท้องน้อยมีปานแดงอยู่ด้วย
ผมเอามือดึงกางเกงของเบสลงพร้อมกับกางเกงใน ท่อนเนื้อของเบสก้อผงาดขึ้นมา
ผมเอาปากครอบลงไป ขนาดของมันกำลังดี แต่เอียงซ้ายหน่อยนึง ตอนนั้นเบสเอามือจิกหัวผมแน่น
“กานต์ พอก่อนเถอะ ที่นี่คนมันเยอะนะ”
“ไม่มีใครเห็นหรอกครับ”
“ไปที่หอเบสเถอะ ที่นี่เดี๋ยวใครมาเห็น อายเขา”
“โห มันมืดขนาดนี้แล้วไม่มีใครเห็นหรอกน่า”
“ไม่เอาครับ ถ้ากานต์ไม่หยุด เบสโกรธจริงนะ”
สรุปเลยต้องหยุด กะว่าจะเปลี่ยนบรรยากาศซะหน่อย ตอนนั้นเบสแต่งตัวให้เรียบร้อย
แล้วดึงมือผมลุกขึ้น พร้อมกับชวนขี่รถกลับไปที่หอ
ตอนนั้นผมว่ามันทำให้ผมลืมไอ้ตั้มไปได้เหมือนกันนะ
พอถึงหอเบส เบสเดินพาผมขึ้นไปบนห้องโดยบอกเพื่อนว่าขอคุยกันส่วนตัวแป็ปนึง
เพราะห้องที่เบสพักนั้นจะอยู่กันสามคนครับ พอเข้าห้องได้ผมรีบประกบปากจูบเบสทันที
ตอนนั้นมันอารมณ์ค้างอยู่อ่ะ เลยต้องรีบต่อ ระหว่างที่จูบผมแกะกระดุมเสื้อเบสออกไปด้วย
พอถอดออกเห็นรุปร่างเบสแล้วผมชอบมาก ผมเองเป็นคนชอบคนผอม
ยิ่งผอมเหมือนขี้ยายิ่งชอบมากเป็นพิเศษ
“เบสครับ เบสมีปานแดงด้วยหรอครับเนี่ย”
“อืมม์ เรามีมาตั้งแต่เด็กแล้วละ ทำไมหรอ”
“เปล่าครับ น่ารักดี”
“ปานเนี่ยนะ น่ารัก”
“อะไรที่เป็นเบสอ่ะ น่ารักทุกอย่างแหละครับ”
ผมจูบไปที่ท้องน้อยเบส เอามือถอดกางเกงพร้อมกับกางเกงในลงไป
จากนั้นเอาปากครอบลงไป เบสสะดุ้งเอามือจิกหัวผมทันที ผมดันให้เบสไปนั่งลงที่เตียง
ระหว่างนั้นผมถอดเสื้อผ้าของตัวเองออกด้วย ผมผลักเบสลงนอนที่เตียงเริ่มซุกไซร้ไปทั่วตัวเบสอีกที
“เบสครับ ทำให้กานต์มั่งดิครับ นะครับที่รัก”
ผมนั่งคร่อมอยู่บริเวณหน้าของเบส ส่งท่อนเนื้อของผมเข้าไปที่ปากของเบส
เบสค่อยๆเผยอปากรับผมเด้งเอวส่งเข้าไป เบสเอามือยันท้องน้อยผมไว้
คงไม่อยากให้มันเข้าลึกมากเกินไป ผมเองอยากสัมผัสกับท่อนเนื้อของเบสบ้าง
จึงเปลี่ยนมาเล่นท่า 69 กันโดยเบสอยู่ข้างล่าง ผมเลียไปตามซอกขาของเบส
ลากลิ้นไปจนถึงก้นของเบส ผมเอามือแหวกก้นเบสออกแล้วฉกลิ้นลงไป
“อย่ากานต์ เสียว อย่าทำอย่างนั้นดิ”
ตอนนั้นผมปากไม่ว่างที่จะตอบแล้วครับ ตอนนั้นผมรัวลิ้นลงไป เบสหยุดดูดผมแล้ว
มัวแต่ส่งเสี่ยงครางอยู่ มือผมยังรูดท่อนเนื้อของเบสไปด้วย
“เบสครับ กานต์ขอนะ”
“ไม่เอาอ่ะ เบสไม่เคย แล้วตอนนี้ก็ไม่มีถุงด้วยนะ”
“ไม่เป็นรัยครับ กานต์ขอนะ รักกานต์มั้ยครับ ถ้าเบสไม่รักกานต์ก็ไม่เป็นรัยครับ”
ผมหยุดทันที แล้วนั่งลงเฉยๆข้างเบส
“โกรธเบสหรอกานต์”
“เปล่าครับ กานต์ไม่มีสิทธิ์หรอกครับ”
“เบสยังไม่พร้อมนะ อย่าโกรธนะ”
“กานต์บอกแล้วว่าไม่โกรธ กานต์บังคับใจใครไม่ได้หรอกครับ”
“ไหนบอกว่าไม่โกรธ”
“ป่าวหรอกครับ แค่รู้สึกว่ากานต์คงไม่มีค่าพอสำหรับเบสเท่านั้นเอง กานต์กลับละนะครับ”
ตอนนั้นผมลุกขึ้นมา มันเสียอารมณ์ด้วยมั้ง หงุดหงิดบอกไม่ถูก แต่เบสดึงมือผมไว้ ไม่ยอมให้ผมลุกออกไป
กำลังสนุกเลยใช่ป่ะครับ
วันนี้อัพแค่นี้นะครับแล้วพรุ่งนี้จะมาอัพตอนที่ 26-30 ต่อ
อย่าลืมติดตามนะครับ
ตอนแรกก็คิดว่าจะอัพถึงตอนที่30 ทีเดียวเลย
แต่คิดไปคิดมาอัพวันล่ะตอนก็พอแล้วล่ะมั้งเนี่ย
( โทษฐานไม่เม้นกันเลยถ้ายังไงก็ช่วยหน่อยนะครับ )
ตอนที่ 26 : โหยหา
ตอนนั้นผมแกะมือเบสออก ไม่ยอมให้เบสจับมือผม
“ถ้ากานต์ไม่มีค่าพอสำหรับเบส ไม่ต้องฝืนใจหรอกนะ ขอโทษด้วยละกัน”
“กานต์ฟังเบสก่อนสิ”
“ไว้พรุ่งนี้กานต์มาหาเบสใหม่ละกัน วันนี้กานต์เหนื่อย ขอตัวก่อนนะ”
เดินออกมายังนึกสงสัยตัวเองเหมือนกัน ทำไมเราถึงเป็นคนแบบนี้นะ เวลาที่รู้สึกขัดใจ
ไม่ได้อย่างใจแล้วจะไม่รับฟังใครเลย อันนี้คงเป็นข้อเสียสำคัญ
ระหว่างที่ขี่มอเตอร์ไซค์ออกมาจากหอเบส พอดีเห็นมีคนเดินอยู่ข้างหน้า
รู้สึกคุ้นตากับรูปร่างพอขี่ไปถึงพอดีเห็นหน้าเลยรู้ว่าเป็นเพชร
“เพชร ไปไหนหรอครับ”
“ว่าจะไปซื้อของแถวนี้หน่อยน่ะครับ”
“ไปกะกานต์ดิ เดี๋ยวกานต์ไปส่ง”
“ไม่เป็นไรหรอก แค่นี้เอง”
“ไปเหอะ กานต์จะชวนเพชรไปขี่รถเล่นเป็นเพื่อนด้วย”
เพชรเลยขึ้นซ้อนท้ายมอเตอร์ไซค์ ผมพาเพชรไปซื้อของเสร็จแล้วก็ขี่รถร่อนกัน
ตอนนั้นมันหงุดหงิดเลยค่อนข้างที่จะขี่รถเร็ว เพชรเองนั่งเหมือนเกร็งคงเพราะกลัวมั้ง
ระหว่างที่ขี่รถผมไม่ได้พูดอะไรกับเพชรเลย เพชรเองก้อนั่งนิ่ง จนเวลาผ่านไปสักพัก
ผมรู้สึกดีขึ้นจึงเริ่มชวนเพชรคุย
“อาทิตย์นี้เพชรไม่ได้กลับบ้านหรอครับ”
“ไม่ได้กลับหรอก พอดีแม่ไม่อยู่บ้านน่ะ เลยไม่รู้จะกลับไปทำไม กานต์ไปไหนมาล่ะ
ไม่เห็นหน้ามาสองสามวัน”
“พอดี ที่โรงเรียนเขาพาไปอบรมที่เขาตะเกียบมาน่ะ”
“ดีจังนะ ได้ไปทะเลด้วย”
“โห ก็แค่เขาตะเกียบเอง ไปมาบ่อยเกินอ่ะ พูดยังกะเพชรไม่เคยไป”
“มันยังดีกว่าไม่ได้ไปไหนละกัน ว่าแต่ ทำไมวันนี้ถึงชวนเพชรมาขี่รถเล่นได้ล่ะ เบสไม่ว่างหรอ”
“เปล่าซะหน่อย แค่ออกมาจากหอเบสจะกลับบ้าน พอดีเห็นเพชร เลยชวนมาขี่รถเล่นน่ะ”
ถึงแม้เพชรจะผิวคล้ำไปหน่อย แต่จัดว่าเป็นคนที่ดูดีพอสมควร เวลาที่อยู่ใกล้ผมรู้สึกมีความสุข
ผมเองไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าทำไม เราถึงรู้สึกว่าตัวเองเป็นคนที่โหยหาความรัก
ต้องการความรักจากคนอื่น อยากให้มีคนมารักเราเยอะๆ อยากเป็นที่สนใจ
อยากให้มีคนมาใส่ใจในตัวเรา
ร่อนได้สักพักนึง ถึงเวลาต้องพาเพชรไปส่งหอ เพราะถ้าดึกมากเกินไปหอจะปิด
เพชรต้องปีนเข้าหออีก ซึ่งถ้าโดนจับได้คงไม่ดีเท่าไหร่ พอจอดมอเตอร์ไซค์หน้าหอเพชร
เพชรลงไปยืนข้างมอเตอไซค์
“ขอบใจละกัน อุตส่าห์พาไปซื้อของ แถมยังพาไปขี่รถเล่นอีก สนุกดี ไว้เจอกันนะ บาย”
“เอ่อ เพชร ถ้ากานต์จะมาชวนเพชรไปขี่รถเล่นอีก จะได้ป่ะ”
“อ้าว แล้วเบสล่ะ”
“ไม่เกี่ยวกับเบสนี่ กานต์ชวนเพชร”
“กานต์เป็นแฟนเบสไม่ใช่หรอครับ ไม่ดีมั้ง”
“เพชร รู้อะไรเปล่า”
“รู้อะไรล่ะครับ”
“บางที ถ้ากานต์เจอเพชรก่อน มันอาจจะไม่เป็นอย่างทุกวันนี้ก็ได้นะครับ
แต่เมื่อมันเป็นอย่างนี้แล้ว กานต์คงต้องทำให้ดีที่สุดถึงแม้ว่าใจกานต์อาจจะ
ไม่ได้อยู่ที่คนที่กานต์ตบก็ตาม หวังว่าเพชรคงเข้าใจนะครับ”
พูดเสร็จก้อขี่รถมอเตอร์ไซค์ออกมา ปล่อยให้คนที่ฟังเขาคิดเอาเอง
กลับมาถึงบ้านรีบอาบน้ำขึ้นไปนอนฟังเพลงบนห้องดีกว่า ชีวิตคนเรานี่แปลกดี
ทำไมบางเวลากลับลืมบางเรื่องได้ง่าย แต่บางทีมันกลับตามมาหลอกหลอน
บางทีชัดเจน บางทีมืดมัว ไม่รู้ว่าสิ่งไหนจริง สิ่งไหนเท็จ ใครกันจะแยกได้
ใครกันเป็นคนเปรียบเทียบคนแรก
เอาตอนที่ 27 มาอัพต่อครับ
คงอยากจะอ่านกันแย่แล้วเรื่องราวกำลังเข้มข้นเลยนะครับ
ไปอ่านต่อกันเลยครับ
ตอนที่ 27 : ไขว่คว้า
เช้าวันรุ่งขึ้น อาทิตย์นี้ไม่ต้องลงช็อป เรียนสบายๆ แต่ช่วงนั้นไม่สบายแล้วละ
เพราะว่าใกล้จะสอบแล้ว ต้องอ่านหนังสือและเคลียร์งานค้างเก่าส่งมาเซอร์ให้หมด
เลยไม่มีเวลาไปเล่นกีฬาอะไร สำหรับโรงเรียนผมมีคำขวัญโรงเรียนว่า “ขยัน ศรัทธา ร่าเริง”
นั่นคือสาเหตุที่ โดยปกติแล้วถ้าไม่ใช่ช่วงเวลาใกล้สอบ จะไม่มีนักเรียนมานั่งอยู่เฉยๆ
จับกลุ่มคุยในช่วงกลางวัน ทุกคนจะต้องมีกิจกรรมทำ ไม่ว่าจะเล่นกีฬา จะซ้อมดนตรี
หรืออะไรก้อตาม ข้อห้ามที่สำคัญคือการนั่งจับกลุ่มคุยกัน เพราะคุณพ่อบอกว่าเป็นการใช้เวลาที่ไร้ค่า
วันจันทร์นั้น พอดีว่าจะต้องรีบเคลียร์งานส่งมาเซอร์ทวิตตี้ ความจริงเซอร์เขาชื่ออื่น
ทีนี้ด้วยความที่สนิทกัน เลยตั้งชื่อให้เซอร์ใหม่ ว่ามันน่ารักดี
เพียงแต่มันไม่ค่อยเหมาะกับหน้าเขาเท่าไหร่ ชื่อมันออกจะน่ารักเกินหน้าไปหน่อยนึง
เคยหลุดปากเรียกต่อหน้า เลยโดนตบกะโหลกไปทีนึง โทษฐานเอ็นดู
เซอร์บอกว่าถ้าเป็นคนอื่นไม่ใช่เอ็งเรียกอาจมีโดนเตะ เลยต้องขึ้นไปทำงานบนห้องสมุด
“นั่งคนเดียวหรอครับ พี่นั่งด้วยได้มั้ย”
“อยากนั่งก้อนั่งดิพี่ ห้องสมุดโรงเรียน พ่อแม่ผมไม่ได้มาสร้างไว้ให้ผมเมื่อไหร่”
นึกว่าใครพี่พลน่ะเอง
“ไม่รู้นี่ กลัวไม่ให้นั่งด้วย”
“จะนั่งก็นั่งดิ แล้วเลิกมายืนชนหลังได้แล้ว จั๊กกะจี้”
จะไม่ให้จั๊กกะจี้ได้งัยล่ะ มายืนข้างหลังไม่ว่า เล่นเอาอะไรมาชนหลังเราด้วย
แถมรู้สึกว่ามันไม่ค่อยจะนิ่งเท่าไหร่ นึกในใจนี่มันในห้องสมุดนะเฟ้ย จะมาทำอะไรวะเนี่ย
ก่อนที่อารมณ์จะเตลิด พี่พลก็เดินมานั่งข้างๆ
“เลิกกะแฟนแล้วหรอ น้องกานต์”
“พี่พลจะถามทำไมล่ะ หรือจะมารับอาสาดามหัวใจให้ผม”
“พี่ไม่กล้าหรอกครับ น้องกานต์มีระมาดามให้แล้วไม่ใช่หรอ”
