MACK_ZAA โพสต์ 2012-6-22 11:51:38

คืนเดียวก็เกินพอ


http://www.creditonhand.com/images/Ghost/8.5.gif

พระพิพัฒน์ วรญาโน เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากป่าช้าเก่า

เมื่อวันที่ 13-23 ตุลาคม พ.ศ. 2550 โรงเรียนเทคนิคจังหวัดพิจิตรได้จัดพิธีอุปสมบทหมู่ 108 รูป เพื่อเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงเจริญพระชนมพรรษาครบ 80 พรรษา โดยอุปสมบท 9 วัด วัดละ 12 รูป

ภิกษุใหม่ทุกรูปได้ไปปฏิบัติธรรม ณ วัดโพธิ์ประทับ ช้าง จังหวัดพิจิตร

9 วันที่ปฏิบัติธรรม ทางวัดได้อบรมนวกภิกษุอย่างเข้มงวดยิ่ง

วันที่ 15 ตุลาคม พระต้นอยากทำสมาธิ จึงได้ไปกางกลดนอนบริเวณป่าช้าเก่าแต่ปรับเป็นสถานที่ร่มรื่น เหมาะสำหรับการปฏิบัติได้เป็นอย่างดี พระต้นเองก็ทราบดีว่าที่นั่นเป็นป่าช้าเก่าแต่ไม่ได้คิดอะไรมาก และมีพระบวชใหม่ด้วยกันไปปักกลดนอนที่นั่นอีก 2 รูป

คืนแรกราว 2 ทุ่ม พระต้นก็เข้ากลดสวดมนต์ ทำสมาธิจนผ่านไปชั่วโมงเศษ...

ทันใดนั้นเอง ท่ามกลางความเงียบสงัด พลันมีเสียงมโหรีดังแว่วมาตามลมจากวิหารเก่า ซึ่งอยู่ใกล้ๆ กับบริเวณนั้น...เมื่อเสียงโหยหวนเยือกเย็นจางหายไปในความเงียบเชียบ จู่ๆ ก็มีเสียงต้นไม้ใหญ่ข้างกลดดังซู่ซ่า ราวกับมีใครอุตริปีนป่ายขึ้นไปจับเขย่าอย่างรุนแรง

ต้นตะเคียน 2 ต้น!!

พระต้นกำหนดจิตให้รับรู้ว่ามีบางสิ่งบางอย่างกำลังปรากฏขึ้นมา...

ท่ามกลางแสงดาวกระจ่างฟ้า สายลมคร่ำครวญคละเคล้ากับเสียงแมลงกรีดปีกเป็นเพื่อนรัตติกาล สตรีนางหนึ่งแต่งชุดขาวโดดเด่นเห็นได้เลือนราง ก่อนจะชัดเจนขึ้นว่าเป็นสตรีวัยกลางคนเดินออกมาจากต้นตะเคียนนั้น เบื้องหลังของนางคือชายชราผิวดำ ผมขาวโพลนนุ่งโจงกระเบนสีแดง ไม่สวมเสื้อ เดินตามมาช้าๆ

หญิงนั้นเดินมาหาพระต้น ปากเผยอนิดๆ ขณะเสียงถามเยือกเย็นดังวู่หวิวขึ้นมา

"ท่านมานอนขวางทางเดินของเราทำไม?"

พระต้นทราบแน่ว่าเป็นดวงวิญญาณที่ยังไม่ได้ไปผุดไปเกิด จึงกำหนดจิตให้เข้มแข็ง เอ่ยตอบเรียบๆ ว่า อาตมาไม่ทราบว่าเป็นที่นอนของโยม อาตมาขอโทษด้วย พรุ่งนี้จะทำบุญอุทิศส่วนกุศลไปให้

สตรีในชุดขาวกับชายชรามองสบตากัน พยักหน้าเป็นเชิงรับรู้ ก่อนหันกลับแล้วออกเดินเชื่องช้า ท่ามกลางเสียงสุนัขจากวัดโพธิ์ประทับช้างโก่งคอหอนโหยหวน...และแล้วร่างทั้งสองก็พลันเลือนหายไปแถวต้นตะเคียนนั่นเอง!