โรงเรียนผม เป็นโรงเรียนที่ไม่ใหญ่มาก เรื่องทุกเรื่องในโรงเรียนเลย รู้กันทั่วไปหมด
แถมพี่พลยังอยู่หอในเหมือนระด้วยเลยไม่แปลกใจ ที่พี่เขาจะรู้
“แต่ใจจริง ผมอยากให้พี่เป็นคนมาดามหัวใจให้ผมมากกว่านะ”
“แน่ใจเรอะ มีคนดามกี่คนแล้วล่ะครับ ถึงมาชวนพี่เนี่ย”
“กี่คนมันก็ไม่สำคัญนี่ครับ ขึ้นอยู่ว่าพี่กับผม เราคิดยังไง”
“แล้วน้องกานต์ล่ะครับ คิดยังไง”
ตอนนั้นผมเอามือไปลูบหลังมือพี่พล แล้วนั่งจ้องหน้าแต่ไม่ได้พูดอะไร แค่นี้ถ้าไม่โง่เกินไป
น่าจะเข้าใจความหมายได้ดีแล้ว พี่พลเองก้อเอามือมาลูบต้นขาผม ตอนนั้นผมรีบจับมือพี่พลออก
กลัวคนอื่นเห็น ถึงผมจะใจกล้าแต่ยังไม่หน้าด้านนะครับ
“เดี๋ยวจะขึ้นเรียนแล้ว ผมไปเข้าห้องน้ำก่อนนะพี่”
“พี่ไปด้วยคนดิ”
“ไม่ได้ห้ามนี่ครับ อยากไปก็ไป”
ห้อง น้ำโรงเรียนจะอยู่หลังช็อปช่างเชื่อม พอเดินไปถึงทำธุระเสร็จแล้วกำลังจะเดินกลับตึกเรียนเพราะจะได้เวลาเข้าเรียน ช่วงบ่ายแล้ว พี่พลจับมือไว้แล้วดึงผมเข้าห้องน้ำไป พอล็อคประตูได้พี่พลก็จูบปากผมทันที
ยอมรับจริงๆว่า ตั้งแต่จูบมา ไม่เคยเจอใครจูบเก่งเท่าพี่เขามาก่อน เล่นเอาเราตัวเบา เหมือนจะลอย
พอพี่พลเริ่มจะไซร้ต่อไป ผมรีบจับหัวพี่เขาไว้
“อย่าพี่ จะเข้าเรียนแล้ว เดี๋ยวไปเรียนไม่ทัน”
“แปปเดียวนะ พี่ขอนะครับ”
“ไม่เอาพี่ ถ้าพี่ไม่หยุดเดี๋ยวกานต์โกรธจริงๆนะ”
ต้องใช้ไม้นี้ถึงจะยอมหยุด ถ้าไม่อย่างนั้นสงสัยคงไม่ได้ขึ้นไปเรียนแน่นอน ตอนที่จะออกจากห้องน้ำ
ให้พี่พลออกไปก่อนสักประมาณ 5 นาทีผมถึงออกไป แต่ว่าตอนที่ออกไปนั้นปรากฏว่าไอ้ตั้มครับ
มันยืนอยู่หน้าห้องน้ำพอดี พอมันเห็นผมออกมา มันเดินตรงเข้ามาหาผมทันที
“มึงเข้าไปทำอะไรกะไอ้หน้าหนูนั่น”
“ทำไม กูจะทำอะไรมันก้อเรื่องของกู ไม่เกี่ยวกะมึง”
“สำส่อน มึงมั่วขนาดนี้เลยหรอ”
“ขอบใจที่ชม รู้ไว้ละกัน ที่กูเป็นอย่างนี้ก็เพราะมึงนั่นแหละ”
พูดเสร็จแล้วผมยิ้มเหยียดๆมุมปากให้มัน แล้วเดินออกมา เจ็บจังเลย ทำไม ทำไม ทำไม
ไม่มีใครเข้าใจหรอกมั้งความรู้สึกนี้ เมื่อกูเจ็บ กูจะไม่ยอมเจ็บคนเดียว
กูไม่ยอมให้ใครมาทำกูคนเดียวหรอก ตอนนั้นผมคิดในใจ พอขึ้นเรียนรู้สึกเครียดมาก
กำมือจนเล็บมันจิกเข้าไปในเนื้อไม่รู้สึกตัวเลย
เลิกเรียนไปรอรับน้องบูม ต้องทำตัวเสมอต้นเสมอปลาย น้องมันจะได้รู้สึกดีด้วย
วันนี้ตั้งใจว่าจะไม่เข้าไปหาเบส ยังไม่อยากเจอ ให้เวลาเบสคิดเอาเองดีกว่า
ส่งน้องบูมเสร็จเลยไปหาเพชรที่หอ
“เพชร ไปขี่รถเล่นกันดีกว่านะ”
“อ้าว แล้วเบสล่ะ”
“พอดีวันนี้อยากชวนเพชร จะไปมั้ยล่ะ ถ้ารบกวนก็ขอโทษด้วยละกัน”
“ป่าว ไปก็ไป ไม่ได้ว่าอะไรนี่”
ตอนนั้นผมน่ะเปลี่ยนชุดแล้ว แต่เพชรยังใส่ชุดนักเรียนอยู่เลย น่ารักดีแฮะ
เวลาใส่ชุดนักเรียนเสื้อขาวกางเกงน้ำเงินเนี่ย พอขี่รถเล่นได้พักนึง ผมพาเพชรเข้าไปที่บ้านไอ้ดา
ตอนที่เข้าไปถึง ไอ้ดากับพิมพ์ทำหน้าแปลกใจ คงสงสัยว่าทำไม ผมถึงมากะไอ้เพชรได้
มันคงงงว่าผมไปสนิทกันตอนไหน
“หิวข้าวว่ะ จะมาชวนไปหาอะไรกิน ไปมะ ไปรับปุ๊กอีกคนนึง”
“เออ ไปดิ ว่าจะไปหาอะไรกินกันอยู่พอดี”
ที่บ้านปุ๊ก ปุ๊กมันมองด้วยความสงสัย พอได้จังหวะมันดึงผมไปที่หลังบ้านมันทันที
“ไปพามาได้ไงเนี่ย เพื่อนเบสมันไม่ใช่หรอ”
“ใครว่าไม่ใช่ล่ะ”
“โห ไม่กลัวเบสมันรู้หรอ จีบเบสแล้วยังมาจีบเพื่อนมันอีกเนี่ย”
“รู้ก็ช่างมัน เบื่อคนงี่เง่า”
“อ้าว นี่ทะเลาะกันเรื่องอะรัยหรอ”
“ไม่มีอะไรหรอก เรื่องไม่เป็นเรื่อง”
ใครจะไปกล้าบอกถึงสาเหตุล่ะ ถึงสนิทยังงัย มันก็ยังเป็นผู้หญิง จะให้มันมารู้อะไรมากคงไม่ดี
เลยลากมันมาหน้าบ้านขอพี่บุ๋มพามันไปกินข้าว พอกินเสร็จเลยไปส่งเพชรที่หอ
เพราะมืดมากแล้วเหมือนกัน
“ขอบคุณนะครับ วันนี้กานต์รู้สึกว่าอาหารอร่อยกว่าทุกวันเลยนะเนี่ย”
“เอ่อครับ ไว้คุยกันนะ อ้อ อย่าลืมไปหาเบสด้วยนะครับ”
“เพชร กานต์ขอนะ เวลาคุยกัน อย่าพูดถึงคนอื่นได้ป่ะ”
“คนอื่นที่ไหน นั่นแฟนกานต์นะ”
“โอเค แล้วแต่เพชรละกัน ขอโทษนะครับ เดี๋ยวจะทำตามที่เพชรต้องการ อยากให้ไปหาเบสใช่ป่ะ
เดี๋ยวกานต์ไปหาก็ได้”
“อยากทำไรก็ทำดิ ทำไมต้องทำตามที่เพชรต้องการด้วยล่ะ”
“แล้วแต่จะคิดครับ ไม่อยากพูดมาก ไปก่อนนะ จะรีบไปหาเบสตามที่เพชรบอก”
ไปถึงหอเบส เบสนั่งอยู่ที่เดิม พอจอดรถ เบสมองหน้าผม
“กานต์หายโกรธเบสยัง”
“เปล่า บอกแล้วไม่เคยโกรธ ไม่เคยคิดจะโกรธด้วย”
“ไม่จริงอ่ะ ไม่โกรธกานต์ต้องมาตั้งนานแล้วดิ นี่พึ่งมาเอาตอนนี้”
“ก็มาแล้วไง ถ้าโกรธคงไม่มาหาหรอกรู้ป่าว”
“ครับ เบสขอโทษนะ ต่อไปเบสจะไม่ขัดใจกานต์แล้ว”
“ครับ แต่วันนี้กานต์ขอตัวก่อนนะ เดี๋ยวต้องไปส่งปุ๊กด้วย กลัวเข้าบ้านดึกเดี๋ยวม้าว่า”
“เบสคิดถึงกานต์นะ”
“ครับ กานต์ก็เช่นกัน”
พอขี่รถออกมา ปุ๊กมันซักใหญ่เลย มันสงสัยว่าทำได้ยังไง ถึงได้จีบพร้อมกันสองคน
ผมบอกว่าไม่รู้สิ อยากคุยกะใครก็คุย คุยแล้วเรารู้สึกดีเราก็คุย แต่ถ้าคุยแล้วรู้สึกไม่ดีก็ไม่คุย แค่นั้นเอง
คนเรานี่แปลกดี ทำไมถึงกลัว กลัวว่าอนาคตจะเป็นอย่างไร คิดนั่น คิดนี่สารพัด
ทำไมถึงไม่มีใครคิดบ้างว่า แค่เรามีความสุขอยู่กับปัจจุบัน อนาคตมันก็แค่สิ่งเพ้อฝัน
มีความสุขกับปัจจุบันดีกว่า ปัจจุบันเป็นสิ่งสำคัญ คำสัญญา มันก็แค่เรื่องของลมปาก ที่ผ่านมา
และมันพร้อมที่จะผ่านไป
บางคนเคยบอกว่าจะทำอย่างนั้น จะทำอย่างนี้ แต่ไม่เห็นว่าจะทำตามที่บอก แล้วทำไม
เราถึงจะต้องไปติดอยู่ตรงคำพูดของคนที่เขาไม่เคยคิดจะรักษามันเลยนะ รู้ทั้งรู้แต่บางเวลา
มันก็อดไม่ได้ มันเป็นความอ่อนไหวหรือความโง่เฉพาะตัวกันแน่นะ
ที่ยังจะไปยึดติดกับคำพูดของคนบางคน ที่บางทีเขาอาจลืมไปตั้งแต่มันพ้นจากปากเขามาแล้วก็ได้
เอาแค่นี้นะครับ พรุ่งนี้จะมาอัพตอนที่ 28 ให้นะครับ
ตอนที่ 28 : เป้
หลังจากวันที่ไอ้ตั้มเห็นผมออกมาจากห้องน้ำกับพี่พลแล้ว เรายิ่งมึนตึงกันมากกว่าเดิม
เคยถามใจตัวเอง ว่าคิดถูกแล้วหรือ ที่ทำให้มันเป็นอย่างนี้ ว่างเปล่าไม่มีคำตอบใดๆ
ออกมาจากสมองเลย แต่ไม่นานก็เกิดเรื่องที่ทำให้ชีวิตผมเปลี่ยนไป
มันเริ่มจากวันศุกร์ของอาทิตย์นั้นเอง
“กานต์ ตอนนี้เราจีบรุ่นน้องนายอยู่นะรู้เปล่า”
“จริงดิ ไปจีบใครอ่ะ ไม่เห็นรู้เลย”
“ชื่ออั้ม เรียนช่างกลปี 1”
“อุบเงียบเลยน้า ไม่บอกกันมั่ง”
“แล้วนายมีเวลาให้เราบอกหรอ เห็นวุ่นวายกะหนุ่มๆทุกวัน”
“ครับ ผมผิดเองครับ”
“วันนี้ เราว่าจะชวนนายไปหาอั้มหน่อย ไปป่ะ”
“ไปดิ จะไปดูหน้า ไม่ค่อยรู้จักเด็กรุ่นน้องช่างกลซะด้วย”
ปุ๊กพาผมไปบ้านอั้ม บ้านอั้มเป็นทาวน์เฮาส์ที่แม่ซื้อไว้ให้สามคนพี่น้องอยู่
เพราะ บ้านอั้มจริง อยู่ห่างตัวเมืองออกไปอีกไกลพอสมควร อั้มเป็นลูกคนกลาง พี่ชายตนโตเข้าไปเรียนกรุงเทพแล้ว นานๆ จะกลับมาทีนึง บ้านนี้จึงมีแค่อั้มอยู่กับออฟสองคนพี่น้องเป็นส่วนใหญ่
เป็นธรรมดาอยู่แล้ว บ้านที่ไม่มีผู้ใหญ่อยู่ด้วย จึงมักเป็นที่รวมของเพื่อนๆ
ตอนที่ไปหาอั้มนั้น มีเพื่อนอั้มอยู่ด้วยอีก 4 คน แต่ไม่ใช่นักเรียนโรงเรียนผมหรอกนะ
เพราะมันใส่ชุดแบบเด็กสายสามัญ น่ากลัวจะเป็นเพื่อนเก่าอั้มสมัยเรียนม.ต้น กำลังนั่งดูทีวีกันอยู่
“ปุ๊ก มาแล้วหรอ หวัดดีครับพี่กานต์ นั่งกันก่อนดิ”
“หวัดดีครับ เรารู้จักพี่ด้วยหรอ”
“โหพี่ ทำยังกะโรงเรียนเรานักเรียนเป็นพัน พี่อย่าบอกว่าไม่เคยเห็นหน้าผมนะ”
“ก็เคยเห็นแต่ไม่ได้สนใจน่ะ ไม่รู้จักมาก่อนนี่หว่า ใครจะไปมองอยู่”
“ผมหล่อไม่พอที่พี่จะมองหรอครับ”
เวรล่ะสิ ดันมาพูดงี้ ไอ้บ้าเอ๊ย เพื่อนมันมองหน้าผมกันหมดเลย คงสงสัยคำพูดไอ้อั้มอ่ะ
เพราะปกติแล้วรสนิยมของผมจะเป็นที่รู้ในโรงเรียนดี แต่กับคนนอกโรงเรียนที่ไม่รู้
จะไม่มีใครทันสังเกต ผมเองทำตัวเหมือนผู้ชายปกติทั่วๆไป เล่นมาพูดงี้เดี๋ยวเพื่อนมันก็รู้หมดดิ
“ถ้าอั้มไม่หล่อ เพื่อนพี่มันคงไม่ชอบน้องหรอก จริงมั้ยปุ๊ก”
“ขอบคุณที่ชมครับ เออพี่ นี่เพื่อนผมนะ เป้ โจ เบล เก่ง เรียนม.ต้นมาด้วยกันอ่ะ”
“หวัดดีครับ พี่ๆ”
น้อง 4 คนนี้ประสานเสียงกันดีจัง พวกน้องมันเรียนกันที่โรงเรียนมัธยมประจำอำเภอ
มองดูแล้วทั้งหมดหน้าตาก้อธรรมดา เลยไม่ค่อยสนใจอะไรเท่าไหร่ โดยมากจะไปสนใจกะทีวีมากกว่า
ระหว่าง ที่นั่งดูทีวีอยู่ มีความรู้สึกเหมือนมีคนมอง แต่ไม่ค่อยแน่ใจ พอหันไปดู ก็ไม่เห็นว่าใครมันจะมอง น่ากลัวจะคิดมากไปเอง แต่ผ่านไปสักพัก ยังรู้สึกอีกคราวนี้ค่อยๆ แอบมองกลับไป ปรากฎว่าเป็นเป้ที่แอบมองผมอยู่ ตอนนั้นสงสัยเหมือนกัน แต่ไม่ใช่คิดว่ามันจะมาชอบหรอกนะ คิดว่ามันมองจะหาเรื่องรึป่าววะ