พระบวชใหม่สำรวมจิตจะออกจากสมาธิ แต่ต้องเกิดอาการสะดุ้งใจเมื่อได้ยินเสียงหัวเราะดังแว่วเข้ามา...เป็นเสียงหัวเราะของเด็กอายุราว 4-5 ขวบเท่านั้นเอง ไม่รู้ว่ามาจากแห่งหนใดกันแน่?

ฉับพลันนั้น เด็กชายไว้จุกก็ปรากฏร่างมายืนจับกลด ชะโงกหน้าเข้ามาหาแล้วร้องว่า...พระนี่หว่า!

ขาดเสียงก็หัวเราะร่า ออกวิ่งเล่นรอบกลดด้วยอาการคึกคะนองตามประสาเด็ก แถมยังกระตุกกลดทั้งหน้าและหลังเล่นด้วยความซุกซน ท่ามกลางสายลมที่หวีดหวิวมาจากต้นตะเคียนทั้งสองต้นนั้นด้วย

พระต้นรู้สึกว่าจิตของตนบังเกิดอาการระส่ำระสายแล้ว...

ผีเด็กก็ยังวิ่งวนเวียนไปมาไม่หยุดหย่อน ทั้งวิ่งทั้งกระตุกกลดเล่น เสียงฝีเท้าคึ่กๆ กับเสียงหัวเราะแหลมเล็กบาดลึกลงไปถึงหัวใจของคนที่ได้ยินอย่างช่วยไม่ได้เลย!

พระบวชใหม่จิตใจยังไม่เข้มแข็งพอที่จะต้อนรับเหตุการณ์เขย่าขวัญ ถึงกับเหงื่อแตกซิกแต็มหน้าผาก หัวใจเต้นอึกทึกครึกโครมปานจะกระทบโพรงอก ปากคอ แห้งผากไปหมด

เสียงวิ่งกับเสียงหัวเราะแสนจะสะท้านสะเทือนใจนัก พระต้นพยายามสวดมนต์ตามแต่จะนึกออก ขอโทษขอโพยอยู่ในใจว่าไม่เคยล่วงรู้มาก่อนเลย พรุ่งนี้จะทำบุญกรวดน้ำไปให้...แต่ผีเด็กยังไม่ยอมไปไหน คงวิ่งรอบกลดและส่งเสียงหัวเราะอย่างสนุกสนานเต็มประดา...

กาลเวลาช่างผ่านไปเชื่องช้าเหลือเกิน...

เหงื่อจากหน้าผากพระต้นไหลย้อยมาท่วมคิ้ว เปลือกตาและสันแก้ม ร่างกายสั่นสะท้านด้วยความเหน็บหนาว จิตใจสะทกสะท้านหวั่นไหวไม่หยุดหย่อน

เวลาผ่านไปราวชั่วโมงเศษ เสียงวิ่งและเสียงหัวเราะจึงค่อยๆ เบาบางลง จนเงียบหายไปในที่สุด...แต่คืนนั้นทั้งคืนพระต้นก็นอนไม่หลับเลย

วันรุ่งขึ้นก็ไม่กล้าไปปักกลดนอนที่บริเวณป่าช้าเก่าอีก จนถึงวันที่ 23 ตุลาคมก็เกิดอาพาธ ปรารภกับพระบวชใหม่ด้วยกันว่าสึกแล้วจะให้โยมพ่อพาไปหาหมอ... คืนเดียวก็เข็ดหลาบไปตลอดชีวิตแล้ว!!









ขอบคุณ แหล่งที่มาหนังสือพิมพ์ http://www.creditonhand.com/images/ks.gif

หน้า: [1]
ดูในรูปแบบกติ: คืนเดียวก็เกินพอ