“เป้ มีปัญหาอะไรในใจรึป่าว พี่ว่าเป้มองหน้าพี่บ่อยเกินไปมั้ง”
“ป่าวครับ ไม่มีอะไร”
“ไม่มีอะไรก็ดีแล้ว พี่ไม่อยากมีเรื่องกะใครหรอกนะครับ”
“โหพี่กานต์ คิดมากไปได้ เป้มันไม่มีอะไรหรอก ผมขอนะครับ”
“เออ ไม่รู้ดิ พี่ไม่ชอบให้คนมามองหน้า มีอะไรก้อพูดมาดีๆ”
ตอน นั้นไม่รู้เหมือนกันว่า ไปว่ามันทำไม จริงๆแล้วกะอีแค่มองหน้า ไม่น่าใช่เรื่องใหญ่ แต่ทั่วไปเด็กช่างมันมีเรื่องกันก้อเพราะมองหน้านี่แหละ จะเรียกว่าสันดานก้อคงได้
อั้มพยายามให้ผมคุยกับเป้ เพื่อที่จะได้สนิทกันมากขึ้น คงกลัวผมจะขวางหูขวางตาแล้วอาละวาดมั้ง ตอนนั้นมันขวางหูขวางตาเหมือนหมาบ้าไปหมด
ตอนที่ 29 : อ่อนแอ
ตอนบ่ายวันเสาร์ ขณะที่กำลังนั่งอ่านหนังสืออยู่ที่หน้าบ้าน เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น
ตอนนั้นไม่มีใครอยู่บ้าน เลยต้องลุกไปรับโทรศัพท์
“หวัดดีครับ ขอสายใครครับ”
“กานต์หรอระพูดนะครับ”
“อ้าวครับ มีอะรัยรึป่าว”
“พรุ่งนี้กานต์อยู่บ้านมั้ยครับ”
“อืมม์ น่าจะอยู่ครับ มีอะไรรึป่าว”
“พรุ่งนี้ พอบราเดอร์ปล่อยเด็กหอออกข้างนอก ระไปหากานต์ที่บ้านได้มั้ยครับ”
“ได้สิครับ กานต์เองก็คิดถึงระจังเลยครับ”
“พรุ่งนี้บ่ายนะ เดี๋ยวระไปหา”
“จะรอนะครับ”
เด็กหอในของโรงเรียนผมเนี่ย ถ้าไม่ได้กลับบ้าน บราเดอร์ที่ดูแลเขาจะปล่อย
ให้มาเที่ยวมาซื้อของที่ตลาดแต่เฉพาะวันอาทิตย์เท่านั้น จึงเป็นเหมือนวันปล่อยผีมั้ง
เพราะจะเห็นเด็กหอในเดินที่ตลาดเต็มไปหมด
ตอนเย็นออกไปหาเพชรที่หอ ระหว่างที่นั่งคุยกันอยู่กับเพชรนั้นเอง
“กานต์ มาทำอะไรที่นี่”
“พอดีผ่านมาเจอเพชรเลยนั่งคุยอ่ะ”
“นี่ใช่มั้ย สาเหตุที่ไม่ไปหาเบสพักนี้”
“เปล่าครับ เบสอย่าคิดมากดิ”
“ไม่เคยคิดเลยนะ ว่าเพชรกับกานต์จะทำอย่างนี้กับเบส”
โอ๊ย มันซวยอะไรขนาดนี้ว้า ไม่คิดว่าจะมาหากันเอาตอนนี้ แต่จริงๆแล้ว หอมันใกล้กัน
เพื่อนกันเดินมาหาก้อไม่ใช่เรื่องแปลกนี่นา
“ตามไปง้อเบสสิ เดี๋ยวเบสโกรธมากไปกว่านี้”
“แล้วเพชรล่ะครับ”
“เบสเป็นแฟนกานต์นะ แต่เพชรไม่ใช่ อย่าทำร้ายเบสสิ”
“แล้วใจของกานต์ล่ะ เพชรอยากให้กานต์ทำร้ายใจตัวเองหรอ”
“กานต์ เพชรไม่อยากเป็นคนผิดนะ”
“เพชรไม่ผิดหรอก ถ้าจะผิด คงผิดที่กานต์เอง ผิดที่กานต์ไม่เข้มแข็งพอ
ไม่กล้าที่จะเลือกคนที่กานต์รัก ไม่กล้าที่จะบอกเบส ว่าจริงๆแล้วมันเป็นอย่างไร”
“แล้วกานต์จะให้เพชรทำยังไง เพชรไม่รู้”
“เพชรครับ ถ้ากานต์อยากจะขอคบกับเพชรต่อไปได้มั้ย”
“แล้วเบสล่ะ กานต์จะเอาเบสไว้ที่ไหน”
“ก็...สิ่งที่กานต์จะขอบางทีมันอาจมากไปนะ แต่เพชรจะว่าอะไรมั้ยถ้ากานต์จะขอคบทั้งคู่”
“เพชรตอบกานต์ไม่ได้หรอก เพชรเป็นคนที่มาทีหลัง กานต์ถามเบสเอาละกัน
สำหรับเพชรคงแล้วแต่เบสมัน”
“งั้นเดี๋ยวกานต์ไปเคลียร์กับเบสก่อนนะ”
โล่งไปเปลาะนึง เหลืออีกเปลาะแถมยังเป็นเรื่องใหญ่ด้วย จะแก้ตัวยังงัยดีนะ ตอนที่ไปถึงหอเบส
เบสขึ้นไปบนห้องแล้ว เลยบอกเพื่อนเบสว่าเดี๋ยวเดินขึ้นไปหาเอง พอไปถึงก็เคาะประตูห้องเบส
“มีอะไร ปวดหัว จะนอน”
“กานต์ขอเข้าไปนะเบส”
“มาทำไมครับ ไม่คุยกะเพชรต่อหรอ”
“เบส ฟังกานต์ก่อนดิ นะครับเบส”
“มีอะไรก็ว่ามาดิ จะฟัง”
“เบส กานต์ขอโทษนะ กานต์ไม่ได้อยากให้มันเป็นอย่างนี้นะ แต่กานต์ผิดเองที่เผลอใจไป
ขอโทษนะครับ”
“ไม่เป็นไร ขอให้มีความสุขกับเพชรละกัน แต่เบสไม่อยากจะเชื่อว่ากานต์
กับเพชรจะทำอย่างนี้กับเบสเลยนะ”
“เบสครับ กานต์ผิดเอง เบสอย่าโกรธเพชรเลยนะ กานต์ไม่อยากเป็นคน
ที่ทำให้เพื่อนต้องมาทะเลาะกัน”
“แล้วจะให้ทำยังไง เมื่อเพชรดี กานต์ก็เลือกเพชรเถอะ”
“ครับกานต์จะเลือก แต่ว่า เรื่องนี้กานต์เป็นคนผิด ถ้าจะมีใครต้องเจ็บ คนนั้นควรเป็นกานต์มากกว่า
ขอนะ ขอให้เบสดีกับเพชรนะ อย่ามาทะเลาะเพราะคนอย่างกานต์เลย”
“กานต์จะทำอะไรอ่ะ”
“กานต์ขอไม่เลือกใครได้มั้ยครับ กานต์ไม่เข้มแข็งพอ ไม่กล้าที่จะตัดใครไป ขอโทษนะครับ
ที่เป็นคนอ่อนแอ”
ตอนที่ 30 : ระ
"กานต์ขอไม่เลือกใครได้มั้ยครับ กานต์ไม่เข้มแข็งพอ ไม่กล้าที่จะตัดใครไป ขอโทษนะ
ที่อ่อนแอ""กานต์ กานต์คิดว่าทำอย่างนี้แล้วทุกอย่างมันจะดีขึ้นหรอ"
"ไม่รู้ดิ มันคงไม่มีทางไหนดีกว่านี้ แต่กานต์อยากจะบอกเบสนะ
ว่าถึงยังไงเบสก็เป็นคนสำคัญที่สุดของกานต์นะครับ""แล้วจะให้เบสทำยังไงล่ะ"
"ไม่ต้องหรอกครับ กานต์คงไม่กล้าขอ เพราะเท่านี้กานต์คงเป็นคนที่เห็นแก่ตัวมากพอแล้ว
ขอให้โชคดีนะ"
คนเราบางทีมันต้องใช้เวลาพอสมควร ในการที่คิดใคร่ครวญอะไร การที่เราให้เขาใช้เวลาอยู่กับตัวเอง
มันน่าจะเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น
ตอนบ่ายวันอาทิตย์ระมาที่บ้านพร้อมกับเพื่อนอีก 2 คน พอดีเตี่ยกะม้าไม่อยู่บ้านทั้งคู่
ชวนเข้ามานั่งดูทีวีในบ้าน ระหว่างที่เพื่อนระกำลังดูทีวีกันอยู่ก้อสะกิดระ แล้วกระซิบเบาๆ
"ระขึ้นไปข้างบนกะกานต์หน่อยดิ"
"ขึ้นไปทำอะไรหรอ"
"มีอะไรอยากจะคุยกะระน่ะ ไปได้ป่าว"
"แล้วไอ้พจน์กะไอ้หมีล่ะ"
"เดี๋ยวบอกเอง พจน์ หมี เดี๋ยวกานต์ขอตัวระไปคุยอะรัยด้วยนิดหน่อยนะ ดูทีวีกันไปก่อนนะ"
"เออ ไปเหอะ"
ดูท่าทางแล้วมันคงไม่ได้สนใจอะไรเท่าไหร่ พอดึงมือระลุกขึ้นแล้วเดินไปบนห้อง
พอเข้าห้องได้ก้อนั่งลงที่โต๊ะญี่ปุ่นในห้อง
"ระ กานต์คิดยังไงกับระรู้มั้ย"
"ไม่รู้ดิ กานต์ไม่เคยบอกระนี่ ระจะรู้ได้ไง"
"อยากอยู่ข้างๆ อยากกอด อยากนอนมองหน้าทุกวันไง แต่ไม่รู้ว่าระจะเต็มใจรึป่าว"
"ทำมัยถึงคิดว่าระจะไม่เต็มใจล่ะ"
"อืมม์ เพราะกานต์ไม่ใช่คนที่ดีพอสำหรับใครมั้ง"
"โห คิดมากไปป่าวเนี่ย"
พูดไประก้อเอามือมาขยี้หัวผม วูบนั้น มันทำให้ผมนึกถึงไอ้ตั้มขึ้นมา สิ่งที่เราทำอยู่นี่มันดีแล้วหรอ
ไม่รู้ดิ ทำอะไรก็ได้ ขอแค่มีคนรัก มีคนใส่ใจ ถึงคนอื่นจะมองว่ายังไงก็ช่าง
รู้แค่ว่าจะทำทุกอย่างเพื่อให้ลืมไอ้ตั้มให้ได้ แต่ทำไมยิ่งทำยิ่งเกลียดตัวเองมากขึ้นทุกที
เคยมั้ยที่จะรู้สึกรังเกียจตัวเอง รู้สึกขยะแขยงตัวเอง เวลาอาบน้ำบางทีอาบไปร้องไห้ไป
เหมือนตัวเองสกปรกมาก ทำยังไงก็ไม่มีทางสะอาด แต่เมื่อเราเลือกทางนี้แล้ว
ไม่มีทางไหนให้เราถอยแล้ว เมื่อเริ่มก้าวไปมีแต่ต้องเดินหน้าต่อไป ถึงต้องเจ็บก็จะทำให้มันเจ็บบ้าง
ไม่ว่าจะมากหรือจะน้อยกว่า
"กานต์ เป็นไรอ่ะเงียบเชียว ไม่สบายป่าว"
"ป่าวหรอกครับ ระ กานต์คือว่า กานต์"
"มีอะไรก็พูดมาดิ เราไม่ใช่คนอื่นนี่นา"
"กานต์ไม่มีค่าพอให้ระมาใส่ใจหรอกนะ"
"ทำไมถึงคิดอย่างนั้นล่ะ กานต์สำคัญสำหรับระนะ"
พูดเสร็จระหอมแก้มผม ทำมัยเวลาเราอยู่กับคนที่อยู่ตรงหน้า
แต่กลับไปนึกถึงคนที่มันทำให้เราเจ็บตลอดเวลา วันและคืนที่ผ่านมามันวนเวียนอยู่ในหัวตลอดเวลาเลย
ในที่สุดก็ได้มาลงซะทีต้องขอโทษท่านที่ติดตามอ่านมาตลอดด้วยนะคับ
พอดีมีปัญหานิดหน่อยเลยมาลงให้ช้าคงไม่ว่ากันนะคับ
เพื่อเป็การไถ่โทษวันนี้เลยเอามาให้อ่านกัน 2 ตอนเลยละกานคาบ
ตอนที่ 31 : ว้าเหว่
พูดเสร็จระหอมแก้มผม และพยายามไซร้ที่ซอกคอ
“อย่าระ กานต์ยังไม่พร้อมนะ”
“ทำไมล่ะ ขอเถอะนะ”
“ระ ถ้ากานต์ยังพอมีค่าในสายตาระบ้าง อย่าพึ่งได้มั้ย แต่ถ้าระต้องการ ก็โอเค
กานต์จะได้รู้ว่าระต้องการแค่นั้น”
“เปล่า อย่าคิดมากดิ ตามใจกานต์ละกัน ระรอได้”
“ขอบคุณนะครับ ระน่ารักที่สุดเลย”
ตอนนั้น คงเป็นเพราะอารมณ์วูบที่มันทำให้ผมนึกถึงไอ้ตั้มขึ้นมามั้ง ผมเลยไม่อยากที่จะมีอะไรกับระ
ความรู้สึกในตอนนั้นบอกไม่ถูกเหมือนกันว่าทำไม รู้แต่ว่าอยากคิดใคร่ครวญให้ดีกว่านี้
นั่งคุยกันสักพักก็ลงมาข้างล่าง เดี๋ยวระจะต้องกลับหอ เพราะตอนนั้นบ่ายจนจะเย็นอยู่แล้ว
ไม่งั้นจะกลับช้าเกินไป เดินออกไปส่งระขึ้นรถ กลับเข้ามาพอดีโทรศัพท์ดังพอดี
“หวัดดีครับ ขอสายใครครับ”
“กานต์หรอ ปุ๊กนะ เย็นนี้ไปบ้านอั้มกันนะ”
“เอาดิ ปุ๊กเอามอไซค์มานะ กานต์ขี้เกียจขี่รถที่บ้านออกไป”
“โอเค ไว้เจอกันประมาณ 5 โมงนะ”
“ได้ๆ จะรอนะ อย่าเลทมากนะ”
อย่างน้อย การออกไปข้างนอกกับปุ๊ก มันก็ทำให้เรามีเวลาส่วนตัวน้อยลง
มีเวลาคิดฟุ้งซ่านให้น้อยลง เป็นความจริงทีเดียวที่เขาบอกกันว่าอยู่คนเดียวนั้นให้ระวังความคิด
เพราะความคิดคนเรานั้น มันไปไกลได้ง่าย เผลอแปปเดียวความคิดสามารถเตลิดไปได้ไกล
ยิ่งเป็นคนคิดมากอย่างผมแล้ว ไม่ควรที่จะอยู่คนเดียวเลย
วันนั้นอั้มอยู่บ้านกะเป้สองคนเท่านั้นเอง เพื่อนคนอื่นๆ ไม่ได้มาด้วย พออั้มชวนออกไปกินข้าว
ปุ๊กเลยนั่งไปกะอั้ม ผมต้องไปกะเป้ รู้สึกไม่ค่อยดีเท่าไหร่ รู้สึกว่าเป้มันกวนประสาท
อยู่ใกล้แล้วหงุดหงิด
“พี่กานต์ เป็นไรเปล่าครับ หน้าตาไม่ค่อยดีเลย”
“ไม่หรอก ไม่มีอะรัย”
“ผมทำอะไรให้พี่ไม่พอใจหรอ”
“ไม่รู้ดิ พี่ว่าเป้มองพี่แปลกๆน่ะ พี่ไม่ค่อยชอบ”
“ผมอยากรู้จักพี่นี่ครับ”
“นี่ก็รู้จักแล้วไง”
“อยากรู้จักมากกว่านี้ได้ป่ะ”
แปลกดี ดูท่าทางมันเงียบๆ ไม่น่าจะมาสนใจอะไรเรานี่หว่า แต่ว่านะ มีคนคุยด้วยก็ดีกว่าอยู่เปล่าๆ
มันจะคิดอะไรเรื่องของมัน รู้แต่ว่าไม่อยากอยู่คนเดียวเท่านั้นเอง ความรู้สึกนี้จะมีใครเข้าใจบ้างนะ
ตอนที่ 32 : หลงผิด
“พี่กานต์ ปกติพี่กานต์เที่ยวบ่อยป่ะ”
“ปกติหรอ พี่ไม่ค่อยเที่ยวบ่อยมากหรอกเบื่อน่ะ จะชอบนั่งกินเหล้าบ้านเพื่อนมากกว่า”
“คืนนี้ พี่กินเหล้ากะพวกผมดิ ที่บ้านไอ้อั้มมันน่ะ”
“กินเหล้ากะพวกนายเนี่ยนะ ไม่เอาอ่ะ”
“โหพี่ป๊อดอ่ะดิ แสดงว่าคออ่อน”
“เออ กินก็ได้วะ เดี๋ยวจะหาว่าไม่แน่”
สรุปแล้วเลยต้องกินตามที่มันท้า โดยที่ปุ๊กมันทิ้งผมไว้ที่บ้านอั้ม
พอกินเหล้าเสร็จค่อยให้เป้มันไปส่งผมกลับบ้าน ตอนระหว่างที่นั่งกินเหล้าผมเองนั่งร้องไห้ไปด้วย
ถ้าใครเคยเป็นจะเข้าใจ ว่าเหล้าเนี่ยมันเป็นตัวที่ทำให้คนเราเปลี่ยนนิสัยได้
บางคนพอเหล้าเข้าปากเที่ยวกวนคนอื่นไปทั่ว บางคนเมาแล้วนั่งร้องไห้ บางคนเมาแล้วนั่งหัวเราะก็มี
เหมือนกับการระบายสิ่งที่อยู่ในใจออกมา
“พี่กานต์เป็นไรป่าว”
“ไม่เป็นไรหรอกเป้ พี่เครียดอะไรนิดหน่อย”
“เครียดหรอพี่ ผมช่วยพี่ได้นะ”
“ช่วยอะไรล่ะ ไม่มีใครช่วยพี่ได้หรอก เรื่องของพี่น่ะ”
“นี่ไงพี่ ช่วยพี่ได้แน่” เป้มันหยิบยาเม็ดเล็ก สีส้มมาส่งให้
“บ้าดิ พี่ไม่เอาหรอก มันไม่จำเป็น”
“พี่ไม่แน่จริงนี่หว่า กะอีแค่นี้ กลัวติดหรอ มันไม่ติดง่ายขนาดนั้นหรอกน่า เชื่อผมดิ”
“หึ บอกว่าไม่ก้อคือไม่”
“ป๊อดว่ะ ทำไม่เป็นดิท่า”
“เป้มึงว่าใครทำไม่เป็น เดี๋ยวกูทำให้มึงดูก็ได้”
พอรับยามาจากมือเป้แล้วผมก็เอาฟอยล์มาพับใส่ลงไป มือรับหลอดจากไอ้เป้ จริงแล้วเรื่องแบบนี้
ผมเองน่ะรู้พอสมควรเพราะเคยเห็นเพื่อนมันทำกัน แต่ไม่เคยคิดจะลองด้วยตัวเอง เพราะรู้สึกว่ามันไม่ดี
ปื้ดแรกที่สูบเข้าไป ความรู้สึกมันบอกไม่ถูก รู้แต่ว่ากลิ่นมันหอม หวาน เหมือนช็อคโกแลต มันรู้สึกดีเหมือนกันนะ
“ดีป่ะพี่ ถ้าเชื่อผมแต่แรกนะ”
“อืมม์ ดีเหมือนกันแหละ”
“เอาอีกตัวละกันนะพี่”
ตอนนั้นไม่คิดจะปฏิเสธแล้วละครับ มันผสมกันทั้งเหล้าทั้งยา เป้มันบอกยังไงก้อทำตามมันอย่างเดียว
มันรู้สึกเบาๆ มีความสุขที่สุดในตอนนั้น เป้จับมือผมบีบเบาๆ รู้สึกมันร้อนวูบวาบยังไงไม่รู้
ยานี้ผมไม่ค่อยเข้าใจเหมือนกันนะ ว่าทำไม คนที่เล่นแต่ละคนอาการมันถึงไม่เหมือนกัน
บางคนเล่นแล้วจะมีความต้องการมากขึ้น แต่บางคนมันไม่สู้ไปเลยก็มี
“พี่กานต์ขึ้นไปห้องข้างบนกันดีกว่านะ”
“ไปดิ จะไปไหนก็ไป”
ขณะที่เดินขึ้นข้างบนมือเป้มันอยู่ไม่สุขแล้วตอนนั้น ผมเองใช่จะยอมแพ้มันเมื่อไหร่ ล้วงเข้าไปในกางเกงมัน
พอเข้าไปในห้องปุ๊ป เป้จัดการล็อกประตูทันที
สิ่งที่ทำไปตอนนั้นไม่ได้เกิดจากความตั้งใจเลย ถ้าย้อนกลับไปได้ คงไม่ทำลงไป
เพราะความคิดชั่ววูบเท่านั้นเองที่ทำให้ตัดสินใจโง่ๆลงไป ทำให้เกิดเรื่องราวต่างๆตามมาอีกมากมายในชีวิต
เจียนตายเพราะเหตุจากวันนั้น
ใกล้ถึงตอนจบแล้วล่ะครับช่วยกันติดตามหน่อยน้าคร้าบ
เพราะเรื่องราวจะยิ่งเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆเลย ห้ามพลาดนะคับ
เอาตอนที่ 33 มาลงให้แล้วนะคับ
แต่ทำไมช่วงนี้บล็อกมันเงียบๆจังเลยอะถ้าหากว่าเพื่อนๆยังติดตาม
อ่านกันอยู่ก็ช่วยส่งเสียงกันหน่อยนะคับเม้นกันหน่อยเงียบแบบนี้
ก็รู้สึกท้อๆเหมือนกันนะครับก็กลัวว่าถ้าเอามาลงแล้วไม่มีคนเข้ามาอ่านเลย
มันก็ท้อบ้างเหมือนกันครับ เม้นมาให้กำลังใจผมซักเล็กซักน้อยก็ยังดีนะครับอย่าเงียบแบบนี้เลยนะครับ เศร้าใจ
ตอนที่ 33 : หลายรัก
หลังจากมีอะไรกันแล้วเป้ก้อพาผมไปส่งบ้าน ตอนนั้นรู้สึกว่ามันดีเหมือนกันนะ
มันทำให้เราลืมอะไรได้หลายอย่าง อยากลืมตลอดไป ไม่อยากจดจำอะไรไว้อีก
ถ้าลบความทรงจำง่ายเหมือนลบกระดาษ คงจะดี แต่เมื่อมีทางจะทำให้ลืมได้ แม้ไม่รู้ว่าจะนานแค่ไหน
แต่ก็พร้อมจะทำ เพื่อลืมสิ่งนั้นไปให้ได้ แค่นั้นเองที่ต้องการ
วันต่อมาหลังจากกลับมาจากโรงเรียนแล้ว ผมขี่มอเตอร์ไซค์ไปหาเบสที่หอ
ตอนนั้นเบสกับเพชรนั่งคุยกันอยู่ที่หน้าหอ
“หวัดดี ทำรัยกันอยู่หรอ”
“นั่งคุยกันเรื่อยเปื่อยน่ะ แล้วกานต์ไปไหนมาล่ะ”
“ก็...มาที่นี่แหละ กานต์แค่อยากเจอหน้าเบสกะเพชรน่ะ แหะๆ”
“อยากเจอเรากะเพชรก็ขี่รถมาดิ รึว่าไม่อยากมาล่ะ”
“อยากมา แต่อะไรมันคงไม่เหมือนเดิมแล้ว กานต์...ขอโทษนะ คือกานต์ยังตัดใจไม่ได้น่ะ”
“ทำไมถึงไม่เหมือนเดิมล่ะ กานต์อยากคบก็คบดิ เบสไม่ว่าอะไรหรอก
อย่ามีใครนอกจากเบสกะเพชรอีกละกัน”
ความรู้สึกตอนนั้นดีใจที่ทำสำเร็จ แต่เราไม่ได้รับปากนี่นาว่าจะคบแค่สองคนนี้เท่านั้น
สรุปแล้วก็ดีเหมือนกัน อยากให้มีคนมารักเราเยอะๆ อยากให้มีคนมาใส่ใจ
เวลาไปไหนจึงมักจะชวนไปด้วยกันทั้งเบสและเพชร รู้สึกดีที่ทั้งคู่คอยใส่ใจตัวเราเอง
กลับจากหอเบสมา ทีแรกตั้งใจว่าจะขี่รถกลับบ้าน พอดีไปเจอเป้กับอั้ม
เป้ชวนไปนั่งเล่นบ้านอั้มเลยตกลงไป เพราะตอนนั้นเอง ถ้าถามว่าอยากเข้าบ้านรึเปล่า
คงต้องตอบว่าไม่ ไม่อยากอยู่คนเดียว ไม่อยากจมอยู่กับความคิด ไม่อยากจมอยู่กับความหลัง
เมื่อตั้งใจที่จะเดินออกมาแล้ว ถึงมันจะเจ็บก็คงต้องเดินต่อไป
ช่วงนั้นเวลาหัวค่ำมักจะขลุกอยู่ที่บ้านอั้มเป็นประจำ เวลาที่อยู่กับเป้ไม่เคยขาดเลย ทั้งเรื่องยา
และเรื่องเซ็กส์ ทั้งที่ไม่ได้รู้สึกดี แต่ที่ทำก็แค่อยากลืม อยากทำอะไรก็ได้ที่จะไม่ต้องคิดถึงไอ้ตั้ม
ไม่อยากให้มันมาหลอกหลอนในหัวใจเท่านั้นเอง
ไม่นานวันสอบปลายภาคก็มาถึง ตอนวันที่สอบเสร็จเพื่อนในห้องเลยนัดกันไปเที่ยวหัวหินอีก
“กานต์ ปีนี้มึงไปเที่ยวบ้านกูอีกป่ะ” เอ๊ดถามผม
“ไม่ไปอ่ะ กูเบื่อเกาะแล้ว”
“ปีนี้กูจะพาไปเที่ยวที่น้ำตกป่าละอูนะ ไม่ได้ไปเกาะ”
“มันไปด้วยป่ะล่ะ ถ้ามันไป กูไม่ไปแค่นั้นเอง”
“มันไหน อ๋อ มึงจะคิดอะไรมากวะ”
“มึงไม่เข้าใจหรอก เอาเป็นว่าถ้ามันไป กูก้อไม่ไป”
“มันไม่ไปหรอก มันบอกว่ามันไม่ว่าง”
“เออ งั้นกูไป”
บางคนอาจจะคิดว่าเล่นตัว แต่ไม่ใช่หรอกครับ มันคงเป็นเพราะยังไม่พร้อมจะเจอมัน ในสถานที่อื่น
ตอนเรียนน่ะ มันสามารถหลบเลี่ยงกันได้ แต่ถ้าไปเที่ยวอย่างนั้นแล้วจะหลบยังไง
ถ้าเจอแล้วเจ็บ ใครกันจะอยากเจอ
ตอนที่ 34 : พักผ่อนนิรันดร์
หลัง สอบเสร็จพอถึงวันที่จะไปหัวหิน ผมไปถึงที่สถานีรถไฟพร้อมกับไอ้ดา สิ่งที่ผมเห็นทำให้ผมตัดสินใจหันหลังจะเดินกลับ แต่ไอ้เดียร์หันมาเห็นผมก่อนเลยวิ่งมาดึงไว้
“มึงจะไปไหน”
“กูจะกลับบ้าน กูบอกแล้วไง ถ้ามันไป กูก็ไม่ไป”
“ไปเหอะนะ ถือว่ากูขอ”
“มึงรู้ว่ากูเจ็บ มึงยังจะให้กูทำอีกหรอ เดียร์”
“แล้วมึงจะหนีมันไปได้ตลอดหรอ มึงมั่นใจหรือว่าทำได้”
“ได้ ถ้ามึงอยากให้กูทำ กูจะทำ”
ทำไมจะต้องมาทนเห็นหน้ามันด้วยนะ ไม่อยากเห็น ไม่อยากเจอ ไม่อยากได้ยินเสียง
เวลาที่ได้ยินเสียงหัวเราะของมัน รู้สึกมันบาดลงไปในใจ
พอขึ้นไปบนรถไฟเลยเลือกที่นั่งที่ห่างจากมันมากที่สุด คงจะดีถ้าไม่ต้องเห็นหน้ามัน
แค่อยู่ใกล้แค่นี้ก็ทรมานเจียนตายแล้ว
ช่วงนั้นผมเริ่มติดยาแล้ว เพราะเป้มันจะหามาให้เล่นทุกวัน ขนาดไปเที่ยวยังมีติดตัวไปด้วย
นั่งคิดอะไรเพลินๆ นึกขึ้นได้ว่ามีติดตัวมา เลยเข้าไปเล่นในห้องน้ำ ดีเหมือนกันทำให้ลืมมันไปได้ชั่วคราว
พอรถไฟถึงหัวหินแล้ว พวกผมไปบ้านเอ๊ดเอาของไปเก็บ ปีที่แล้วมาอย่างมีความสุข
แต่ปีนี้มาพร้อมกับความทุกข์ ชีวิตคนเรามีอะไรบ้างมั้ยที่มันแน่นอน
ตอนนั้นตกลงกันว่าจะไปกินเหล้าที่ริมหาดหัวหินกันก่อน พรุ่งนี้ค่อยไปน้ำตกป่าละอูกัน
ตอนที่ไปซื้อของ ผมซื้อเหล้ามา 2 ขวดกลม ความรู้สึกตอนนั้นคืออยากเมา ให้ลืมมันลงให้ได้
ชายหาดหัวหินวันนั้นลมเย็นดี เอาเสื่อมาปูนั่งกินเหล้ากัน ทีแรกกินกันปกติ
ถ้าไม่เพราะเกิดเรื่องนั้นขึ้นมาก่อน
“กานต์ ขอคุยด้วยได้มั๊ย”
“.....”
“กานต์ ตั้มขอโทษนะ”
“จะโกหกอะไรอีกดีล่ะ ว่ามาสิ รอฟังอยู่”
“เป็นบ้าอะไร ฟังบ้างดิ จะพูดกันดีๆได้มั้ย”
“ก็บ้าไง กูบ้า กูโง่ ที่ไปเชื่อคำพูดของมึงนั่นแหละ”
“ทำไมมึงไม่เคยฟังกูบ้าง” ตอนนั้นไอ้ตั้มมันเอามือมาจับไหล่ทั้งสองข้างของผมเขย่า
“กูเกลียดมึงไง ได้ยินชัดมั้ย กูเกลียดมึง”
“แล้วที่ผ่านมาล่ะ ที่มึงเคยบอกกูล่ะ”
“หรอ กูเคยพูดอะไรไป กูจำไม่ได้หรอก กูแค่เห็นว่ามึงหน้าตาดี กูอยากมีอะไรด้วยก็แค่นั้น
คนอย่างกูไม่เคยมีหัวใจหรอก”
“กูไม่เชื่อ กูรู้ว่ามึงคิดยังไง กูขอร้อง ฟังกูบ้างได้มั้ย”
“ปล่อยกู ถ้ามึงไม่ปล่อย กูหลุดได้เมื่อไหร่ กูจะกลับบ้านทันที”
ในที่สุดมันต้องยอมปล่อยผม ทำไมมันต้องทำอย่างนี้ด้วย มันจะให้เรารัก
ให้เรารอมัน ทั้งที่มันเองไม่ได้มีแค่เรางั้นหรอ ทั้งที่มันโกหกเราตลอดงั้นหรอ
ตอนนั้นเครียดมากเลยซัดออนเดอะร็อคตลอด พอเมาได้ที่ก็นอนกลิ้งร้องไห้อยู่ตรงนั้น
นึกแล้วยังทุเรศตัวเองไม่หาย เพื่อนๆชวนกลับไปนอนบ้านเอ๊ด แต่ผมบอกว่าไม่กลับ
ใครอยากกลับ ให้กลับไปก่อน จะนอนที่ริมหาด สรุปเลยต้องนอนกันกลางแจ้ง
ช่วงประมาณตี2 มันยังไม่ยอมเลิกวุ่นวายอีก พยายามจะเข้ามาคุย
แต่ตอนนั้นมีไอ้เดียร์กันไว้ให้เพราะเดียร์มันรู้ว่าผมจะไม่ไหวแล้ว พอทุกคนหลับหมดแล้ว
ตอนนั้นผมนั่งกอดเข่ามองทะเลอยู่ ทะเลตอนกลางคืนนี่สวยดีนะ ดูแล้วมีความรู้สึกว่ามันลึก
มันสงบ มันเย็น ถ้าได้อยู่ที่นั่นคงจะดี คงไม่ต้องมาเจ็บปวดแบบนี้
ผมลุกขึ้น แล้วค่อยเดินลงไปในทะเล ความรู้สึกแรกตอนที่เท้าสัมผัสกับน้ำทะเลคือ
น้ำเย็นจัง สบายดีจังเลย อยากหลับในที่ที่มันเย็นอย่างนี้จัง ระหว่างที่ผมเดินลงไปเรื่อยๆ
ตอนนั้นถึงจะโดนเปลือกหอยบาดเท้า แต่ไม่มีความรู้สึกอะไรเลย ทำมัยน้ำตามันถึงไหลออกมานะ
เดินลงไปเรื่อยๆ สิ อยากพักไม่ใช่หรอ เดี๋ยวก็จะได้พักแล้ว ผมเดินลงไปจนน้ำเริ่มถึงระดับมิดคาง
ตอนที่ 35 : แค่ก้อนหิน
หูผมได้ยินเสียงพวกที่อยู่บนฝั่งโวยวายกัน แต่ไม่ได้สนใจอะไรแล้ว รู้อย่างเดียว อยากไปให้พ้นๆ
ความรู้สึกที่มันเจ็บปวดนี้เหลือเกิน ก่อนที่ผมจะเดินลงไปลึกมากกว่านั้น
มีมือมาล็อกคอผมจากด้านหลัง เป็นไอ้เดียร์ที่ลงมา แล้วพยายามลากผมกลับเข้าฝั่ง
ผมดิ้นขัดขืน พอเข้ามาใกล้ฝั่งอีกหน่อยไอ้พวกข้างบนมันเลยมาช่วยกันลากผมไปบนฝั่ง
เลยยิ่งโวยวายพยายามจะลงไปอีก ไอ้เดียร์เลยชกหน้าผมไปทีนึง
“มึงเป็นบ้าอะไร ทำไมทำโง่ๆอย่างนี้”
“ปล่อยกู กูไม่อยากอยู่แล้ว”
“มึงไม่รักตัวเองเลยรึไง มึงถึงคิดบ้าๆอย่างนี้น่ะ”
“รักดิ กูรักตัวกู รักมากจนกูไม่อยากเจ็บอีกต่อไปแล้ว มึงได้ยินมั้ย กูทรมานแค่ไหน มีใครเข้าใจกูมั้ย”
“แล้วกูล่ะ มึงเคยคิดมั้ย กูรู้สึกยังไงกับมึง มึงรู้ใช่มั้ย มึงคิดว่าถ้ามึงทำอย่างนี้แล้วมีความสุข
กูล่ะมึงเคยคิดถึงบ้างมั้ย”
มีคำมากมายที่อยากจะพูดออกมา แต่ว่าสิ่งที่ออกมาในเวลานั้นมีแต่น้ำตากับเสียงสะอื้น
ทำไมคนที่รักเรา ดีกับเราขนาดนี้ ทำไมเราถึงรักมันไม่ได้ ทำไมใจที่มีถึงต้องให้มัน
คนที่ไม่เคยรักษาสัญญากับเราเลยเพียงคนเดียว
บางคนอาจจะมองว่างี่เง่าที่ไม่ยอมฟังเหตุผลมันก่อน แต่ลองคิดดูเอาเถอะนะ ถ้าคนที่เรารัก
เราเคยบอกเขาขอให้พูดความจริงกับเราทุกอย่างเรารับได้ทั้งนั้น และเขารับปากตกลงสัญญา
แต่มาวันนึงกลับได้รู้ว่าเขาผิดสัญญา ถ้าคำสัญญาที่ให้กัน มันไม่มีค่า
ไม่มีความหมายพอที่จะทำให้เขาระลึกถึงเลย
ผิดด้วยหรือที่จะโกรธ ผิดด้วยหรือที่จะน้อยใจ ผิดด้วยหรือที่จะรู้สึกว่า
เมื่อมันมีการโกหกครั้งที่หนึ่งได้ ใครจะกล้ารับประกัน ว่ามันจะไม่มีครั้งที่สอง
ครั้งที่สามตามมาไม่รู้จบ ความรักที่มีให้มันไม่เคยหมดไป แต่ขณะเดียวกันแค่ไม่อยากเป็นคนโง่
ที่ไม่รู้อะไรเลย
ถ้าวันนั้นไม่เปิดกระเป๋าไปเจอรูปแนน อีกกี่วันล่ะ ที่จะต้องเป็นคนโง่ ถูกปิดบังอยู่อย่างนั้น
คำสัญญาสำหรับคนบางคน มันคงเป็นแค่ลมปาก ที่พัดมาและพร้อมจะผ่านไป
ประโยชน์อะไรกับการยึดถือ คนเราเจ็บครั้งที่หนึ่งเรียกว่าพลาด
แต่ถ้าหากเจ็บซ้ำๆบ่อยมากเกินไป สมควรเรียกว่าโง่
ไม่มีใครอยากจะโง่ เราเองเป็นคนคนหนึ่ง หากจะต้องเลือก ขอทรมานใจดีว่าที่จะยอมโง่
การที่รักใครสักคนจนหมดใจ แต่ถึงจะอยู่ใกล้ เราก็ไม่อยากจะให้มันเหมือนเดิมมันผิดด้วยหรือ
เมื่อครั้งแรกเขาเองให้สัญญาว่าจะไม่โกหกปิดบังกัน แต่เขาเองเป็นคนที่ทำลายความไว้ใจนั้นลงไปแล้ว
เมื่อหมดก็คือหมด ขาดแล้วใครจะต่อ ใครจะประสานอย่างไร มันก็คงจะเหมือนเดิมไปไม่ได้
เวลานั้นได้แต่ร้องไห้กอดเดียร์เอาไว้ เดียร์เองไม่ได้สนใจแล้วว่าเพื่อนจะมองด้วยความแปลกใจยังไง
เพราะไม่มีใครรู้เรื่องที่เดียร์ชอบผมเลยสักคน แม้แต่ไอ้ดาเอง
“กลับไปเปลี่ยนเสื้อผ้า แล้วนอนเหอะนะ”
“ไม่ไปได้มั้ยเดียร์ ตอนนี้กูไม่อยากไปไหนทั้งนั้น”
“อืมม์ นอนตรงนี้ก็ได้ เดี๋ยวให้เอ็ดมันไปหาผ้ามาให้ห่มนะ”
“ชอบใจนะ กู...รักมึงนะเพื่อน”
“ถ้ารักกูจริง ห้ามทำอะไรแบบเมื่อกี้อีกนะ”
“มึงบอกให้มันเลิกยุ่งกะกูดิ ถ้ามันเลิกมาวุ่นวายกะชีวิตกู กูคงจะทำใจได้”
“เออ เดี๋ยวกูจะบอกเอง”
รู้สึกไม่ดีเหมือนกัน ที่ทำให้บรรยากาศในการมาเที่ยวครั้งนั้นมันต้องเสียไป
พอวันรุ่งขึ้นไปเที่ยวกันที่น้ำตกป่าละอู ชอบมากเลย มีผีเสื้อเยอะมาก เวลาที่เล่นน้ำนะ
พอได้กระโดดน้ำแล้วแหกปากตะโกน รู้สึกว่าดีเหมือนกัน
หายเครียดดีพยายามร่าเริงเหมือนเมื่อวานนี้ไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ทีแรกเพื่อนมันก็เกร็งกัน เดาอารมณ์เราไม่ถูก แต่พอมันเห็นเราบ้าปลดปล่อยอารมณ์เต็มที่
เลยสนุกสนานตามกันไป โดยที่ผมต้องทำเหมือนไอ้ตั้มไม่มีตัวตน เจ็บนะคนที่รัก อยู่ห่างแค่นี้
แต่ไม่สามารถคุยได้ ต้องคิดว่ามันเป็นเหมือนก้อนหินที่มีตัวตนอยู่
แต่เราไม่มีสาเหตุที่จะต้องไปใส่ใจ เท่านั้นเอง
ตอนที่ 36 : บูม
กลับมาจากหัวหินครั้งนั้น ความรู้สึกในใจผมมันยิ่งทวีความเปราะบาขึ้น หัวใจเปราะบางเท่าไร ยิ่งไขว่คว้าความรักมากเท่านั้น
ตอนบ่ายๆวันเสาร์อาทิตย์ถัดมาปุ๊กโทรมาหาผมที่บ้าน
“กานต์ เย็นนี้มารับเรากับบูมหน่อยดิ”
“จะไปไหนกันล่ะ ถึงต้องให้ไปรับ”
“นัดเที่ยวกับอั้มไว้ นายพาบูมไปนั่งเล่นบ้านดาก่อนก็ได้นะ”
“แล้วจะต้องเอาบูมออกมาทำไมล่ะ”
“พี่บุ๋มสั่ง เข้าใจใช่ป่ะ”
แค่นั้นเป็นอันรู้กันครับ ว่าเป็นคำสั่งจากเบื้องบนให้ตามคุม
ถึงบูมจะกลัวป้าแค่ไหนแต่เด็กก็คือเด็ก พอปุ๊กตะล่อมหน่อย
บูมก็ยอมที่จะอยู่กับผมที่บ้านของดา โดยมีข้อแลกเปลี่ยนเป็นไอติม
และการ์ตูนที่ปุ๊กจะต้องจ่ายเป็นค่าตอบแทนในความร่วมมือครั้งนี้
ตอนที่ไปถึงบ้านดานั้น ดากำลังนั่งแกะคอร์ดกีต้าร์อยู่ พอผมเดินเข้าไปดาก็ทักเสียงดัง
“เฮ้ย ไปลากน้องเขามาทำไม เดี๋ยวน้ามันมาแหกอกเอาหรอก”
“บ้าดิ น้ามันแหละให้พามานี่”
หลังจากนั่งคุยกันสักพักไอ้ดาก็แกะคอร์ดกีต้าร์เสร็จ มันนึกอะไรไม่รู้ชวนผมดูหนังโป๊
ไม่ใช่ว่าไม่เคยดูกับมันนะ ดูกันบ่อย แต่ครั้งนี้มันมีน้องบูมอยู่ด้วย รู้สึกอายเล็กน้อย
“น้องมันอยู่ด้วยนะ มึงบ้าเปล่า”
“เออน่า ไม่เป็นไร บูมมันก็โตแล้ว”
“ใช่ๆ พี่กานต์ผมไม่เด็กแล้วนะ”
“ตามใจ แล้วแต่ละกัน”
ดามันสั่งให้น้องบูมไปปิดม่านที่หน่าต่างและประตูหน้าบ้าน บ้านดามันเป็นทาวน์เฮาส์นะ
ถ้าเดินผ่านมองเข้ามาก็จะสามารถเห็นข้างในได้ เลยต้องปิดม่านนิดนึง
วีดีโอที่เปิดวันนั้นเป็นหนังญี่ปุ่น ที่พ่อไอ้ดาพึ่งได้มาใหม่ เวลาดูก็ตามธรรมชาติแหละนะครับ
ในเมื่อเป็นเกย์จะไปสนใจนางเอกก็ใช่ที่ มองแต่พระเอกครับตอนนั้น
นั่งดูกันไปได้สักพัก โทรศัพท์ก็ดังขึ้น ดามันรับโทรศัพท์แล้วหันมาบอก
ว่าจะต้องไปรับพิมพ์ไปซื้อของ
ให้ผมอยู่กับบูมสองคนไปก่อน
“กานต์ มึงจะทำไรน้องเขาก็รีบทำนะ กูจะแกล้งไปนานๆ ฮ่า ฮ่า”
“ไอ้สาดนี่ พูดไปนะมึง”
จริงๆในใจก็แอบคิดเหมือนกัน เด็กมัธยมน่ารักมานั่งใกล้แค่นี้ มองอย่างเดียวก็ละลายแล้ว
พอไอ้ดาออกไปผมเดินไปปิดประตู แล้วเดินกลับมานั่งข้างหลังน้องบูมทันที
“บูม พี่กานต์กอดหน่อยได้มั้ยครับ”
“กอดทำไมอ่ะพี่”
“พี่อยากกอด ขอกอดได้มั้ยครับ”
ไม่รอคำตอบผมกอดเอวบูมทันที ไม่เห็นบูมจะว่าอะไร ผมแกล้งซนเอามือพยายามล้วงลงไป
“อย่าซนสิพี่กานต์ จะกอดก็กอดเฉยๆ”
ในเมื่อยอมให้กอดแล้วคนอย่างผมมีรึจะยอมอยู่เฉย ตอนนั้นผมก้มหน้าลงไป
ไซร้คอบูมด้านหลัง ทีแรกบูมสะดุ้งเล็กน้อย แต่ก็ไม่ว่าอะไรสักพักผมค่อยๆไล่ไปไซร้ที่ใบหู
ขณะเดียวกันมือที่กอดเองล้วงเข้าไปในเสื้อคลึงที่หัวนมของเด็กน้อยเล่น
ในตอนนั้นอารมณ์ของบูมคงเตลิดไปแล้ว เพราะเมื่อผมเอามือล้วงลงไปในกางเกงขาสั้นของบูม
บูมไม่มีท่าทางที่จะขัดขืนผมเลยแม้แต่น้อย
ต้องขอโทษด้วยนะครับที่ไม่ได้มาอัพซะนานเลยก็เนื่องด้วยช่วงหลายอาทิตย์
ที่ผ่านมาต้องเคร่งเครียดอยู่กับเรื่องสอบอะคับเลยยังไม่มีเวลามาลง
แต่ตอนนี้ก็สอบเสร็จแล้วคงมาอัพให้ได้ตามปกติแล้วล่ะคับแต่เพื่อเป็นการชดเชย
ที่ไม่ได้มาอัพให้ซะนานก็จะลงให้หลายตอนหน่อยละกันนะคับใกล้จบแล้วล่ะคับ
ขอให้สนุกกับการอ่านนะคับ
ตอนที่ 37 : บูม
“บูมน่ารักจังเลย รู้ตัวมั้ยครับ” ผมหอมแก้มบูมเบาๆ
“อือ พี่กานต์ อย่าทำแบบนี้ดิ”
อารมณ์ตอนนั้น เอาช้างมาฉุดก็ไม่หยุดแล้วครับ ผมจัดการถอดกางเกงบูมออก
แล้วก้มลงไปใช้ปากให้บูม ตอนที่ลิ้นผมสัมผัสกับเนื้อหนุ่มของเด็กน้อย
ครั้งแรกบูมถึงกับสะดุ้ง พลางพยายามที่จะผลักหัวผมออก
ในเมื่อมาถึงขั้นนี้แล้วถ้าทำไม่สำเร็จก็ไม่รู้ว่าจะพูดยังไง ผมครอบปากลงไปทันที
จากอาการขัดขืนเล็กน้อยในทีแรก บูมเอามือมาลูบหัวของผมเล่น
พร้อมกับส่งเสียงครางในลำคอเบาๆ ผมใช้ปากให้บูมจนเสร็จ
เราก็รีบไปทำความสะอาดร่างกายพร้อมกับกลับมานั่งทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
เพื่อรอไอ้ดาที่จะกลับมาบ้าน ระหว่างที่นั่งรอ ผมก็คุยกับบูม
“บูม โกรธพี่กานต์มั้ยครับ ที่พี่ทำลงไปแบบนี้”
“ไม่รู้สิพี่กานต์ บูมบอกไม่ถูก แต่ต่อไปนี้ถ้าบูมไม่พร้อมพี่กานต์สัญญานะว่าจะไม่ทำแบบนี้อีก”
“ได้ครับ แค่น้องบูมไม่โกรธพี่ พี่ก็ดีใจแล้ว”
ช่วงนั้นความสัมพันธ์ระหว่างผมกับเบสและเพชร ก็เดินทางมาถึงจุดเปลี่ยน
เพราะผมติดยาและยังทำให้ทั้งคู่ติดยาตามไปด้วย จนในที่สุดป๊าของเบสก็ทราบเรื่องเข้า
วันนั้นเบสโทรมาหาผมพร้อมกับร้องไห้
“กานต์ เบสคงไม่ได้อยู่ใกล้กานต์แล้วนะ”
“ทำไมล่ะ เบสจะไปไหน เบสจะทิ้งกานต์ไปหรอ”
“ป๊าเบสเขารู้ว่าเบสติดยา เขาจะเอาเบสกลับไปเรียนกรุงเทพ”
ตอนนั้นยอมรับว่ารู้สึกเสียใจมาก ถึงแม้จะรู้ว่าสักวันนึง ที่ผมกับเบสจะต้องแยกจากกัน
แต่ไม่เคยคิดเลยว่าวันนั้นมันจะมาถึงไวขนาดนี้ เบสบอกว่าเซอร์ที่คุมหอ
เป็นคนโทรไปบอกป๊าของเบสเอง และยังบอกกับแม่ของเพชรด้วย แต่ป๊ากับแม่ของทั้งคู่
ไม่รู้ว่าผมเองเป็นต้นเหตุที่ทำลายลูกของเขา เขาคิดว่าควรที่จะแยกทั้งคู่ออกจากกัน
เลยตกลงกันที่จะให้เบสกลับไปเรียนกรุงเทพ และเพชรถึงจะเรียนที่นี่ตามเดิม
แต่ต้องถูกควบคุมความประพฤติ
ผมยอมรับว่าผมทำอะไรที่เห็นแก่ตัวหลายอย่าง
แต่ถ้าจะบอกว่าผมไม่เคยรู้สึกดีกับทั้งคู่มันคงไม่ใช่ ถึงคนที่ผมรักจะมีคนเดียว
แต่ทั้งคู่ก็เป็นคนสำคัญสำหรับผม ทำไม คนที่เรารู้สึกดีด้วยจะต้องหายออกไปจากชีวิตเราด้วย
เราไม่มีทางที่จะรั้งเขาไว้เลยรึไง ความรู้สึกสูญเสียมันจะไม่มีทางหมดไปจากใจของเราเลยใช่มั้
ตอนที่ 38 : ลาก่อน
วันหนึ่ง ระหว่างที่ลงช็อปทำงานผลัดในช่วงปิดเทอม ช่วงที่ปล่อยพักเที่ยงนั้นเอง
“กานต์ มึงต้องคุยกะกูให้รู้เรื่องแล้วนะวันนี้” ไอ้ตั้มกึ่งลากกึ่งจูงมือผมไปที่ม้าหิน
ข้างบ้านพักอธิการ ตอนนั้นไม่อยากขัดขืนแล้ว เหนื่อยเหลือเกิน
ตั้งแต่ไม่ได้เจอเบสกับเพชรผมรู้สึกล้าและเหมือนกับว่าชีวิตผมจะอยู่เพื่อใครอีก
“กานต์ กูรักมึงนะ มึงเข้าใจกูบ้างมั้ย”
“หรอตั้ม ถ้าตั้มรักกานต์จริงตั้งแต่ตอนนี้ ไปจนถึงเวลาเข้าช็อปช่วงบ่าย
ตั้มพูดว่ารักกานต์ ห้ามหยุดนะ แล้วกานต์จะเชื่อ”
“ได้ดิ ตั้มรักกานต์นะ ตั้มรักกานต์ ..........”
รักหรอ ทำไมคำนี้มันถึงทำให้เราเจ็บปวดจังนะ เจ็บที่ใจจังเลย จะทำยังไงดี
ความรู้สึกนี้มันถึงจะพ้นไปได้ มีความเจ็บไหนที่มันจะทำให้เราลืมความเจ็บนี้ได้บ้างนะ
ระหว่างที่ตั้มพูดนั้น พอมันพูดว่ารักครั้งนึงผมก็เอาเล็บนิ้วโป้งกรีดข้อมือตัวเองทีนึง
เผื่อว่าความเจ็บนี้มันจะมากกว่าความเจ็บที่ใจ แต่มันยังไม่มากพอเลยนี่นา
“ตั้ม พูดอีกดิ กานต์อยากได้ยินว่าตั้มรักกานต์ พูดอย่าหยุดนะ”
ผมยิ้มให้มัน โดยที่มือที่ซุกอยู่ใต้โต๊ะ พร้อมกับกรีดข้อมือตัวเองไปด้วย
จากทีแรกที่เป็นรอยแดงๆ เริ่มมีเลือดไหลออกมาซิบๆ
จนในที่สุดแขนข้างซ้ายของผมมันก็เต็มไปด้วยเลือด
“กานต์ มึงทำอะไรวะ ไอ้ตั้มมึงพูดอะไรกับมัน”
ไอ้ดาเดินมาทางข้างหลังกับไอ้นนท์มันคว้าข้อมือผมดึงออก
“ทำมัยมีอะไร”
“มึงดูข้อมือมันดิ มึงพูดอะไรกะมันวะตั้ม”
“กานต์ ทำไมกานต์ทำอย่างนี้ละ”
“มึงบอกว่ารักกู แต่คนที่มึงเลือกไม่ใช่กูนี่ เจ็บมั้ยล่ะกูอยากให้มึงเจ็บบ้างไง”
วันนั้นผมเล่นของไปประมาณ 4 ตัวตอนเช้าด้วย เลยทำให้ตัวเองไม่มีสติ
บอกไม่ถูกเหมือนกันความรู้สึกในตอนนั้น ไอ้ดาพาผมไปห้องพยาบาลเพื่อทำแผล
ตอนนั้นเหมือนร่างที่ไร้วิญญาณ ไม่อยากพูดไม่อยากคุยกับใคร
“อากานต์ลื้อไปทำอะไรมา ถึงต้องพันข้อมือ” พอม้าเจอหน้าก็เริ่มบ่น
เตี่ยดึงข้อมือไปเปิดผ้าพันแผลดู
“นี่ลื้อติดยาหรอ เค้าเป๋ ทำไมทำตัวอย่างนี้”
“ลื้อเคยทำอะรัยให้ม้ากะเตี่ยสบายใจบ้างมั้ย ทำแต่เรื่อง ดีแต่ผลาญเงิน ลื้อนี่มันเลี้ยงเสียข้าวสุก”
ทำไมเวลามีอะไรไม่เคยมีใครคิดจะปลอบเรามีแต่คนด่า เรานี่มันเลวจริงๆ
ไม่เคยทำตัวให้เตี่ยกะม้าภูมิใจเลย เหมือนความในใจที่เก็บมานานมันระเบิดออกมา
เพราะเก็บไว้ไม่ไหวแล้ว
“เมื่อรู้ว่าอั๊วเกิดมาทำแต่เรื่องเดือดร้อน แล้วให้เกิดมาทำไม
ทำไมไม่ฆ่าอั๊วให้ตายตั้งแต่ตอนที่เกิดล่ะ”
“เพี๊ยะ.........”
“เตี่ย ลื้อตบอั๊วหรอ”
ตั้งแต่เกิดมาจนถึงวันนั้นไม่เคยเลยสักครั้งที่เตี่ยกับม้าจะตี ไม่เคยแม้แต่จะเงื้อมือขึ้นมา
ในเมื่อไม่มีใครรักแล้วจะอยู่ทำไม ผมวิ่งหนีขึ้นห้องตัวเอง
หยิบขวดยาฆ่าแมลงที่บันไดขึ้นห้องไปด้วย
เข้าไปในห้องไปนั่งร้องไห้ ตัดสินใจเมื่อไม่มีใครรักแล้ว
คนที่รักทุกคนต่างหายไปจากชีวิตผมหมดแล้ว ที่มีอยู่ก็มีแต่คนที่เกลียดผม
แล้วผมจะอยู่ต่อไปเพื่ออะไร เลยหยิบกระดาษขึ้นมาเขียนจดหมาย
กราบเท้าเตี่ยและอาม้าที่เคารพ
ชาตินี้กานต์รู้ตัวว่าเป็นคนเลว ไม่เคยทำให้เตี่ยกะม้าสบายใจ ต้องกราบขอโทษด้วย
ที่ไม่ได้แทนคุณที่เลี้ยงดูมา เกิดชาติหน้าขอเป็นวัวควายทำงานใช้แรงแทนคุณ
หรือขอเป็นหมาเฝ้าบ้าน ไม่กล้าขอเกิดเป็นลูกอีกต่อไป
เพราะคงเลวเกินกว่าที่จะเกิดมาเป็นคนได้อีก
เมื่อกานต์ตายไปแล้ว ไม่ต้องทำพิธีอะไรทั้งสิ้น ขอให้บอกเจ้ ให้เจ้เอาไปเผาเลยไม่ต้องสวด
เงินที่อยู่ในธนาคารคงพอค่าโลงกับค่าถ่านค่าสัปเหร่อ เมื่อเผาแล้วกระดูกให้ลอยน้ำให้หมด
ห้ามเก็บเอาไว้ แค่ที่รบกวนเตี่ยม้ามาทุกวันนี้ ก็ไม่รู้ว่าจะต้องเป็นวัวควายใช้หนี้อีกกี่ชาติ
อย่าเอากระดูกมาเก็บให้รกบ้านเลย ส่วนเตี่ยม้าอย่าไปเผากานต์เลยนะ ในเมื่อกานต์เลว
ไม่เคยทำให้สบายใจ เตี่ยม้าคงจะดีใจ ที่จะไม่ต้องมีคนเลวอย่างนี้อยู่ในบ้านอีกต่อไป
หลังจากเขียนจดหมายเสร็จ ผมหยิบขวดยาฆ่าแมลงมากรอกปากตัวเอง ครั้งแรกที่สัมผัสลิ้น
รู้สึกว่ามีรสเปรี้ยว เมื่อมันลงถึงกระเพาะ มันกลับขย้อนออกมาเอง
ตอนนั้นตามองอะไรมันกลายเป็นสีเหลืองไปหมดแล้ว น้ำลายเริ่มไหลออกมา
นี่เรากำลังจะตายใช่มั้ยเนี่ย
ตอนที่ 39 : ทำร้าย
ความคิดในตอนนั้นคือต้องพยายามไม่ดิ้น จะได้ไม่มีใครรู้ จะได้ตายสมใจเสียที
ทั้งที่ตั้งใจว่าจะไม่ดิ้น แต่ร่างกายกลับไม่สามารถควบคุมได้ ผมเริ่มชักและดิ้น
ทำให้ขาไปฟาดโดนผนังห้องเสียงดังขี้นมาทีนึง
“อากานต์ ลื้อทำไร” เสียงม้าตะโกนถามขี้นมา ตอนนั้นไม่มีเสียงใดๆ ออกมาจากปากแล้ว
มีแต่เสียงดังอ๊อกๆ อาม้าขึ้นมาทุบประตูห้องผม
“กานต์ ลื้อเป็นไร เฮีย ขึ้นมาข้างบนเร็ว อากานต์อีเป็นไรไม่รู้ เร็วเฮีย”
“กานต์เปิดประตูให้เตี่ยหน่อย อากานต์เปิดประตูสิ”
“เฮีย พังประตูสิ จะมัวเรียกทำไมล่ะ”
พอเตี่ยกับม้าพังประตูเข้ามา ตอนนั้นผมถึงจะรู้ตัวแต่ไม่มีแรงที่จะทำอะไรได้แล้ว
รู้ตัวทุกอย่างแต่ไม่สามารถพูดออกมา ได้แต่ดิ้นทุรนทุรายอยู่บนพื้นห้อง
“กานต์ ทำไมลื้อทำยังงี้ ลื้อเป็นลูกเตี่ยนะ เตี่ยรักลื้อนะ”
“เฮีย พาลูกส่งโรงพยาบาลสิ เร็วเข้า”
ตอนนั้นเตี่ยอุ้มผมขึ้นพาลงมาที่รถ แล้วขับรถไปโรงพยาบาลโดยมีม้า
คอยกอดผมร้องไห้ไปตลอดทาง ระหว่างทางหูผมได้ยินแต่เสียง
ทั้งเตี่ยกะม้าร้องไห้โทษตัวเองว่าเป็นสาเหตุที่ทำให้ผมตัดสินใจฆ่าตัวตาย
พอไปถึงโรงพยาบาล ผมถูกนำเข้าห้องฉุกเฉิน พยาบาลเอาสายยาง
ขนาดประมาณนิ้วก้อยทาเจลหล่อลื่นสอดเข้ามาทางจมูกผม ลงไปจนถึงกระเพาะ
แล้วนำไซรินจ์ขนาดใหญ่มาต่อ เพื่อเทกรอกผงคาร์บอนละลายน้ำลงไป
พอเต็มกระเพาะ ก็เอาไซรินจ์ดูดออก แล้วถึงจะเทน้ำละลายผงคาร์บอนชุดใหม่ลงไปอีก
ทำอยู่อย่างนั้นนานพอสมควรแต่ผมไม่แน่ใจว่านานแค่ไหน แต่ตอนนั้นเริ่มรู้สึกตัวดีขึ้น
หมอให้ย้ายเข้าไปพักฟื้นในห้อง โดยอาการปัจจุบันไม่น่าเป็นห่วงแล้ว
จะมีก็แต่ต้องสังเกตอาการระยะยาว ว่ายาที่กินเข้าไปจะทำอันตรายตับได้มากแค่ไหน
หมอบอกว่าโชคดีที่ส่งโรงพยาบาลไว ถ้าช้าอีกนิดเดียวถึงล้างท้องได้
ก็คงจะไม่มีประโยชน์เพราะยาจะกัดทำลายอวัยวะภายใน
ถึงจะรู้ตัวแล้ว ความรู้สึกในตอนนั้นยังไม่อยากคุยกับใครได้แต่นอนร้องไห้ จนสักพัก
เจ้ลูกของตั่วแปะมาพร้อมกับตั่วอึ้ม
“เจ็ก ซิ่ม เดี๋ยวลั้งคุยกะกานต์หน่อยนะ เจ็กกะซิ่มไปรอข้างนอกกะม้าก่อนนะ”
เตี่ยกะม้าเลยออกไปข้างนอกพร้อมกะตั่วอึ้ม
“กานต์ ลื้อทำยังงี้ทำไม เจ้รู้แล้วเจ้รีบมาเลยนะเนี่ย”
“........”
“เจ้รู้นะว่าลื้อยังไม่อยากพูด แต่ยังไงเจ้ก้อรับฟังลื้อได้ทุกอย่างนะ ตอนนี้เจ้ลื้อมันรู้แล้วทั้งคู่นะ
มันกำลังนั่งรถลงมาจากกรุงเทพ เดี๋ยวอีกสักพักมันคงลงมาถึงทั้งคู่”
“เจ้ ทำไม ทำไม ไม่มีใครรักอั๊วเลย มีแต่คนเกลียดอั๊ว แม้แต่คนที่อั๊วรัก มันยังทำให้อั๊วเจ็บ
เจ้อั๊วเหนื่อย อั๊วไม่อยากอยู่แล้ว”
เจ้ลั้งเข้ามากอดผมไว้ ผมร้องไห้เหมือนคนเสียสติ ความจริงผมคงเสียสติไปตั้งแต่
ตอนที่ตัดสินใจทำอย่างนั้นลงไปแล้ว ผมเล่าเรื่องทุกอย่างระหว่างผมกะไอ้ตั้มให้เจ้ฟัง
เจ้ไม่ว่าอะรัยมีแต่ปลอบใจ ผมว่าแกคงแปลกใจเหมือนกัน เพราะแกไม่เคยรู้มาก่อนว่าผมเป็นเกย์
ที่บ้านผมเองยังไม่รู้เลย มีแกคนแรกที่รู้
เจ้ลั้งคุยกับผมสักพัก แกออกไปตามเตี่ยกะม้าเข้ามา เสร็จแล้วแกขอตัวกลับ
หลังจากนั้นญาติๆก็ทยอยมาเยี่ยม จนประมาณทุ่มกว่าๆ พวกเพื่อนๆผมเริ่มมากัน
พวกมันรู้เพราะไอ้ดาไปหาผมที่บ้านแล้วป้าที่อยู่บ้านตรงข้ามบอกมัน
มันเลยรีบโทรตามเพื่อนให้มาหาผมที่โรงพยาบาล แต่ตอนนั้นผมเองยังพูดมากไม่ได้
มันรู้สึกว่าเหนื่อย และเจ็บคอมาก
ประมาณ 2 ทุ่ม คนที่ผมไม่อยากเจอมากที่สุดมันก้อโผล่มา โดยที่มันตรงเข้ามากอดผม
ต่อหน้าเตี่ยกะม้าและเพื่อนๆ ก่อนที่ผมจะทันพูดอะไรออกมามันก็พูดขึ้นมาก่อน
“เตี่ยกับม้าออกไปข้างนอกก่อนได้มั้ยครับ ขอตั้มคุยกับกานต์หน่อย พวกมึงด้วยออกไปก่อน”
เตี่ยกับม้ามองหน้ากัน แล้วเดินออกไปข้างนอก พวกเพื่อนๆผมก็เดินตามออกไป
“ทำไม ทำไมต้องทำแบบนี้ด้วย”
“กูไม่อยากให้มึงลืมกูไง กูจะทำให้มึงจำกูจนวันมึงตาย”
“กูไม่ยอมหรอกนะ ถ้าจะไปก็ไปด้วยกัน” ตอนนั้นมันดึงข้อมือผมให้ลุกจากที่นอน
“โอ๊ย จะพากูไปไหน”
“มึงอยากตายไม่ใช่หรอ กูจะไปตายกะมึงไง กูไม่ยอมเจ็บอยู่คนเดียวหรอกนะ
ถ้ามึงจะตายกูจะตายพร้อมมึงเดี๋ยวนี้”
“ถ้ามึงตายแล้วแนนล่ะ”
“เรื่องของแนน ถ้ากูตายแล้วแนนอยู่ไม่ได้ก็เรื่องของมัน แต่กูอยู่ไม่ได้ถ้าไม่มีมึง
มึงเข้าใจกูบ้างมั้ย”
เป็นครั้งแรกที่ผมเห็นไอ้ตั้มร้องไห้ ที่ผ่านมาผมไม่เคยเห็นน้ำตาจากมันเลย
สรุปแล้วความจริงคืออะไรกันแน่ นี่ผมสับสนไปหมดแล้ว ทำไมมันถึงต้องร้องไห้ด้วย
ในเมื่อมันไม่ได้คิดว่าเราเป็นคนสำคัญที่สุดของมันนี่นา
คนที่สำคัญกับมันที่สุดน่าจะเป็นคนนั้นมากกว่า แต่ทำไมพอเห็นน้ำตามันแล้ว
ใจมันโหวงๆยังไงก็ไม่รู้ ตอนนั้นเผลอเอามือไปเช็ดน้ำตาให้มัน
เห็นน้ำตามันแล้วผมได้แต่ร้องไห้ตาม
“ตั้ม อย่าร้องไห้ดิ กานต์ทนไม่ได้อย่าร้องไห้นะ กานต์ขอร้อง”
“สัญญากับตั้ม อย่าทำอย่างนี้อีก ถ้ากานต์ไม่อยากเห็นตั้มร้องไห้”
“ได้กานต์สัญญา กานต์จะไม่ทำอย่างนี้อีก”
ตั้มดึงผมเข้าไปกอด ทั้งที่ผ่านมาพยายามทุกอย่าง แต่พอเห็นมันเสียใจจริงๆแล้ว
ทำไมผมถึงไม่ดีใจ ทำไมความรู้สึกปวดร้าวมันยิ่งเพิ่มมากกว่าเดิม เราเลวมากใช่มั้ย
ที่ทำร้ายคนที่เรารักมากมายขนาดนี้
ตอนที่ 40 : ฉันพลาดเอง
จนแล้วจนรอด ตั้มก็ยังไม่ยอมปริปากถึงสาเหตุที่ทำให้ต้องคบกับแนน
แต่ในที่สุดผมก็ได้รับรู้จากไอ้นนท์ เพราะไอ้นนท์เป็นเพื่อนที่สนิทที่สุดของตั้ม
จึงรู้เรื่องทุกอย่างตลอดมา มันบอกว่าพยายามที่จะพูดให้ผมฝังแล้ว แต่ผมไม่เคยฟังมันเลย
เนื่องจากครอบครัวตั้ม เป็นครอบครัวที่ค่อนข้างเคร่งศาสนามาก
ดังนั้นตั้มจึงถูกสอนมาแต่เด็กว่าผู้ชายต้องคู่กับผู้หญิง
การมีเพศสัมพันธ์ก่อนที่จะมีการรับศีลกล่าว คือการแต่งงานอย่างถูกต้องนั้นถือว่าเป็นบาป
ดังนั้นทุกครั้งที่ตั้มมีอะไรกับผม มันจะรู้สึกผิด และมักจะไปแก้บาปกับพ่ออธิการเป็นประจำ
โดยที่คุณพ่อเองมักจะสอนมันเป็นประจำหลังจากที่มันแก้บาปแล้ว
ว่าความรักไม่ใช่แค่การมีเพศสัมพันธ์ ความรักคือการผูกพันของใจสองใจมากกว่า
เวลานั้นตั้มรู้สึกสับสน ทุกครั้งที่แก้บาป ตั้มมักจะแอบร้องไห้ ที่ตั้มไปคบแนนนั้น
เพราะว่าตั้มบอกกับนนท์ว่า ยังไม่แน่ใจว่าความรู้สึกที่มีให้ผมนั้นคืออะไรกันแน่
โดยตั้มเองได้เล่าเรื่องผมให้แนนฟังด้วย จริงๆแล้ว ตั้มกับแนนเป็นเพื่อนกันมาตั้งนานแล้ว
ตอนที่แนนรู้ ว่าผมรู้เรื่องและเริ่มทำอะไรประชดตั้มนั้น
แนนขอเลิกกับตั้ม แต่ตั้มบอกว่าถ้าแนนเลิกกับตั้ม ตั้มคงต้องคบกับผู้หญิงอื่นอยู่ดี
ถ้าตั้มยังคบกับแนนต่อไป ตั้มยังสามารถที่จะคุยกับผมได้ ถ้าเป็นผู้หญิงคนอื่น เขาคงจะไม่ยอม
ยิ่งช่วงเวลาที่ผมทำตัวเหลวไหลเพื่อประชดตั้ม มันยิ่งบั่นทอนจิตใจตั้มมาก
ตั้มโทษตัวเองว่าเป็นสาเหตุที่ทำให้ผมทำตัวแบบนั้น
จึงมักไปปรึกษากับคุณพ่ออธิการเป็นประจำ คุณพ่อท่านรู้ตลอดมา
แต่ท่านไม่สามารถพูดออกมาได้ เพราะเกี่ยวเนื่องด้วยว่าบาปที่มีคนมาสารภาพ
ให้บาทหลวงฟังนั้น ท่านไม่สามารถที่จะนำออกมาพูดกับใคร
แม้ว่าจะเป็นเจ้าตัวที่มาสารภาพนั้นเอง หากพ้นออกมาจากที่สารภาพบาปแล้ว
จะต้องถูกเก็บเอาไว้
คุณพ่อมักจะปลอบใจตั้มเสมอ ว่าความรักที่ตั้มมีให้ผมอย่างบริสุทธิ์ใจ
จะช่วยทำให้ทุกอย่างดีขึ้น แต่เพราะลักษณะของตั้มที่เป็นคนพูดน้อย
ส่วนตัวผมเป็นคนที่ขี้น้อยใจ เมื่อตั้มไม่พูดออกมา ก็ได้แต่คิดเอา เดาเอาเอง
จนทำให้เรื่องมันเลวร้ายลงไปเรื่อยๆ
พอได้ยินเรื่องทั้งหมดจากนนท์ ผมรู้สึกว่า นี่ผมทำอะไรลงไปเนี่ย ที่ผมทำลงไปเพื่ออะไร
ทำเพื่อให้คนที่ผมรักต้องเจ็บ ทั้งที่เขาเจ็บขนาดไหน แต่เขาไม่เคยปริปาก
เพราะไม่อยากให้ผมต้องมาทุกข์เพราะเขา แต่ผมเองกลับแปรเจตนาของเขาผิดไป
ความรู้สึกตอนนั้นคือ เราเองใช่มั้ยที่ทำให้เรื่องมันเลวร้ายลงไปขนาดนี้
เราเองใช่มั้ยที่ผลักไสเขาให้ห่างออกไป เป็นเราเองที่ทำลายความรักของเราสองคน
ถึงอยากจะกลับไปเหมือนเดิม ก็คงทำไม่ได้ เพราะเราเลวมากเกินไป
เราทำร้ายคนที่เรารักทั้งที่เขาพยายามทุกอย่าง เพื่อเรื่องของเรา ถ้าหันกลับไป
เขาคงยินดี แต่ตัวเราเองไม่มีค่าพอที่จะได้รับความรู้สึกนั้นอีกแล้ว เขาดีมากเกินไปสำหรับเรา
คงทำได้แค่ มองเวลาที่เขามีความสุข
เมื่อเราก้าวพลาดไปแล้ว คงไม่กล้าที่จะหันกลับไป คงได้แต่ยินดีที่เขาจะได้พบคนที่ดีกว่าเรา
หลังจากที่ผมเข้าใจเรื่องทั้งหมดแล้ว ผมคุยกับตั้ม แต่ไม่เหมือนเดิมแล้ว
เพราะตอนนี้ผมไม่ดีพอสำหรับมันแล้ว สิ่งต่างๆที่ผมทำลงไป ถึงมันจะไม่พูดถึง
ผมเองรู้สึกไม่ดีเลย จนกระทั่งเมื่อใกล้ที่จะเรียนจบปวช.3
“กานต์ เดี๋ยวกานต์ไปสอบที่พระนครเหนือด้วยกันมั้ย” ตั้มถามผมขึ้นมาในวันหนึ่ง
“คงไม่ล่ะ”
“อ้าว แล้วกานต์จะไปเรียนต่อที่ไหนล่ะ”
“ไม่รู้ดิ แต่คงจะไม่เรียนช่างแล้วล่ะนะ”
“ทำไมถึงไม่เรียนล่ะ”
“คือไม่อยากเรียนตั้งแต่แรกแล้วละ ตอนนี้เลยว่าจะเปลี่ยนสายเรียน”
“นึกว่าจะได้ไปเรียนด้วยกันซะอีก”
จะให้บอกได้ยังไงครับ ว่าที่ผมไม่อยากเรียนช่างต่อเพราะว่าผมไม่อยากเจอมันอีกต่อไปอีก
ถ้ายังต้องเจอมันอีก ผมคงตัดใจจากมันไม่ได้ เมื่อเราไม่ดีพอสำหรับเขาแล้ว
ผมอยากห่างออกมาเพื่อที่จะไม่ต้องทรมานมากไปกว่านี้
ตอนที่ 41 : เดียร์
เมื่อเรียนจบปวช. ต่างคนต่างก็มีทางเดินของตัวเอง ผมเปลี่ยนสายการเรียน
ทำให้ห่างออกมาจากเพื่อนๆทุกคน แต่ยังไม่ถึงขนาดที่ขาดการติดต่อกัน
หากไม่สนิทสนมกันเหมือนก่อนเท่านั้นเอง
จนกระทั่งวันหนึ่ง ตอนที่ผมเรียนอยู่ปีที่ 2 อาทิตย์นั้นผมกลับมาบ้านช่วงเย็นของวันอาทิตย์
ดาขี่มอเตอร์ไซค์มาหาผมที่บ้าน
“ไปไหนมาวะเนี่ย”
“มาหามึงแหละ ไปขี่รถเล่นกันหน่อยดิ”
“เออ ไปดิ”
ผมซ้อนท้ายมอเตอร์ไซค์ดาไป ดามันขี่พาผมออกไปนอกตลาด ทางที่ขี่ไปเป็นทางบ้านเดียร์นี่นา
“ไปหาเดียร์หรอ ดีเหมือนกัน ไม่ได้เจอมันหลายเดือนแล้ว เดี๋ยวชวนมันกินเหล้าดีกว่า”
“อืมม์ เดี๋ยวก็เจอเดียร์แล้ว”
ตอนนั้นผมไม่ได้นึกเอะใจสงสัยในท่าทีที่แปลกไปของไอ้ดาเลย
ทางที่จะไปบ้านเดียร์นั้นจะมีสองทาง ทางหนึ่งจะต้องผ่านวัด อีกทางหนึ่งไม่ต้องผ่าน
ปกติพวกผมจะขี่ไปทางที่ไม่ผ่านวัดกัน แต่วันนั้นไอ้ดากลับเลี้ยวมอเตอร์ไซค์ลงไปทางวัด
แทนที่จะตรงไปบ้านเดียร์ มันกลับเลี้ยวรถเข้าไปที่วัดตรงไปที่เมรุ
“มึงพากูมาที่นี่ทำไม ไม่ไปบ้านเดียร์หรอ”
“กู...พามึงมาหาเดียร์ไง”
ผมมองไปที่เมรุ เห็นแม่เดียร์กับน้องชายอยู่บนนั้น ผมค่อยๆเดินเข้าไป
ตอนนั้นมีแต่ความสงสัยว่าใครเป็นอะไร จนผมเข้าไปใกล้
ใกล้มากพอที่จะเห็นรูปของเดียร์บนขาตั้งรูป เหมือนใครเอาค้อนมาทุบหัว ผมวิ่งขึ้นไปบนเมรุ
“กานต์ มาแล้วหรอลูก มาพรมน้ำอบให้เดียร์ซิ”
ข้างหน้าผม มีแค่กองอัฐิกองหนึ่ง ตอนนั้นผมร้องไห้ไม่อายใครแล้ว
ทำไม ทำไมเดียร์ต้องจากผมไป ขณะที่ผมหยิบเอาดอกมะลิและกุหลาบโปรยลงบนอัฐิ
พร้อมกับพรมน้ำอบลงไป ผมเฝ้าแต่ภาวนาให้นี่เป็นความฝัน
ทำไมผมถึงไม่รักมันให้มากกว่านี้ ทำไมผมถึงไม่ดีกับมันให้มากกว่านี้
หลังจากพระมาแปรธาตุเสร็จ แม่เดียร์ก็นำอัฐิกลับบ้านเพื่อทำบุญที่บ้านอีกครั้งหนึ่ง
ตอนนั้นผมโมโหเพื่อนๆทุกคนมาก ไม่มีใครยอมบอกผมเลย
ทุกคนกลัวผมจะทำใจไม่ได้ แม่เดียร์เป็นคนบอกให้ดาไปรับผมมา ถ้าแม่ไม่บอก
คงไม่มีใครยอมให้ผมมา ผมร้องไห้จ้องหน้าเพื่อนทุกๆคนแล้วพูดต่อว่า ว่าพวกมันไม่อยากให้ผมเจอเดียร์ใช่มั้ย
ทำไม รึว่าเป็นเพราะผมเคยทำร้ายจิตใจมัน
ผมถึงไม่มีโอกาสแม้แต่จะเห็นหน้ามันเป็นครั้งสุดท้าย
หลังจากที่พระที่มาสวดมนต์กลับไป ผมนั่งคุยกับแม่ถึงได้รู้เรื่องราวทั้งหมด
วันหนึ่งในขณะที่ทุกคนกำลังเรียนอยู่ เดียร์เกิดฟุบลงไปกลางห้องเรียน
เพื่อนๆทุกคนพากันส่งโรงพยาบาล หมอตรวจพบว่าเดียร์มีเนื้องอกในสมอง
ถ้าไม่ผ่าตัดคงจะต้องเป็นเจ้าชายนิทราตลอดไป ความเสี่ยงในการผ่าเองก็ค่อนข้างสูง
แต่แม่ตัดสินใจให้หมอผ่า การผ่าตัดครั้งนั้นล้มเหลว เดียร์จึงจากไป
ผมอดคิดไม่ได้ว่าตัวเองเป็นสาเหตุรึเปล่า เพราะทุกครั้งที่ผมร้องไห้ ที่ผมเครียด
เดียร์มักจะเครียดไปด้วย ตอนที่เรียนด้วยกันผมเป็นไมเกรนต้องกินยาเป็นประจำ
เดียร์เองมักจะบ่นปวดหัว แต่พอไล่ให้ไปหาหมอ มันมักจะพูดเสมอว่าเป็นเองก็หายเอง
ไม่ต้องหาหรอกหมอ
ถ้าผมรักมันให้มากกว่านี้ได้คงจะดี ถึงแม้ว่ามันจะสายไปแล้ว
แต่ผมก็จะจดจำมันไปตลอดจนกว่าวันนึง ที่ผมจะได้พบมันอีก
ซึ่งก็ไม่รู้ว่าจะต้องใช้เวลาอีกสักเท่าไหร่ รอกูนะเดียร์ กูสัญญา กูจะไปหามึง
ตอนที่42 บทสรุป
หลังจากนั้นมาผมเองติดต่อกับตั้มบ้าง แต่ไม่ค่อยบ่อยมาก
จนกระทั่งต่างคนต่างเรียนจบ วันหนึ่งที่ผมกลับมาที่บ้าน
ม้าเอาการ์ดมาให้ผมเป็นการ์ดงานแต่ง พอเห็นชื่อที่อยู่หน้าการ์ด
ทั้งที่ทำใจมาตั้งนานแล้ว แต่มันก็ยังรับไม่ค่อยได้ รู้สึกเสียใจอยู่เหมือนกัน
นนท์มาหาผมที่บ้านเพื่อถามเรื่องวันรับศีลกล่าว ก็คือการทำพิธีแต่งงานแบบคริสต์นั่นเอง
"กานต์ มึงจะไปเป็นนักขับให้ตั้มมันป่าว"
"กูต้องไปดิ เพื่อนจะแต่งงานทั้งที กูจะไม่ไปได้งัย"
"แล้วมึงจะไหวหรอ"
"เป็นไรจะไม่ไหว กูไม่ได้เป็นอะไรนี่นา"
วันที่ตั้มจะรับศีลกล่าวกับแนน ผมต้องไปเป็นนักขับ
คือนักร้องที่ร้องเพลงในโบสถ์ระหว่างพิธี ผมเตรียมใจมาแล้ว
พยายามที่จะทำใจ เพลงเริ่มพิธีที่ผมร้องเนื้อเพลงคือ
"เรามาประชุมด้วยความยินดี
ร่วมในพิธีที่พระเจ้านั้นโปรดประทาน
เจ้าบ่าวเจ้าสาว เป็นกายเดียวกัน
ร่วมจิตร่วมใจให้ถาวรสุขนิรันดร์
เราจึงพากันร้องเพลงสรรเสริญ
ขอให้ทั้งบ่าวสาวมีความสุขเจริญ
ขอพระเป็นเจ้าให้เขาทั้งสอง
ได้อยู่คู่ครองตามโอวาทพระคริสต์เจ้า"
ผมร้องไปด้วยความยากลำบาก ถึงจะทรมานใจยังไง ก็จะทนเพื่อคนที่เรารักมากที่สุด
ในเมื่อวันนี้เป็นวันสำคัญของเขา สิ่งนี้คงเป็นสิ่งเดียวที่เราจะทำเพื่อเขาได้
พอร้องจบตอนนั้นไม่ไหวแล้ว ต้องขอตัวเข้าไปที่หลังพระแท่น
บอกกับเพื่อนว่าเมื่อคืนไม่ได้นอนเลยไม่ค่อยสบายเหมือนจะอ้วก
พอเข้าไปข้างหลังพระแท่น ผมร้องไห้ออกมา ระหว่างที่ผมร้องไห้ ไอ้นนท์เดินเข้ามาหาผม
"ไหวป่ะกานต์ถ้าไม่ไหวไม่ต้องออกไปก็ได้นะ"
"ไหวดิ วันนี้วันสำคัญของเพื่อนนะ จะทำให้เพื่อนไม่สบายใจได้ไง"ผมฝืนยิ้มตอบให้นนท์
ในที่สุดมันก็มาถึงตอนที่ผมไม่อยากให้มาถึงมากที่สุด คือตอนที่ทั้งคู่ปฏิญาณว่าจะรักกัน
คำสัญญาที่กล่าว แหวนที่สวมลงไปบนมือของทั้งคู่ ทำไมคนนั้นถึงไม่เป็นเรา
คิดได้แค่เท่านั้นเอง ไม่สามารถคิดอย่างอื่นได้อีกแล้ว ถึงเจ็บปวดอย่างไรก็ได้แต่ทนเอาไว้
"ร่วมจิตใจ สายใยผูกพันธ์
ร่วมชีวิตเป็นหนึ่งเดียวกัน
ดั่งความความรักสองเราไม่เปลี่ยนผัน...เดินด้วยกันมั่นใจ
มอบความรัก ใจสมัครนี้
ให้แก่กัน...ตลอดชีวี..."
ทนเท่านั้นก็ว่าแย่แล้ว ช่วงกลางคืนยังต้องไปงานเลี้ยงอีก
ระหว่างที่นั่งกินเลี้ยงญาติไอ้ตั้มเดินมาหาผม ขอให้ขึ้นไปร้องเพลงบนเวที
นี่มันวันอะไรกัน จะตายอยู่แล้ว จะต้องลากสังขารขึ้นไปร้องเพลงอีก
เพลงที่ผมเลือกในวันนั้นเป็นเพลงที่ตรงกับใจผมมากที่สุด
พูดง่ายๆว่าพออินโทรขึ้นทั้งเจ้าบ่าว เจ้าสาว
และเพื่อนผมทุกคนมันหันมามองกันเป็นตาเดียวทั้งหมด
วันที่เวียนเปลี่ยน วันที่เลยผ่าน รัก คงมั่น
เราไม่เคยห่าง เคียงคู่ชิดใกล้ ทุก เวลา
ยอมทิ้งความฝัน ยอมทุกทุกอย่าง ให้กันและกัน
เพียงได้เคียงข้าง เพียงได้ร่วมทาง โอ้ รักนิรันดร์
ก่อนเคย คิดว่ารักต้องอยู่ ด้วยกันตลอด
เติบโต จึงได้รู้ความจริง
หากเคียงชิดใกล้ (แต่เธอต้องทิ้งทุกอย่างเพื่อฉัน)
ประโยชน์ที่ใด (หากรักทำร้ายเธอเอง)
หากเดินแนบกาย (มีพลั้งต้องล้มลงเจ็บด้วยกัน)
ห่างเพียงนิดเดียว (ให้รักเป็นสายลมผ่าน ระหว่างเรา)
แบ่งที่ว่าง ตรงกลางไว้คอย
เพื่อให้เธอ ได้ตามหาฝัน ของเธอ
เรียนรู้รักอย่าง รู้คุณค่า ฝัน ไม่ไกล
บินไปตามทาง หาดวงตะวัน ที่ เธอต้องการ
ไม่มีฉุดรั้ง ไม่มีดึงดัน เรา เข้าใจ
รักยังแสนหวาน รักยังไม่เปลี่ยน เคียง คู่กัน
ก่อนเคย คิดว่ารักต้องอยู่ ด้วยกันตลอด
เติบโต จึงได้รู้ความจริง
หากเคียงชิดใกล้ (แต่เธอต้องทิ้งทุกอย่างเพื่อฉัน)
ประโยชน์ที่ใด (หากรักทำร้ายเธอเอง)
หากเดินแนบกาย (มีพลั้งต้องล้มลงเจ็บด้วยกัน)
ห่างเพียงนิดเดียว (ให้รักเป็นสายลมผ่าน ระหว่างเรา)
แบ่งที่ว่าง ตรงกลางไว้คอย เพื่อให้เรา ได้ตามหาฝัน
วันเวลาที่เรา ห่างไกล
ความเข้าใจ จะทำให้เราใกล้กัน
กลับกลาย เปลี่ยนเป็นพลัง
โว้วูโหว่หวูโว้
หากเคียงชิดใกล้ (แต่เธอต้องทิ้งทุกอย่างเพื่อฉัน)
ประโยชน์ที่ใด (หากรักทำร้ายเธอเอง)
หากเดินแนบกาย (มีพลั้งต้องล้มลงเจ็บด้วยกัน)
ห่างเพียงนิดเดียว (ให้รักเป็นสายลมผ่าน ระหว่างเรา)
หากเคียงชิดใกล้ (แต่เธอต้องทิ้งทุกอย่างเพื่อฉัน)
ประโยชน์ที่ใด (หากรักทำร้ายเธอเอง)
หากเดินแนบกาย (มีพลั้งต้องล้มลงเจ็บด้วยกัน)
ห่างเพียงนิดเดียว (ให้รักเป็นสายลมผ่าน ระหว่างเรา)
แบ่งที่ว่าง ตรงกลางไว้คอย
เพื่อให้เรา ได้ถึงดั่งฝัน ร่วมกัน
ความรักไม่ต้องการการครอบครอง ขอเพียงรู้ว่าใจเราอยู่กับใคร
และรู้ว่าใจใครอยู่กับเรา ถึงแม้ความเป็นจริงมันอาจจะไม่เป็นไปตามที่เราเคยฝันไว้
ขอแค่เรารักเขา และขอแค่เขารักเรา เท่านั้นเองที่ต้องการ อาจจะเสียใจที่ไม่ได้เคียงคู่กัน
แต่เมื่อเรามองดูเขามีชีวิตที่ดี เราเองก็ควรจะดีใจ
น่ารักมากก
เขิล>< ขอบคุนมากคับ น่ารักๆๆๆๆๆๆๆๆ ขอบคุณครับ{:5_116:}{:5_139:} ขอบคุณมาก ขอบคุณครับ ขอบคุณครับเอาเรื่องดีๆมา เศร้าบ้างสนุกบ้างรักคุณครับ{:5_119:}{:5_119:}{:5_119:}{:5_133:} ขอบคุณครับ คนเราเมื่อมีปัญหาต้องค่อยๆคุยกัน ปรับความเข้าใจกัน แล้วจะอยู่ด้วยกันไปยาวนาน สงสารความรักของกานต์นะ ขอบคุณครับบ ขอบคุณครับ
ขอบคุณครับ ขอบคุณครับ{:5_146:} ขอบคุณคับ ขอบคุณครับ ขอบคุณครับ
หน้า:
[1]